คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วีรบุรุษหงส์น้อย
“เบาดุจขนหงส์ หนักดุจขุนเขา”
ป้ายสีแดงเก่าคร่ำคร่ำ ที่ตัวอักษรซึ่งเคยเห็นว่าเป็นสีทองนั้นหลุดลอกเลือนจางไปตามกาลเวลา ซุกอยู่ใต้เก๊ะเหล็กของโต๊ะบัญชี ตอนที่ผมถูกอาม่าสั่งให้เก็บกวาดข้าวของรับตรุษจีน
เมื่อผมงัดมันขึ้นมาปัดฝุ่นพลิกดู ด้านหลังของป้ายนั้น มีรูปชายหนุ่มสวมชุดแพรเหมือนนักมวยจีนสี่คนยืนอยู่ข้างชายไว้หนวดในชุดเสื้อคอปกแบบเหมา พอผมปัดฝุ่นอีกครั้งเพื่อจะได้มองให้ชัดๆ ว่าเป็นรูปสมัยไหน รูปเก่าที่เหลืองกรอบนั้นก็หลุดออกมาจากป้าย คงเพราะกาวที่ติดอยู่แห้งจนเกาะไม่ติด
ผมวางแผ่นป้ายนั้นบนโต๊ะบัญชี เอื้อมมือก้มลงไปหยิบภาพขึ้นมา ข้างหลังภาพนั้นมีลายมือหวัดที่เลือนจางเขียนเป็นภาษาจีน ซึ่งผมอ่านไม่ออกเลยสักคำ ตามประสาลูกหลานจีนรุ่นที่สี่ ที่กลายเป็นคนไทยไปเรียบร้อยโรงเรียนไทย จะอ่านได้ก็แค่คำที่เห็นคุ้นตาบ่อยๆ ตามป้ายมงคลหรือกลอนซี้กู่อวยพรเท่านั้น
ผมเก็บของที่เหลือในเก๊ะ กวาดฝุ่นใส่ปุ้งกี๋ไปเททิ้งจนหมด แล้วรี่เอาป้ายกับรูปนั้นไปถามอาม่า ว่าเป็นของใคร และมาอยู่ในบ้านเราได้อย่างไร
ทันที่ที่ผมเดินขึ้นเหลาเต๊ง อาม่าที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงไม้ไผ่ คงเหลือบเห็นป้ายไม้สีแดงที่ติดมือผมมา ตะโกนใส่ผมเสียงดังด้วยท่าทีตกใจว่า
“อาตี๋ ลื้อไปเจอของนั่งจากที่หนาย ลื้ออย่าซี้ซั้วนา นั่งมังของอาเหล่ากงลื้อ”
อาม่าหน้าแดง ลุกขึ้นอย่างเร็วจนผมกลัวว่าจะหงายหลังตกเตียง แต่อาม่าก็ไม่ตก หนำซ้ำยังโผเข้ามาดึงเอาป้ายสีแดงเขียนกลอนคู่นั้นไปประคองไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม ผมถามอาม่าว่าป้ายนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ อาม่ายิ้ม แล้วเริ่มเล่าที่มาของป้ายที่ทรงค่าให้ผมฟัง
..........................................................................................................................................................
กว่าร้อยปีที่แล้ว ปี 1908 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ชุมชนชาวจีนในไทยที่หนาแน่นอยู่บริเวณท่าน้ำสัมพันธวงศ์ เยาวราช เป็นที่แตกตื่นโกลาหลในการต้อนรับผู้นำในการปฏิวัติต่อต้านราชวงศ์ชิง ท่านซุนยัตเซ็น ซึ่งเข้ามาเพื่อปราศรัยระดมทุนต่อต้านราชวงศ์ชิง
ท่ามกลางมิตรสหายและผู้สนับสนุนอุปการะให้ท่านซุนยัตเซ็น ย่อมมีศัตรูจำนวนมากไม่แพ้กัน อาจจะมากกว่าเหล่าสหายเสียด้วยซ้ำ
ราชสำนักแมนจู
กองทัพญี่ปุ่น
หรือแม้กระทั่งมหาอำนาจตะวันตก ที่ไม่ต้องการให้จีนพ้นจากสภาพกึ่งเมืองขึ้น
ท่านซุนยัตเซ็น จึงต้องมีองครักษ์พิทักษ์อยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้นำแห่งการปฏิวัติ และความปลอดภัยของชาติจีนใหม่เอง
เป็นที่เล่าลือกันว่า รอบกายท่านซุน มียอดยุทธสี่คน ผู้สืบทอดวิชาซึ่งเหลือรอดมาจากครั้งกบฏนักมวยคอยดูแลเสมอ
อึ้งปวยฮอ ยอดยุทธเพลงหมัดเสี่ยวลิ้มยี่
เอี้ยเม้ง ยอดยุทธเพลงทวนตระกูลเอี้ย
เตียโฮ่วอี้ ยอดยุทธเพลงฝ่ามือไท้เก๊ก
และ ลี้สี่เก็ง ยอดยุทธเพลงดาบตระกูลลี้
วันที่ 20 พฤศจิกายน เมื่อเรือโดยสารของท่านซุนเทียบท่า พลันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ท่านซุนหายตัวไปจากเรือ เหลือเพียงสี่ผู้คุ้มกันจ้องหน้ากันไปมาอย่างตระหนก
ไม่นานนัก กรรไกรขาเดียวผูกไหมแดง ก็ถูกส่งมาถึงที่พักของสี่องครักษ์
“อั้งยี่” ขบวนการอาชญากรรมจีน ที่ครอบงำย่านการค้าของชาวจีนในไทย จับตัวท่านซุนไปเสียแล้ว
จดหมายที่แนบมากับกรรไกรไหมแดง แจ้งเพียงว่า ถ้าต้องการท่านซุนกลับไปเป็นๆ ให้ล้มเลิกแผนการปราศรัยระดมทุนกู้ชาติในเมืองไทยเสีย! สี่องครักษ์ลังเลใจ ก่อนจะตัดสินใจไปขอพึ่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายจีนนิกาย พระอาจารย์โล่วเข่ง แห่งวัดเล่งเน่ยยี่ เพื่อหาทางออก
“ไต้ซือโปรดชี้แนะ ผู้น้อยเห็นหมดหนทาง จึงมาขอเมตตาจากพระพุทธองค์” ทั้งสี่คนประสานเสียงลงคุกเข่าโขกหัวคำนับ
“โพธิสัตว์ทรงเมตตาไม่สิ้นสุด โปรดสัตว์ข้ามวัฏสงสาร เรื่องแค่นี้มิใช่เรื่องใหญ่ แต่ด้วยเหตุหลายประการ อาตมาต้องรู้ก่อนว่า ประสกสามารถจะบุกไปช่วยท่านซุนได้หรือไม่ อั้งยี่ไหมแดงมีฝีมือร้ายกาจนัก อีกทั้งพรรคพวกมากหลาย ลำพังประสกสี่คนมิอาจต้าน” พระอาจารย์โล่วเข่งส่ายศีรษะหลุบลง
“ให้ผู้น้อยบุกน้ำลุยไฟ ผู้น้อยไม่กลัว เราเป็นยอดยุทธจากแผ่นดินใหญ่ อันธพาลชั้นเลวในดินแดนเสียมล้อก๊กนี้หรือจะคณามือ ต่อให้มาเป็นร้อยคนก็ไม่แน่ว่าผู้น้อยคนเดียวก็พอรับมือ” เอี้ยเม้งขัดขึ้นเสียงขวาง
“บาปกรรม บาปกรรม อาตมามิคิดเช่นนั้น”
“เหตุใด ไต้ซือ” อึ้งปวยฮอตั้งข้อสงสัย
“ประสกทั้งสี่ ลองประมือกับมาณพผู้นี้ดูเถิด ว่าประสกจะต้านอยู่หรือไม่” ทันใดนั้น ชายหนุ่มวัยประมาณต้นยี่สิบ ผมสั้นเกรียนในจีวร ค่อยๆ ย่างออกมาจากเงาประตู
“หากประสกทั้งสี่ล้มมาณพผู้นี้ได้ อาตมาจะบอกที่ซ่อนของพวกอั้งยี่ ที่ลักพาตัวท่านซุนไป หากมิได้ ประสกทั้งสี่จงเลิกล้มความตั้งใจเสียเถิด”
พลันไต้ซือโล่วเข่งพูดจบ ได้ขว้างลูกประคำที่สวมคออยู่ขึ้นไปบนฟ้า
ชายหนุ่มในจีวรภิกษุจีน ปราดเข้าประชิดตัวเอี้ยเม้ง ฟาดฝ่ามือหนึ่งเข้าที่หน้าอก
“อาศัยทีเผลอแบบนี้ มิใช่ลูกผู้ชาย” เอี้ยเม้งใช้ท่อนแขนพลิกมากันไว้ทันท่วงที แต่กลับต้องกระเด็นไปกระแทกผนังหิน ลงไปกองกับพื้นวัดโดยไม่ทันเอ่ยคำต่อ ฝุ่นธูปที่ตกค้างอยู่ขอบผนังร่วงหล่นฟูฟุ้งไปทั่ว
“มิใช่ทีเผลอ ตราบเท่าที่อยู่ในเวที” ภิกษุหนุ่มโต้
“เช่นนั้น จงรับนี่” อึ้งปวยฮอแผลงหมัดตรง หวังกระแทกเข้าที่ลิ้นปี่ภิกษุหนุ่ม กลับพบแต่ความว่างเปล่า
“เสียแรงที่ท่านสำเร็จเพลงมวยเสี่ยวลิ้ม ท่านกลับมองไม่เห็นหัวใจของเสี่ยวลิ้ม” ภิกษุหนุ่มกระโดดลอยข้ามศีรษะจอมยุทธแซ่อึ้ง ก่อนจะกระแทกตัวทิ้งเท้าลงพื้นข้างตัวของเขา
“ฝ่าเท้าเทวราช!”
พื้นอิฐของลานวัดยุบตัวลง แตกร้าวกระจายเป็นใยแมงมุม สะเทือนไหวไปทั่วเหมือนเกิดแผ่นดินไหว อึ้งปวยฮอพยายามทรงตัว แล้วโผหมัดเข้าหาภิกษุหนุ่มด้วยความโกรธ
ไม่ทันที่หมัดจะถูกชายจีวร เข่าของภิกษุหนุ่มก็ลอยขึ้นกระแทกเข้าที่คางของอึ้งปวยฮอดังกร๊อบ องครักษ์อันดับหนึ่งของซุนยัตเซ็นล้มลงไปกองที่พื้นซึ่งเปื้อนฝุ่นธูปที่เพิ่งจางลง
“ประสกทั้งสอง จะเสียเวลาอันใดเล่า เข้ามาพร้อมกันทั้งคู่มิดีกว่าหรือ” ภิกษุหนุ่มท้าทายเตียโฮ่วอี้และลี้สี่เก็ง
“มิใช่สอง แต่เป็นสาม” เอี้ยเม้งลุกขึ้นจากกองหินและกองฝุ่น สืบเท้าก้าวเข้ามาเรียงหน้ากระดาน
“เป็นสี่ต่างหาก” อึ้งปวยฮอหยัดตัวขึ้นจากพื้น ขยับคางลั่นป๊อก ปาดเลือดและน้ำลาย พลางถ่มฟันออกมาซี่หนึ่ง
“ฉะนั้นจะช้าอยู่ไย เข้ามาในคราวเดียวทั้งหมดจึงประเสริฐ” ภิกษุหนุ่มประนมมือคารวะด้วยแววตาและรอยยิ้มเย้ยหยัน
อึ้งปวยฮอสาวเท้าเข้าข้างหน้า กระแทกด้วยหมัดตรง
เอี้ยเม้งหลีกเข้าทางด้านขวาสะบัดฝ่ามือกระแทกเช่นเดียวกับท่าเพลงทวน
เตียโฮ่วอี้กวาดฝ่ามือไท้เก๊ก โจมตีเข้าหวังกกหูซ้าย
ลี้สี่เก็งปราดอ้อมไปด้านหลัง ฟาดสันมือด้วยท่าดาบ
ทุกท่วงท่ากระแทกเข้ายังจุดหมาย เสียงดังสนั่น
หมัดตรงกระแทกสันมือ ฝ่ามือทวนปะทะฝ่ามือไท้เก๊ก
ภิกษุหนุ่มทรุดตัวลงในท่านั่ง แหวกขาทั้งสองข้างกางออกเป็นเส้นตรง ก่อนจะทะยานตัวกระแทกศอกเข้าหาสี่องครักษ์ทีละคนจนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศ คว้าเอาลูกประคำที่กำลังร่วงลงเจียนถึงพื้นไว้ในมือ
“บาปกรรม บาปกรรม เสี่ยวหง เจ้าทำเกินไปแล้ว” ไต้ซือโล่วเข่งหัวเราะ
“อย่างที่เห็นแลประสก ถ้าประสกทั้งสี่ยังต่อกรมิได้แม้กระทั่งมาณพหนุ่มน้อยในวัดของอาตมา และประสกจะไปสู้กับอั้งยี่ได้อย่างไร”
“แต่เราต้องทำ เพื่อชาติจีนใหม่ และความรุ่งเรืองของชนชาวจีนทั้งมวล”
“เสี่ยวหง เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”
“ประสกสี่ท่านนี้ ทั้งฝีมือยังไม่ถึงขั้น และไม่รู้ลู่ทางในประเทศสยาม หากปล่อยให้ไปลำพัง มีแต่จะตายถูกฝังเป็นศพไม่มีญาติทิ้งที่งี่ซัว(สุสานวัดดอน)ขอรับ ไต้ซือผู้อาวุโส”
“ถ้าเช่นนั้น” พระอาจารย์โล่วเข่งพยักหน้า
“ผู้น้อยจะอาสานำทางประสกสี่ท่านนี้ ไปหาท่านตงซัว” ภิกษุเสี่ยวลู่หันมาคำนับองครักษ์ทั้งสี่ “ขออภัยที่อาตมาต้องล่วงเกิน ประสกประมาทชาวสยามเกินไปนัก ประเทศนี้มีเพลงมวยหลากหลายซึ่งชาวจีนได้นำมาประยุกต์จนร้ายกาจ อาจจะยิ่งกว่าเพลงมวยต้นตำรับของแผ่นดินใหญ่ พวกท่านเองก็เป็นยอดยุทธ หากมิประมาท ข้าคงเอาชัยมิได้โดยง่าย”
องครักษ์ทั้งสี่คนได้ยินดังนั้น ก็เผยยิ้มกว้างลืมความโกรธเคืองที่ภิกษุหนุ่มนามเสี่ยวลู่ลงมือเมื่อครู่จนหมด ยกกำปั้นแตะกันโค้งคำนับตอบ
“มิกล้า มิกล้า นับว่าพวกเราได้เปิดหูเปิดตาแล้ว หากเราได้เวลาเข้าไปช่วยท่านซุน รับรองพวกเราจะไม่ประมาทอีก”
“ประสกทั้งสี่โปรดพักผ่อนในอาราม รับรองว่าข่าวของพวกท่านจะไม่แพร่งพรายออกไปไหน อาตมาจะปล่อยข่าวว่าท่านทั้งสี่ถอดใจขึ้นเรือไปปากน้ำสมุทรปราการ รอเรือใหญ่กลับเมืองจีนแล้ว” ไต้ซือโล่วเข่งกล่าวเสียงเครียด
“อาตมาจะเตรียมการอย่างเร่งด่วน รังของอั้งยี่มิใช่จะแทรกซึมเข้าไปโดยง่าย เคราะห์ดีไม่นานมานี้ ทางการสยามเปิดการกวาดล้างอั้งยี่ซ่องโจรครั้งใหญ่ ทำให้การป้องกันเบาบาง มีเพียงตรอกลับที่ซ่อนของตั่วเฮียเท่านั้นที่เข้มแข็งแน่นหนา”
“ผู้น้อยคิดว่า นั่นคงเป็นเหตุผลที่ต้องลักพาตัวท่านซุน” อึ้งปวยฮอโพล่งขึ้น
“เป็นได้ อาจจะเป็นสายลับต้าชิง หรือญี่ปุ่น ที่สัญญาว่าถ้าแผนของท่านซุนล้มเหลว จะตกรางวัลให้พวกอั้งยี่” ไต้ซือเปรย
“ไม่ว่าจะเป็นพวกยื่อเปิ่น หรือพวกหัวโล้นไว้เปีย ถ้าท่านซุนเป็นอันตราย ข้าสาบานว่าจะไม่ไว้ชีวิตพวกมันเด็ดขาด” เอี้ยเม้งกัดฟันกรอด
“คนตายคงเป็นพวกท่านมากกว่า” ภิกษุหนุ่มค้าน “พวกมันมีทั้งกำลังคน อาวุธ และความเชี่ยวชาญ พวกท่านสี่คนจะสู้มันทั้งหมดอย่างไร” ภิกษุหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความแคลงใจ
อึ้งปวยฮอ องครักษ์อาวุโสส่ายหน้า “อุดมการณ์ของเราจะไม่ตาย พ่อหนุ่มเอ๋ย ตราบเท่าที่เรายังเชื่อมั่นในเกียรติภูมิของเรา ของชาวจีน ว่าจะไม่ยอมเป็นทาสอีกต่อไป”
“อาตมาก็หวังเช่นนั้น” ไต้ซือโล่วเข่งแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “อาณัติสวรรค์อาจเปลี่ยน แต่มนุษย์ต้องลงมือเปลี่ยนมันด้วยมือตนเอง”
“พักผ่อนเสียเถิดประสก เสี่ยวหง เจ้าเช่นกัน คืนพรุ่งนี้เป็นเวลาตัดสิน อนาคตของชนชาติจีนบนแผ่นดินสยาม”
................................................................................................................................................................................
เมื่ออาทิตย์ลับแสงลงกลางน้ำเจ้าพระยา องครักษ์ยอดยุทธของซุนยัตเซ็นก็มาพร้อมหน้ากับภิกษุหนุ่มเสี่ยวลู่
พระอาจารย์โล่วเข่งถือโถทองเหลือง จุ่มใบทับทิมลงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ผู้กล้าทั้งห้า
“เสี่ยวหง เจ้าพ้นจากสมณเพศตั้งแต่บัดนี้ จงเปลี่ยนชุดไปเพื่อช่วยเหลือไมตรีของสยามและจีน และอนาคตแห่งสันติภาพ”
“ขอรับไต้ซือผู้อาวุโส”
“ประสกทั้งสี่ อาตมาไม่มีพรอันใดจะให้ นอกเสียจากให้ประสกตั้งอยู่ในเมตตา มิลงมือสังหารโดยไม่จำเป็น เพราะทุกชีวิต ทุกคน มีผู้รออยู่เบื้องหลังเสมอ จงปลอดภัย ด้วยความคุ้มครองของพระโพธิสัตว์กวนอิมเนี่ยเนี้ย”
“ขอบพระคุณขอรับไต้ซือ” ทั้งสี่ประสานเสียง
ชายทั้งห้าออกจากวัดเล่งเน่ยยี่ ลัดเลาะไปตามตรอกของถนนเจริญกรุง ผ่านเยาวราชในยามพลบค่ำที่บรรดารถเข็นขายอาหารเริ่มตั้งแผง ทั้งข้าวต้มกุ๊ยที่เตรียมไว้ขายให้กุลีจีนที่เพิ่งเลิกงานจากท่าน้ำมากิน จนถึงแผงอาหารทะเลที่เจ้าสัวนิยมรับประทาน แสงสีในยามค่ำคืนที่เริ่มต้น สาดลอดความมืดของถนนในคืนเดือนมืด แต่เมื่อทั้งห้าแทรกตัวเข้าสู่ตรอกลึก แสงไฟอันละลานตาก็เลือนลงจนถึงความมืดมิดที่สุด ไม่มีแม้แต่แสงที่จะสะท้อนแววตา อาศัยเพียงเสียงรอยเท้าและลมหายใจของเสี่ยวลู่ที่นำทางองครักษ์ทั้งสี่ไปถึงจุดหมาย คือศาลเจ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ในศาลเจ้านั้นมีแต่ความเงียบ มีเพียงแสงรำไรจากดวงเทียนหรุบหรู่เจียนจะดับส่องลอดออกมาจากตัวศาล เห็นเงาคนหนึ่งคนอยู่รางๆ
“ท่านซุนหรือไม่” เอี้ยเม้งถลาเข้าไปเปิดประตูศาลเจ้า
ภายในนั้น บิดาแห่งการปฏิวัติจีนในชุดเสื้อคอปิด ถูกมัดนอนอยู่กับแท่นวางเครื่องบูชาประจำศาล ลี้สี่เก็งรี่ไปปลดเชือก พลางยกตัวท่านซุนขึ้นมาตรวจอาการบาดเจ็บ
“พวกเจ้าเองรึ ขอบใจมาก” ท่านซุนฟื้นขึ้นมาเห็นหน้าองครักษ์ แล้วกระแอมไอ ก่อนที่จะไอหนักขึ้นจนกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง
“พวกมันหยามเรานัก จะปล่อยพวกมันให้รอดไปไม่ได้เด็ดขาด” เอี้ยเม้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม กำหมัดแน่น เส้นเลือดปูดโปนไปทั้งแขน
“พวกเจ้าว่าจะปล่อยใครไปไม่ได้นะ” แสงตะเกียงมากมายวาบขึ้น หน้าปากทางเข้าศาลเจ้า มีพวกอั้งยี่ล้อมไว้ทั้งหมด
ด้านหลังแท่นบูชาของศาลเจ้า ซึ่งปราศจากรูปเคารพขององค์เทพยดาเลื่อนเปิดออก
“อย่าคิดว่าสิ่งที่เจ้าแก่โล่วเข่งวางแผนนั่น อั๊วจะรู้ไม่ทัน” ชายวัยกลางคนในชุดแพรลายมังกรสีแดงหัวเราะ “ลื้อก็เป็นแค่ซุนหงอคงในเงื้อมมือองค์ยูไล อั๊วบอกพวกลื้อให้รีบหนีไปไม่ยอมฟัง วันนี้พวกลื้อได้จมเป็นอาหารปลาใต้แม่น้ำเจ้าพระยาแน่นอนแล้ว”
“จัดการพวกมัน!”
“ฮ่อ! ตั่วเฮีย”
กองหน้าอั้งยี่โพกผ้าแดงราวสองร้อยคนกรูเข้าหาสี่องครักษ์ เสี่ยวหง และท่านซุนยัตเซ็น
ทั้งห้าคนต้านกองกำลังอั้งยี่อยู่ได้ประมมาณครึ่งชั่วยาม ความเหนื่อยล้าเริ่มส่งผล แม้ทั้งห้าจะเป็นยอดยุทธ แต่จำนวนที่แตกต่างกันเกินไป แม้ซัดผู้หนึ่งล้มคว่ำลง อีกผู้หนึ่งก็มาแทนที่ สถานที่แคบและความวุ่นวาย ทำให้เพลงทวนของเอี้ยเม้งมิอาจส่องประกาย ดาบของลี้สี่เก็งหักเมื่อปะทะกับดาบของยี่เฮียแห่งอั้งยี่ ฝ่ามือของเตียโฮ่วอี้ชโลมไปด้วยเลือดของศัตรู และบาดแผลของตัวเอง กระดูกมือของอึ้งปวยฮอแตกยับย่น
“เสี่ยวหง ปกป้องท่านซุน หนีออกไปให้ได้ พวกเราจะเปิดทางให้” ลี้สี่เก็งประคองท่านซุนไว้ให้เสี่ยวหง ก่อนจะปราดออกไปประมือกับกลุ่มอั้งยี่ที่เหลือยังต่อสู้อยู่ราวยี่สิบคนอีกครั้ง
เสี่ยวหงใช้ความชุลมุนนั้น ยกท่านซุนซึ่งตัวผอมบางและเบาลงจากการอดอาหารนานหลายวันขึ้นพาดบ่า แล้วทะยานหนีไปท่ามกลางความโกลาหล ลัดผ่านตรอกซอกซอยของย่านเยาวราช จนมาถึงปากตรอกสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ย่านการค้า ท่านซุนยัตเซ็นหอบและกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ทั้งสองจึงเข้าไปหลบในตึกแถวร้าง
“ท่านซุน แข็งใจไว้อีกนิดขอรับ เราจะถึงแล้ว”
ทันใดนั้น เงาทะมึนโผนจากหน้าต่างชั้นลอยของตึกแถวร้างลงมายืนต่อหน้าทั้งเสี่ยวหงและท่านซุน
“อย่าคิดว่าพวกลื้อจะหนีรอด” ตั่วเฮียแห่งอั้งยี่ไหมแดงแค่น
“องครักษ์ของเราล่ะ อั่ก” ท่านซุนพยายามออกปากถาม แต่ก็มีเพียงเสียงแหบๆ เจือด้วยเสียงเลือดที่ติดคาอยู่ในปอด
“ยี่ตี๋ตายพร้อมกับดาบของไอ้นักดาบ ไอ้นักหมัดลงไปอยู่เป็นเพื่อนกับปลา แต่มันดึงเอาโซ้ยตี๋ของอั๊วลงไปด้วย ส่วนอีกสองตัวนั่น ยังติดพันอยู่กับยอดฝีมือของอั๊ว ไม่มีทางรอด” ตั่วเฮียถ่มน้ำลาย “พวกลื้อต้องชดใช้”
“แกทำทุกอย่างขึ้นมาเอง คนที่ชดใช้คือแกต่างหาก” อดีตภิกษุหนุ่มจ้องหน้าศัตรู
“เจ้าคนกบฎต่อแผ่นดินนี่มันสำคัญถึงขนาดที่คนครึ่งจีนครึ่งสยามอย่างลื้อต้องลงทุนปกป้องมันเลยรึไง มันก็แค่คนเลี้ยงไม่เชื่อง ที่อยากเป็นใหญ่ เลยใช้ชีวิตคนอื่นออกไปเสี่ยงแทนตัวเองเท่านั้น ลื้อไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยเจ้าซุนไว้ตรงนี้แล้วหนีไปซะ อั๊วจะไว้ชีวิตลื้อ”
“ผู้ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ สมควรได้รับการปกป้อง”
“ปณิธานคืออะไร ก่อความจลาจลบนแผ่นดินตัวเอง แล้วหนีหัวซุกหัวซุนไปเที่ยวใช้เงินฟุ่มเฟือยถึงเมืองอั้งม้องั้นรึ อั๊วตลกน่า ทั้งๆ ที่คนจีนเป็นล้านๆ อดอยากถึงขนาดต้องต้มกรวดกินกับเกลือ ขุดหัวเผือกหัวมันมากิน แต่ไอ้ซุนคนนี้เที่ยวตะลอนๆ ไปตามคลับหรูหราของฮ่องกงจนถึงปารีส แล้วจู่ๆ จะมาระดมทุนให้พวกหัวเฉียว ที่กว่าพวกเขาจะรอนแรมข้ามทะเลมาด้วยเสื่อผืนหมอนใบ แบกหามเก็บหอมรอมริบตั้งตัวเป็นเถ้าแก่ได้ไม่กี่ชั่วรุ่น ส่งเงินไปสนับสนุนการปฏิวัติของมันนี่นะ ลื้อบ้าไปแล้วที่จะปกป้องมัน”
“แล้วมันต่างอะไรกับแก ที่ซ่องสุมสร้างความวุ่นวายในสยาม เที่ยวเรียกเก็บค่าคุ้มครอง อ้างว่าป้องกันไม่ให้ตำรวจสยามข่มเหง แต่แกเองกลับข่มเหงคนจีนด้วยกันมากกว่า อย่างน้อย ท่านซุนก็แสวงหาเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอย่างจริงใจ ไม่ใช่รับเศษเงินของพวกมันแล้วมากดขี่คนชาติเดียวกันอย่างแก”
ตั่วเฮียกัดฟันกรอด “งั้น ลื้อตาย!” มันพุ่งเข้าหาเสี่ยวหงด้วยความเร่ง กระแทกไหล่เข้าเต็มตัว เขากระเด็นไปกระแทกเสาตึก ปูนร่อนร่วงลงมาเป็นผง “เท่านี้ยังไม่พอหรอก” มันปรี่หมัดเข้าซัดที่ใบหน้าของเสี่ยวหงเต็มแรง
“แกทำได้แค่นี้เองรึไง” เสียงหมัดกระทบฝ่ามือดังปับ ฝ่ามือนั้นบดบี้หมัดไว้อย่างไม่ปรานี เสียงกระดูกลั่นแตกดังกร๊อบๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั่วเฮียไม่ยอมแพ้กระแทกหมัดเข้าอีกครั้งที่หน้าท้อง เสี่ยวหงนิ่วหน้าหน้าเหยเก ปูนของตึกแตกร่อนลงมาไม่ขาดสาย
“หมดเวลาของแกแล้ว” เสี่ยวหงถ่มน้ำลาย ผลักฝ่ามือของตั่วเฮียอั้งยี่ไหมแดงออกอย่างรุนแรง เขาถอดเสื้อออก ที่แผ่นหลังมีรอยสักรูปหงส์สีแดงเด่นชัดขึ้นทุกที ความร้อนจากร่างกายระเหยเหงื่อจนพุ่งพล่านเป็นไอ เขาโผเข้าหาศัตรู ระบำหมัดและฝ่ามือกระแทกใส่ตั่วเฮียโดยไม่หยุดยั้ง แต่แล้วก็ยั้งมือไว้ในฝ่ามือสุดท้ายที่พร้อมจะฟาดเข้าตรงหัวใจเพื่อปลิดชีพ
“มิลงมือสังหารโดยไม่จำเป็น”
เสียงสะท้อนของไต้ซือโล่วเข่งก้องอยู่ในหูของเสี่ยวหง
“เหอะ แค่นี้คงพอแล้ว ท่านซุนขอรับ เราไปกันเถิด” เสี่ยวหงหยิบเสื้อขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะเดินเข้าไปหมายจูงมือซุนยัตเซ็นกลับสู่โลกด้านสว่าง
เอี้ยเม้ง และเตียโฮ่วอี้ ที่อยู่ในสภาพเลือดโซมกาย เดินเข้ามาพบเห็นทั้งสอง ใบหน้าจึงทั้งเศร้าโศกจากการเสียสหายร่วมรบ และยินดีที่การช่วยเหลือท่านซุนสำเร็จลง
หากแต่เพียงแค่ไม่มีระเบิดนั้น
“ถ้าอั๊วไม่รอด พวกลื้อก็อย่าหวังว่าจะรอด” ตั่วเฮียลุกขึ้นด้วยความบอบช้ำ ในมือมีพู่ไหมสีแดง ส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนสุดท้ายทำลายแหล่งกบดานทั้งหมดของพวกมัน
ระเบิดวาบสีแดงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นได้ตั้งแต่สนามหลวงไปจรดทุ่งพญาไท
................................................................................................................................................................................
“นี่ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ” เอี้ยเม้งรำพึงขึ้น หลังจากลุกขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
ข้างๆ กันนั้น เป็นเตียงของเตียโฮ่วอี้ ที่ปราศจากแขนขวา และขาซ้ายนอนไม่ได้สติอยู่
“ท่านซุน!” เขาสะดุ้งตัวเหลียวมองหาบุคคลสำคัญผู้นำของชาติจีนใหม่
“ข้าปลอดภัยดี เอี้ยเม้ง” ท่านซุนยัตเซ็นเดินกะเผลกๆ เข้ามาหาองครักษ์ของตน
“ชายหนุ่มผู้นั้น ผลักพวกเราให้เข้าไปอยู่หลังมุมตึก และเขาแบกเอาแผ่นประตูเหล็กกั้นแรงระเบิดและสะเก็ดโลหะทั้งหมดไว้ด้วยตัวเขาเองเพียงคนเดียว ข้าและพวกเจ้าถึงรอดมาได้”
“แล้วเสี่ยวหงล่ะขอรับท่าน”
“เขาชื่อเสี่ยวหงรึ” ท่านซุนยัตเซ็นส่ายหน้า และก้มหน้าลงน้อยๆ “วีรชนผู้หนึ่งตายไปจากโลกเสียแล้ว”
“ประสกซุน” ไต้ซือโล่วเข่งเดินเข้ามาถึงห้องผู้ป่วยรวมในโรงพยาบาล “อย่าให้ชีวิตของเสี่ยวหงเสียเปล่า ตำรวจนครบาลเก็บกวาดจัดการเศษซากความเสียหาย และจัดการแก๊งอั้งยี่เสร็จสิ้นแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องออกปราศรัย เพื่ออนาคตของชาวจีน และเพื่ออนาคตของชาวจีนในสยามด้วย”
“ข้าคงต้องไปเสียที เอี้ยเม้ง เจ้าจะไปกับข้าไหม”
“คงไม่ขอรับ ท่านซุน ข้าหมดความสามารถที่จะอารักขาท่านแล้ว กระดูกของข้าคงมิอาจคืนสภาพ ท่านจงหาองครักษ์ใหม่เถิด ข้าจะดูแลโฮ่วอี้อยู่ที่เมืองสยามนี้ต่อไป”
“งั้นก็ดี ฝากดูแลโฮ่วอี้แทนข้าด้วย และขอบคุณเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา และเจ้าจงอย่าลืมเสี่ยวหง วีรบุรุษของเรา”
“ข้าจะไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งในแดนสยาม มีผู้กล้าที่คอยปกป้องอนาคตของพวกเรา”
ก่อนจะออกจากห้องผู้ป่วย ไต้ซือโล่วเข่งหันกลับมาพูดว่า “ประสกเอี้ย เสี่ยวหงมีน้องสาวคนหนึ่งอายุพอเหมาะจะออกเรือน หน้าตาไม่เลวนัก เมื่อนางขาดพี่ชายผู้เป็นกำลัง ก็เห็นจะอยู่ในสังคมได้ยาก หากประสกไม่รังเกียจ อาตมาจะเอ่ยสู่ขอให้ เพื่อประสกจะได้ลงหลักปักฐานในกรุงสยามอย่างเต็มตัว”
“แล้วแต่ไต้ซือจะกรุณา” เอี้ยเม้งรับคำ
29 พฤศจิกายน การปราศรัยของซุนยัตเซ็นในกรุงเทพมหานครประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง ได้เงินทุนไปต่อทุนเพื่อการปฏิวัติต่อต้านราชวงศ์ชิงจำนวนหลายแสนบาท
14 ธันวาคม รัฐบาลสยามซึ่งถูกกดดันจากชาติมหาอำนาจ ให้ขับไล่ซุนยัตเซ็นออกจากประเทศไทยถึงที่สุด ท่านซุนยัตเซ็นออกจากประเทศไทยไปยังสิงคโปร์
ก่อนเรือจะออกจากท่า ซุนยัตเซ็นส่งของในห่อผ้าให้แก่อดีตองครักษ์ ที่ต่อไปจะกลายเป็นชาวสยามเต็มตัว สิ่งนั้นคือป้ายมงคลสีแดงเขียนด้วยตัวอักษรสีทอง ซึ่งท่านได้ลงพู่กันเองกับมือ
“ชื่อภูเขา(ตงซัว-จงซาน) อันหนักแน่นของข้า ไม่มีทางคงอยู่ได้ ถ้าขาดวีรกรรมของขนหงส์(หงม้อ) ที่แม้บางเบาแต่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ข้าขอให้เจ้าดูแลน้องสาวของเสี่ยวหงให้ดี และฝากคำขอโทษและขอบคุณไปถึงนางด้วย ข้าจะไม่มีวันลืมว่า ขนหงส์แห่งสยาม ช่วยผลักดันภูเขาแห่งแผ่นดินใหญ่จีนให้เคลื่อนไปถึงฝั่ง ข้าขออำลา”
เสียงหวูดของเรือโดยสารออกจากท่า พร้อมกับสายลมของการเปลี่ยนแปลงที่พัดพาขนหงส์ไปกระทบภูเขาใหญ่ ล่มลงได้แม้จักรวรรดิต้าชิงที่ยืนยาวกว่าสี่ร้อยปี ผ่านมหาภัยสงครามโลก จนถึงทุกวันนี้ ชื่อของซุนยัตเซ็นยังเป็นที่เคารพในฐานะบิดาของประเทศจีนใหม่ และเป็นผู้นำการปฏิวัติจีนจากแอกของอาณานิคม
“โห อาเหล่ากงเคยเป็นองครักษ์ให้คนสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรออาม่า แถมอาเหล่าม่าเป็นน้องสาวของคนที่เก่งขนาดนั้นด้วย”
“อั๊วก็ฟังมาจากอาปา ไม่รู้อีโม้หรืออีพูดจิงแค่ไหนล่ะ ไปไป๊ พรุ่งนี้จะชิวอิกแล้ว ยังไม่ไปเก็บห้องตัวเองอีก ลื้อนี่ใช้ม่ายล่ายเลย เด็กสาหมายนี้นี่น้า ถ้าเทียบกับอาเสี่ยวหง ว่าไปก็เป็งอากู๋อั๊ว คงละเรื่องเลย”
“เออ แล้วภาษาจีนที่เขียนอยู่หลังรูปนี้ล่ะอาม่า แปลว่าอะไร”
อาม่าจับรูปไปพลิกดู ปาดน้ำตาที่ซึมออกมาจากขอบตาที่เหี่ยวย่นแล้วตอบผม
“เบื้องหลังนั้น อย่าลืมวีรบุรุษหงส์น้อย”
ความคิดเห็น