ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จิตติกับทัตตวา, ผู้ป่วย
3.
จิตติไปที่แผนกกุมารเวชตามคำเชิญในวันต่อมา เพียงเพราะว่าอยากจะหุบปากสามารถให้เงียบๆลงไป เขาคิดไว้ว่าคงจะให้ผู้ป่วยทำแบบทดสอบสักเล็กน้อยและก็ให้คำปรึกษานิดหน่อย ก่อนกลับ เขาไม่สันทัดการปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ ที่จริงคือเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น และไม่คิดอยากมีลุกเพราะเขาเห็นว่าลำพังเขาเองคงไม่สามารถเลี้ยงลูกให้เป็น พลเมืองดีของประเทศไทยได้แน่ๆ
การบำบัดการพูด ไม่ใช่สาขาที่เขาเชี่ยวชาญ เขาประหลาดใจว่าทำไมกุมารจิตแพทย์ไม่ทำเรื่องนี้เอง สาเหตุของความบกพร่องทางการพูดในเด็กมีหลากหลาย ตั้งแต่สมองเสียหาย, ออทิสซึม, สภาพสติปัญญาต่ำกว่าปกติ และการถูกทารุณกรรม เป็นไปได้กับเด็กทุกกลุ่มและสามารถเองก็คงรู้แล้วถึงโยนงานไร้สาระพรรค์นี้ มาให้เพราะขี้เกียจ
จิตติมองกราดผ่านแฟ้มประวัติผู้ป่วย ชื่อของเธอคือทัตตวา สุริยศักดิ์ โบมองต์ พ่อเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ลาว กับแม่ที่เป็นลูกครึ่งไทย-จีน ซึ่งหย่ากันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทัตตวาอาศัยอยู่กับยาย ไม่มีประวัติการถูกทารุณกรรม, ไม่ได้เป็นออทิสติก, ไม่มีประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นพิเศษ และการได้ยินก็เป็นปกติ ยายของเธอไม่ได้พาหลานสาวไปหาแพทย์หรือจิตแพทย์มาก่อนแต่อนุมานได้ว่าเด็ก สาวไม่พูดมากว่าค่อนชีวิต ยายแกคงคิดว่าหลานสาวของตนเป็นปกติดี ก็แค่ไม่พูดแต่ไม่มีอันตรายใดๆต่อคนรอบข้าง หากแต่ฤดูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ทำให้หญิงชราเกรงว่า อาการใบ้ของหลานสาวจะส่งผลต่อผลสอบสัมภาษณ์ คำอธิบายเรื่องนี้ไม่น่าจะยาก – มีคนจำนวนมากไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคนฉลาดกับคนบ้า ถ้าเด็กสาวคนนี้เข้ามหาวิทยาลัยชั้นเลิศได้ จากนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วเพราะคนในมหาวิทยาลัยไม่ใช่พวกปัญญานิ่มหรอก
จิตแพทย์หนุ่มปิดปากหาว เมื่อคืนเขานอนดึกเพราะมัวแต่แต่งเรื่องสำหรับ “การวิเคราะห์ตนเอง” เรื่องคราวนี้ยาวยืดเป็นมหากาพย์(อย่างน้อยเขาก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น) มหากาพย์เรื่องรักโรมานซ์ระหว่างสาวไทยกับนักธุรกิจหนุ่มชาวญี่ปุ่น หนุ่มญี่ปุ่นนั้นทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยอยู่ในกลุ่มไซบัตสึส่วนสาว เจ้าเป็นแค่คนหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย พยายามจะหนีให้พ้นจากชีวิตที่ยากแค้นแสนเข็ญในเมืองไทย ตอนที่พบกันครั้งแรกบนรถไฟสายด่วนที่คนแน่นขนัดกลางมหานครโตเกียว วีซ่านักท่องเที่ยวของเธอก็หมดลงและกำลังกังวลใจกลัวจะถูกเนรเทศกลับ
ขณะเธอวุ่นวายใจอยู่นั้น สายตาก็ปะเหมาะไปประสานเข้ากับหนุ่มนักธุรกิจในชุดสูทที่กำลังอ่านหนังสือ อยู่ ชั่วแวบความคิดนั้น เธออยากจะขายตัวให้ชายญี่ปุ่น ชายฝรั่ง ใครหรืออะไรก็ได้ที่ยอมแต่งงานหลอกๆแล้วให้สิทธิ์อยู่ในญี่ปุ่นต่อไปแก่เธอ เพราะเธอไม่อยากกลับไปสู่ชีวิตยากจนข้นแค้นที่บ้านเกิดอีกแล้ว เธอเคยแต่งงานกับผู้ชายที่กลายเป็นไอ้ขี้เหลาเมาหยำเปคอยทุบคอยถองอยู่ทุก เมื่อเชื่อวัน มีลูกสองคนเป็นสองปากที่ต้องหาเลี้ยง ใครๆก็บอกว่าเมืองไทยนั้นดีหนักหนาแต่เห็นทีเธอจะเชื่อไม่ลง ก็ถ้ามันดีจริงทำไมสาวๆที่หมู่บ้านถึงอยากจะหาผัวฝรั่งกันนักเล่า เธอเองก็คิดเหมือนกันกับสาวๆพวกนั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่ พยายามล่อพวกหนุ่มกลัดมันญี่ปุ่นทุกวิถีทาง เธอมั่นใจว่าเธอสวยและมีเสน่ห์พอด้วยผิวสีน้ำผึ้งกับผมดำยาวสลวย
ชายญี่ปุ่นในชุดสูทคนนั้นยังคงอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเย็นชาตามแบบ ญี่ปุ่น ไม่รับรู้สายตาของเธอเลย เธอจึงลากสังขารให้เข้าไปอยู่ในระยะสายตาของเขาอีกหน คราวนี้ด้วยทิฐิของผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความอยู่รอดในญี่ปุ่น อีกต่อไปแล้ว(จิตติเพิ่มประโยคนี้ลงไปในนาทีสุดท้าย เพราะคิดว่าเรื่องเล่าที่ดีในอินเตอร์เน็ตไม่ควร ผิดศีลธรรม เพราะเหล่าพุทธศาสนิกชนอันแสนดีบนโลกไซเบอร์จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แม้ว่าผู้หญิงที่อยากขายตัวจะมีมากมายจริงๆตามที่จิตติเคยเจอมากับตัวเองก็ เถอะ)
ในที่สุดเธอก็กลับอพาร์ตเมนต์ที่หารกันเช่าอยู่กับเพื่อนคนไทยด้วยความหิว และความหัวใจสลาย สองสามวันต่อมา เธอเป็นลมเพราะความเหนื่อยล้าบนรถด่วนขบวนเดิม เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เจ้าหน้าที่รถไฟตะโกนถามว่าเธอไหวหรือเปล่าด้วยภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ รอบตัวเธอเห็นแต่สีหน้าบึ้งตึงของชาวญี่ปุ่นที่เหมือนจะประณามชาวต่างชาติคน เดียวที่ทำให้รถด่วนทั้งขบวนต้องล่าช้า น้ำตาเธอปริ่มคลอหน่วยและเธอก็อยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆก่อนที่ตำรวจจะพบเธอ เข้า แต่เธอก็ได้เห็นชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นคนนั้นหอบกระเป๋าถือของเธอมาคืนให้ ด้วยใบหน้าที่แม้ยังเย็นชาแต่ก็มีแววตาอบอุ่นแฝงอยู่ข้างใน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องรักกลางกรุงโตเกียว
แน่นอนล่ะว่าเรื่องมันฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่จิตติก็สามารถแปลงมันให้เป็นความจริงได้โดยอาศัยอาคมแห่งถ้อยคำ ตอนนี้เขาอยากจะโละงานการที่กองสุมอยู่ทั้งหมดแล้วไปอยู่ที่ไหนไกลๆสักที่ อาจจะเป็นกระท่อมสวยๆริมชายหาดฝรั่งเศส หรือรีสอร์ทเชิงผาหิมาลัยที่ไม่มีใครเอื้อมมือถึงเขาได้ไม่ว่าจะด้วย เทคโนโลยีชนิดไหน เขาคงจะมีความสุขที่ได้แต่งเรื่องทั้งหมดลงบนกระดาษ ขอแค่ตอนนี้เขารีบจัดการงานให้เสร็จแล้วเดินเข้าไปในห้องผู้อำนวยการ ยื่นจดหมายลาพักร้อน แล้วออกท่องโลกเท่านั้นเอง
แพทย์จากแผนกกุมารเวชพาเขาเข้าไปในห้องตรวจโดยไม่พูดอะไรสักคำเกี่ยวกับ ผู้ป่วยกรณีนี้อย่างที่ควรพูด นอกจากว่าผู้ป่วยจะเข้ามาเร็วๆนี้แล้วกล่าวขอตัวออกไป
เหลือจิตติอยู่ในห้องเปล่าเพียงคนเดียว ความคิดของเขาก็ว่างเปล่า มีเพียงเสียงจากมอเตอร์ไซค์กับเสียงแตรรถเมล์จากนอกหน้าต่างเสียดแทรกเข้ามา จิตติกวาดตามองโปสเตอร์รูปยีราฟบนผนัง ครั้งสุดท้ายที่เขามาแผนกผู้ป่วยเด็กก็เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เป็นกรณีเด็กชายที่มีอาการสมาธิสั้น ซึ่งผู้ปกครองไม่ยอมรับว่าลูกจองตัวเองจะสมาธิสั้นจริงและต้องการความคิด เห็นที่สอง แถมยังขู่จะฟ้องหมอที่กล่าวหาว่าลูกชายของตัวเองป่วย ดังนั้นนายแพทย์หนุ่มหน้าใหม่ที่มีดีกรีพะติดตัวสูงลิบลิ่วจากสหรัฐอเมริกา จึงต้องรับหน้าเสื่อเรื่องนี้ จิตติบอกผู้ปกครองว่าลูกชายของพวกคุณเป็นเด็กธรรมดาไม่ได้ป่วย เป็นเพียงกลุ่มอาการที่สามารถรักษาได้ เขาใช้ศัพท์แสงทางการแพทย์ที่พ่อแม่ของเด็กไม่มีทางเข้าใจนอกจากจะเออออห่อ หมกคล้อยตามไปเป็นฉากๆ พวกน้นเชื่อสนิททันทีที่เขาอธิบายจบ เขารู้สึกเวทนาเพื่อนหมอด้วยกัน(และตัวเขาเอง) ที่ต้องมาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ เขาสงสัยเหลือเกินว่าถ้าทนายความเจอคดีไร้สาระแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร คงจะน่าเบื่อแต่ใครล่ะจะปฏิเสธเงิน? และในกรณีของแพทย์เช่นจิตติ จริยธรรมและจรรยาบรรณก็เป็นปัจจัยเสริม
ประตูที่เปิดออกให้เห็นนางพยาบาลที่พาทัตตวาเข้ามา พยาบาลบอกให้ทัตตวานั่งลงและกระซิบให้เธอทำความเคารพคุณหมอ แต่ไม่มีการตอบรับ จนกระทั่งพยาบาลแทบต้องตะโกนบอก ครั้งนี้นางพยาบาลประสบความสำเร็จ ทัตตวาไหว้จิตติด้วยท่าทีไร้มารยาทแต่จิตติเองก็ไม่ถือเรื่องแบบนี้ เขาคิดว่าเขาคงต้องรับมือกับลูกคนรวยที่ถูกตามใจจนเสียคน
ด้วยสายเลือดฝรั่งเศส, ลาว และจีนผสมผสาน ผิวของทัตตวาขาวผ่องตลอดทั้งใบหน้าและลำตัวจนเหมือนเด็กฝรั่ง อาจจะซีดไปสักหน่อยแต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอเรียวเหมือนชาวเอเชีย จิตติเปิดรายงานผู้ป่วยอ่านอีกครั้งแล้วพิสูจน์ให้มั่นใจว่าเขาเข้าใจเพศของ คนตรงหน้าไม่ผิด แน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิงแต่สิ่งที่จิตติเห็นตรงหน้า คือเด็กชายในชุดฟุตบอลทีมชาติเยอรมันแขนยาวกรอมข้อมือ แทบจะสังเกตไม่เห็นลักษณะความเป็นเพศหญิงเลย ถ้ามีคนเดินผ่านเธอไป คงต้องหันกลับมามองแล้วสงสัยว่าเธอเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ผมดำซอยเทสั้นปลายงอนนิดหน่อยยิ่งทำให้เธอดูเป็นชายมากขึ้น แต่ผิวสิกลับละเอียดนวลอย่างที่ไม่มีทางจะพบได้ในผู้ชาย จิตติตะลึงงันกับเด็กสาวที่ดูราวกับภาพจิตรกรรมเทวดายุโรปที่นั่งอยู่ตรง หน้า ถ้าเธอเป็นผู้ชายก็คงเป็นเด็กชายที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ แต่นี่เธอเป็นผู้หญิง และก็เป็นเด็กสาวที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเหมือนกัน
ร่างกายผอมแห้งจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกดูคล้ายว่ากำลังเป็นโรคขาดสาร อาหารระยะต้น ริมฝีปากของทัตตวาเผยอออกเล็กน้อยเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับจิตติ ดวงตาไร้ชีวิตชีวาแต่ในขณะเดียวกันก็ดูแปลกประหลาดที่สุด เต็มไปด้วยปัญหาและความสงสัย วิธีมองนั้นก็ดูคล้ายทารกแรกเกิดที่เกรงกลัวสิ่งผิดปกติทั้งหลายนอกครรภ์ มารดา เหมือนแววตาของนักสืบที่ใช้เวลาค้นหาความจริงจากพยาน สายตานั้นสร้างความตึงเครียดขึ้นมาได้ภายในชั่ววินาที
จิตติพบว่าเขาเองจ้องเขม็งที่ทัตตวาจนเขาต้องเบนสายตาออก รู้สึกอับอายเพราะเด็กสาวคนนี้มีอะไรบางอย่างที่กระตุ้นสัญชาตญาณช่างสงสัย ของนักวิทยาศาสตร์ให้ครอบงำสติของเขา จิตติหยิบปากกาขึ้นมาช้าๆและเริ่มการสอบถาม
“ช่วยเล่าถึงตัวเองให้หมอฟังหน่อยสิครับ”
ไม่มีคำตอบ เด็กสาวแค่จ้องมองจิตตินิ่งๆ
“ชื่อ, อายุ, โรงเรียน, แล้วก็งานอดิเรก อืม อะไรก็ได้น่ะ”
อีกครั้งที่ไม่มีคำตอบ แต่คราวนี้ทัตตวาเบนสายตาไปที่แฟ้มประวัติ ท่าทางของเธอสื่อประมาณว่า “อ่านเอาในรายงานสิ ไอ้ทึ่ม” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ป่วยแกล้งยียวนเขา แต่จิตติรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเด็กสาวไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เขาเลื่อนแว่นให้เข้าที่ เป็นกริยาที่เขามักทำเสมอเมื่อเขาต้องการรวบรวมสมาธิ จิตติลองถามคำถามอีกห้าหกคำถามโดยใช้ภาษาเรียบง่ายที่สุด แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
“ผมชื่อจิตติ เป็นหมอ หน้าที่ของหมอคือฟังน้อง ถ้าน้องมีปัญหาอะไรก็เปิดอกคุยกับหมอได้นะ” จิตติรู้สึกเหมือนพูดกับกำแพงเปล่า แต่เขาก็ยังดำเนินบทบาทต่อไป
“ยายของน้องให้น้องมาที่นี่เพราะเป็นห่วงนะ หมอหวังว่าน้องจะเข้าใจ และถ้ามีอะไรกลัวหรือกังวลก็บอกหมอมาได้ โอเคมั้ย? ไม่ต้องอายนะ”
ยังไม่มีเสียงหลุดออกมาจากปากของทัตตวาแม้สักคำ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอาการที่เด็กสาวเป็นคืออะไร เธออดทนที่จะไม่ตอบสนองได้อย่างไร การแสวงหาการยอมรับเป็นสัญชาตญานของมนุษย์ โดยเฉพาะกับเด็ก นี่เป็นปัญหาความผิดปกติทางการเข้าสังคมเสียแล้ว เธอเป็นออทิสซึ่มแน่นอนแม้ว่าทฤษฎีสายหลักอ้างว่ากลุ่มอาการออทิสติกเกิดจาก ความบกพร่องทางกายภาพ แต่เขาคิดว่าบางกรณีก็อาจเกิดขึ้นได้จากการเลี้ยงดูทารกที่ผิดพลาดหรือบาด แผลในใจของมารดา การหย่าร้างของพ่อแม่ของทัตตวานำไปสู่สมมติฐานได้มากมาย
จิตติเริ่มเสียใจที่ถลำเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ ถึงแม้เขาจะเคยโน้มน้าวเหล่าญาติๆที่เมินเฉยมาหลายครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะจรดปากการะบุว่าทัตตวาเป็นออทิสซึมลงไปในรายงาน แวบความคิดหนึ่งเตือนเขาว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่แพทย์คนอื่นจะไม่รู้ เรื่องนี้? ไม่น่าจะใช่หรอก อย่างน้อยเขาก็เชื่อเพื่อนของเขาว่าสามารถคงไม่ไร้สมองขนาดนั้น เขาลองเขียนคำถามลงบนกระดาษรายงาน เลือกเฉพาะคำถามสำคัญส่งให้เด็กสาว นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทัตตวารับกระดาษไปแล้วขีดๆเขียนๆส่งๆอยู่สัก 10 นาทีก็เสร็จ
คำตอบของเธอมีดังนี้
แนะนำตัวเอง
ฉันชื่อทัตตวา เกิดวันที่ 24 ธันวาคม 2533 เรียนอยู่ชั้น ม.4 สายวิทย์-คณิต
งานอดิเรกคือ
อ่านหนังสือ, ดูฟุตบอล
อนาคตอยากเป็นอะไร
ทนายความ
ช่วยเล่าเรื่องครอบครัว
พ่อแม่ของฉันหย่ากันตั้งแต่ 3 ขวบ ตอนนี้อยู่กับยาย
เจอพ่อแม่บ่อยไหม
ไม่เลย พ่อของฉันอยู่ที่ฝรั่งเศส และแม่ก็อยู่ไหนไม่รู้ ไม่ได้ข่าวมานานแล้ว
เศร้าไหมที่รู้ว่าพ่อแม่หย่าร้างกัน
ไม่เศร้าสักนิด เรื่องนี้ไม่มีความหมายอะไรเลยกับฉัน ทำไมฉันต้องไปสนใจด้วยในเมื่อทั้งคู่หย่ากันตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก
อยู่กับยายดีหรือเปล่า
ฉันก็ไม่มีครอบครัวไหนจะให้เปรียบเทียบนี่ งั้นฉันก็คงชอบแหละ
ถ้าให้บรรยายบุคลิกของตัวเอง
ไม่แน่ใจเท่าไร คิดว่าเป็นคนขี้อายและก็คงหาคนเข้าใจตัวฉันได้ยาก
เคยถูกกีดกันออกจากสังคมไหม? รู้สึกแปลกแยกบ้างหรือเปล่า?
คิดว่าคงเป็นตอนช่วงเด็กๆ เพราะสีผิวและหน้าของฉัน แต่ฉันไม่สนหรอก พวกโง่เง่าทั้งนั้น ฉันอยู่คนเดียวได้ล่ะน่า
ตอนนี้รู้สึกอย่างไร
ไม่ชอบโรงพยาบาล เกลียดกลิ่นของมันมาก กลิ่นยาทำให้ฉันเวียนหัว
มีอะไรต้องการบอกหรือเปล่า
ฉันไม่ได้ป่วย ปล่อยฉันออกไปสักทีสิ
จิตติอ่านข้อความด้วยความตื่นเต้นจนเหงื่อไหลชุ่มฝ่ามือ ถ้าเด็กสาวเป็นออทิสซึมจริงๆ คำตอบต้องแตกต่างไปจากนี้ คำถามเกี่ยวกับครอบครัว หรือความรู้สึก ณ ปัจจุบันต้องพิสดารพันลึกหรือไม่ก็ไม่มีคำตอบเอาเสียเลย นี่เป็นคำตอบที่คนปกติทั่วไปเขาตอบกันโดยแท้ เห็นได้ว่าเบื้องหลังนัยน์ตาไร้อารมณ์นั่นเต็มไปด้วยแรงปะทุของความโกรธ เป็นคำตอบจากเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ขาดความมั่นใจในตัวเองและขาดความรักของครอบครัว แต่ทำไมเด็กสาวจึงยังเงียบนิ่งอยู่ได้? ทำไมเธอสื่อสารกับผู้คนด้วยวิธีการแบบนี้? ทำไมเธอไม่ร้องตะโกนคลุ้มคลั่งเพื่อระบายความอัดอั้นออกมาตามแบบของเด็กที่ ถูกทารุณกรรมเป็น? มันต้องมีเหตุผลที่เขาต้องค้นหาต่อไป สถานการณ์ชักจะตึงมือจนเขาคาดคะเนไม่ได้ หัวใจจิตติเต้นแรงเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ
เด็กสาวจ้องทะลุเข้าไปในดวงตาของเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นส่งคำซ้ำไปซ้ำมา สายตาที่มิอาจมีใครเพิกเฉยไปได้
ฉันไม่ชอบโรงพยาบาล ฉันไม่ชอบกลิ่นของมัน กลิ่นยาทำให้ฉันเวียนหัวสุดจะทน
ฉันไม่ได้ป่วย ปล่อยฉันไปสักที
เวลาเที่ยงตรงแล้ว และการตรวจวันนี้ก็ควรต้องสิ้นสุด จิตติกดปุ่มเรียกนางพยาบาลมารับตัวทัตตวาออกไปแต่เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ใน ห้อง เขาไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนแต่ก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจที่ส่งเขามาพบกับชั่วโมง มหัศจรรย์นี้ เส้นเลือดของจิตติเต้นตุบทั่วทั้งตัวจนไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ อะไรกันหนอที่ชักพาเด็กสาวให้มาพบกับเขา ถ้าเขาเจอตัวอย่างวิจัยพิเศษๆแบบนี้ ความเบื่อหน่ายเหลือทนคงถูกลบล้างออกไปจนหมดสิ้น เขารอมันมาแสนนานเหลือเกิน
เมื่อจิตติออกจากห้อง จิตแพทย์ประจำตัวทัตตวารุดเข้ามาหาเพื่อขอความคิดเห็น แล้วก็ต้องประหลาดใจหนักขึ้นที่พบว่าจิตติขอร้องให้ย้ายทัตตวาเข้ามาอยู่ภาย ใต้การดูแลเป็นพิเศษของตนเอง
เขาคิดว่าคำร้องนี้คงได้รับอนุมัติในไม่ช้า
จิตติไปที่แผนกกุมารเวชตามคำเชิญในวันต่อมา เพียงเพราะว่าอยากจะหุบปากสามารถให้เงียบๆลงไป เขาคิดไว้ว่าคงจะให้ผู้ป่วยทำแบบทดสอบสักเล็กน้อยและก็ให้คำปรึกษานิดหน่อย ก่อนกลับ เขาไม่สันทัดการปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ ที่จริงคือเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น และไม่คิดอยากมีลุกเพราะเขาเห็นว่าลำพังเขาเองคงไม่สามารถเลี้ยงลูกให้เป็น พลเมืองดีของประเทศไทยได้แน่ๆ
การบำบัดการพูด ไม่ใช่สาขาที่เขาเชี่ยวชาญ เขาประหลาดใจว่าทำไมกุมารจิตแพทย์ไม่ทำเรื่องนี้เอง สาเหตุของความบกพร่องทางการพูดในเด็กมีหลากหลาย ตั้งแต่สมองเสียหาย, ออทิสซึม, สภาพสติปัญญาต่ำกว่าปกติ และการถูกทารุณกรรม เป็นไปได้กับเด็กทุกกลุ่มและสามารถเองก็คงรู้แล้วถึงโยนงานไร้สาระพรรค์นี้ มาให้เพราะขี้เกียจ
จิตติมองกราดผ่านแฟ้มประวัติผู้ป่วย ชื่อของเธอคือทัตตวา สุริยศักดิ์ โบมองต์ พ่อเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ลาว กับแม่ที่เป็นลูกครึ่งไทย-จีน ซึ่งหย่ากันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทัตตวาอาศัยอยู่กับยาย ไม่มีประวัติการถูกทารุณกรรม, ไม่ได้เป็นออทิสติก, ไม่มีประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นพิเศษ และการได้ยินก็เป็นปกติ ยายของเธอไม่ได้พาหลานสาวไปหาแพทย์หรือจิตแพทย์มาก่อนแต่อนุมานได้ว่าเด็ก สาวไม่พูดมากว่าค่อนชีวิต ยายแกคงคิดว่าหลานสาวของตนเป็นปกติดี ก็แค่ไม่พูดแต่ไม่มีอันตรายใดๆต่อคนรอบข้าง หากแต่ฤดูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ทำให้หญิงชราเกรงว่า อาการใบ้ของหลานสาวจะส่งผลต่อผลสอบสัมภาษณ์ คำอธิบายเรื่องนี้ไม่น่าจะยาก – มีคนจำนวนมากไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคนฉลาดกับคนบ้า ถ้าเด็กสาวคนนี้เข้ามหาวิทยาลัยชั้นเลิศได้ จากนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วเพราะคนในมหาวิทยาลัยไม่ใช่พวกปัญญานิ่มหรอก
จิตแพทย์หนุ่มปิดปากหาว เมื่อคืนเขานอนดึกเพราะมัวแต่แต่งเรื่องสำหรับ “การวิเคราะห์ตนเอง” เรื่องคราวนี้ยาวยืดเป็นมหากาพย์(อย่างน้อยเขาก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น) มหากาพย์เรื่องรักโรมานซ์ระหว่างสาวไทยกับนักธุรกิจหนุ่มชาวญี่ปุ่น หนุ่มญี่ปุ่นนั้นทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยอยู่ในกลุ่มไซบัตสึส่วนสาว เจ้าเป็นแค่คนหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย พยายามจะหนีให้พ้นจากชีวิตที่ยากแค้นแสนเข็ญในเมืองไทย ตอนที่พบกันครั้งแรกบนรถไฟสายด่วนที่คนแน่นขนัดกลางมหานครโตเกียว วีซ่านักท่องเที่ยวของเธอก็หมดลงและกำลังกังวลใจกลัวจะถูกเนรเทศกลับ
ขณะเธอวุ่นวายใจอยู่นั้น สายตาก็ปะเหมาะไปประสานเข้ากับหนุ่มนักธุรกิจในชุดสูทที่กำลังอ่านหนังสือ อยู่ ชั่วแวบความคิดนั้น เธออยากจะขายตัวให้ชายญี่ปุ่น ชายฝรั่ง ใครหรืออะไรก็ได้ที่ยอมแต่งงานหลอกๆแล้วให้สิทธิ์อยู่ในญี่ปุ่นต่อไปแก่เธอ เพราะเธอไม่อยากกลับไปสู่ชีวิตยากจนข้นแค้นที่บ้านเกิดอีกแล้ว เธอเคยแต่งงานกับผู้ชายที่กลายเป็นไอ้ขี้เหลาเมาหยำเปคอยทุบคอยถองอยู่ทุก เมื่อเชื่อวัน มีลูกสองคนเป็นสองปากที่ต้องหาเลี้ยง ใครๆก็บอกว่าเมืองไทยนั้นดีหนักหนาแต่เห็นทีเธอจะเชื่อไม่ลง ก็ถ้ามันดีจริงทำไมสาวๆที่หมู่บ้านถึงอยากจะหาผัวฝรั่งกันนักเล่า เธอเองก็คิดเหมือนกันกับสาวๆพวกนั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่ พยายามล่อพวกหนุ่มกลัดมันญี่ปุ่นทุกวิถีทาง เธอมั่นใจว่าเธอสวยและมีเสน่ห์พอด้วยผิวสีน้ำผึ้งกับผมดำยาวสลวย
ชายญี่ปุ่นในชุดสูทคนนั้นยังคงอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเย็นชาตามแบบ ญี่ปุ่น ไม่รับรู้สายตาของเธอเลย เธอจึงลากสังขารให้เข้าไปอยู่ในระยะสายตาของเขาอีกหน คราวนี้ด้วยทิฐิของผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความอยู่รอดในญี่ปุ่น อีกต่อไปแล้ว(จิตติเพิ่มประโยคนี้ลงไปในนาทีสุดท้าย เพราะคิดว่าเรื่องเล่าที่ดีในอินเตอร์เน็ตไม่ควร ผิดศีลธรรม เพราะเหล่าพุทธศาสนิกชนอันแสนดีบนโลกไซเบอร์จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แม้ว่าผู้หญิงที่อยากขายตัวจะมีมากมายจริงๆตามที่จิตติเคยเจอมากับตัวเองก็ เถอะ)
ในที่สุดเธอก็กลับอพาร์ตเมนต์ที่หารกันเช่าอยู่กับเพื่อนคนไทยด้วยความหิว และความหัวใจสลาย สองสามวันต่อมา เธอเป็นลมเพราะความเหนื่อยล้าบนรถด่วนขบวนเดิม เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เจ้าหน้าที่รถไฟตะโกนถามว่าเธอไหวหรือเปล่าด้วยภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ รอบตัวเธอเห็นแต่สีหน้าบึ้งตึงของชาวญี่ปุ่นที่เหมือนจะประณามชาวต่างชาติคน เดียวที่ทำให้รถด่วนทั้งขบวนต้องล่าช้า น้ำตาเธอปริ่มคลอหน่วยและเธอก็อยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆก่อนที่ตำรวจจะพบเธอ เข้า แต่เธอก็ได้เห็นชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นคนนั้นหอบกระเป๋าถือของเธอมาคืนให้ ด้วยใบหน้าที่แม้ยังเย็นชาแต่ก็มีแววตาอบอุ่นแฝงอยู่ข้างใน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องรักกลางกรุงโตเกียว
แน่นอนล่ะว่าเรื่องมันฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่จิตติก็สามารถแปลงมันให้เป็นความจริงได้โดยอาศัยอาคมแห่งถ้อยคำ ตอนนี้เขาอยากจะโละงานการที่กองสุมอยู่ทั้งหมดแล้วไปอยู่ที่ไหนไกลๆสักที่ อาจจะเป็นกระท่อมสวยๆริมชายหาดฝรั่งเศส หรือรีสอร์ทเชิงผาหิมาลัยที่ไม่มีใครเอื้อมมือถึงเขาได้ไม่ว่าจะด้วย เทคโนโลยีชนิดไหน เขาคงจะมีความสุขที่ได้แต่งเรื่องทั้งหมดลงบนกระดาษ ขอแค่ตอนนี้เขารีบจัดการงานให้เสร็จแล้วเดินเข้าไปในห้องผู้อำนวยการ ยื่นจดหมายลาพักร้อน แล้วออกท่องโลกเท่านั้นเอง
แพทย์จากแผนกกุมารเวชพาเขาเข้าไปในห้องตรวจโดยไม่พูดอะไรสักคำเกี่ยวกับ ผู้ป่วยกรณีนี้อย่างที่ควรพูด นอกจากว่าผู้ป่วยจะเข้ามาเร็วๆนี้แล้วกล่าวขอตัวออกไป
เหลือจิตติอยู่ในห้องเปล่าเพียงคนเดียว ความคิดของเขาก็ว่างเปล่า มีเพียงเสียงจากมอเตอร์ไซค์กับเสียงแตรรถเมล์จากนอกหน้าต่างเสียดแทรกเข้ามา จิตติกวาดตามองโปสเตอร์รูปยีราฟบนผนัง ครั้งสุดท้ายที่เขามาแผนกผู้ป่วยเด็กก็เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เป็นกรณีเด็กชายที่มีอาการสมาธิสั้น ซึ่งผู้ปกครองไม่ยอมรับว่าลูกจองตัวเองจะสมาธิสั้นจริงและต้องการความคิด เห็นที่สอง แถมยังขู่จะฟ้องหมอที่กล่าวหาว่าลูกชายของตัวเองป่วย ดังนั้นนายแพทย์หนุ่มหน้าใหม่ที่มีดีกรีพะติดตัวสูงลิบลิ่วจากสหรัฐอเมริกา จึงต้องรับหน้าเสื่อเรื่องนี้ จิตติบอกผู้ปกครองว่าลูกชายของพวกคุณเป็นเด็กธรรมดาไม่ได้ป่วย เป็นเพียงกลุ่มอาการที่สามารถรักษาได้ เขาใช้ศัพท์แสงทางการแพทย์ที่พ่อแม่ของเด็กไม่มีทางเข้าใจนอกจากจะเออออห่อ หมกคล้อยตามไปเป็นฉากๆ พวกน้นเชื่อสนิททันทีที่เขาอธิบายจบ เขารู้สึกเวทนาเพื่อนหมอด้วยกัน(และตัวเขาเอง) ที่ต้องมาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ เขาสงสัยเหลือเกินว่าถ้าทนายความเจอคดีไร้สาระแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร คงจะน่าเบื่อแต่ใครล่ะจะปฏิเสธเงิน? และในกรณีของแพทย์เช่นจิตติ จริยธรรมและจรรยาบรรณก็เป็นปัจจัยเสริม
ประตูที่เปิดออกให้เห็นนางพยาบาลที่พาทัตตวาเข้ามา พยาบาลบอกให้ทัตตวานั่งลงและกระซิบให้เธอทำความเคารพคุณหมอ แต่ไม่มีการตอบรับ จนกระทั่งพยาบาลแทบต้องตะโกนบอก ครั้งนี้นางพยาบาลประสบความสำเร็จ ทัตตวาไหว้จิตติด้วยท่าทีไร้มารยาทแต่จิตติเองก็ไม่ถือเรื่องแบบนี้ เขาคิดว่าเขาคงต้องรับมือกับลูกคนรวยที่ถูกตามใจจนเสียคน
ด้วยสายเลือดฝรั่งเศส, ลาว และจีนผสมผสาน ผิวของทัตตวาขาวผ่องตลอดทั้งใบหน้าและลำตัวจนเหมือนเด็กฝรั่ง อาจจะซีดไปสักหน่อยแต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอเรียวเหมือนชาวเอเชีย จิตติเปิดรายงานผู้ป่วยอ่านอีกครั้งแล้วพิสูจน์ให้มั่นใจว่าเขาเข้าใจเพศของ คนตรงหน้าไม่ผิด แน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิงแต่สิ่งที่จิตติเห็นตรงหน้า คือเด็กชายในชุดฟุตบอลทีมชาติเยอรมันแขนยาวกรอมข้อมือ แทบจะสังเกตไม่เห็นลักษณะความเป็นเพศหญิงเลย ถ้ามีคนเดินผ่านเธอไป คงต้องหันกลับมามองแล้วสงสัยว่าเธอเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ผมดำซอยเทสั้นปลายงอนนิดหน่อยยิ่งทำให้เธอดูเป็นชายมากขึ้น แต่ผิวสิกลับละเอียดนวลอย่างที่ไม่มีทางจะพบได้ในผู้ชาย จิตติตะลึงงันกับเด็กสาวที่ดูราวกับภาพจิตรกรรมเทวดายุโรปที่นั่งอยู่ตรง หน้า ถ้าเธอเป็นผู้ชายก็คงเป็นเด็กชายที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ แต่นี่เธอเป็นผู้หญิง และก็เป็นเด็กสาวที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเหมือนกัน
ร่างกายผอมแห้งจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกดูคล้ายว่ากำลังเป็นโรคขาดสาร อาหารระยะต้น ริมฝีปากของทัตตวาเผยอออกเล็กน้อยเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับจิตติ ดวงตาไร้ชีวิตชีวาแต่ในขณะเดียวกันก็ดูแปลกประหลาดที่สุด เต็มไปด้วยปัญหาและความสงสัย วิธีมองนั้นก็ดูคล้ายทารกแรกเกิดที่เกรงกลัวสิ่งผิดปกติทั้งหลายนอกครรภ์ มารดา เหมือนแววตาของนักสืบที่ใช้เวลาค้นหาความจริงจากพยาน สายตานั้นสร้างความตึงเครียดขึ้นมาได้ภายในชั่ววินาที
จิตติพบว่าเขาเองจ้องเขม็งที่ทัตตวาจนเขาต้องเบนสายตาออก รู้สึกอับอายเพราะเด็กสาวคนนี้มีอะไรบางอย่างที่กระตุ้นสัญชาตญาณช่างสงสัย ของนักวิทยาศาสตร์ให้ครอบงำสติของเขา จิตติหยิบปากกาขึ้นมาช้าๆและเริ่มการสอบถาม
“ช่วยเล่าถึงตัวเองให้หมอฟังหน่อยสิครับ”
ไม่มีคำตอบ เด็กสาวแค่จ้องมองจิตตินิ่งๆ
“ชื่อ, อายุ, โรงเรียน, แล้วก็งานอดิเรก อืม อะไรก็ได้น่ะ”
อีกครั้งที่ไม่มีคำตอบ แต่คราวนี้ทัตตวาเบนสายตาไปที่แฟ้มประวัติ ท่าทางของเธอสื่อประมาณว่า “อ่านเอาในรายงานสิ ไอ้ทึ่ม” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ป่วยแกล้งยียวนเขา แต่จิตติรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเด็กสาวไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เขาเลื่อนแว่นให้เข้าที่ เป็นกริยาที่เขามักทำเสมอเมื่อเขาต้องการรวบรวมสมาธิ จิตติลองถามคำถามอีกห้าหกคำถามโดยใช้ภาษาเรียบง่ายที่สุด แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
“ผมชื่อจิตติ เป็นหมอ หน้าที่ของหมอคือฟังน้อง ถ้าน้องมีปัญหาอะไรก็เปิดอกคุยกับหมอได้นะ” จิตติรู้สึกเหมือนพูดกับกำแพงเปล่า แต่เขาก็ยังดำเนินบทบาทต่อไป
“ยายของน้องให้น้องมาที่นี่เพราะเป็นห่วงนะ หมอหวังว่าน้องจะเข้าใจ และถ้ามีอะไรกลัวหรือกังวลก็บอกหมอมาได้ โอเคมั้ย? ไม่ต้องอายนะ”
ยังไม่มีเสียงหลุดออกมาจากปากของทัตตวาแม้สักคำ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอาการที่เด็กสาวเป็นคืออะไร เธออดทนที่จะไม่ตอบสนองได้อย่างไร การแสวงหาการยอมรับเป็นสัญชาตญานของมนุษย์ โดยเฉพาะกับเด็ก นี่เป็นปัญหาความผิดปกติทางการเข้าสังคมเสียแล้ว เธอเป็นออทิสซึ่มแน่นอนแม้ว่าทฤษฎีสายหลักอ้างว่ากลุ่มอาการออทิสติกเกิดจาก ความบกพร่องทางกายภาพ แต่เขาคิดว่าบางกรณีก็อาจเกิดขึ้นได้จากการเลี้ยงดูทารกที่ผิดพลาดหรือบาด แผลในใจของมารดา การหย่าร้างของพ่อแม่ของทัตตวานำไปสู่สมมติฐานได้มากมาย
จิตติเริ่มเสียใจที่ถลำเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ ถึงแม้เขาจะเคยโน้มน้าวเหล่าญาติๆที่เมินเฉยมาหลายครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะจรดปากการะบุว่าทัตตวาเป็นออทิสซึมลงไปในรายงาน แวบความคิดหนึ่งเตือนเขาว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่แพทย์คนอื่นจะไม่รู้ เรื่องนี้? ไม่น่าจะใช่หรอก อย่างน้อยเขาก็เชื่อเพื่อนของเขาว่าสามารถคงไม่ไร้สมองขนาดนั้น เขาลองเขียนคำถามลงบนกระดาษรายงาน เลือกเฉพาะคำถามสำคัญส่งให้เด็กสาว นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทัตตวารับกระดาษไปแล้วขีดๆเขียนๆส่งๆอยู่สัก 10 นาทีก็เสร็จ
คำตอบของเธอมีดังนี้
แนะนำตัวเอง
ฉันชื่อทัตตวา เกิดวันที่ 24 ธันวาคม 2533 เรียนอยู่ชั้น ม.4 สายวิทย์-คณิต
งานอดิเรกคือ
อ่านหนังสือ, ดูฟุตบอล
อนาคตอยากเป็นอะไร
ทนายความ
ช่วยเล่าเรื่องครอบครัว
พ่อแม่ของฉันหย่ากันตั้งแต่ 3 ขวบ ตอนนี้อยู่กับยาย
เจอพ่อแม่บ่อยไหม
ไม่เลย พ่อของฉันอยู่ที่ฝรั่งเศส และแม่ก็อยู่ไหนไม่รู้ ไม่ได้ข่าวมานานแล้ว
เศร้าไหมที่รู้ว่าพ่อแม่หย่าร้างกัน
ไม่เศร้าสักนิด เรื่องนี้ไม่มีความหมายอะไรเลยกับฉัน ทำไมฉันต้องไปสนใจด้วยในเมื่อทั้งคู่หย่ากันตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก
อยู่กับยายดีหรือเปล่า
ฉันก็ไม่มีครอบครัวไหนจะให้เปรียบเทียบนี่ งั้นฉันก็คงชอบแหละ
ถ้าให้บรรยายบุคลิกของตัวเอง
ไม่แน่ใจเท่าไร คิดว่าเป็นคนขี้อายและก็คงหาคนเข้าใจตัวฉันได้ยาก
เคยถูกกีดกันออกจากสังคมไหม? รู้สึกแปลกแยกบ้างหรือเปล่า?
คิดว่าคงเป็นตอนช่วงเด็กๆ เพราะสีผิวและหน้าของฉัน แต่ฉันไม่สนหรอก พวกโง่เง่าทั้งนั้น ฉันอยู่คนเดียวได้ล่ะน่า
ตอนนี้รู้สึกอย่างไร
ไม่ชอบโรงพยาบาล เกลียดกลิ่นของมันมาก กลิ่นยาทำให้ฉันเวียนหัว
มีอะไรต้องการบอกหรือเปล่า
ฉันไม่ได้ป่วย ปล่อยฉันออกไปสักทีสิ
จิตติอ่านข้อความด้วยความตื่นเต้นจนเหงื่อไหลชุ่มฝ่ามือ ถ้าเด็กสาวเป็นออทิสซึมจริงๆ คำตอบต้องแตกต่างไปจากนี้ คำถามเกี่ยวกับครอบครัว หรือความรู้สึก ณ ปัจจุบันต้องพิสดารพันลึกหรือไม่ก็ไม่มีคำตอบเอาเสียเลย นี่เป็นคำตอบที่คนปกติทั่วไปเขาตอบกันโดยแท้ เห็นได้ว่าเบื้องหลังนัยน์ตาไร้อารมณ์นั่นเต็มไปด้วยแรงปะทุของความโกรธ เป็นคำตอบจากเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ขาดความมั่นใจในตัวเองและขาดความรักของครอบครัว แต่ทำไมเด็กสาวจึงยังเงียบนิ่งอยู่ได้? ทำไมเธอสื่อสารกับผู้คนด้วยวิธีการแบบนี้? ทำไมเธอไม่ร้องตะโกนคลุ้มคลั่งเพื่อระบายความอัดอั้นออกมาตามแบบของเด็กที่ ถูกทารุณกรรมเป็น? มันต้องมีเหตุผลที่เขาต้องค้นหาต่อไป สถานการณ์ชักจะตึงมือจนเขาคาดคะเนไม่ได้ หัวใจจิตติเต้นแรงเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ
เด็กสาวจ้องทะลุเข้าไปในดวงตาของเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นส่งคำซ้ำไปซ้ำมา สายตาที่มิอาจมีใครเพิกเฉยไปได้
ฉันไม่ชอบโรงพยาบาล ฉันไม่ชอบกลิ่นของมัน กลิ่นยาทำให้ฉันเวียนหัวสุดจะทน
ฉันไม่ได้ป่วย ปล่อยฉันไปสักที
เวลาเที่ยงตรงแล้ว และการตรวจวันนี้ก็ควรต้องสิ้นสุด จิตติกดปุ่มเรียกนางพยาบาลมารับตัวทัตตวาออกไปแต่เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ใน ห้อง เขาไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนแต่ก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจที่ส่งเขามาพบกับชั่วโมง มหัศจรรย์นี้ เส้นเลือดของจิตติเต้นตุบทั่วทั้งตัวจนไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ อะไรกันหนอที่ชักพาเด็กสาวให้มาพบกับเขา ถ้าเขาเจอตัวอย่างวิจัยพิเศษๆแบบนี้ ความเบื่อหน่ายเหลือทนคงถูกลบล้างออกไปจนหมดสิ้น เขารอมันมาแสนนานเหลือเกิน
เมื่อจิตติออกจากห้อง จิตแพทย์ประจำตัวทัตตวารุดเข้ามาหาเพื่อขอความคิดเห็น แล้วก็ต้องประหลาดใจหนักขึ้นที่พบว่าจิตติขอร้องให้ย้ายทัตตวาเข้ามาอยู่ภาย ใต้การดูแลเป็นพิเศษของตนเอง
เขาคิดว่าคำร้องนี้คงได้รับอนุมัติในไม่ช้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น