ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A Tranquilizer for your Christmas Eve : ยากล่อมใจในคืนฝัน

    ลำดับตอนที่ #6 : จิตติกับนุ้ย, รุ่นน้องและแฟนเก่า

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 53


    นุ้ยค่อยๆจิบกาแฟจากแก้วของเธอช้าๆขณะฟังจิตติอธิบายวิธีขอทัตตวามาอยู่ในความดูแล เขาจมดิ่งลงไปในจินตนาการทางวิทยาศาสตร์อีกแล้ว ความลุ่มหลงในวิทยาศาสตร์ของเขาก้าวล้ำเกินคำอธิบายใดๆ ครั้งที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ง่วนอยู่ในแล็บจนมืดค่ำ อ่านหนังสือหรือทดลองอะไรก็อกๆแก็กๆ เมื่อวัดจากผลการเรียนก็คงไม่ใช่นักศึกษาที่เก่งที่สุด แต่เมื่อเขาพูดขึ้นหรือนำเสนอรายงานหน้าห้อง ทั้งชั้นเรียนจะหยุดนิ่งฟังเขา เขาสามารถจำข้อความจากหนังสือที่เขาอ่านเมื่อนานมาแล้วได้สบายๆ ผลการเรียนก็สูงเกินค่าเฉลี่ยเสมอ เขาจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนที่ดีที่สุดโดยใช้เวลาเพียง 2 ปีแล้วจึงสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ที่ดีที่สุดของประเทศ เขาน่าจะมีทัศนคติต่อชีวิตดีกว่านี้ แต่ทว่าโชคร้ายที่เขาประเมินค่าผู้คนที่อยู่ในฐานะเดียวกัน คือเป็นทายาทเชื้อสายจีนรุ่นที่สาม ซึ่งครอบครัวมีปัญญาส่งเรียนได้ต้องเป็นแบบเขาได้หมดทุกคน จิตติไม่เคยรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะในแบบของตน เขาฉลาดและมีปฏิภาณมากกว่าคนอื่น แต่เขากลับมองว่าการที่คนอื่นตามไม่ทันนั้นเป็นเรื่องโง่ บางครั้งถึงกับสบถว่า “พวกไร้สมอง” ออกมา

    “พี่แต่งงานรึยังคะ” นุ้ยเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน ซึ่งทำให้จิตติเกือบสำลักกาแฟ

    “อะไรนะ?”

    “นุ้ยถามว่า พี่แต่งงานหรือยังคะ?”

    “ยังไม่แต่งหรอก ถามทำไมกัน?”

    “อ๊ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่สงสัยน่ะ”

    ชั่วนาทีแห่งความเงียบครอบงำบรรยากาศระหว่างทั้งสอง แต่แพทย์สาวก็เริ่มต้นอีกครั้ง

    “นุ้ยแทบไม่เชื่อเลยนะคะว่าตอนนั้นนุ้ยจะรักพี่ได้มากมายเหลือเกิน นุ้ยให้หมอนรูปหัวใจพี่ไปตอนวันวาเลนไทน์ จำได้มั้ยคะ? แล้วก็ตุ๊กตากวางเรนเดียร์ตอนคริสต์มาสอีฟอีก นุ้ยดูงี่เง่าชะมัดเลย”

    “อาการหวนหาอดีตเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังแก่ลงนะ”

    “ตอนนั้นใครๆก็อิจฉานุ้ยที่ได้คบกับพี่ เราเป็นคู่รักที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในคณะเลยด้วย”

    “ทำไมมาพูดเอาตอนนี้ รึว่าคุณอยากกลับมาคืนดีกับผมอีก”

    “ไม่ใช่แน่นอนค่ะ นุ้ยหมั้นแล้ว”

    เธอเริ่มสะอื้นเบาๆ เป็นเรื่องที่จิตติเกลียดมากเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังคบหากันอยู่ เธอถูกตามใจมากเกินไป เวลาที่ไม่ได้ดั่งใจหรือถูกปฏิเสธก็ไม่อาจเก็บงำความรู้สึกตัวเองไว้ได้แม้แต่น้อย

    ครั้งที่ทั้งสองเริ่มคบกัน จิตติเป็นแพทย์เอ็กซ์เทิร์นปี 5 ส่วนนุ้ยเป็นน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย หลังจิตติจบการศึกษาเขาก็ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่ทำได้เพียงแค่ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และจดหมาย (กรุณาระลึกว่าในทศวรรษที่ 2530 นั้น อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักนอกเสียจากในห้องวิจัย) ครั้งหนึ่งจิตติถึงกับคิดว่าเขาจะวางความรักชั่วกาลไว้กับนุ้ยได้(ซึ่งเขาก็เคยคิดกับสาวๆคนอื่นทุกคนแบบนี้) แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักก็จางหายไปเหมือนทุกครั้ง ความสัมพันธ์สิ้นสุดลงด้วยดีโดยไม่มีปากเสียงใดๆ เหมือนว่ามีบางสิ่งพัดพาความรักลอยหายไปโดยไม่รู้ตัว จิตติตัดสินใจหยุดความรักทางไกลเมื่อเขาตระหนักว่าไม่มีประโยชน์อันใดในการโทรหากันเมื่อไม่สามารถสัมผัสกายของกันและกันได้เช่นตัวจริง คืนหนึ่งในฤดูหนาวกลางกรุงนิวยอร์ก จิตติยกหูโทรศัพท์ขึ้นตัดสัมพันธ์กับนุ้ยโดยใช้บัตรโทรศัพท์ที่เหลือเวลาอยู่แค่ 4 นาที ทั้งคู่ต่างเหนื่อยล้ากับความสัมพันธ์ที่ห่างไกลเกินกว่าจะทนต่อไปได้ และเขาหวังว่าเธอจะเข้าใจ ท้ายที่สุดแล้วนุ้ยก็ตอบกลับมาเพียงว่า “ค่ะ นุ้ยรู้มานานแล้ว จบกันแค่นี้เถอะค่ะ ให้เราเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม” แล้วสายก็ตัดไป

    “พี่จำตอนที่พี่บอกเลิกนุ้ยผ่านโทรศัพท์ได้มั้ยค่ะ”

    “แน่นอน ผมจำได้”

    “แล้วจำว่านุ้ยพูดอะไรออกไปได้มั้ยคะ”

    “คุณก็พูดว่าคุณเข้าใจแล้ว บอกว่าเราเป็นพี่น้องกันได้ และผมก็คิดแบบนั้นตลอดมาถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกก็เถอะ”

    นุ้ยระเบิดหัวเราะออกมา จิตติรู้สึกถึงการเยาะเย้ยในเสียงหัวเราะนั้น เธอมีสิทธิหัวเราะเยาะหยันเพราะเขาไม่ได้หมายความว่าเขาคิดถึงนุ้ยเป็นน้องสาวจริงๆ เขานึกถึงเธอครั้งเดียวตอนที่หวนคิดถึงสมัยยังเรียนที่คณะ แต่ว่าตอนนี้มันก็เป็นแค่ความทรงจำสีเทาจางจากดินแดนแสนไกล

    “อื้อ นุ้ยว่างั้นล่ะ” ในที่สุดเธอก็ควบคุมสติได้ “จริงๆแล้วนุ้ยโกหกทั้งเพ นุ้ยแกล้งทำเป็นแข็งแรงดีทั้งๆที่ไม่จริงเลยสักหน่อย มันเศร้ามากๆจนนุ้ยถึงขั้นพยายามกินยาฆ่าตัวตายเลยนะคะพี่ เดชะบุญที่พ่อแม่นุ้ยพานุ้ยไปล้างท้องไว้ทัน แต่ก็ต้องนอนซมอยู่ในโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ๆแน่ะ นุ้ยคิดว่าพี่คงไม่มีทางรู้หรอกว่านุ้ยน่ะต้องดร็อปเรียนไปปีนึงเต็มๆ เพื่อเข้าบำบัดอาการทางจิต ทุกครั้งที่นุ้ยคิดถึงพี่ก็เอาแต่คิดอยากตาย อาจจะเพราะว่าที่คณะไม่มีใครส่งข่าวให้พี่รู้ แต่จริงๆแล้วนุ้ยก็ว่าพี่เองไม่สนใจเลยเสียมากกว่า ใช่สิ นุ้ยมันคนบ้า บ้าที่อยากให้พี่รู้ว่านุ้ยรักพี่มากขนาดไหน ขนาดที่ถ้าเสียพี่ไปแล้วนุ้ยขอตายซะดีกว่า”

    “แล้วทำไมคุณถึงเงียบไว้ไม่ยอมบอกผม” จิตติคาดคั้น

    “ก็เพราะว่าถึงพี่จะรู้มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรซักหน่อย พี่ก็คงไม่สนใจปล่อยนุ้ยไปอยู่ดี นั่นยิ่งทำให้นุ้ยช้ำใจขึ้นอีก นุ้ยไม่พูดน่ะดีกว่า”

    “ผมไม่ทำแบบนั้นกับคุณหรอก”

    “แล้วถ้ารู้จะเป็นไงล่ะคะ ก็อาจจะรู้สึกผิดแล้วขอนุ้ยแต่งงานเพื่อแสดงความรับผิดชอบตามประเพณี อีกสามปีพอนุ้ยทำอะไรผิดให้พี่ไม่พอใจ หรือนุ้ยมีลูกให้พี่ได้ ค่อยหย่ากันรึยังไง นุ้ยมีสิทธิ์เลือกนี่คะถ้ามองเห็นอนาคตชัดเจนขนาดนั้น”   

    “คุณควรถอนคำพูด เรายังมีงานต้องทำร่วมกันอีกยาว สิ่งที่คุณทำตอนนี้คือดูหมิ่นผมซึ่งหน้า ผมไม่ต้องการให้เราทะเลาะกันเพราะเรื่องไม่เข้าท่าแบบนี้” จิตติเริ่มโมโหแต่ก็เก็บมันไว้ข้างใน เขากำหมัดชื้นเหงื่อแน่นเข้าจนร่างกายสั่น

    “นุ้ยไม่เข้าใจ นุ้ยน่ะต้องเป็นคนคว้ามือพี่มากุมก่อนตอนเราเข้าโรงหนังทุกครั้ง ไหนจะเวลาชวนเที่ยวอีก นุ้ยต้องเริ่มเองทุกอย่างเลย นุ้ยไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงกลัวการถูกรักนักหนา” น้ำตาเอ่อคลอสองตาของเธอ “ขอโทษนะคะที่เอาเรื่องนี้มาพูดอีก ครั้งหน้านุ้ยจะไม่ทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้ นุ้ยต้องไปแล้วล่ะค่ะ ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร” นุ้ยดันตัวผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ วางเงินค่ากาแฟโดยทิ้งแก้วกาแฟที่เหลือเกือบครึ่งไว้ จิตติจ้องมองรอบลิปสติกสีแดงสดที่ขอบแก้วกาแฟ เขาคิดว่านี่คือการบอกเลิกกันอย่างแท้จริงที่เธอต้องการมานานแล้ว จุดจบอย่างโศกนาฏกรรมที่ไม่หลงเหลือสิ่งใดเว้นแต่ร่องรอยของวันวานและการทำลายความหวานชื่นทิ้งไปทั้งหมด อย่างไรก็ดี จิตติคิดว่าเขาไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ในเมื่อเวลาผ่านพ้นไปตั้ง 9 ปีแล้ว

    จิตติตรงกลับบ้าน เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำงานต่อได้ จดจำทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายแม้ว่าไม่ต้องการจะนึกถึงมันอีก แต่เสียงหวานแหลมของนุ้ยหลอกหลอนเขาตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน เขาเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้น ยังต้องทำการ “วิเคราะห์ตนเอง” ที่ยังไม่เสร็จให้จบๆไป แต่แทนที่เขาจะเปิดไฟล์เดิม กลับกดสร้างไฟล์เปล่าขึ้นใหม่แล้วเริ่มพิมพ์

     รักที่แสนเศร้าของฉัน

    ฉันพบเขาครั้งแรกตอนเรียนอยู่ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เขากับฉันอยู่กลุ่มเดียวกันตอนพิธีรับน้อง เขาเป็นคนค่อนข้างเงียบ แต่ว่านั่นทำให้เขาน่าสนใจ ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาน่าคบมากแล้วก็ตกหลุมรักในทันที สี่เดือนต่อมาฉันสารภาพรักกับเขาแล้วเขาก็ตอบว่า “ได้ครับ ก็ดีที่ผู้หญิงดีๆอย่างคุณมาชอบผม ผมคงไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปถ้าได้คุณเป็นแฟน” ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเขาขี้อายมากเลยตอบมาแบบเย็นชา ฉันทุ่มเททุกอย่างให้เขาเพราะกลัวว่าเขาจะเบื่อหน่ายตัวฉัน ฉันรู้ว่าเขาเคยมีแฟนมามากมายแต่เมื่อเราอยู่ด้วยกันเขาก็แสนดีและทำให้ฉันหลงใหลเหลือเกิน ฉันมีอะไรๆกับเขาซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรก ฉันน่ะเหมือนคนตาบอด ไม่เคยรู้สึกเลยว่าแม้ฉันจะให้เขาไปมากเท่าไร มันก็ไม่เพียงพอและเขาก็ไม่เคยพอใจ

    แล้วเขาก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา ปีต่อมาเขาโทรมาบอกเลิกกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไรดีก็เลยบอกไปว่าฉันก็อยากเลิกเหมือนกันทั้งๆที่ใจจริงนั้นเป็นคนละเรื่อง ฉันโกหกเขาไปว่าสบายดี และเขาก็ตัดสายทิ้งไปโดยไม่สนใจไยดีอะไรเลย แล้วฉันก็รู้สึกว่าโลกนี้มันถล่มลงตกหน้า ฉันอยากตาย ฉันอยากตายแล้วตอนนี้

    ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องเริ่มกุมมือเขาก่อนทุกทีเวลาดูหนังด้วยกัน ฉันต้องชวนเขาออกเดตก่อนทุกครั้ง เริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง และทำไมเขาถึงกลัวการถูกรักได้ขนาดนั้น?

    จิตติโพสต์เรื่องนี้ลงกระทู้ใหม่ แล้วออกไปหาอาหารเย็นกินที่รถเข็นชายสี่หมี่เกี๊ยวใกล้อพาร์ตเมนต์ พอกลับมาเขาเช็กกระทู้แล้วก็พบความคิดเห็นตอบมา

    อย่าทิ้งชีวิตตัวเองเพราะผู้ชายพรรค์นั้นสิ!

    ผู้ชายจัญไร! ฉันหวังว่าเขาจะตายศพไม่สวยนะ ไม่รู้ว่าเขามีแม่หรือเปล่า แล้วถ้าแม่หรือลูกสาวของเขาโดนแบบนี้เขาจะคิดยังไง

    คุณคงโง่มากถ้าคิดฆ่าตัวตายจริงๆ

    น้องน่าจะจะไปหาผู้ชายคนนั้นแล้วไปบอกต่อหน้าเค้านะคะว่า ชีวิตของน้องดีขึ้นเมื่อไม่มีเค้ามาข้องเกี่ยว ให้ไอ้คนพรรค์นั้นได้เรียนรู้อะไรบ้าง เค้าควรได้รับโทษอย่างสาสม

    เขาไม่ได้กลัวความรักหรอก เขาก็แค่ไม่รักคุณ อย่ามองเขาในแง่ดีนักเลยแม่สาวน้อย ผมรู้ว่าคุณยังรักเขาอยู่แต่คุณต้องหยุดมันนะ ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าควรแต่ความรักของคุณหรือผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น ผมเสียใจด้วย

    จิตติหัวเราะราวกับคนบ้าเมื่อเขาอ่านกระทู้ เช่นเดียวกับที่เขาคาดหมาย ทุกคนแสดงความใจดีกับสาวน้อยผู้น่าสงสาร เขาไม่สมควรได้รับการให้อภัยใดๆ ไม่แม้แต่จะมีโอกาสแก้ตัว เขาควรไปลงนรกหรือไปตายเสีย และสาวเจ้าควรได้รับสิ่งชดเชยจากสิ่งที่สูญเสียไปจากเขา ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หวาดกลัวความรัก เขาก็แค่ไม่รัก แล้วมีอะไรอีกล่ะ?

    ก็ดี นั่นเป็นความบันเทิงยามค่ำคืนของเขาไม่ใช่หรือ มันดีกว่าการกรีดข้อมือตัวเองด้วยใบมีดโกนเป็นไหนๆ ปล่อยให้ถ้อยคำกรีดแทงจิตใจ และความเจ็บปวดไหลซึมซ่าน ถ้าเขารับรู้และสัมผัสมันได้จริง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×