ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จิตติกับสามารถ เพื่อนสนิทของเขา
2.....
ผู้ป่วยรายแรกวันนี้ เป็นชายวัย 56 ปี มีอาการภาพหลอนจากสารเสพติดและแอลกอฮอล์ จิตตินั่งตรงหน้าผู้ป่วยที่จ้องตาจิตแพทย์หนุ่มแล้วระเบิดโทสะออกมาด้วย สำเนียงทองแดง
“หมอ พ้มไหม่ได้บ้านา ไอ่พวกนั้นยัดพ้มมาเพราะหวังสมบัติพ้มตะห้าก มั้นพรั่นพรื้อนะหมอนา”
จิตติงงอยู่สักครู่หนึ่งกับภาษาปักษ์ใต้ แต่พอเข้าใจอารมณ์ได้จากน้ำเสียง “ใจเย็นๆนะครับคุณลุง หมอรู้ว่าคุณลุงไม่ได้บ้า หมอเชื่อทุกเรื่องที่คุณลุงเล่ามานะครับ ตอนนี้หมออยากจะถามอะไรคุณลุงสักหน่อย แค่สองสามเรื่องเท่านั้นแหละก็เสร็จแล้วหมอก็จะเขียนรายงานดีๆให้นะครับ” ปกติการตรวจจะเริ่มขึ้นด้วยการการพูดคุยเพื่อสร้างความเชื่อใจระหว่างแพทย์ กับผู้ป่วย จิตติวางปากกาแล้วถามชายชราถึงเรื่องราวของเขาเองตั้งแต่เริ่มต้น
ผู้ป่วยเริ่มเล่าประวัติชีวิตของตัวเอง เขาเกิดที่นครศรีธรรมราช เป็นชาวประมงอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมต่อสู้ปกป้องอธิปไตยของชาติจากทหารญี่ปุ่น “พวกยุ่นบรรลัยหนั่นมั้นคว้าซามูไรออกมา แต่พ้มไวกว่าแรง พ้มได้รักษ้าบ่านเมืองพ้ม ในหลวงทรงพระเจริญ!” ชายชราตะโกนเสียงดังลั่นห้องตรวจ แต่เหตุดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมเมื่อไทยเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา กับญี่ปุ่น เขาต้องหนีอาญาแผ่นดินออกทะเลด้วยเรือประมงลำน้อย ร่อนเร่ไปทั่วทั้งอ่าวไทย ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยปลาดิบๆที่ตกจากท้องทะเล วันหนึ่งเมื่อใกล้จะอดตายเต็มที เขาเหลือบเห็นแสงทองอร่ามฉายส่องมาจากทางขอบฟ้า เขาคัดท้ายเรือไปหาแสงนั้นและได้พบกับซากเรือสำเภาจีนโบราณที่บรรทุกขุม สมบัติทั้งทองคำและทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ เขาขึ้นฝั่งพร้อมกับทรัพย์สินมหาศาลที่ทำให้กลายเป็นมหาเศรษฐีในทันใด เขาแต่งงานกับสาวงามที่ร่ำลือกันว่าสวยที่สุดในทั่วทั้งหัวเมืองปักษ์ใต้ ผู้ป่วยยังเล่าต่อไปถึงชาติก่อนที่เป็นทหารเสือคู่ใจพระเจ้าตากสินมหาราช เขากลับชาติมาเกิดใต้เบื้องพระยุคลบาทพระมหากษัตริย์ เพื่อคอยปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริราชศัตรูทุกชาติไป เพราะไทยเป็นแผ่นดินทองขององค์ราชันย์ “ถ้าหมั้นคนไหน้จะมายึด ต้องข้ามศพไอ่กระพ้มไปก่อน” เขาโอ่ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ
เรื่องอีกทางหนึ่งจากคำบอกเล่าของครอบครัวผู้ป่วยมีดังนี้ : จริงอยู่ว่าผู้ป่วยเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ไม่ได้เกิดในช่วงการรุกรานของญี่ปุ่น(หมายความว่าผู้ป่วยเองก็จำอายุตัว เองไม่ได้เสียแล้ว) เขาแต่งงานตั้งแต่อายุ 19 กับสาวท้องถิ่น ซึ่งแยกทางกันในเวลาต่อมา จากนั้นจึงเริ่มธุรกิจยางพาราและร่ำรวยขึ้นมาได้ เขาแต่งงานอีกหนจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้หลังภรรยาเสียชีวิตและธุรกิจยาง ล้มเหลวลงเพราะการฉ้อโกงของญาติสนิท เขาหันเหความเศร้าโศกเข้าหาสุราและยาเสพติดเต็มตัว สองปีก่อนเขาเริ่มเพ้อถึงขุมสมบัติและอดีตชาติของเขา ครอบครัวเห็นว่าเขาคงไม่เป็นอันตรายจึงไม่พาเขามาพบแพทย์จนกระทั่งเขาจู่ เข้าทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นจนเป็นข่าวใหญ่ขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้เอง
จิตติพยักหน้าน้อยๆขณะรับฟัง บ้างก็กล่าวเสริมไปว่า “จริงเหรอครับ” “คุณลุงกล้าจริงๆนะครับ” “ลูกชายคุณลุงคงภูมิใจมากสิครับ” “อ๋อ ผมก็ไม่ค่อยชอบพวกฝรั่งนักหรอกครับ สมัยผมอยู่อเมริกาก็ถูกทำอะไรแย่ๆประจำ” “แล้วพระเจ้าตากสินท่านทรงทำอะไรบนสวรรค์อยู่ครับ” เขาแสร้งทำเป็นฟังเรื่องทั้งหมด ก่อนจะจรดปากกาลงชาร์ตแล้วเขียนลงไปเป็นภาษาอังกฤษว่า “Delusion of Grandeur”
ความทรงจำของชายชราปะติดปะต่อขึ้นมาจากละครโทรทัศน์ ผสมผเสกับประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่ถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างยาวนาน นี่ถ้าจิตติไม่ได้เป็นจิตแพทย์ การฟังเรื่องพรรค์นี้คงเพียงพอที่จะทำให้เขาบ้าได้ แต่ด้วยเหตุแห่งวิชาชีพที่ปฏิบัติต่อเนื่องมาหลายปี เรื่องบ้าๆพวกนี้ก็ไม่เลวนัก อย่างน้อยเขาก็นำไปใช้ในการ “วิเคราะห์ตนเอง” ได้อย่างเพียงพอ
ในที่สุดชายชราก็เล่าจบ จิตติกล่าวขอบคุณแล้วเดินพาผู้ป่วยเข้าไปพักที่วอร์ด(ตอนที่เดินไปด้วยกัน เขาก็รับฟังวีรกรรมโลดโผนกลางสมรภูมิยุคต้นรัตนโกสินทร์ในอดีตชาติไปพลาง) ก่อนจะจากกัน ชายชรายิ้มยินดีก่อนกล่าวลา และพร่ำคำชื่นชมเสียถึงขนาดว่าจิตติเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมเชื่อเรื่องของ เขา
“อย่าให้ลุงคนนี้พบกับญาติๆสักระยะนะครับ อาการจิตหลอนยังรุนแรงอยู่มาก ช่วยให้ยาระงับประสาทเป็นระยะในกรณีที่ลุงแกแตกตื่น แต่อย่าให้ยาซ้ำติดต่อกันเพราะลุงเขามีอาการพิษสุราเรื้อรังอาจจะเสพติดยา ระงับประสาทได้ง่าย” จิตติสำทับต่อกันเพราะลุงเขามีอาการพิษสุราเรื้อรังอาจจะเสพติดยาระงับ ประสาทได้ง่าย” จิตติสำทับกับนางพยาบาลสาวประจำวอร์ด
“เอางั้นเลยเหรอคะคุณหมอ เข้าใจแล้วค่ะ” พยาบาลสาวรับคำ
“แล้วน้องอย่าลังเลล่ะ ถ้าเห็นท่าผิดปกติให้เรียกน้ารปภ. หรือตำรวจมาทันทีได้เลย ผู้ป่วยคนนี้หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นทหารเสือพระเจ้าตาก เขาอาจคิดว่าน้องเป็นสายลับพม่าก็ได้” ถึงแม้ว่าจิตติไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เป็นเรื่องตลก เขาไม่อยากว่าร้ายผู้ป่วยในเชิงเหยียดชาติพันธุ์ แต่นางพยาบาลสูงวัยหน่อยที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะกิ๊ก แถมพยาบาลสาวตรงหน้าของเขาก็มีสีหน้าเรื่อแดงขึ้นมาเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ อยู่ พยาบาลสาวหันกลับไปดึงลิ้นชักโต๊ะของตัวเองแล้วหยิบเอากล่องของฝากขึ้นมาให้ จิตติ
“คุณหมอคะ นี่ของฝากเล็กๆน้อยๆจากบ้านฉันค่ะ เป็นท็อฟฟี่มะพร้าวน่ะค่ะ” เธอโปรยยิ้มหวานแบบสาวชนบทไร้เดียงสา จิตติยิ้มน้อยๆให้พยาบาลสาวแล้วรับกล่องลูกอมนั้นมา เขาสังเกตว่าใบหน้าของพยาบาลคนนั้นเจือด้วยสีแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม
ถึงเวลาพักกลางวัน จิตติคิดว่าเขาคงจะหาอะไรกินแถวๆโรงอาหารของโรงพยาบาลสักหน่อย ระหว่างทางที่เขากำลังเดินไปโรงอาหารนั้นเอง มีชายคนหนึ่งเดินตามหลังมาติดๆ คนๆนั้นคือสามารถ ชายร่างอวบที่มีผิวออกคล้ำ ผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทของเขา
“บ๊ะ ไอ้เพื่อนยาก! ข้าเห็นนะว่าหล่อนกำลังทอดสะพานให้แกอยู่ สะพานทองโรยกลีบกุหลาบเชียวนาเว้ย”
“ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นซักหน่อย เธอก็แค่เอามาให้ชั้นเพราะว่าเป็นหัวหน้าเท่านั้นแหละ” จิตติไว้ท่าสักหน่อย
“เฮ้ย นั่นแหละน่า แม่สาวคนนั้นทำงานกับข้ามาตั้งนาน ไม่ยักเคยหอบอะไรมาให้เลยซักกะอย่าง”
“ไอ้มาด แกนี่เริ่มเพ้ออีกแล้ว” จิตติยังคงเรียกเพื่อนของเขาด้วยชื่อเก่า สามารถเปลี่ยนชื่อของตัวเองที่ดูโบราณคร่ำครึเมื่ออายุเข้า 20 ปี ตอนบรรลุนิติภาวะพอที่จะทำนิติกรรมได้โดยไม่ต้องขอฉันทานุมัติจากผู้ปกครอง ชื่อใหม่ของสามารถนั้นยาวยืดและสะกดยากจนจิตติไม่คิดจะใส่ใจจำ
“ถ้าข้าเป็นแก เนื้อหอมขนาดนี้นี่น้า ข้าจะหาเมียดีๆสักคนแล้วก็ลูกสักโหล รึว่าแกไม่ชอบสาวๆวะ” สามารถให้ความเห็นจากมุมมองของคนที่มีครอบครัวแล้ว ที่จริงเขาเองก็สงสัยรสนิยมทางเพศของเพื่อนสนิทเพราะเห็นว่าจิตติแทบไม่แสดง ความสนใจในเพศตรงข้ามเอาเสียเลย
“ชั้นชอบผู้หญิงน่า ผู้หญิงก็ไม่มีอะไรเสียตรงไหนนี่”
“นี่เรอะวิธีพูดของแก –ผู้หญิงไม่มีอะไรเสียตรงไหน?- คิดได้ไงวะนั่น ข้าเชื่อไม่ลงจริงๆว่ะ”
“แกก็รู้ว่าชั้นต้องทำงาน ตอนนี้ไม่มีเวลามาพูดเรื่องหาครอบครัวหรอก”
แม้ว่าสามารถจะคิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของจิตติตั้งแต่สมัย มัธยมปลาย แต่รอบตัวจิตติก็เต็มไปด้วยปริศนาลับดำมืดมากมายที่สามารถไม่สามารถมองทะลุ เข้าไปเห็นได้ ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ก็เช่น เขาไม่เคยเห็นจิตติในชุดลำลองเลย ไม่ว่าจะเป็นโอกาสสบายๆขนาดไหนก็ตาม จิตติก็จะสวมชุดอย่างเนี้ยบดึงดูดสายตาผู้คนเสมอจนสาวๆหลงกันหัวสักหัวคว่ำ ตั้งแต่สมัยอยู่มหาวิทยาลัยแล้วที่จิตติเลือกคบสาวๆได้ไล่ตั้งแต่อัศวินี แห่งปราสาทแดงวิศวะยันเทพีแห่งอักษราเทวาลัย จนหนุ่มๆทั่วมหาลัยเตรียมจะดักตีหัวได้ทุกเมื่อ แต่จิตติก็คบสาวคนไหนไม่ยืดเกินหกเดือนเลยสักคน บางคราวสามารถก็ถามจิตติด้วยสงสัยว่าสาวคนล่าไปไหนแล้ว คำตอบก็จะเป็นประมาณว่า “ไม่รู้สิ บางทีเธอคงอยู่กับใครอีกสักคนล่ะมั้ง อาจจะเป็นหนุ่มคนใหม่ก็ได้” ด้วยสีหนาและน้ำเสียงที่ไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ครั้งหนึ่งตอนสังสรรค์ในวงเหล้ากันกับกลุ่มเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งโพล่งถามขึ้นมาถึงสาเหตุที่เขาเลิกคบกับดาวคณะอักษรฯ เขาตอบกลับทันทีว่าเพราะเจ้าหล่อนดันไม่รู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ว่าเป็นใคร แถมยังได้คะแนนสอบเอ็นทรานซ์วิชาภาษาอังกฤษน้อยกว่าเขาอีกต่างหาก(จิตติได้ คะแนน 98 จาก 100) ทุกคนนึกว่าเป็นมุกขำขันเลยหัวเราะลั่น แต่สามารถรู้ดีว่านั่นไม่ใช่มุกตลกใดๆทั้งสิ้น จิตติเป็นผู้ชายที่คบกับสาวคนไหนก็ได้ตามต้องการแล้วก็พร้อมจะทิ้งไปในชั่ว พริบตา ด้วยเหตุผลพิลึกพิลั่นจนเกินคนธรรมดาจะเข้าใจไหว
จิตติไม่ใช่พวกเจ้าชู้ไก่แจ้ หรือนักรักมหาเสน่ห์ ความรักไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เขาจัดระดับความสนใจ ความหลงใหลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าชิ้นงานวิจัย เจ้าเพื่อนบ้างานนี่ไม่เคยแม้แต่จะพูดถึงเรื่องความรักในระหว่างบทสนทนา มีแต่งาน งาน และงาน บ้างก็เป็นปรัชญาจากนักคิดตะวันตกเท่านั้นที่หลุดออกมาจากปาก ในส่วนที่เขาคิดว่าอ่อนโยนของเจ้าเพื่อนคนนี้คือเรื่องประหลาดที่จิตติชอบเพ ลงของเบเกอรี่มิวสิค โดยเฉพาะนักร้องจากค่ายโดโจ ซิตี้ เป็นอันดับหนึ่ง(ซึ่งจิตติปิดเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิดไม่บอกใครยกเว้นกับ เพื่อนสนิทของเขา แน่นอนว่าถึงคนอื่นจะรู้เข้าก็คงทำใจเชื่อได้ลำบากอยู่ดีว่า จิตแพทย์หนุ่มคนดังจะหลงใหลวงไอดอลแบบ ไทรอัมพ์ คิงดอม หรือ นีซ) ถึงอย่างไรก็ตาม จิตติก็เป็นบุรุษอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยต้น 30 ที่ไม่รู้จักความรักอยู่ดี
หลังอาหารกลางวัน สามารถอยากเดินย่อยอาหารสักหน่อยก่อนจะเริ่มงานในช่วงบ่าย แต่จิตติหันกลับไปห้องทำงานเพื่อตรวจดูแฟ้มประวัติผู้ป่วยต่อ สามารถรู้สึกผิดนิดๆแต่ก็ปัดมันทิ้งลงไปอย่างว่องไว
“แกมีหวังได้ไปนอนอยู่บนเตียงข้างๆกันกับคนไข้แหงๆว่ะ ไอ้เพื่อนยาก ถ้าแกยังทำงานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้”
“ดีนี่ แกช่วยจัดยาให้ชั้นด้วยก็แล้วกัน ชั้นไว้ใจแกนะ”
คำแซวที่แฝงความปรารถนาดีของเขาไร้ผลโดยสิ้นเชิง สามารถตระหนักได้ในชั่วขณะนั้นว่าคำปรึกษาของจิตแพทย์คนไหนก็ช่วยเหลือ เพื่อนของเขาคนนี้ไม่ได้อีกแล้วเพราะจิตติรู้ทันเสียหมด เขาถอนหายใจแต่ทำทีเหมือนกับว่ากำลังหาว ทันใดนั้นความคิดดีๆก็พุ่งโลดออกมาจากสมอง เขารู้ว่าเรื่องนี้ดูไม่เข้าท่าแต่คนอย่างจิตติที่ไม่เคยฟังอะไรเขาเลยน่าจะ เจอบทเรียนอะไรแบบนี้เสียบ้าง แถมถ้าเขาโยนเรื่องนี้ให้พ้นตัวได้ก็จะมีเวลากลับไปอยู่กับลูกเมียเพิ่มขึ้น อีกโข ก็ไอ้เพื่อนของเขาที่อยู่ตรงหน้านี่มันบอกเองนี่นะว่าไม่อยากมีครอบครัว โยนๆเรื่องนี้ให้มันไปจะเป็นไรไปเล่า? เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วคว้าเอาแฟ้มสีน้ำตาลขนาดใหญ่ออกมา
“กรณีนี้มาจากแผนกกุมารเวช รุ่นน้องส่งมาให้ข้าสักพักแล้วแต่ไม่มีเวลาดูเลย ถ้าแกบอกว่าแกอยากหาตัวอย่างผู้ป่วยที่น่าสนใจ ลองมาเอาไปดูมั้ยล่ะ?”
“เป็นเรื่องยังไงล่ะนั่น หืม?”
“เด็กมีปัญหาการพูดน่ะ”
“ก็ให้พวกหมอเด็กดูไปละกัน ไม่ใช่งานของเราสักหน่อย”
“โฮ่ นี่ไม่ธรรมดานา ถ้ากรณีนี้มันง่ายขนาดนั้นพวกนั้นจะส่งมาให้เราหาพระแสงอะไรล่ะวะ พวกหมอๆอย่างเราเนี่ยมีอัตตาสูงลิบลิ่วกันทุกคน แกก็รู้ดีนี่หว่า”
จิตติเริ่มรู้สึกรำคาญ เขาวางมือจากแฟ้มงานแล้วจ้องหน้า รอให้สามารถคุยโวเสร็จ
“เด็กมีปัญหาการพูด ไม่ได้เป็นออทิสติก ไม่ได้หูหนวก ไม่มีความพิการทางร่างกาย ตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นใด แถมเรียนได้คะแนนสูงสุดในโรงเรียนอีกต่างหาก แกว่าไงล่ะทีนี้?”...
ผู้ป่วยรายแรกวันนี้ เป็นชายวัย 56 ปี มีอาการภาพหลอนจากสารเสพติดและแอลกอฮอล์ จิตตินั่งตรงหน้าผู้ป่วยที่จ้องตาจิตแพทย์หนุ่มแล้วระเบิดโทสะออกมาด้วย สำเนียงทองแดง
“หมอ พ้มไหม่ได้บ้านา ไอ่พวกนั้นยัดพ้มมาเพราะหวังสมบัติพ้มตะห้าก มั้นพรั่นพรื้อนะหมอนา”
จิตติงงอยู่สักครู่หนึ่งกับภาษาปักษ์ใต้ แต่พอเข้าใจอารมณ์ได้จากน้ำเสียง “ใจเย็นๆนะครับคุณลุง หมอรู้ว่าคุณลุงไม่ได้บ้า หมอเชื่อทุกเรื่องที่คุณลุงเล่ามานะครับ ตอนนี้หมออยากจะถามอะไรคุณลุงสักหน่อย แค่สองสามเรื่องเท่านั้นแหละก็เสร็จแล้วหมอก็จะเขียนรายงานดีๆให้นะครับ” ปกติการตรวจจะเริ่มขึ้นด้วยการการพูดคุยเพื่อสร้างความเชื่อใจระหว่างแพทย์ กับผู้ป่วย จิตติวางปากกาแล้วถามชายชราถึงเรื่องราวของเขาเองตั้งแต่เริ่มต้น
ผู้ป่วยเริ่มเล่าประวัติชีวิตของตัวเอง เขาเกิดที่นครศรีธรรมราช เป็นชาวประมงอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมต่อสู้ปกป้องอธิปไตยของชาติจากทหารญี่ปุ่น “พวกยุ่นบรรลัยหนั่นมั้นคว้าซามูไรออกมา แต่พ้มไวกว่าแรง พ้มได้รักษ้าบ่านเมืองพ้ม ในหลวงทรงพระเจริญ!” ชายชราตะโกนเสียงดังลั่นห้องตรวจ แต่เหตุดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมเมื่อไทยเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา กับญี่ปุ่น เขาต้องหนีอาญาแผ่นดินออกทะเลด้วยเรือประมงลำน้อย ร่อนเร่ไปทั่วทั้งอ่าวไทย ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยปลาดิบๆที่ตกจากท้องทะเล วันหนึ่งเมื่อใกล้จะอดตายเต็มที เขาเหลือบเห็นแสงทองอร่ามฉายส่องมาจากทางขอบฟ้า เขาคัดท้ายเรือไปหาแสงนั้นและได้พบกับซากเรือสำเภาจีนโบราณที่บรรทุกขุม สมบัติทั้งทองคำและทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ เขาขึ้นฝั่งพร้อมกับทรัพย์สินมหาศาลที่ทำให้กลายเป็นมหาเศรษฐีในทันใด เขาแต่งงานกับสาวงามที่ร่ำลือกันว่าสวยที่สุดในทั่วทั้งหัวเมืองปักษ์ใต้ ผู้ป่วยยังเล่าต่อไปถึงชาติก่อนที่เป็นทหารเสือคู่ใจพระเจ้าตากสินมหาราช เขากลับชาติมาเกิดใต้เบื้องพระยุคลบาทพระมหากษัตริย์ เพื่อคอยปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริราชศัตรูทุกชาติไป เพราะไทยเป็นแผ่นดินทองขององค์ราชันย์ “ถ้าหมั้นคนไหน้จะมายึด ต้องข้ามศพไอ่กระพ้มไปก่อน” เขาโอ่ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ
เรื่องอีกทางหนึ่งจากคำบอกเล่าของครอบครัวผู้ป่วยมีดังนี้ : จริงอยู่ว่าผู้ป่วยเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ไม่ได้เกิดในช่วงการรุกรานของญี่ปุ่น(หมายความว่าผู้ป่วยเองก็จำอายุตัว เองไม่ได้เสียแล้ว) เขาแต่งงานตั้งแต่อายุ 19 กับสาวท้องถิ่น ซึ่งแยกทางกันในเวลาต่อมา จากนั้นจึงเริ่มธุรกิจยางพาราและร่ำรวยขึ้นมาได้ เขาแต่งงานอีกหนจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้หลังภรรยาเสียชีวิตและธุรกิจยาง ล้มเหลวลงเพราะการฉ้อโกงของญาติสนิท เขาหันเหความเศร้าโศกเข้าหาสุราและยาเสพติดเต็มตัว สองปีก่อนเขาเริ่มเพ้อถึงขุมสมบัติและอดีตชาติของเขา ครอบครัวเห็นว่าเขาคงไม่เป็นอันตรายจึงไม่พาเขามาพบแพทย์จนกระทั่งเขาจู่ เข้าทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นจนเป็นข่าวใหญ่ขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้เอง
จิตติพยักหน้าน้อยๆขณะรับฟัง บ้างก็กล่าวเสริมไปว่า “จริงเหรอครับ” “คุณลุงกล้าจริงๆนะครับ” “ลูกชายคุณลุงคงภูมิใจมากสิครับ” “อ๋อ ผมก็ไม่ค่อยชอบพวกฝรั่งนักหรอกครับ สมัยผมอยู่อเมริกาก็ถูกทำอะไรแย่ๆประจำ” “แล้วพระเจ้าตากสินท่านทรงทำอะไรบนสวรรค์อยู่ครับ” เขาแสร้งทำเป็นฟังเรื่องทั้งหมด ก่อนจะจรดปากกาลงชาร์ตแล้วเขียนลงไปเป็นภาษาอังกฤษว่า “Delusion of Grandeur”
ความทรงจำของชายชราปะติดปะต่อขึ้นมาจากละครโทรทัศน์ ผสมผเสกับประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่ถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างยาวนาน นี่ถ้าจิตติไม่ได้เป็นจิตแพทย์ การฟังเรื่องพรรค์นี้คงเพียงพอที่จะทำให้เขาบ้าได้ แต่ด้วยเหตุแห่งวิชาชีพที่ปฏิบัติต่อเนื่องมาหลายปี เรื่องบ้าๆพวกนี้ก็ไม่เลวนัก อย่างน้อยเขาก็นำไปใช้ในการ “วิเคราะห์ตนเอง” ได้อย่างเพียงพอ
ในที่สุดชายชราก็เล่าจบ จิตติกล่าวขอบคุณแล้วเดินพาผู้ป่วยเข้าไปพักที่วอร์ด(ตอนที่เดินไปด้วยกัน เขาก็รับฟังวีรกรรมโลดโผนกลางสมรภูมิยุคต้นรัตนโกสินทร์ในอดีตชาติไปพลาง) ก่อนจะจากกัน ชายชรายิ้มยินดีก่อนกล่าวลา และพร่ำคำชื่นชมเสียถึงขนาดว่าจิตติเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมเชื่อเรื่องของ เขา
“อย่าให้ลุงคนนี้พบกับญาติๆสักระยะนะครับ อาการจิตหลอนยังรุนแรงอยู่มาก ช่วยให้ยาระงับประสาทเป็นระยะในกรณีที่ลุงแกแตกตื่น แต่อย่าให้ยาซ้ำติดต่อกันเพราะลุงเขามีอาการพิษสุราเรื้อรังอาจจะเสพติดยา ระงับประสาทได้ง่าย” จิตติสำทับต่อกันเพราะลุงเขามีอาการพิษสุราเรื้อรังอาจจะเสพติดยาระงับ ประสาทได้ง่าย” จิตติสำทับกับนางพยาบาลสาวประจำวอร์ด
“เอางั้นเลยเหรอคะคุณหมอ เข้าใจแล้วค่ะ” พยาบาลสาวรับคำ
“แล้วน้องอย่าลังเลล่ะ ถ้าเห็นท่าผิดปกติให้เรียกน้ารปภ. หรือตำรวจมาทันทีได้เลย ผู้ป่วยคนนี้หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นทหารเสือพระเจ้าตาก เขาอาจคิดว่าน้องเป็นสายลับพม่าก็ได้” ถึงแม้ว่าจิตติไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เป็นเรื่องตลก เขาไม่อยากว่าร้ายผู้ป่วยในเชิงเหยียดชาติพันธุ์ แต่นางพยาบาลสูงวัยหน่อยที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะกิ๊ก แถมพยาบาลสาวตรงหน้าของเขาก็มีสีหน้าเรื่อแดงขึ้นมาเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ อยู่ พยาบาลสาวหันกลับไปดึงลิ้นชักโต๊ะของตัวเองแล้วหยิบเอากล่องของฝากขึ้นมาให้ จิตติ
“คุณหมอคะ นี่ของฝากเล็กๆน้อยๆจากบ้านฉันค่ะ เป็นท็อฟฟี่มะพร้าวน่ะค่ะ” เธอโปรยยิ้มหวานแบบสาวชนบทไร้เดียงสา จิตติยิ้มน้อยๆให้พยาบาลสาวแล้วรับกล่องลูกอมนั้นมา เขาสังเกตว่าใบหน้าของพยาบาลคนนั้นเจือด้วยสีแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม
ถึงเวลาพักกลางวัน จิตติคิดว่าเขาคงจะหาอะไรกินแถวๆโรงอาหารของโรงพยาบาลสักหน่อย ระหว่างทางที่เขากำลังเดินไปโรงอาหารนั้นเอง มีชายคนหนึ่งเดินตามหลังมาติดๆ คนๆนั้นคือสามารถ ชายร่างอวบที่มีผิวออกคล้ำ ผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทของเขา
“บ๊ะ ไอ้เพื่อนยาก! ข้าเห็นนะว่าหล่อนกำลังทอดสะพานให้แกอยู่ สะพานทองโรยกลีบกุหลาบเชียวนาเว้ย”
“ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นซักหน่อย เธอก็แค่เอามาให้ชั้นเพราะว่าเป็นหัวหน้าเท่านั้นแหละ” จิตติไว้ท่าสักหน่อย
“เฮ้ย นั่นแหละน่า แม่สาวคนนั้นทำงานกับข้ามาตั้งนาน ไม่ยักเคยหอบอะไรมาให้เลยซักกะอย่าง”
“ไอ้มาด แกนี่เริ่มเพ้ออีกแล้ว” จิตติยังคงเรียกเพื่อนของเขาด้วยชื่อเก่า สามารถเปลี่ยนชื่อของตัวเองที่ดูโบราณคร่ำครึเมื่ออายุเข้า 20 ปี ตอนบรรลุนิติภาวะพอที่จะทำนิติกรรมได้โดยไม่ต้องขอฉันทานุมัติจากผู้ปกครอง ชื่อใหม่ของสามารถนั้นยาวยืดและสะกดยากจนจิตติไม่คิดจะใส่ใจจำ
“ถ้าข้าเป็นแก เนื้อหอมขนาดนี้นี่น้า ข้าจะหาเมียดีๆสักคนแล้วก็ลูกสักโหล รึว่าแกไม่ชอบสาวๆวะ” สามารถให้ความเห็นจากมุมมองของคนที่มีครอบครัวแล้ว ที่จริงเขาเองก็สงสัยรสนิยมทางเพศของเพื่อนสนิทเพราะเห็นว่าจิตติแทบไม่แสดง ความสนใจในเพศตรงข้ามเอาเสียเลย
“ชั้นชอบผู้หญิงน่า ผู้หญิงก็ไม่มีอะไรเสียตรงไหนนี่”
“นี่เรอะวิธีพูดของแก –ผู้หญิงไม่มีอะไรเสียตรงไหน?- คิดได้ไงวะนั่น ข้าเชื่อไม่ลงจริงๆว่ะ”
“แกก็รู้ว่าชั้นต้องทำงาน ตอนนี้ไม่มีเวลามาพูดเรื่องหาครอบครัวหรอก”
แม้ว่าสามารถจะคิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของจิตติตั้งแต่สมัย มัธยมปลาย แต่รอบตัวจิตติก็เต็มไปด้วยปริศนาลับดำมืดมากมายที่สามารถไม่สามารถมองทะลุ เข้าไปเห็นได้ ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ก็เช่น เขาไม่เคยเห็นจิตติในชุดลำลองเลย ไม่ว่าจะเป็นโอกาสสบายๆขนาดไหนก็ตาม จิตติก็จะสวมชุดอย่างเนี้ยบดึงดูดสายตาผู้คนเสมอจนสาวๆหลงกันหัวสักหัวคว่ำ ตั้งแต่สมัยอยู่มหาวิทยาลัยแล้วที่จิตติเลือกคบสาวๆได้ไล่ตั้งแต่อัศวินี แห่งปราสาทแดงวิศวะยันเทพีแห่งอักษราเทวาลัย จนหนุ่มๆทั่วมหาลัยเตรียมจะดักตีหัวได้ทุกเมื่อ แต่จิตติก็คบสาวคนไหนไม่ยืดเกินหกเดือนเลยสักคน บางคราวสามารถก็ถามจิตติด้วยสงสัยว่าสาวคนล่าไปไหนแล้ว คำตอบก็จะเป็นประมาณว่า “ไม่รู้สิ บางทีเธอคงอยู่กับใครอีกสักคนล่ะมั้ง อาจจะเป็นหนุ่มคนใหม่ก็ได้” ด้วยสีหนาและน้ำเสียงที่ไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ครั้งหนึ่งตอนสังสรรค์ในวงเหล้ากันกับกลุ่มเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งโพล่งถามขึ้นมาถึงสาเหตุที่เขาเลิกคบกับดาวคณะอักษรฯ เขาตอบกลับทันทีว่าเพราะเจ้าหล่อนดันไม่รู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ว่าเป็นใคร แถมยังได้คะแนนสอบเอ็นทรานซ์วิชาภาษาอังกฤษน้อยกว่าเขาอีกต่างหาก(จิตติได้ คะแนน 98 จาก 100) ทุกคนนึกว่าเป็นมุกขำขันเลยหัวเราะลั่น แต่สามารถรู้ดีว่านั่นไม่ใช่มุกตลกใดๆทั้งสิ้น จิตติเป็นผู้ชายที่คบกับสาวคนไหนก็ได้ตามต้องการแล้วก็พร้อมจะทิ้งไปในชั่ว พริบตา ด้วยเหตุผลพิลึกพิลั่นจนเกินคนธรรมดาจะเข้าใจไหว
จิตติไม่ใช่พวกเจ้าชู้ไก่แจ้ หรือนักรักมหาเสน่ห์ ความรักไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เขาจัดระดับความสนใจ ความหลงใหลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าชิ้นงานวิจัย เจ้าเพื่อนบ้างานนี่ไม่เคยแม้แต่จะพูดถึงเรื่องความรักในระหว่างบทสนทนา มีแต่งาน งาน และงาน บ้างก็เป็นปรัชญาจากนักคิดตะวันตกเท่านั้นที่หลุดออกมาจากปาก ในส่วนที่เขาคิดว่าอ่อนโยนของเจ้าเพื่อนคนนี้คือเรื่องประหลาดที่จิตติชอบเพ ลงของเบเกอรี่มิวสิค โดยเฉพาะนักร้องจากค่ายโดโจ ซิตี้ เป็นอันดับหนึ่ง(ซึ่งจิตติปิดเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิดไม่บอกใครยกเว้นกับ เพื่อนสนิทของเขา แน่นอนว่าถึงคนอื่นจะรู้เข้าก็คงทำใจเชื่อได้ลำบากอยู่ดีว่า จิตแพทย์หนุ่มคนดังจะหลงใหลวงไอดอลแบบ ไทรอัมพ์ คิงดอม หรือ นีซ) ถึงอย่างไรก็ตาม จิตติก็เป็นบุรุษอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยต้น 30 ที่ไม่รู้จักความรักอยู่ดี
หลังอาหารกลางวัน สามารถอยากเดินย่อยอาหารสักหน่อยก่อนจะเริ่มงานในช่วงบ่าย แต่จิตติหันกลับไปห้องทำงานเพื่อตรวจดูแฟ้มประวัติผู้ป่วยต่อ สามารถรู้สึกผิดนิดๆแต่ก็ปัดมันทิ้งลงไปอย่างว่องไว
“แกมีหวังได้ไปนอนอยู่บนเตียงข้างๆกันกับคนไข้แหงๆว่ะ ไอ้เพื่อนยาก ถ้าแกยังทำงานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้”
“ดีนี่ แกช่วยจัดยาให้ชั้นด้วยก็แล้วกัน ชั้นไว้ใจแกนะ”
คำแซวที่แฝงความปรารถนาดีของเขาไร้ผลโดยสิ้นเชิง สามารถตระหนักได้ในชั่วขณะนั้นว่าคำปรึกษาของจิตแพทย์คนไหนก็ช่วยเหลือ เพื่อนของเขาคนนี้ไม่ได้อีกแล้วเพราะจิตติรู้ทันเสียหมด เขาถอนหายใจแต่ทำทีเหมือนกับว่ากำลังหาว ทันใดนั้นความคิดดีๆก็พุ่งโลดออกมาจากสมอง เขารู้ว่าเรื่องนี้ดูไม่เข้าท่าแต่คนอย่างจิตติที่ไม่เคยฟังอะไรเขาเลยน่าจะ เจอบทเรียนอะไรแบบนี้เสียบ้าง แถมถ้าเขาโยนเรื่องนี้ให้พ้นตัวได้ก็จะมีเวลากลับไปอยู่กับลูกเมียเพิ่มขึ้น อีกโข ก็ไอ้เพื่อนของเขาที่อยู่ตรงหน้านี่มันบอกเองนี่นะว่าไม่อยากมีครอบครัว โยนๆเรื่องนี้ให้มันไปจะเป็นไรไปเล่า? เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วคว้าเอาแฟ้มสีน้ำตาลขนาดใหญ่ออกมา
“กรณีนี้มาจากแผนกกุมารเวช รุ่นน้องส่งมาให้ข้าสักพักแล้วแต่ไม่มีเวลาดูเลย ถ้าแกบอกว่าแกอยากหาตัวอย่างผู้ป่วยที่น่าสนใจ ลองมาเอาไปดูมั้ยล่ะ?”
“เป็นเรื่องยังไงล่ะนั่น หืม?”
“เด็กมีปัญหาการพูดน่ะ”
“ก็ให้พวกหมอเด็กดูไปละกัน ไม่ใช่งานของเราสักหน่อย”
“โฮ่ นี่ไม่ธรรมดานา ถ้ากรณีนี้มันง่ายขนาดนั้นพวกนั้นจะส่งมาให้เราหาพระแสงอะไรล่ะวะ พวกหมอๆอย่างเราเนี่ยมีอัตตาสูงลิบลิ่วกันทุกคน แกก็รู้ดีนี่หว่า”
จิตติเริ่มรู้สึกรำคาญ เขาวางมือจากแฟ้มงานแล้วจ้องหน้า รอให้สามารถคุยโวเสร็จ
“เด็กมีปัญหาการพูด ไม่ได้เป็นออทิสติก ไม่ได้หูหนวก ไม่มีความพิการทางร่างกาย ตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นใด แถมเรียนได้คะแนนสูงสุดในโรงเรียนอีกต่างหาก แกว่าไงล่ะทีนี้?”...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น