ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A Tranquilizer for your Christmas Eve : ยากล่อมใจในคืนฝัน

    ลำดับตอนที่ #9 : จิตติกับเรื่องรักแห่งกรุงโตเกียว -1-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 667
      2
      2 ม.ค. 54

    หลังอาหารเย็น จิตติพุ่งเข้าหาคอมพิวเตอร์เพื่อเช็กกระแสตอบรับของ “มหากาพย์ความรักแห่งโตเกียว” ส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ตนเองของเขา กระทู้นั้นถูกโหวตขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ และมีความคิดเห็นมากมายเรียกร้องอยากอ่านเรื่องรักพิลึกๆที่แทบจะเป็นไปไม่ได้นี้ตอนต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเขาเขียนต่อ กระทู้ใหม่ก็ต้องเป็นกระทู้แนะนำอีกหนในสัปดาห์หน้า จนบัดนี้ยังไม่มีใครสงสัยเขาเลย

                    จิตติค่อนข้างประทับใจในความสำเร็จ เรื่องดำเนินไปดังนี้

                    หลังจากที่สาวไทยเป็นลมล้มพับไปในรถไฟ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็พบกับนักธุรกิจหนุ่มชาวญี่ปุ่นถือกระเป๋าของเธอไว้ให้ ชายผู้นั้นคืนกระเป๋าพร้อมถามว่าเธอสบายดีหรือเปล่าด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น เธอไม่เข้าใจทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษแต่ก็พอเข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอย่างไร เธอมองเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความคิดที่อยากจะนอนกับเขาสักคืนก็พลันเลือนหายไป เธอตกหลุมรักเขาในแรกพบ ทั้งที่เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนหนุ่มธรรมดาที่ออกจะผอมไปบ้าง แต่ว่าความเป็นห่วงบ่วงใยของเขาดึงดูดหัวใจของเธอเข้าอย่างจัง โตเกียว มหานครที่มีประชากรหลายล้านคน มีเพียงคนแปลกนี้คนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เอ่ยปากถามเธอว่า “สบายดีไหม”

                    เขาพยายามถามเธอว่ามาจากไหนด้วยภาษาอังกฤษ แต่เธอก็ไม่เข้าใจ เขาจึงเปลี่ยนมาใช้ภาษษญี่ปุ่นแบบง่ายๆและพูดช้าๆ หญิงสาวจับคำว่า “มาจากไหน” ที่ท้ายประโยคได้ และตอบว่ามาจากประเทศไทย ทันที่ที่เขารู้ว่าเธอมาจากประเทศไทยเขาก็แย้มยิ้มกว้างและถามย้ำอีกครั้งว่ามาจากประเทศไทยจริงหรือด้วยความตื่นเต้น เธอลังเลที่จะตอบด้วยเกรงว่าเขาจะเป็นพนักงานตรวจคนเข้าเมือง เธอยืนขึ้นและคิดว่าจะรีบหนีแต่ชายหนุ่มกลับถามเธออย่างอ่อนโยนว่าพอจะไปด้วยกันในช่วงเย็นได้หรือเปล่า

                    เธอรู้สึกตัวขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอไม่มีเงินพอจะกลับที่พัก เพราะว่างานของเธอนั้นจ่ายค่าจ้างเป็นรายวันและวันนี้เธอก็ไม่ได้ไปทำงาน เธอคงต้องเดินกลับ ที่สำคัญคือไม่มีเงินจะกินอะไรแล้ว แต่ว่าเธอควรจะบอกเขาไปตรงๆเพื่อขอความช่วยเหลืองั้นหรือ? ไม่ดีกว่า ถึงเธอรู้ตัวว่าเธอเลวแต่เธอก็ไม่ใช่นางแม่มดที่จะล่อลวงชายหนุ่มดูดีมีอนาคตให้ตกลงสู่โลกสกปรก ถ้าเธอถูกตำรวจจับ ชายคนนี้คงมีปัญหาตามไปด้วย

                    เธอช่างรู้สึกอับอายที่บนรถไฟก่อนหน้านี้เคยคิดจะเอาเปรียบเขา แต่ตอนนี้เธอกลับคิดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแม่หรือเป็นคู่ชีวิตของเขาเสียแล้ว

                    เธอส่ายหัวปฏิเสธ ไม่หรอก เธอคงไม่ไปกับเขา แต่เขาก็ยังตื๊อต่อ

                    “แค่ดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วนะครับ ผมขอร้องด้วยเกียรติของผม” เขาอ้อนวอน และด้วยคำพูดที่ดูราวกับเวทมนตร์และกริยาของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะชักจูงเธอให้โอนอ่อน

                    พวกเธอเข้าไปนั่งที่ร้านสตาร์บัคส์กลางย่านชิบุยะ เขาเล่าให้เธอฟังว่าเคยไปประเทศไทยเพื่อนติดต่อธุรกิจ ระหว่างนั้นเขาทำพาสปอร์ตหายตอนเดินทางไปประชุมร่วมกับหุ้นส่วนธุรกิจ คนไทยผู้หนึ่งได้ช่วยเขาหาพาสปอร์ตจนเจอ เขาเสนอรางวัลให้แต่คนไทยผู้นั้นปฏิเสธอย่างแข็งขัน เขาจึงรู้สึกเป็นหนี้คนไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมา เขากล่าวกับเธอว่ามันดูโง่มากที่ยังยึดติดกับเหตุการณ์นั้น แต่เขาก็อยากให้เธอรู้สึกแบบเดียวกันกับญี่ปุ่น แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่หดหู่เหลือทนก็ตาม

                    สาวไทยจิบกาแฟสตาร์บัคส์พลางคิดว่าด้วยเงินค่ากาแฟแก้วเดียว ครอบครัวของเธอคงจะใช้ได้ไปห้าวัน แต่ที่นี่ก็เป็นแค่ “กาแฟแก้วเดียว” และดูเหมือนว่าชายหนุ่มญี่ปุ่นคนนี้หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆคงจ่ายเงินกระจิดริดนี้ได้โดยไม่ต้องกระพริบตา อาจจะเป็นเพราะค่าครองชีพที่แตกต่างหรือค่าเงินเฟ้อ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกริษยาขึ้นมาจับใจ

                    แล้วเธอควรทำอย่างไร? จะขอให้เขาช่วยดีไหม? เธอไม่อยากให้เขาคิดว่าเป็นผู้หญิง พรรค์อย่างนั้น แต่ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่? ด้วยผิวคล้ำของเธอ เขาจะตัดสินเธอจากรูปลักษณ์ภายนอกไหม? เขาอาจจะเป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นทั่วไป เมื่อดื่มกาแฟหมดแก้ว จะถามเขาดีหรือเปล่าว่าคืนนี้เขาจะนอนกับเธอไหม  ตอนนี้เธอเตรียมใจพร้อมไว้แล้ว ชะตากำหนดมาอย่างนี้และมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่างน้อยเธอก็รู้ตัวว่า รักชายต่างชาติที่อยู่ตรงหน้าคนนี้

                    แต่จู่ๆชายตรงหน้าก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน เขาพูดถึงรถไฟ “รถไฟญี่ปุ่นในช่วงเวลาเร่งด่วนอันตรายมากนะครับ” เขาเติมน้ำตาลลงในกาแฟ คนให้ละลายแล้วยกขึ้นจิบ น้ำเสียงห่วงใยยังพูดต่อ “ผู้หญิงหลายคนถูกลวนลาม คุณต้องระวังตัวให้มากครับ แต่ว่าอย่าไปคิดมากเรื่องเป็นลมบนรถไฟนะครับ ใครๆก็เป็นได้ทั้งนั้น” เขายิ้มให้เธอ เธอก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากยิ้มตอบ

                    “นิฮงโกะ วาคาราไน” หญิงสาวพยายามตอบไปว่าเธอไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นนัก และตอนนี้เธอก็อยากจะหนีหน้าเขาไปให้ไกลที่สุด เขาช่างแสนดีแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่เขาพูดออกมาก็ตาม

                    ชาวญี่ปุ่นลุกขึ้นและบอกให้เธอไปกับเขาอีกที่หนึ่ง และเป็นอีกครั้งที่เธอสุดจะปฏิเสธได้ เขาพาเธอเข้าไปร้านหนังสือใกล้ๆและเดินไปที่ชั้นพจนานุกรม เขาดึงพจนานุกรมไทย-ญี่ปุ่น ออกมาแล้วชี้คำว่า ต้องการ/ช่วย และเครื่องหมายคำถามในท้ายสุด

                    “ต้องการความช่วยเหลือ?” เธอพูดซ้ำด้วยภาษาไทย “ฉันต้องการความช่วยเหลือ? คุณหมายความว่าอย่างนั้น?” ชายญี่ปุ่นชี้ที่ตัวเธอขณะที่เธอพูดแล้วพยักหน้า

                    “ไฮ้..”

                    เธอตอบคำ นี่มันแย่มาก เธอได้แต่สาปแช่งตัวเอง ตอนนี้เขาจะคิดอย่างไรอยู่ นังกะหรี่? ใช่แล้ว ในที่สุดสาวชั้นต่ำอย่างเธอก็เป็นอะไรกับเขาไม่ได้มากกว่าเป็นกะหรี่ดีๆนี่เอง

                    เขาให้เงินเธอ 2000 เยนแต่เธอไม่รับ

                    “รับไปเถอะครับ ถ้าคุณไม่รับผมก็รู้สึกติดค้างอยู่ตลอด และ 200 เยนก็ไม่ได้มากมายอะไร นี่ไม่ใช่เงินจ้างคุณที่ยอมใช้เวลาอยู่กับผมนะครับ ผมไม่มีทางคิดกับคุณแบบนั้นหรอกเพราะเราก็เป็นมนุษยด้วยกัน ทั้งคุณและผม”

                    จากวิธีเรียบเรียงของเธอบนเว็บบอร์ด (หรือที่จริงแล้วก็คือจิตตินั่นเอง) เธอแสดงความเห็นในโพสต์นั้นว่า “ถ้าเธอรู้ว่าตอนนั้นสามีในปัจจุบัน(ซึ่งในท้องเรื่องเป็นชาวญี่ปุ่น)ของเธอพูดว่าอะไร เธอคงทรุดตัวลงร้องไห้แล้ว แต่ในตอนนั้นเธอได้เพียงแต่อ่านแววตาของเขาแล้วมองเห็นกำแพงหัวใจของตัวเองพังทลายลงเพราะชายแปลกหน้าคนหนึ่ง”

                    เพื่อแสดงความขอบคุณ เธอกลับอพารทเมนต์ไปแล้วขอยืมเครื่องปรุงจากเพื่อนคนไทย ทำผัดกะเพราใส่กล่องอาหารกลางวันไปให้เขา

                    ทั้งสองพบกันที่รูปปั้นฮาจิโค ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นมาตรงเวลาและดูกังวลที่เห็นเธอมาสายไป 5 นาที เขาอยู่ในชุดสูทธรรมดาๆ ตามที่เธอเคยพบ

                    เธอไม่มีเครื่องปรุงดีพอจะใส่ ไม่มีเครื่องครัวที่เหมาะสม และถ้าเทียบกับอาหารจากภัตตาคารอาหารไทยแล้วล่ะก็คงเป็นผัดกะเพราที่ห่วยสิ้นดี เขาลองชิมคำแรกแล้วจมูกของเขาก็แดงโร่ และเริ่มไอทันที  เธอวิ่งหาเครื่องขายน้ำอัตโนมัติ ซื้อชาเขียวมาให้เขาขวดหนึ่ง ชายหนุ่มกรอกชาเขียวเข้าปาก เธอหัวเราะร่าแบบที่เธอลืมไปนานแสนนาน และเขาก็หัวเราะตาม ช่างเหมือนกันตอนจบของการ์ตูนญี่ปุ่นเมื่อตัวละครทุกตัวหัวเราะด้วยความสุขหลังจากตัวร้ายพ่ายแพ้ไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×