คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : จิตติกับครู, ที่โรงเรียนของทัตตวา
การสอบถามข้อมูลที่โรงเรียน
เมื่อการสอบถามจากยายของทัตตวาไม่เป็นผล จิตติก็หันเหไปหาข้อพิสูจน์หลักฐานจากโรงเรียนของทัตตวา เป็นเคราะห์ดีที่ว่าจิตติเองนั้นก็จบจากโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลมากนัก บ่ายวันหนึ่งเขาขออนุญาตอาจารย์แพทย์หัวหน้าแผนกออกมาก่อนเวลาเลิกงาน แล้วเดินไปยังโรงเรียนด้วยความหวังว่าจะได้พบครูที่ปรึกษาของทัตตวา
เขาไม่ได้กลับโรงเรียนเก่ามากว่าสิบปีแล้ว เขายังพอจำงานคืนสู่เหย้าได้ สำหรับความทรงจำอื่นๆในโรงเรียนนอกจากสามารถนั้น เขามีมันอยู่อย่างเลือนลางเต็มทน เขาเป็นนักเรียนแผนวิทย์-คณิต ซึ่งไม่มีเด็กผู้หญิงอยู่ร่วมชั้น แน่ล่ะว่าเด็กหนุ่มทั้งหลายต้องเล็งหาสาวๆจากแผนศิลป์ ซึ่งแน่นอนว่าจิตติไม่ได้ร่วมกลุ่มไปกับเขาด้วย เขาเข้าร่วมชมรมหมากกระดานในฐานที่เป็นกิจกรรมบังคับตามหลักสูตร และใช้เวลาทั้งหมดเล่นหมากรุกสากลกับหมากฮอส เมื่อแรกที่เข้าชมรม เขาเลือกชมรมหมากกระดานเพราะคิดว่าเป็นชมรมที่ไม่ต้องทุ่มเทหรือรับผิดชอบมาก แต่เมื่อเพื่อนในชมรมชักชวนให้เขาลองเล่นหมากรุกสากลก็พบว่าเขาติดมันเสียแล้ว ฝีมือหมากรุกของเขาในตอนนี้อาจจะไม่เฉียบคมเท่าสมัยมัธยม แต่เขาก็ยังมีชุดหมากรุกสากลกล่องเล็กติดอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานเอาไว้เล่นคนเดียวยามว่าง
ในโรงเรียนมีอาคารใหม่ผุดขึ้นไม่กี่หลังเมื่อนับจากวันที่เขาสำเร็จการศึกษา และอาคารเก่าที่ตั้งตระหง่านก็แผ่บรรยากาศที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต เขาย่างเข้าไปถึงหอประชุมเล็กที่ใช้เป็นหอเกียรติยศของโรงเรียน มีตราสัญลักษณ์โรงเรียนเด่นอยู่เหนือรายชื่อนักเรียนดีเด่นเกียรตินิยมสลักอยู่เรียงรายลงมาตามฝาผนัง จิตติมองไล่มาจนถึงชื่อของ 18 ปีที่แล้ว ซึ่งก็คือชื่อของเขาจากแผนวิทย์-คณิต เขาไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจนักที่ได้เห็นชื่อตัวเองสลักอยู่ให้เหล่ารุ่นน้องหัวเราะล้อเลียน เหมือนกับที่พวกเขาเองเคยทำมาก่อนเมื่อมองกวาดสายตาหาชื่อรุ่นพี่ที่แปลกประหลาดน่าตลกที่สุด
เขาอ่านเอกสารที่ได้จากฐานข้อมูลโรงเรียนอีกหน ครูที่ปรึกษาของทัตตวามักจะประจำอยู่ที่ห้องพักครูในเวลานี้ เขาขึ้นบันไดไป รู้สึกแปลกๆเมื่อนักเรียนหลายคนเดินผ่านเขาไป มองดูเขาแล้วซุบซิบไล่หลัง เขาเคาะประตูห้องพักครูแล้วรอจนได้ยินเสียงตอบรับ
“สวัสดีครับ” จิตติไหว้หญิงวัยกลางคนต่อหน้า เธอรับไหว้โดยทำท่าเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใคร จิตติล้วงเอานามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ออกมาส่งให้ เธอหยิบนามบัตรไปอ่านแล้วโคลงศีรษะเบาๆ เขาหวังว่าเธอคงไม่คิดว่ากริยาของเขานั้นเหมือนฝรั่งเกินไปนัก ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นวิธีที่เขาแนะนำตัวเองกับคนอื่นตามปกติ
“ขอโทษที่ผมต้องมารบกวนกะทันหันนะครับ ผมเป็นจิตแพทย์จากสถาบันจิตเวชแห่งชาติ ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะต้องการสอบถามเกี่ยวกับนักเรียนของคุณครูคนหนึ่ง ทัตตวา สุริยศักดิ์ ซึ่งผมขอขอบพระคุณในความร่วมมือล่วงหน้าด้วยครับ”
“คงต้องบอกว่า ยินดีค่ะ ถ้าครูจะพอช่วยอะไรได้” เธอละมือจากกองการบ้านที่กำลังตรวจอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังมีความสงสัยและคำถามต่อชายคนที่อยู่เบื้องหน้า
“ครอบครัวของทัตตวา ผมหมายถึง ยายของเธอพาเธอไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล แต่ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนว่า การบำบัดอาการไม่พูดของทัตตวาไม่ได้สัมพันธ์กับระดับสติปัญญาหรือผลการเรียนแต่อย่างใดนะครับ ตอนนี้ที่เรากำลังพยายามทำอยู่คือ ฟื้นคืนการพูดของเธอให้กลับมาเท่านั้น” จิตติอธิบาย เขารู้ดีว่า อาชีพของเขาฉายภาพของคนบ้าตามค่านิยมของสังคมไทย และเขาเองก็ไม่ต้องการให้ครูคนนี้เข้าใจไปว่านักเรียนของเธอบ้า และเดินเรื่องให้ทัตตวาต้องออกจากโรงเรียนในวันนี้วันพรุ่ง
“อืม ค่ะ เด็กสาวลูกครึ่งที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยสักคำ ยายของเธอบอกว่าเป็นใบ้ แต่ไม่ได้หูหนวก แค่พูดไม่ได้เท่านั้น”
อีกหนึ่งจุดน่าสงสัยของยายของทัตตวา นางบอกคนอื่นว่าทัตตวาเป็นใบ้และยัดบทบาทคนพิการให้ง่ายเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะทิฐิงั้นหรือ?
“ทัตตวาเวลาอยู่ในห้องเรียนเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ก็เงียบค่ะ เป็นอย่างนั้นตลอด”
“เธอมีเพื่อนบ้างไหมครับ”
“ครูคิดว่าไม่น่ามี ก็คงไม่มีใครอยากคุยกับคนที่พูดด้วยแล้วไม่ยอมตอบรับสักเท่าไรใช่มั้ยคะ ทุกครั้งที่ครูเห็นเธอในชั้นเรียน เธอก็จะนั่งหลังห้อง มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างทั้งๆที่คนอื่นๆในห้องหัวเราะสนุกสนานคุยกัน แต่ว่าเมื่อเธอดูไม่อันตราย ทุกคนก็เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น”
จิตติพอนึกสภาพออก ทัตตวาดูไปแล้วก็คล้ายวิญญาณติดที่มากกว่ามนุษย์มีเลือดเนื้อ ร่างกายแบบบางและผิวขาวซีดได้แปลกแยกตัวเธอออกจากสิ่งรอบข้างอย่างเพียงพอ มิพักต้องพูดถึงความเงียบของเธอเลยสักนิด
“แล้วเธอตอบครูในชั้นเรียนอย่างไรล่ะครับ”
ครูหญิงกลางคนผู้นั้นส่งยิ้มให้เหมือนกับว่าเขาเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง
“ทุกคนรู้ดีว่าเธอเป็นใบ้ ครูคนไหนก็ปล่อยเธอไว้อย่างนั้นแหละค่ะ”
“แต่ว่าเธอก็เข้าใจเรื่องที่ครูสอน?”
“ค่ะ เข้าใจอย่างดีเสียด้วย แต่ทุกครั้งที่ใครลองพูดกับเธอ ก็จะพบว่าเค้ากำลังพูดอยู่กับอากาศธาตุ ซึ่งก็ทำให้หัวเสียไปพอดู” เธอตอบด้วยความรู้สึกเดียวกับที่เขาเป็นเมื่อครั้งแรกที่พบทัตตวา กลิ่นไอแปลกประหลาดที่โอบล้อมและดึงให้ทุกคนชะงักงัน
“แล้วทางโรงเรียนได้กระทำอะไรเกี่ยวกับการรักษาของเธอมั้ยครับ”
“ครูคิดว่านั่นน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ ถ้ายายของเธอไม่ทำอะไรอย่างส่งคุณมาหาครูวันนี้”
“ขออภัยนะครับ คุณครู นี่คงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่าใดนัก ผมคิดว่านี่เป็นหน้าที่หนึ่งของทางโรงเรียนด้วย อาการของเธอคงรักษาได้ยากถ้า...”
“คุณหมอคะ อย่าเข้าใจครูผิดๆนะ ครูห่วงอนาคตของทัตตวาตามหน้าที่ของครูควรจะเป็น แต่ทางโรงเรียนจะขยับทำอะไรไม่ได้ถ้าผู้ปกครองไม่เริ่มเสนอวิธีมาก่อน แต่ก่อนก็มีกรณีที่นักเรียนเป็นออทิสติกคนนึงที่ทางโรงเรียนพยายามบอกให้บ้านของเขารับรู้และแก้ไข แต่เรากลับได้คำก่นด่ากลับคืนมาเสียอย่างนั้น”
“ผมเสียใจที่พูดอะไรโง่ๆออกไป” จิตติสะบัดหัวเข่า ทุกที่ที่เขาไป เขาหนีไม่พ้นคนโง่เง่าที่ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับจิตวิทยา เขาไม่คิดโทษโรงเรียนอีกต่อไป “และผมได้ยินมาว่าผลการเรียนของทัตตวานั้น่าประทับใจทีเดียว” เขาพูดต่อ
“ใช่ ยอดเยี่ยมเชียวล่ะค่ะ ยิ่งคณิตหรือวิทย์นะถือว่าเด่นมากเลย ทัตตวาสามารถจะไปแข่งโอลิมปิกวิชาการ หรือได้ทุน ก.พ. ในกรณีถ้าเธอต้องการนะคะ”
จิตติได้แต่พยักหน้า เขาเคยอยู่ในห้องนี้ ได้ยินคำสนทนาแบบนี้ในสมัยที่ยังอยู่ชั้นมัธยม อาจารย์คณิตศาสตร์พยายามดึงตัวเขาเข้าทีมโอลิมปิกวิชาการแต่เขาปฏิเสธ ซึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันตาเห็น อาจารย์คนนั้นเลิกพูดกับเขาต่อแต่นั้นเป็นต้นมา การเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเนิร์ดรักชาติเพื่อชนะรางวัลที่ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรสักอย่างกับชีวิตเป็นเรื่องน่าอับอายมากกว่า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสาเหตุใดทัตตวาจึงยังอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ได้ โรงเรียนชั้นนำคงไม่ปล่อยให้นักเรียนพิการอยู่ถ้าไม่ได้สิ่งใดสักอย่างตอบแทน ซึ่งในกรณีของทัตตวาคือความสามารถในหัวสมอง ถ้าเธอชนะรางวัลทางวิชาการสักอย่าง หรือได้คะแนนสูงสุดในการสองเอ็นทรานซ์คงเป็นการประชาสัมพันธ์ชั้นเลิศ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเรื่องของเกียรติยศและชื่อเสียงเท่านั้น
“แต่ว่าภาษาอังกฤษของเธอน่ะค่อนข้างจะ... ไม่ดีนักน่ะค่ะ ครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ถึงพอรู้บ้าง ครูคิดว่าคงเป็นเพราะปัญหาจากการที่เธอพูดไม่ได้เอง ครูรู้สึกไม่ดีเท่าไรทั้งๆที่พ่อของเธอเป็นฝรั่งใช่ไหมคะ”
“ครับ... “ จิตติเล่นไปตามบทเหมือนที่เขาเคยทำกับคนไข้ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับทัศนติที่ว่าฝรั่งทุกคนต้องพูดภาษาอังกฤษเท่าใดนักก็ตาม
“แล้วเธอมีอาการผิดปกติอื่นนอกจากไม่ยอมพูดไหมครับ”
“ไม่เลยค่ะ ปกติดี” ครูภาษาอังกฤษตัดบท
อาจารย์คนนี้รู้มากกว่าที่เขาต้องการ จิตติคิดเช่นนั้น เธอเป็นครูที่ดี ก็แค่ครูที่ดีในโรงเรียน
ทัตตวาในชุดนักเรียนเปิดประตูเข้ามา เธอวางตั้งสมุดลงบนโต๊ะและจ้องจิตติด้วยสายตาเย็นเยียบ เหมือนว่าเธอไม่คาดคิดว่าเขาจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้
“สวัสดี” จิตติทักทายเด็กสาว แต่ไร้การตอบรับ
“นี่ ทัตตวา ครูบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วเป็นคนไทยน่ะ เวลาทักคนอื่นต้องไหว้เขา” ครูคนนั้นทำตาขวางใส่ทัตตวา แต่เธอไม่มีอาการเดือดร้อนใดๆ ก็แค่ทำตามที่ครูสั่ง
แต่จิตติรู้สึกไม่สบายใจแทน เขาพร้อมที่จะตวาดใส่ครูคนนั้นว่าสิ่งที่ทำไปรังแต่จะทำให้ทัตตวาแย่ลง คนเป็นครูย่อมรู้ว่าทัตตวาถูกแปลกแยกจากรอบข้างเพราะอาการป่วย และสีผิวของเธอยิ่งตอกย้ำความแตกต่างให้กลายเป็นคนชายขอบเข้าไปใหญ่ มีวิธีแกล้งนักเรียนมากมายหลายทางแต่ครูคนนี้ยังพยายามเน้นย้ำสิ่งที่ทัตตวาไม่สามารถเป็นได้ – ความเป็นไทยแท้โดยสายเลือด – อย่างไรก็ตามเขายังนิ่งเงียบไว้ เขารู้เกี่ยวกับสิ่งที่ทัตตวาถูกกระทำในโรงเรียนเพียงพอแล้ว ถูกกลั่นแกล้งแม้กระทั่งจากครูของตัวเอง ถ้าเขาเป็นทัตตวา เขาคงสูญสิ้นศรัทธาและความเชื่อถือทั้งหมดต่อผู้ใหญ่ มันคงดีกว่าที่จะหลีกหนีไปแล้วขังตัวเองในโลกส่วนตัว
เขากล่าวลาอาจารย์คนนั้นแล้วเดินออกจากห้องพักครู หมดคาบสุดท้าย ทัตตวากำลังเดินทางกลับบ้าน เขาถือโอกาสเดินร่วมทางไปกับเธอถึงหน้าประตูใหญ่ก่อนที่จะเดินกลับไปโรงพยาบาล
“หมอเคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้เหมือนกันนะ สงสัยว่าอาจารย์ที่เคยสอนหมอจะยังอยู่หรือเปล่า พนันได้เลยว่าคงเสียไปหมดแล้วล่ะ”
เธอเดินอยู่ข้างหน้าโดยไม่สบตาเขาแม้แต่น้อย ชุดนักเรียนทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่ก็ยังเหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนจากยุโรปมากกว่า ชุดนักเรียนไม่เหมาะกับร่างสูงโปร่งและไหล่กว้างแม้สักนิด กระโปรงดำยาวกรอมหัวเข่า เธอผูกผมเป็นหางม้าด้วยริบบิ้นสีดำตามระเบียบโรงเรียน จิตติมองแผ่นหลังของทัตตวา เสื้อชั้นในของเธอมองเห็นลางๆผ่านเสื้อนักเรียน เขาคิดถึงแฟนคนแรกซึ่งเป็นสาวจากแผนศิลป์-ฝรั่งเศส ครั้งอายุสิบเจ็ด ยังหนุ่มสาว มุทะลุและอยู่ในห้วงรัก ทุกสิ่งในโลกเป็นของพวกเขาและกำเนิดขึ้นมาเพื่อพวกเขา เมื่อใดกันนะที่พวกเขารู้ตัวว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และต้องใช้ชีวิตของตนเอง เมื่อจิตติหวนระลึกถึงครั้งยังวัยรุ่น ก็เหลือแต่ความสุขของความทรงจำอันแสนหวานในอดีต
ทัตตวาก็อายุสิบเจ็ด เป็นเด็กสาวธรรมดา จะเล่นแบดมินตันหรือจะแวะเถลไถลกินอะไรก่อนกลับบ้านกับเพื่อนก็ได้ เธออาจใช้ชีวิตที่สดใสแล้วเมื่อโตขึ้นและหวนรำลึกถึงวัยเยาว์ที่ผ่านพ้นไปจะพูดได้เต็มปากว่า “ฉันอยากกลับไปเป็นเด้กอีกครั้งจังเลยน้า” เหมือนที่เขาคิดถึงเมื่อสักครู่
“โรงเรียนเป็นไงบ้าง” เขาเลี่ยงที่จะใช้คำถามตอบแบบใช่หรือไม่เพื่อสร้างความท้าทายให้เธอ แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าเขาไม่แน่ใจว่าเธอสนใจคำถามอยู่รึเปล่า เธอได้แต่เดินและเดิน ไม่มีท่าทีใส่ใจสิ่งรอบตัว ใจหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง จิตติรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยกันกับเธอเลย
“หมอรู้ว่าเธอไม่ชอบที่ครูพูดแบบนั้นนะ อะไรที่เกี่ยวกับคนไทย คนเป็นครูไม่น่าพูดอะไรแบบนั้นออกมาใส่เธอ”
เขาคิดถึงช้อความที่ทัตตวาเขียนตอบแบบสอบถาม เธอบอกว่าไม่ใส่ใจการที่คนพูดถึงเชื้อชาติของเธอเอง แต่จิตติไม่เชื่อว่าเป็นคำตอบที่แท้จริง นั่นเป็นแค่การไล่เขาไม่ให้ยุ่งเกี่ยว ฉันไม่ได้ป่วย - เธอว่าไว้อย่างนั้น
“หมอรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง เกิดมาโดยที่ไม่ได้เป็นเชื้อชาติเดียวกับคนรอบตัว” จิตติจ้องอย่างแน่วแน่ไปที่ตัวทัตตวา พลางคิดว่าควรพูดสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้หรือไม่ แต่ตัดสินใจว่าจะนำเรื่องส่วนตัวมาพูด มันดูเร็วเกินไปที่จะเอาความคล้ายคลึงระหว่างเขากับเด็กสาวมาเล่าให้ฟัง แม้ว่าอาจจะทำให้เขาร่วมอยู่ในความรู้สึกที่เหมือนกันได้
รถเก๋งสีดำคันเดิมรอทัตตวาอยู่ที่หน้าประตู คนขับชราคนเก่าทักทายเขาเหมือนเดิมคล้ายจะเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำตอบสักคำ จิตติกล่าวลาก่อนที่เครื่องยนต์จะสตาร์ต ทัตตวาขึ้นนั่งที่เบาะหลัง แล้วรถก็เคลื่อนไป เป็นการสิ้นสุดวันของจิตติเช่นกัน
แต่เมื่อกำลังเคลื่อนผ่านประตูรั้ว ทัตตวาหันหลังมองเขาจากในรถ หรือไม่จิตติก็หลอกตัวเองว่าเธอทำเช่นนั้น ในชั่วพริบตา ทั้งคู่สบตากัน และในชั่วเสี้ยววินาที สายตาของเธอยังเปี่ยมด้วยความเกลียดชังคลั่งแค้น แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในนั้น หยาดน้ำแห่งความเศร้าหล่อเลี้ยงอยู่ในดวงตาสีดำ พยายามส่งมาสื่อถึงเขาจากเบื้องลึกของจิตใจ บางอย่างที่เธอมิอาจพูดได้จากปาก และดวงตาเป็นตัวแทนสื่อออกมาในทางที่บิดเบี้ยว
จิตติมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอจนรถแล่นออกสู่ถนนใหญ่ หัวใจของเขาเต้นแรงอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจให้ตัวเองสงบลง ทั้งหมดอาจเป็นแค่จินตภาพของเขาเพราะเขาไม่มีทางรู้ได้ว่าทัตตวารู้สึกอย่างไรจริงๆ ซึ่งเขาได้แต่หวังว่าในความเงียบงัน หลังรถคันนั้น ริมฝีปากของเด็กสาวจะอ่านออกมาได้คำว่า – ช่วยด้วย
ความคิดเห็น