คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : จิตติกับยายของทัตตวา
จิตติอ่านรายงานการตรวจร่างกายของทัตตวาที่นุ้ยส่งมาให้เขาแล้ว(เขาตัดสินใจจะโยนเรื่องส่วนตัวระหว่างเขากับนุ้ยทิ้งไว้เบื้องหลัง เพราะตอนนี้ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น) รายละเอียดทั้งหมดตามที่นุ้ยเล่าให้เขาฟังเมื่อพบกันครั้งล่าสุด ทัตตวามิได้ไร้เพศสภาวะแต่ลักษณะความแปรปรวนทางเพศนั้นเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งอาจมีที่มาจากพันธุกรรมหรือการขาดสารอาหาร แต่เมื่อมองจากลักษณะทางกายภาพภายนอกของทัตตวาแล้ว จิตติไม่คิดว่าเด็กสาวจากตระกูลที่ร่ำรวยจะขาดสารอาหารได้ ความสูงของเธอมากกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานอันเนื่องมาจากเชื้อสายคอเคเซียน แต่รูปรางของเธอดูแบบบางเกินไป สะโพกและหน้าอกไม่ได้เจริญพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ให้สมกับเป็นวัยรุ่น แน่นอนว่าใครๆอาจจะหลงคิดไปว่าเธอเป็นเด็กผู้ชาย อย่างไรก็ดี พวกเขามิอาจตัดสินชี้ชัดลงไปได้ว่าเธอเป็นเพศชายแน่นอนเพราะเธอไม่เคยเอ่ยปากพูดออกมา
ข้อสรุปมีอยู่ว่า เขาไม่สามารถทำอะไรกับสภาพร่างกายและจิตใจของทัตตวาได้หากเขาไม่รู้รายละเอียดต่างๆในชีวิตของเธอมากกว่านี้ก่อน กว่าเดือนแล้วที่เขารับกรณีของทัตตวาเข้ามาดูแล แต่ว่าเขายังรู้แค่ว่ารอบตัวเธอมีแต่ม่านหมอกมืดหม่นคลุมครอบรอบตัวอยู่ นักบำบัดต่างก็ยอมแพ้ให้กับทัตตวาไปหมดสิ้น อีกทั้งการนัดพบเพื่อทำการบำบัดคงไม่เหลือประโยชน์อันใดจะเกิดขึ้นได้อีก
เขาพยายามติดต่อมารดาของทัตตวาแต่ก็ไม่เป็นผล ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยใดๆในฐานข้อมูลทางการแพทย์ของทัตตวาที่จะสืบเสาะหาตัวเธอได้ ส่วนหลักฐานทางกฎหมายนั้นก็เกี่ยวพันอยู่กับยายซึ่งเป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรมตามกฎหมายของเธอเพียงคนเดียว ดูเหมือนว่าทัตตวาจะอยู่ในอุปการะของยายเมื่อนานมาแล้ว และตามที่ยายของเธอเล่ามา แม่ของทัตตวาได้ละทิ้งลูกสาวไปตั้งแต่หย่าร้างกันแต่ยังส่งเสียค่าเลี้ยงดูมาให้อย่างสม่ำเสมอผ่านบัญชีธนาคาร สามารถให้ข้อสังเกตว่าเป็นแม่ที่แปลกดี แต่จิตติเห็นว่าความคิดเห็นของสามารถน่ะสิที่แปลกกว่า คนเป็นแม่ผู้ทอดทิ้งลูกของตัวเองอาจจะดูโหดร้ายในสายตาคนทั่วไป แต่คนเป็นแม่ก็ยังเป็นมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาที่อาจหลงรักผู้ชายคนอื่นมากกว่าลูกของตัวเอง
จิตติเลิกอ่านรายงาน และหลังจากที่เขารู้สึกว่าต่อให้ค้นเรื่องแม่ของทัตตวาไปมากเท่าไรก็คงไม่ได้เรื่อง จึงหันเหความสนใจไปที่ยายของเธอเพื่อค้นหาข้อพิสูจน์ใหม่แทน
ก. การสอบถามจากผู้เป็นยาย
จิตติขอนัดยายของทัตตวามาสอบถามในบ่ายวันจันทร์หนึ่ง ยายของทัตตวาดูเป็นหญิงจีนวัยชราผู้มีศักดิ์ศรีและวางมาดไว้ตัวอยู่เต็มเปี่ยม ซึ่งทำให้จิตติคิดถึงผู้เป็นป้าของเขาเองอย่างมาก นางสวมชุดไหมเรียบๆและแต่งผมจัดทรงเป็นลอนแบบเก่าชนิดที่หาได้ทั่วไปตามย่านคนจีน นางนั่งเงียบอยู่ต่อหน้าเขา จิตติสังหรณ์ว่าหญิงชราผู้อยู่เบื้องหน้าไม่เชื่อถือเขาเลยเพราะวัยที่น้อยกว่ามาตรฐานของผู้เป็นหมอซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูง อีกครั้งที่เขาคิดว่า “มันผิดตรงไหนที่เขาประสบความสำเร็จด้วยอายุเพียง 35 ปี?”
“สวัสดีครับ คุณป้าคงถูกตั้งคำถามมาหลายเรื่องแล้ว แต่ไม่ต้องกังวลหรือไม่สบายใจนะครับ ข้อมูลจากญาติในครอบครัวจำเป็นมากต่อจิตแพทย์อย่างเราที่จะใช้ดูแลรักษาผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ”
“ดิฉันไม่กังวลอะไรหรอกค่ะ ดิฉันเสียอีกที่ต้องบอกว่าดิฉันประทับใจมากที่เห็นคุณหมอยังหนุ่มแน่นขนาดนี้”
“ขอบคุณครับ” จิตติเลิกแว่น เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักเมื่อผู้ป่วยพูดถึงอายุของเขาซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยๆ “ผมคงต้องขอโทษคุณป้าไว้เสียก่อน หากว่าคำถามนั้นจะค่อนข้างเสียมารยาทครับ”
นางพยักหน้ารับเหมือนอนุญาตให้ถามได้
“ผมต้องขอโทษที่ต้องถามเรื่องนี้ครับคุณป้า แต่ว่าหลานของคุณป้าเป็นพวกรักร่วมเพศหรือเปล่า”
“เอ๊ะ” นางนิ่งงัน ตกใจเพราะคำถามของจิตติอย่างที่หญิงในวัยชราสมควรจะเป็น เขารู้ว่าไม่ควรเริ่มบทสนทนาด้วยหัวข้อนี้ แต่ก็เป็นการดีกว่าที่จะมุ่งตรงเข้าสู่หลักใหญ่ใจความ ทางทีสาเหตุของความผิดปกติของทัตตวาอาจจะเรียบง่ายเพียงแค่เพราะเธอชอบเพศเดียวกันจริงๆ เมื่อเธอต้องปิดบังความจริงเรื่องนี้ไว้หรือถูกกดดันจากครอบครัวจึงทำให้เธอไม่ยอมพูด
“รักร่วมเพศรึ หมายความว่าอะไรกัน”
“ผมขอโทษครับที่คำถามของผมค่อนข้างไม่สุภาพ นั่นหมายความว่า ถ้าทัตตวากำลังมี หรือเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ...”
“ผู้หญิง ถ้าคุณหมอจะหมายความว่าอย่างนั้น”
“ใช่ครับ”
“ฮึ ดิฉันไม่ยักจำอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนั้นได้ แต่กรุณาเข้าใจนะคะว่า ดิฉันไม่ได้ต้องการให้หลานเป็นอย่างที่เห็น ดิฉันคิดไม่ออกเลยว่าผู้หญิงจะไปมีอะไรๆกับผู้หญิงด้วยกันได้ยังไง ถึงดิฉันจะไม่ใช่พวกเกลียดอะไรแบบนั้นแต่ว่าหลานของดิฉันยังเป็นเด็ก มันเร็วไปกับการคิดเรื่องแบบนี้”
“แล้วการแต่งตัวล่ะครับ คุณป้าเลือกให้หรือเปล่า”
“ก็อย่างที่ดิฉันเล่าให้คุณหมอฟัง ดิฉันก็รู้อยู่และก็กลัวว่า เอิ่ม.. หลานของดิฉันจะไปเป็นพวก เอ่อ เรียกว่าอะไรนะ... พวกชอบผู้หญิงทำนองนั้น “ นางถอนหายใจ “ดิฉันเลือกชุดให้หลานตอนที่เธอย่างเข้าวัยรุ่น แล้วก็หวังว่าจะให้เธอทำตัวเหมือนผู้หญิงมากขึ้น แต่เธอก็ไม่ยอมใส่มัน เอาแต่ใส่ชุดผู้ชายอยู่นั่นแหละจนชุดพวกนั้นเก่าโทรมใส่ไม่ได้ ดิฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากซื้อชุดพรรค์นั้นให้มส่เพราะเธอเล่นไม่ยอมใส่เสื้อที่ดูหญิงๆเลย”
เอาล่ะ ตอนนี้จิตติก็รู้แล้วว่าทัตตวาปฏิเสธลักษณะของเพศหญิง และดิ้นรนเพื่อจะทำตัวเป็นเด็กผู้ชายด้วยสาเหตุบางอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเธอเป็นพวกรักร่วมเพศ เป็นไปได้หรือไม่ที่เธอทำตัวเองให้ดูไม่มีเพศด้วยวิธีอดอาหารจนรักษาสภาพวัยก่อนเจริญพันธุ์เช่นเดียวกับขันที หรือเหมือนพวกผู้หญิงข้ามเพศที่กินยาคุมกำเนิดเพื่อเร่งฮอร์โมนเพศหญิงตั้งแต่วัยรุ่น หรือจะเป็นไปได้ว่าเมื่อเธอเริ่มมีหน้าอกหรือเริ่มมีประจำเดือน เธอจะอยู่ในภาวะตื่นตระหนกซึ่งหญิงชรานั้นหัวโบราณเกินไปจนมิได้อธิบายอะไรให้รู้จนกระทั่ง...
ไม่ คำอธิบายพวกนั้นสุดโต่งเกินไป เด็กอายุสิบเจ็ดที่เพิ่งเรียนเพศศึกษาจากชั้นม.ต้น คงไม่คิดอะไรไปได้ไกลขนาดนั้น และเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้อธิบายสาเหตุที่เธอไม่ยอมพูดด้วยประการทั้งปวง ที่จริงก็อาจจะเป็นอย่างที่ยายของเธอว่ามา “เธอยังเด็กอยู่”
“ก็อย่างที่คุณป้าทราบนะครับ เธอออกจะผอมไปสักหน่อยถ้าเทียบกับเด็กคนอื่นๆ คุณป้าได้จัดอาหารที่บ้านให้ทัตตวาเรียบร้อยดีหรือเปล่าครับ”
“แน่นอนสิ” นางคงคิดว่านั่นเป็นคำสบประมาท “แต่หลานดิฉันน่ะเป็นพวกเลือกกิน เธอไม่ยอมกินอะไรเลย”
“พวกเลือกกิน?”
“เวลาดิฉันตั้งโต๊ะกับข้าว เธอเอาแต่เขี่ยจานเล่นไปมา สุดท้ายแล้วก็ไม่กินอะไรนอกจากข้าวกับน้ำปลา”
“เคยบังคับให้เธอกินมั้ยครับ”
หญิงชรานิ่งเงียบในทันควัน แล้วน้ำตาก็เอ่อคลอหน่วยตาทั้งคู่ จิตติดึงกระดาษทิชชูให้นางแล้วกล่าวขอโทษ นางหยิบทิชชูมาซับขอบตาก่อนจะพูดต่อ “ดิฉันเคยทำ สักสี่หรือห้าปีก่อนล่ะมั้ง ตอนที่หลานมาอยู่กับดิฉันใหม่ๆ” จิตติบันทึกข้อสังเกตนี้ลงไปอย่างรวดเร็วว่าทัตตวาเพิ่งมาอยู่กับยายได้แค่ห้าปี “ตอนนั้นดิฉันไม่รู้ว่าอะไรมาสิงให้ทำแบบนั้น แต่ว่าถ้าเธอไม่ยอมกินอะไรก็จะเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ถ้าให้เธอถอดเสื้อผ้าออกก็เห็นว่าเธอเป็นแค่โครงกระดูกเดินได้ดีๆนี่เอง” นางสะอื้น “ดิฉันหาอาหารให้หลานแต่เธอไม่แตะสักนิดเดียว เลยต้องจับเธอบังคับให้กิน ดิฉันง้างปากออกแล้วยัดช้อนเข้าไป เธอแหวะมันออกมาแต่ดิฉันก็พยายามกรอกเข้าไปอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็บ้วนมันออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนมีน้ำสีเหลืองๆไหลออกมาพร้อมกับเศษอาหารด้วย เธอไม่ได้ร้องไห้เลยแต่บอกให้ดิฉันหยุดด้วยวิธีทำร้ายตัวเอง ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะคุณหมอ ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่าควรทำอย่างไร ดิฉันหวังแค่ให้เธอพูดอะไรสักคำออกมาให้รู้ว่าหลานต้องการอะไรเท่านั้น” นางทุ่มตัวสะอื้นไห้ จิตติอยากจะลูบหลังให้หญิงชราแต่เปลี่ยนใจฉับพลัน เขาไม่คิดว่าการบังคับให้กินอาหารเป็นความรุนแรงในครอบครัวในเมื่อกระทำด้วยความรัก เขาจงใจถามเรื่องนี้โดยหวังว่าจะได้เห็นยายแก่วางท่าภาคภูมิใจที่บังคับให้หลานของตัวเองกินข้าวได้สำเร็จ แต่ว่าสิ่งที่นางทำกลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดเสีย นางไม่อาจเห็นทัตตวาเจ็บปวดได้
จิตติรอจนนางกลับมาตั้งสติได้จึงถามคำถามต่อไป
“แต่หลังจากนั้น คุณป้าต้องมีวิธีสื่อสารอะไรกับหลานนอกจากการพูดใช่ไหมครับ คุณป้าคุยกับทัตตวาอย่างไร”
“ดิฉันจะถามหลานไป แล้วเธอก็จะพยักหน้าหรือส่ายหน้าเพื่อตอบรับหรือปฏิเสธ”
“ถ้าอย่างนั้น ตอนที่คุณป้าตั้งคำถาม ก็ต้องใช้เฉพาะคำถามแบบใช่หรือไม่ใช่สินะครับ” นางฉงนสงสัยกับคำถามของเขา จิตติจึงเปลี่ยนระดับเสียง “ก็อย่างเช่น ตอนที่คุณป้าถามหลานว่า หิวข้าวหรือเปล่า ทัตตวาจะตอบโดยพยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้น ใช่คำถามประเภทนี้หรือเปล่าครับ?”
“อื้ม ค่ะ คิดว่าเป็นอย่างนั้น” นางยังไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเอง แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับจิตติ ทัตตวาสามารถโต้ตอบได้เพียงผ่านการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ใช่คำพูด ว่าแต่ทำไมกันเล่า?
คนแก่ก็โกหกได้ เขานึกถึงคำพูดของนุ้ยขึ้นมา เขาควรจะเชื่อหญิงชราคนนี้ได้มากสักเท่าใดกัน นางดูเหมือนไม่มีอันตรายแต่ว่าทั้งหมดจะจริงหรือ นางไม่เคยบอกแพทย์คนใดก่อนหน้านี้ว่าทัตตวาเพิ่งมาอาศัยร่วมกันเพียงห้าปี ซึ่งจะเกิดความแตกต่างอย่างมากกับชีวิตก่อนหน้านั้นทั้งสิบสองปีของทัตตวา
“ก่อนจะมาอยู่กับคุณป้า ทัตตวาอยู่กับใครครับ”
“แม่ของเธอล่ะค่ะ”
“ทำไมแม่ของเธอถึงพามาให้คุณป้าเลี้ยงดูครับ”
“ลูกสาวดิฉันไปได้งานดีหน่อยที่สิงคโปร์ และก็คงมีผู้ชายคนใหม่ด้วย ฝรั่งที่มีเงินมีทอง ดิฉันคิดว่าอย่างนั้น”
“คิดว่า? นั่นหมายความว่ายังไงครับ คุณป้าไม่แน่ใจงั้นหรือ”
นางกลอกตาไปมา คำถามนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไปกระตุกให้เธอตื่น “ใช่ คุณหมอ ดิฉันไม่แน่ใจ การคุยกับคุณเรื่องนี้ทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนกำลังปอกเปลือกเรื่องไม่ดีของครอบครัวออกมา แต่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกค่ะ ดิฉันจะเล่าให้คุณฟังทุกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับลูกสาวไม่ดีนักตอนที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับคนลาวนั่นโดยไม่ยอมบอกอะไรกับดิฉันเลย”
“เพราะว่าคุณป้าเป็นคนจีน และผมก็มั่นใจว่าคุณป้าคงไม่สบายใจนักที่จะปล่อยให้ลูกสาวสุดที่รักไปแต่งงานกับคนที่ไม่มีเชื้อสายจีน โดยเฉพาะกับคนลาวด้วย” จิตติเติมประโยคของหญิงชราจนจบ
“แน่นอน คุณหมอก็เข้าใจนี่คะ ถึงเจ้าหมอนั่นจะดูเหมือนฝรั่งมากกว่า แต่ดิฉันก็ไม่พูดกับลูกสาวจากนั้นมา จนมารู้ว่าเธอหย่า ลูกสาวดิฉันก็หยิ่งทะนงเกินกว่าจะมาเล่าเรื่องหลานให้ดิฉันรู้ วันนึงเธอก็เอาลูกสาวของตัวเองมาวางแหมะหน้าประตูบ้านแล้วบอกให้ดิฉันช่วยดูแลด้วย และเธอก็ไปกับผู้ชายคนใหม่ แม่คุณเอ๊ย ดิฉันไม่นับว่าเธอเป็นลูกสาวอีกแล้วล่ะค่ะ”
“แล้วคุณป้าพอรู้มั้ยครับว่าทัตตวาเคยถูกทำทารุณอะไรจากแม่หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ดิฉันยืนยัน ไม่มีแน่....”
นางดูน่าสงสัยสำหรับจิตติแล้วในตอนนี้ นางเพิ่งบอกว่าเกลียดลูกสาวตัวเองมากขนาดไหนไปหมาดๆ และอ้างว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับลูกและหลานสาวเท่าไร แต่เมื่อเขาถามถึงเรื่องทารุณกรรม นางกลับปฏิเสธได้ในทันควัน
“ทำไมคุณป้ารู้ล่ะครับ”
“ได้ค่ะ ลูกสาวดิฉันถึงจะแพศยายังไง แต่ก็ไม่ใช่พวกชอบลงไม้ลงมือทำร้ายใคร มดตัวเดียวเธอก็ไม่เคยฆ่าเสียด้วยซ้ำ”
“คุณป้าอย่าเพิ่งโกรธนะครับ ผมขอโทษด้วย ผมก็แค่จำเป็นต้องรู้เท่านั้น ถึงจุดนี้ผมคิดถึงสาเหตุอื่นของสภาพที่ทัตตวาเป็นอยู่ไม่ได้นอกจากการถูกทารุณกรรม”
“ไม่มีการละเมิดหรือความรุนแรงเกิดในครอบครัวของดิฉันแน่”นางยังยืนกรานคำเดิม นางต้องปิดบังอะไรไว้สักอย่งหากแต่จิตติยังไม่เชื่อสัญชาติญาณของเขาเองนัก อย่างไรก็ดี เขาก็เกรงว่าหญิงชราก็พูดความจริงออกมาอยู่แล้ว แต่เขากลับบีบบังคับนางให้พูดออกมามากเกินไปเพื่อเติมเต็มข้อสันนิษฐานของเขา
“ฟังก่อนนะครับคุณป้า ผมเป็นหมอ มีจรรยาบรรณที่จะเก็บรักษาความลับไว้ให้สนิทที่สุด อะไรที่คุรป้าพูดออกมาหรือทำลงไปในห้องนี้ คุณป้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงหรือเรื่องอื่นๆ”
“ดิฉันบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าไม่มีเรื่องพวกนั้น! หลานดิฉันอาจจะแค่เพี้ยนๆ และก็อาจเป็นมาตั้งแต่เกิด” นางขึ้นเสียง “พวกหมออย่างคุณๆเอาแต่คิดว่าดิฉันกับลูกสาวเป็นคนวิกลจริตชอบทรมานจนเด็กมันเป็นใบ้! พวกคุณก็เหมือนกันทั้งหมดนั่นล่ะ คิดแต่เรื่องทฤษฎีวุ่นวายงี่เง่าไร้สามัญสำนึกที่เรียนจากตำรา แล้วจับคนไปยัดให้ตรงกับข้อคิดเห็นตามอัตตาเห็นแก่ตัว พวกคุณก็แค่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด!”
“คุณป้าครับ...”
“คุณน่ะเป็นหมอ หน้าที่ของคุณคือรักษาคน ไม่ใช่มาขอโทษเพื่อโกหก!”
“ผมเสียใจเป็นที่สุด ผมทำไปด้วยความหวังดี” ชั่ววินาทีหนึ่ง จิตติอยากโยนเคสนี้ทิ้งไปเพื่อจะไม่ต้องเจอยายแก่คนนี้อีก แต่นั่นจะเป็นหายนะต่อทัตตวา เขาอาจจะผิดและหญิงชราอาจเล่าเรื่องจริงทั้งหมด เขากับแพทย์คนอื่นอาจเป็นเพียงคนขี้เกียจและเอาตัวเองเป็นใหญ่ที่ไม่อยากวินิจฉัยต่อไปให้ยุ่งยาก
“ดิฉันไม่เขาใจว่าทำไมเขาส่งหมอเด็กๆแบบนี้มาตรวจ” นางค่อน จิตติอยากจะเลิกแล้ว ไม่มีประโยชน์ใดจะพูดกับนางอีก
“ขอบคุณครับสำหรับวันนี้”
“ขอบใจ! ดิฉันขอลาล่ะ!” นางลงส้นเท้าก้าวออกไปจากห้อง
จิตตินั่งพักอยู่บนเก้าอี้ ซดกาแฟเข้าอึกใหญ่ก่อนจะนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาครามครัน
ความคิดเห็น