คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : จิตติกับเรคต์, และบทสนทนาในเอ็มเอสเอ็น -2-
Recht ผมกำลังดำเนินการทดลองบางอย่างอยู่ กำลังแกะรอยคนๆ นึง ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เขียนเรื่องเหลือเชื่อเยอะแยะมากมายที่เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เรื่องของเขามันสมจริงเกินกว่าที่จะเป็นจริงไปได้ คุณรู้ใช่ไหมล่ะ ก็เรื่องอบอุ่นหัวใจพวกนั้นไง
จิตติไม่ตอบ รอจนกว่าเรคต์จะเขียนจบ
Recht ผมใช้อีเมล์นี้ลงในโปรไฟล์ของเว็บบอร์ด ส่วนมากก็จะทำออฟไลน์ไว้เพื่อดูว่าใครจะแอ็ดเข้ามา และมันก็ไม่มีใครแอ็ดมาก่อน เพราะผมไม่เคยใช้ล็อกอินนี้โพสต์อะไร มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่จะไม่มีใครดูข้อมูลส่วนตัวแล้วแอ็ดเมล์เข้ามา แล้วก็นะ เว็บบอร์ดสาธารณะคงไม่มีคนไล่คลิกชื่อคนอื่นเล่นเพื่อแอ็ดเมล์มาคุยกันหรอก ผมรอดูอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่เป็นผล แต่สิบห้านาทีที่แล้ว ผมเริ่มเคลื่อนไหวโดยการส่งข้อความส่วนตัวไปหาคนที่น่าสงสัย ก็คนที่เขียนเรื่องรักในญี่ปุ่นคนนั้นเอง การหาข้อผิดพลาดในเรื่องเหนือจริงของเขานั้นไม่ง่ายเลย ผมถึงส่งข้อความยั่วโมโหไปหาเขา ผลก็คือผู้ต้องสงสัยแอ็ดเมล์ผมเข้ามา ก็เป็นพวกหลงตัวเองที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้อย่างที่ผมคิดไว้ พูดง่ายๆ ผมสร้างเมล์นี้ไว้ล่อคุณออกมาไงล่ะ “คุณเจ้าของกระทู้”
ถ้าจิตติไปเจอเรคต์ตัวจริงได้ เขาคงจะปรบมือชื่นชมอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนจะบีบคอให้ตายคามือเขาเอง เขารู้สึกทั้งรักทั้งชังผู้ชายคนนี้ อยากจะเห็นหนังหน้าเบื้องหลังจอ ไม่สนว่าอาจจะได้เจอกับนักเรียนม.ปลายใส่แว่นหนาเตอะ จิตติกลั้วหัวเราะเบาๆ เขากำลังเล่นกับเด็กที่อยากเป็นนักสืบ ใช้สำนวนเชิงตรรกะเพื่อยืนยันกับตัวเอง นับว่าเป็นความพยายามที่ดีซึ่งเขาชอบมัน แต่เรคต์คงไม่รู้ว่าตัวเขานั้นก้าวล่วงไปสู่จุดที่ไม่อาจย้อนกลับหลังได้อีก
Mind ใช่ ผมเองนี่แหละที่เขียนเรื่องพวกนั้น เอาสิ ไปโพสต์ตามที่คุณอยากจะบอก อย่าคิดนะว่าคุณจะชนะ คนอื่นๆ เข้าข้างผมทั้งนั้น กับแค่ความผิดพลาดเรื่องเดียว ผมก็บอกไปว่าจำผิดก็พอ เรื่องมันตั้งห้าปีมาแล้ว ไม่มีใครหรอกที่จำได้ทุกเรื่อง จะเรียกผมว่าพวกขี้ขลาดก็เชิญ หัวใจคนหลอกลวงได้ง่าย ถ้าเชื่ออะไรไปแล้ว ไม่มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานไหนที่จะทำให้เขาเลิกเชื่อ
เรคต์ตอบกลับมาในที่สุด หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง
Recht ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ
Mind แบบนั้น? โพสต์แฉผมนั่นรึ
Recht อืม แล้วทำไมผมต้องไปทำแบบนั้นกันล่ะ
Mind คุณไม่ได้ไล่ล่าผมยังกับว่าผมเป็นอาชญากรงั้นรึไง
Recht ลองคิดดูสิ ถ้าคุณรู้เห็นอาชญากรรม รู้ว่าใครเป็นคนผิด แต่คุณแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ คุณจะเห็นว่าทั้งตำรวจและสื่อทั้งหลายจะวิ่งวนไปมาเพื่อหาความจริงที่อยู่ใกล้กับพวกเขานิดเดียว และพวกเขามองข้ามไป
จิตติไม่ค่อยจะเข้าใจวิธีเปรียบเทียบนั้น แต่ก็คืนสู่การสนทนาโดยใช้การวิเคราะห์จิตวิทยาประกอบ
Mind งั้นรึ ถ้าทำแบบนั้น คุณก็จะเป็นศูนย์กลางความสนใจหรืออะไรประมาณนั้น จะรู้สึกตัวว่าได้เป็นคนพิเศษที่รู้ความลับที่คนอื่นกำลังตามหารึไงกัน
Recht ผมไม่เล่นอะไรเด็กๆ แบบนั้นหรอก
Mind แต่ผมว่าใช่นะ เรียกร้องความสนใจในสิ่งที่ไม่เคยได้รับจากโลกภายนอก ตอนนี้คุณกลายเป็นนักสืบไซเบอร์คนดังแล้ว (ปรบมือ)
Recht เหมือนผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ ผมชอบคุณที่เป็นแบบนี้จัง
(“ไอ้ทะลึ่งเอ๊ย! ห่าอะไรที่กูกำลังคุยอยู่นี่” จิตติถึงกับสบถขึ้นต่อหน้าจอ)
Recht ขอโทษด้วยละกัน ผมคิดว่าเราคุยกันหนักเกินไป อันที่จริงแล้ว ผมก็แค่ชื่นชมคุณ นี่ไม่ได้ประชดนะ อีกอย่างคือผมอยากพบคุณ คนที่ลวงหลอกผู้คนโดยถ้อยคำ โดยคาดคำนวณจิตวิญญาณของมนุษย์ คุณล้อเล่นกับหัวใจของคนแล้วสมเพช แน่ล่ะว่าสิ่งที่คุณทำออกจะน่ากลัว คุณน่ะโหดร้ายทารุณ แต่คุณก็ทำให้ผมตื่นเต้นด้วย
จิตตินิ่งงัน เหมือนกับว่าเรคต์ได้ยืนอยู่ต่อหน้า
Recht ส่วนตัวผมที่หลงใหลในถ้อยคำและวรรณศิลป์ คุณเป็นงานศิลป์โดยตัวของคุณเอง แต่นั่นก็เป็นศิลปะต้องห้าม ต้องห้ามถึงที่สุด เหมือนการทดลองที่กระทำแก่มนุษย์
ทันใดนั้น เรคต์เปลี่ยนสำนวนจากเด็กเป็นชายฉกรรจ์ เขากำลังจีบจิตติอยู่งั้นหรือ จิตติไม่อาจหยั่งทราบได้ เรคต์อาจเป็นใครก็ตาม อาจมีอาการไบโพลาร์ หรือไม่เป็น เขาเล่นละครได้แนบเนียน ทดลองกระนั้นหรือ? ใช่ จิตติกำลังทดลองกับมนุษย์ อาจไม่แตกต่างจากนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองหากจะอนุมานด้วยตรรกะ แต่เขาไม่ได้สังหารใคร แม้ว่าจะรู้ดีถึงวิธีล่อลวงจิตใจผู้คนให้แปดเปื้อน แต่เขาก็ไม่ได้ยอมรับมันแม้แต่น้อย สมัยจิตติอยู่ที่อเมริกา เขารู้จักนักศึกษาที่ทดลองบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ กับผู้ป่วยเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เรียนในชั้นเรียนถูกต้อง แม้จะต้องห้ามแต่ความอยากรู้อยากเห็นรุนแรงกว่า พวกเขาพูดเรื่องที่ตำราระบุว่าทำให้โกรธเกรี้ยวหรือหดหู่กับผู้ป่วย และจิตติก็เห็นการโต้ตอบของผู้ป่วยต่อสิ่งเร้านั้น นั่นก็ทำให้จิตติคิดอยากลองบ้าง แต่ครั้งนั้นเขาขี้ขลาดเกินไป เขากลัวว่าเมื่อพูดออกไปจะทำให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตาย ซึ่งเขาย่อมกลายเป็นฆาตกรทางอ้อม นี่เป็นเหตุผลที่เขามาทดลองในอินเตอร์เน็ต ที่ซึ่งความจริงและความลวงบรรจบกัน เขาไม่ต้องการจะเสพติดการทดลองกับมนุษย์มีตัวตนจริง ซึ่งทำให้เขาทำบาปโดยแท้จริง
Mind ไม่ใช่กลลวงของคุณรึ
Recht ไม่ใช่หรอก
Mind แล้วผมจะเชื่อได้ไงกัน
Recht คุณไม่ต้องเชื่อทุกสิ่งที่ผมพูด แค่รู้ก็พอว่าผมห่วงคุณมาก
Mind สารภาพรักงั้นรึ น่าขยะแขยงหน่อยนะ ผมเป็นผู้ชาย
Recht คุณพูดอะไรของคุณกัน ผมไม่ได้เรีกยร้องความรักกับคุณ ถ้าคุณต้องการ ก้อาจจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง สิ่งที่ผมทำก็แค่ให้กำลังใจเพื่อคุณจะได้เขียนเรื่องรักมหัศจรรย์นั่นต่อ เป็นความพอใจส่วนตัวของผมเอง
Mind ผมไม่ต้องการกำลังใจอะไรนั่น...
Recht แต่คุณมีพันธมิตรไว้ไม่ดีกว่าหรือไง ถ้ามีคนแบบผมมาโจมตีคุณอีกล่ะ
Mind คุณจะเปิดโปงถ้าผมปฏิเสธว่างั้น?
Recht ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ผมขอปวารณาตนเป็นอัศวินพิทักษ์คุณ ให้คุณทำตามชอบใจกับตัวอย่างทดลองน้อยๆ ที่น่าสงสาร เพราะผมรักถ้อยคำของคุณ
เหมือนตกอยู่ในภวังค์ จิตติอ่านคำว่า “รัก” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนบอกรักเขา หรือชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ ทั้งแฟนเก่าทุกคน ทั้งผู้คนที่ผ่านมาในชีวิตนับแต่จำความได้ พวกนั้นรักเขาเพราะเขาทำในสิ่งที่พวกคนเหล่านั้นต้องการ แต่จิตติไม่เคยพบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เป็นเหตุผลที่เขาไม่คบกับใครนานๆ หรือถ้าจะเรียกสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาออกมา สิ่งนั้นคือความไม่มีอะไร เขาเป็นเพียงภาชนะบรรจุวิญญาณ และไม่รู้ว่าพลังชีวิตของตัวเองอยู่ที่ไหน หรือจะมีใครมาเติมเต็มความกลวงเปล่าภายในได้
เขาสงสัยว่าตัวเองอาจจะรู้สึกรักเรคต์เข้าก็ได้ อาจจะเป็นเพียงความพึงใจแบบเดียวกับแฟนของนักเขียน แต่เขารู้สึกอบอุ่นภายใน บางสิ่งที่แน่นหนัก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองว่าตัวเองได้กลายเป็นวัตถุทดลองไปด้วย เขาต้องการจะอยู่ในจุดที่ถูกทดลองเหมือนกับที่ตนเองทำกับคนอื่นบนอินเตอร์เน็ต
Mind รัก, รัก, รัก ทุกคนต้องการความรัก แต่มันเป็นเพียงแค่ตัวหนังสือ ผมเขียนเรื่องรักทั้งหมดลงไปเพื่อให้คนอ่านประทับใจ แต่เรื่องรักของผมเป็นสิ่งไร้ค่า ตอนนี้ผมพูดกับคุณได้ว่า ทั้งคุณและผมเป็นตัวปลอม คุณชอบเรื่องของผมได้ แต่คุณไม่มีทางรักผม หรือเรื่องราวของผม
Recht ถึงจะเป็นความรักจอมปลอมก็ตาม ผมก็รักถ้อยคำของคุณ และกรุณาเขียนเรื่องราวต่อไป ผมไม่มีอะไรจะพูดมากกว่านี้แล้ว ลองพิจารณาดูเอาเถอะ แต่จำไว้ว่า คุณสุดแสนจะมหัศจรรย์ ไม่ต่างจากงานศิลป์ในแกลเลอรี่ ผมต้องไปแล้วล่ะ ไว้เจอกันใหม่
เรคต์ออฟไลน์ไปโดยไม่ทิ้งคำลา จิตติออฟไลน์ตามหลังจากรออยู่ชั่วครู่หนึ่ง
จิตติปิดคอมพิวเตอร์ พระอาทิตย์ทอแสงจับขึ้นขอบฟ้า เป็นอีกวันหนึ่งที่จิตติไปทำงานโดยไม่ได้นอนสักงีบ
แต่เป็นวันที่แตกต่างออกไปจากวันก่อนหน้านี้ เพราะเขาไม่สามารถลบบทสนทนาที่คุยกับเรคต์ออกจากสมองได้แม้แต่คำเดียว
ความคิดเห็น