ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SHINee Fic] Songs The Series

    ลำดับตอนที่ #2 : Love [OnKey]

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 58


    Title : Love

    Pairing : Onew x Key

     

    A/N : ได้พลอตมาพร้อมทรานส์เพลง Love อาจจะหวานย้อยแอบเน่าเบาๆ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย อารมณ์ฟุ้งมาก ตอนเขียนคืออยู่ในร้านกาแฟละฟีลมาเลยเอามาต่อยอด

     










     


     

    สายลมเย็นพัดเอื่อย แดดอ่อนๆยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านสีครีมสว่างเข้ามาภายในห้อง ทอดแสงลงบนเตียงนอนหลังใหญ่สีขาวสะอาด ราวกับจะปลุกให้เจ้าของห้องลุกขึ้นมาชื่นชมบรรยากาศสบายๆในเช้าที่สดใสอย่างเช่นวันนี้ หากชายหนุ่มตื่นนานแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่ระเบียง เสียงฮัมเพลงเบาๆดังเรื่อยอย่างคนอารมณ์ดี

    ดวงตาเรียวสีเข้มหรี่มองผลงานตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มพอใจ มือหนาหยิบเอาสมุดเล่มน้อยข้างตัวขึ้นมาเขียนอะไรหยุกหยิกลงไป สลับกับเหม่อลอยออกไป แสงแดดอ่อนๆขับให้เส้นผมสีชอคโกแลตดูจางลงจนดูเหลือบทอง

     

     

     

     

     

     

    “คุณลี วันนี้เปิดแต่เช้าเชียวนะ” มาดามเฟลอร์เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจัดหน้าร้านเร็วไปกว่าทุกวัน ก็ไม่ใช่ว่าปกติเขาเปิดร้านเป็นเวลาหรอก

    “วันนี้ตื่นเช้าน่ะครับ” อีจินกิแจงกลั้วหัวเราะ ผละมือจากเก้าอี้หน้าร้านไปประคองร่างผอมบางของหญิงชรา มือหนาดึงตะกร้าใส่ของสดในมือมาดามเฟลอร์มาถือแทน “ทำไมวันนี้มาดามมาคนเดียวล่ะครับ เจ้าตัวแสบไปไหนเหรอครับ”

    “พ่อแม่เขามารับไปเมื่อคืนน่ะ เห็นว่าจะให้ไปเข้าโรงเรียนที่อังกฤษ” หางเสียงหญิงชราทอดเบา แฝงไปด้วยความเหงา มาดามเฟลอร์อยู่คนเดียวมาตลอดหลังลูกชายเพียงคนเดียวแต่งงานไป เพราะเธอสูญเสียสามีและลูกสาวให้กับสงคราม หญิงชราผู้ใจดีต้องทนเหงามาตลอด จนกระทั่งลูกชายส่งหลานชายตัวแสบมาอยู่กับคุณย่าเพื่อดัดนิสัย

    “คุณลีไปเปิดร้านเถอะ แค่นี้ฉันถือไหว”

    “ปกติมาดามจ่ายตลาดตอนหกโมงเช้าใช่มั้ยครับ”

    “ใช่จ้ะ ทำไมเหรอ” มาดามเฟลอร์ถามกลับงงๆ

    “งั้นตอนหกโมงผมจะไปรับที่หน้าบ้านนะครับ” จินกิยิ้มบาง ดวงตาเล็กหยีมองหญิงชราเป็นเชิงอ้อนน้อยๆ “นะครับ แลกกับพายของมาดาม มาดามก็รู้ว่าผมรักมัน”

    หล่อนหัวเราะร่า มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัวชายหนุ่มอย่างลืมตัว “ก็ได้ๆ ทำไมคุณเป็นคนดีแบบนี้นะ ฉันล่ะอิจฉาพ่อแม่คุณจริงๆ”

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากไปส่งมาดามเฟลอร์ จินกิก็กลับมาเปิดร้านเล็กๆของตน ร้านที่เขาเปิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ร้านกาแฟน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยขนมนานาชนิด ไม่ผิดนักหรอกที่เด็กๆในละแวกนี้จะเรียกเขาว่าพี่ร้านขนม ร้านนี้มีขนมมากกว่ากาแฟเสียอีกมั้ง

    ชายหนุ่มกำลังชงกาแฟแก้วแรกของวัน ตอนที่ประตูร้านถูกผลักเข้ามา

    นักท่องเที่ยวหนุ่มในชุดสีแปลกตาก้าวเข้ามาในร้านพร้อมแผนที่ขนาดใหญ่ในมือ ดวงตาหลังแว่นแฟชั่นสีดำกรอบหนาเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

    “เอ่อ แผน...แผนที่ ช่วย...คุณช่วย” นักท่องเที่ยวหนุ่มขยี้ผมตัวเองอย่างขัดใจที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ไม่ถนัดอย่างที่ควร “ขอโทษนะครับ คุณพูดภาษาอังกฤษรึเปล่า”

    จินกิยิ้มบางให้กับคำถามนั่น ใบหน้ามีสเน่ห์ของชายแปลกหน้าดูหมดหวังเต็มที

    “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย” เขาถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษ มือวางแก้วกาแฟลงข้างตัว

    “พระเจ้า!ผมนึกว่าจะไม่มีใครเข้าใจผมซะแล้ว คุณพอจะรู้มั้ยครับว่าจากนี่ผมจะไปที่นั่นได้ยังไง” นักท่องเที่ยวมือใหม่ยื่นแผนที่ให้ดู “ผมเดินวนแถวนี้มาหลายรอบแล้ว”

    “อยู่ไม่ไกลหรอกครับ คุณต้องเลี้ยวตรง...” บาริสต้าตัวหนาบอกทางคร่าวๆให้ แต่พอเหลือบมองหน้าเจ้าของแผนที่ก็เปลี่ยนใจ “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่ซับเวย์ละกัน”

    “ไม่เป็นไรครับๆ ผมไปเองได้...มั้ง”

    “ให้ผมไปส่งดีกว่า ดูท่าแล้วถ้าคุณไปคนเดียวพรุ่งนี้ก็คงไม่ถึง” จินกิแซวกลั้วหัวเราะ ถอดผ้ากันเปื้อนสีอ่อนวางลงบนโต๊ะ “สักครู่นะครับ”

    “อ่า รบกวนด้วยนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งด้วยความเกรงใจ

    จินกิวางสาย หลังจากโทรไปสั่งงานกับผู้ช่วยเสร็จเรียบร้อย

    ร่างโปร่งของนักท่องเที่ยวหนุ่มนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าร้าน คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นขณะกำลังคุยกับคนทางปลายสาย ...ดูจะเป็นเรื่องสำคัญพอตัว เจ้าตัวถึงได้หน้าเคร่งเครียดขนาดนั้น


     

    “...เข้าใจที่ผมบอกมั้ย?...ใช่...ใช่ จัดการตามนั้นเลย” คิมคิบอมกรอกคำสั่งงานภาษาญี่ปุ่นลงไปตามสายอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่จะไม่ให้เขาพักกันเลยจริงๆใช่มั้ย ถึงได้โทรมาทั้งๆที่นี่เป็นช่วงพักร้อนเขาเนี่ย  มือเรียวถอดแว่นกรอบหนาวางลงบนโต๊ะ หลับตาลง แล้วนวดหัวคิ้วตัวเองเบาๆเพื่อคลายความตึงเครียด

    “ลาเต้อุ่นๆช่วยคลายเครียดได้นะครับ” เสียงทุ้มของบาริสต้าใจดีเรียกให้นักธุรกิจหนุ่มลืมตาขึ้น และเงยหน้ามองร่างหนาที่ยืนยิ้มกว้างจนตาหยีปิด ขณะยื่นแก้วกาแฟร้อนหอมกรุ่นมาให้ “อ่า...คุณดื่มกาแฟรึเปล่า?”

    คิบอมยิ้มบาง ก่อนจะรับแก้วกระดาษนั่นมาถือในมือ “ติดเลยล่ะครับ~

    จินกิลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

    พอออกมาจากร้าน ต่างคนก็ต่างเงียบ มีเพียงเสียงลมพัดอ่อนๆระหว่างคนทั้งสอง

    ...น่าแปลก ที่ในความเงียบนั้นไม่มีความอึดอัดอะไรเลย...

    แต่สุดท้ายจินกิก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่อบอุ่นนั้นลง

    “คุณ...มาเที่ยวเหรอครับ?” ถามออกไปแล้ว เขาก็ได้แต่นึกด่าตัวเองอยู่ในใจ

    ก็เห็นอยู่ชัดๆ อีจินกิ! มีคำถามที่งี่เง่าน้อยกว่านี้มั้ยเล่า

    คิบอมนึกขำกับความพยายามที่จะชวนคุยของคุณบาริสต้า

    “ครับ ผมลาพักร้อนมาน่ะ ว่าจะพักสมองซะหน่อย แต่ก็หนีงานไม่พ้นอยู่ดี” บ่นกลั้วหัวเราะ แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ “ที่นี่น่าอยู่ดีนะครับ ไม่วุ่นวายดี”

    “ไม่วุ่นวายจนบางทีก็เหงาเลยล่ะครับ ตอนผมย้ายมาแรกๆก็แอบถามตัวเองเหมือนกันว่าคิดถูกรึเปล่า”

    “อ้าว...ผมนึกว่าคุณเป็นคนที่นี่ซะอีก คุณดู...กลมกลืนน่ะ” คิบอมขยับมือไปมาอย่างพยายามหาคำอธิบาย ก่อนจะหลุดขำกับคำที่ตัวเองเลือกใช้

    “ก็ย้ายมานานแล้วล่ะครับ เกือบสิบปีได้ จะเรียกว่าเป็นคนที่นี่ก็ได้แหล่ะมั้ง” มือหนาชี้ไปทางตึกพักอาศัยขนาดใหญ่ที่ตั้งห่างออกไปราวสามบลอค “เห็นตึกนั่นมั้ย ตอนผมย้ายมาตรงตึกนั้นยังเป็นสวนสาธารณะอยู่เลย~

    คิบอมมองตามไป แล้วก็พยักหน้าร้องหูยอยู่ในใจ เพราะตึกนั้นก็ไม่ได้ดูใหม่อะไร

    “แล้ว...ตอนคุณเพิ่งย้ายมาใหม่ๆกับตอนนี้ต่างกันมากมั้ย?”

    จินกินิ่งคิดอยู่แปบนึง “อืม...ก็ไม่มากนะ มีพวกคอนโดขึ้นมาสี่ห้าแห่ง แล้วก็มอลล์ในทาวน์อีกสองที่ ในเมืองวุ่นวายกว่าเดิม แต่ชานเมืองแบบนี้ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไร”

    ยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะชักสีหน้าเมื่อรถยนต์คันนึงแล่นสวนไป  “แล้วก็อากาศเดี๋ยวนี้ไม่สะอาดเหมือนตอนผมย้ายมาแรกๆแล้ว ฝุ่นควันเยอะจนหายใจไม่ออก...”

    คิบอมหยุดการคำนวณเม็ดเงินที่หมุนวนในเมืองเล็กๆที่กำลังพัฒนาและเริ่มเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวนี้ หลุดจากความคิดของตัวเอง เหลือบมองคนข้างกายที่กำลังบ่นอย่างลืมตัว แล้วยิ้มบาง ...นักอนุรักษ์สินะ

    ร่างหนารู้ตัวว่าตัวเองกำลังบ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องให้คนแปลกหน้าฟังก็ตอนที่รู้สึกว่าเสียงใสๆของคุณนักท่องเที่ยวเงียบไป จินกิชะงัก ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหลังคอตัวเองเก้อๆ

    “อ่า...นี่ผมบ่นอะไรเนี่ย ขอโทษนะครับ คุณคงรำคาญแย่”

    “ไม่เลยครับ ผมเห็นด้วยกับคุณนะ สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเลย” ...รวมไปถึงเขาเองด้วย คิมคิบอมจำต้องยอมรับในข้อนี้ ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจเต็มตัว เขามองแต่เม็ดเงินที่ไหลเข้าไหลออกมากกว่าจะมาใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างสิ่งแวดล้อม

    “เฮ้อ ผมเข้าใจแหล่ะว่าเรากำลังพัฒนา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะละเลยสิ่งแวดล้อมได้นะ เมื่อก่อนตอนเช้าๆแบบนี้ คุณจะได้กลิ่นดอกไม้อ่อนๆลอยมากับลมเลยล่ะ~” จินกิยิ้มน้อยๆกับความคิดตัวเอง ตาเรียวหลับพริ้มราวกับกำลังเรียกความทรงจำนั้นกลับมา

    “นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเลือกเมืองนี้รึเปล่า?”

    “คงอย่างนั้นแหล่ะมั้ง” บาริสต้าหนุ่มขำเบาๆ ก่อนจะหันมามองร่างโปร่งด้วยความสงสัย “แล้วคุณล่ะ?ทำไมคุณถึงเลือกมาเที่ยวที่นี่?มันไม่ใช่เมืองที่มีชื่อเลยนะ”

    “เพราะมันไม่มีชื่อนี่แหล่ะครับ” พอจินกิเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม คิบอมก็อธิบายต่อ “ก็...เมืองดังๆคนมันเยอะนี่นา ผมมาพักผ่อนนะ ไม่ได้มาสู้รบปรบมือเพื่อแย่งอากาศคนอื่น”

    คนนำทางจำเป็นหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ดวงตาเล็กหยีปิดจนเป็นเส้นโค้ง

    นักธุรกิจหนุ่มมองชายข้างตัวอย่างเผลอไผล รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่นสดใสจนดูเหมือนมันส่องสว่างแข่งกับแสงอาทิตย์ ...สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจางๆที่ลอยอยู่ในอากาศ

    คิบอมสะบัดหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ คิมคิบอม!นายไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ เลิกเพ้อฝันได้แล้ว

    “ก็จริงของคุณนะ เมืองไม่มีชื่อก็ไม่ต้องไปแย่งอากาศหายใจกับใคร” จินกิยังคงไม่หยุดขำกับเหตุผลของคิบอม “คราวหน้าตอนไปเที่ยวผมจะใช้เหตุผลนี้เลือกที่ที่จะไปบ้าง~

    “คุณชอบท่องเที่ยวเหรอ?ไปบ่อยรึเปล่า?”

    “อืม...ปกติก็ปีละครั้ง ถ้าว่างก็สอง คุณล่ะ?ไปบ่อยมั้ย?”

    “นานๆทีน่ะ ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไร...” คิบอมถอนหายใจ ไหล่ตกลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงงานกองโตที่ต้องเผชิญเมื่อกลับไปทำงาน “ครั้งล่าสุดก็ตอนปีสุดท้ายก่อนจบโน่นแน่ะ”

    จินกิครางตอบรับในลำคอ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้

    “คุณมีแพลนรึยังว่าจะไปที่ไหนบ้าง?”

    ร่างโปร่งส่ายหัวงงๆ เขายังไม่ได้วางแพลนอะไร แค่คิดไว้ว่าจะไปส่วนไหนของเมือง แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีตอนไปถึงที่นั่นแล้ว

    “ผมขอยืมแผนที่แปบนึงนะ” มือหนารับแผนที่ไปกางออก แล้วเริ่มชี้ไปตามสถานที่ต่างๆ แนะนำสถานที่น่าสนใจพร้อมบอกทางไปคร่าวๆให้ คิบอมพยักหน้ารับ พร้อมหยิบปากกาขึ้นมาจดคำแนะนำของเจ้าถิ่นไว้ สลับกับถามนู่นนี่นั่นตามที่ตนสนใจหรือสงสัย

    ทั้งคู่เดินคุยกันมาเรื่อย และโดยไม่รู้ตัว...

    ...ระยะทางสั้นๆจากร้านกาแฟเล็กๆมาถึงสถานีซับเวย์ก็สิ้นสุดลง...

    “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เดินมาส่ง สำหรับคำแนะนำด้วย” คิบอมยิ้มกว้าง ก้มหัวลงน้อยๆเป็นการขอบคุณ “แล้วก็...ลาเต้นี่ด้วย ขอบคุณนะครับ”

    “ยินดีเลยครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ~” จินกิยิ้มตอบ ดวงตาเล็กหยีปิด มือหนายกขึ้นโบกไปมาเพื่อบอกลาร่างโปร่งในชุดสีแปลกตา

    บาริสต้าหนุ่มยืนมองจนนักท่องเที่ยวหนุ่มลับตาไป แล้วค่อยเดินกลับไปที่ร้านของตน

    ...ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตัวเอง...


     











     


     

    นิวยอร์ค, ท่าอากาศยานนานาชาติเจเอฟเค, เทอร์มินัล 1


    [ไม่รู้ล่ะ!ยังไงพี่ต้องมางานวันเกิดฉันให้ทัน!!]

    “ไม่เอาน่าซูจองอ่า ไฟลต์มันดีเลย์ เธอจะให้พี่ทำยังไงได้ล่ะ” จินกิท้วงน้องสาวคนสนิทเสียงอ่อน “มันไม่ใช่ว่าพี่อยากไปงานเธอเลตนะ~

    [เฮ้อ งั้นพี่ต้องเอาของขวัญชิ้นใหญ่ๆมานะ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้พี่เข้าบ้าน!]

    ชายหนุ่มหลุดขำกับคำขู่ที่ไม่น่ากลัวเอาซะเลยของซูจอง “คร้าบๆ~รู้แล้วครับ รับรองเลยว่าชิ้นใหญ่กว่าใครเลย”

    หลังจากคุยกับน้องสาวอีกสองสามคำ จินกิก็วางสาย ก่อนจะหันไปสั่งกาแฟกับบาริสต้าที่กำลังรอรับออเดอร์เขาด้วยรอยยิ้ม

    “ลาเต้ร้อนครับ” เสียงใสๆคุ้นหูดังมาจากด้านหลังตอนที่เขากำลังจะจ่ายเงิน จินกิหันกลับไปมองด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องยกยิ้มกว้าง เมื่อเห็นใบหน้ามีสเน่ห์ที่คุ้นเคย

    “อ้าว มาเที่ยวเหรอครับ?”

    “มาดูงานน่ะครับ คุณล่ะ?” คิบอมถามกลับ รอยยิ้มบางประดับอยู่บนริมฝีปาก มือเรียวยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน “คิดรวมกันเลยนะครับ”

    จินกิเบิกตากว้าง อ้าปากจะปฎิเสธ แต่ก็ไม่ทันคิบอม

    “ผมเลี้ยง ถือว่าตอบแทนที่คุณช่วยผมคราวก่อน”

    “ขอบคุณนะครับ ความจริงไม่ต้องก็ได้...” จินกิเอื้อมไปหยิบกาแฟทั้งสองแก้วมา ก่อนจะยื่นลาเต้ร้อนให้นักธุรกิจหนุ่ม ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินไปนั่งที่โต๊ะกลมเล็กๆ

    “คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าคุณมาทำอะไร” ร่างโปร่งในชุดสูทเรียบร้อยผิดตากับเมื่อปีก่อนเริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

    “อ้อ ผมมาเที่ยวน่ะ แต่จะกลับแล้วล่ะ”

    “เที่ยวนิวยอร์คเหรอครับ?ผมนึกว่าคุณจะไปเมืองไม่มีชื่อซะอีก” คิบอมแซวกลั้วหัวเราะ แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงแรงสั่นของไอโฟนเครื่องหรูที่กำลังส่งสัญญาณเตือนว่ามีสายเข้าอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทสีเข้ม

    จินกิหัวเราะเบาๆ “เปล่าหรอกครับ แค่แวะมานิวยอร์คก่อนกลับน่ะ พอดีมีคนสั่งให้ผมมารับกระเป๋าที่สั่งไว้กลับไปแทน”

    คิบอมพยักหน้ารับ พลางยกแก้วลาเต้ร้อนขึ้นจิบ

    “ว่าแต่...ทริปนั้นเป็นยังไงบ้างครับ?คุณชอบที่ที่ผมแนะนำรึเปล่า?”

    “ชอบมากเลยล่ะ!มัน-สวย-มาก ทั้งวิว ทั้งอากาศ ทุกอย่างดีมากๆเลย ร้านอาหารที่คุณแนะนำก็เยี่ยมมาก เป็นทริปที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลย!” นักธุรกิจหนุ่มว่าด้วยความตื่นเต้น ดวงตาคมเปล่งประกายอย่างปิดไม่มิด มือเรียวดึงไอโฟนขึ้นมาปลดล็อคเพื่อเข้าไปที่คาเมร่าโรล ก่อนจะยื่นให้จินกิดู “ผมถ่ายรูปมาเยอะมากเลยล่ะ ดูสิ มันสวยมากๆ ผมสาบานเลยว่าจะต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้งให้ได้”

    “ถ้าคุณมาอีกครั้ง คราวนี้ให้ผมเป็นไกด์ให้นะ~ยังมีอีกหลายที่เลยที่ไม่ได้ลงหนังสือนำเที่ยว” ร่างหนาเสนอด้วยรอยยิ้ม ขณะเอนตัวเข้าไปใกล้เพื่อดูรูป

    ~~~~~~

    คิบอมเบ้ปาก เมื่อหน้าจอแสดงสายเข้าโชว์ชื่อเลขาชเว มือเรียวปล่อยไอโฟนวางบนโต๊ะอย่างไม่ใยดี ...เขายังไม่อยากไปเจอคู่สัญญาตอนนี้

    “จะไม่รับสายเหรอครับ?” จินกิเลิกคิ้วถามยิ้มๆ ความจริงเขาก็พอจะเดาได้จากสีหน้าของคนตรงหน้าแหล่ะ เพียงแต่เขาแค่รู้สึกอยากแกล้งเท่านั้นเอง

    “จริงๆก็ไม่อยากรับหรอกครับ แต่เลี่ยงไม่ได้นี่สิ” คิบอมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหยิบไอโฟนสีขาวเครื่องหรูใส่กระเป๋าเสื้อสูท และถือแก้วกาแฟพร้อมลุกขึ้นยืน

    จินกิลุกขึ้นบ้าง ใกล้เวลาที่เขาควรจะขึ้นเครื่องแล้วเหมือนกัน

    “ผมต้องไปแล้ว หวังว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะครับ” คิบอมยิ้มกว้าง

    “ผมก็หวังอย่างนั้น ขอให้โชคดีกับงานนะครับ~จินกิยิ้มตอบ ดวงตาเล็กหยีปิด มือหนายกขึ้นโบกไปมาเพื่อบอกลาร่างโปร่งในชุดสูทเรียบร้อย

    ...ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตัวเอง...อีกครั้ง...


     











     


     

    เกาหลีใต้, โซล


    “พี่จิน~กิ~~” ร่างเล็กถลาเข้าสวมกอดพี่ชายตาตีบเต็มรัก

    “เบาๆก็ได้จามงอ่า สงสารพี่บ้างมั้ยเนี่ย” จินกิแซวกึ่งหัวเราะ มือหนายกขึ้นขยี้ผมน้องชายตัวเล็กที่ไม่รู้จักโตจนยุ่งฟู “ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”

    “ก็พี่อ่ะ!ใครใช้ให้ไม่กลับมาเลยเป็นสิบปีล่ะ นี่ถ้าพี่บยองฮีไม่ร่อนการ์ด พี่ก็จะไม่กลับมาเลยสินะ” จงฮยอนยู่ปาก หางเสียงสะบัดอย่างน้อยใจ

    จินกิได้แต่หัวเราะ เขาไม่คิดจะกลับมาจริงๆนั่นแหล่ะ

    “เออ ละพี่อยู่นู่นเป็นไง เจอสาวๆสวยๆมั่งป่ะ” มินโฮถามขึ้นอย่างสนใจ มือใหญ่ขยับไปมาแทนคำอธิบาย จงฮยอนทำตาโต พยักหน้าหงึกหงัก หันมาจ้องพี่ชายเป็นตาเดียว

    พี่ใหญ่ยื่นมือไปดีดหน้าผากทั้งคู่ด้วยความหมั่นไส้

    “ให้มันน้อยๆหน่อย อายุตั้งเท่าไรกันแล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

    “อะไรวะ ของแบบนี้มันไม่มีคำว่าเด็ก คำว่าแก่เหอะ มันอยู่ที่ใจ~” จงฮยอนหลุดขำกับประโยคแปลกๆของตัวเอง

    “ตกลงยังไงพี่ เจอสาวๆมั่งป่ะ” มินโฮดึงกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง ตาโตจ้องพี่ชายอย่างต้องการคำตอบ พอจินกิเงียบ ชายหนุ่มตัวสูงก็ตีป๊าบเข้าที่ไหล่หนา “บอกมาเลย”

    “จะไปเจอใครที่ไหน” นักเขียนเพลงหนุ่มเขี่ยน้ำแข็งในแก้วกาแฟเย็นของตัวเองเล่น รอยยิ้มบางประดับบนริมฝีปาก ย้อนนึกถึงคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยเมื่อหลายปีก่อน “วันๆพี่ก็อยู่แต่ที่ร้าน เจอก็แต่เด็กๆกับมาดามเฟลอร์นั่นแหล่ะ”

    “อะไรว้า~พี่แม่งน่าเบื่ออ่ะ” จงฮยอนครางหงิงด้วยความขัดใจ “อายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอกพี่”

    “เราเถอะ จามง น้องคนนั้นที่เล่าให้พี่ฟังน่ะไปถึงไหนแล้ว ชื่ออะไรนะ?...จีซอง...?”

    “จีโซล ฮัน-จี-โซล” มินโฮแทรกขึ้นเสียงดัง ยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเหล่มองรุ่นพี่ตัวเล็กอย่างล้อเลียน “พี่จินกิรู้มั้ย สองคนนี้เขาย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ”

    จงฮยอนหน้าแดงเถือก คว้าเอาช้อนไอศกรีมปาใส่คนพูดมากเต็มแรง

    พี่จินกิหัวเราะร่า กับภาพเดิมๆที่ห่างหายมากว่าสิบปี ...สิบปีที่เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่และเลือกที่จะเดินตามความฝันของตัวเองในแดนห่างไกล

    “พี่มินโฮ?” เสียงหวานดังเบาๆเหมือนไม่แน่ใจ เรียกให้ชายหนุ่มทั้งสามคนหันไปมองต้นเสียง

    “อ้าว แทมิน มากินไอศกรีมเหมือนกันเหรอ?” มินโฮยิ้ม ยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีให้เห็นได้บ่อยนัก รอยยิ้มที่บอกจินกิว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นคนสำคัญของชเวมินโฮ

    เด็กหนุ่มหน้าหวานมองกลุ่มชายสามคนด้วยสายตาแปลกๆ ...มันก็แปลกอยู่หรอกที่ชายหนุ่มตัวโตสามคนจะมานั่งคุยกันในร้านไอศกรีมสีหวานแบบนี้น่ะ

    “นั่งด้วยกันมั้ยแทมิน มากับใครล่ะ?” จงฮยอนตบโซฟาที่ว่างข้างตัวเป็นการเชื้อชวน

    แทมินยิ้มแหย แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนั่งข้างจงฮยอน

    “ผมมากับพี่คิบอมฮะ” ตากลมของเด็กหนุ่มเหลือบมองจินกิอย่างสงสัย

    “แทมิน นี่พี่จินกิ รุ่นพี่พี่เอง พี่จินกิ...” จงฮยอนแนะนำ ก่อนจะดึงไหล่บางมาชิดตัว “นี่แทมิน แฟนผม”

    มินโฮคว้าเอาช้อนที่รุ่นพี่ตัวเล็กปามาเมื่อกี้ขว้างใส่หัวสีเงินนั่นอย่างแม่นยำ

    “แทมินแฟนผมก็พอ คอยดูเหอะ ผมจะบอกฮันโซลว่าพี่มีกิ๊ก”

    แทมินไม่ใส่ใจรายการตีกันประจำวันของทั้งคู่ เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี ยื่นมือมาให้จินกิจับ “ผมอีแทมินฮะ ยินดีที่รู้จักนะฮะพี่จินกิ”

    “ยินดีที่รู้จักเช่นกันครับ” นักเขียนเพลงหนุ่มยิ้มบาง “รู้จักกับมินโฮนานรึยัง?”

    แก้มยุ้ยๆนั่นขึ้นสีอย่างน่ารัก “ก็ตั้งแต่เรียนมัธยมน่ะฮะ พี่มินโฮเป็นเลขาพี่ชายผมน่ะ”

    “พี่ชาย?”

    “พี่คิบอมน่ะฮะ เดี๋ยวก็มามั้งฮะ พี่คิบอมเอารถไปจอดเมื่อ...อ้ะ!นั่นไงฮะ”

    แทมินยกมือขึ้นโบกไปมาในอากาศ

    จินกิมองตามสายตาเด็กหนุ่มไปทางประตูร้าน รอยยิ้มบนริมฝีปากได้รูปกว้างขึ้นเรื่อยๆ

    ร่างโปร่งที่คุ้นเคยในชุดสูทไม่เป็นทางการนักกำลังเดินเข้ามา ผมที่เคยเป็นสีบลอนด์ทองตอนนั้น ตอนนี้ออกสีน้ำตาลไหม้ รอยยิ้มบางที่คุ้นเคย ลักยิ้มน้อยๆบนแก้มขาว...

    “พี่คิบอม~!

    “หนีพี่เข้ามาก่อนอีกแล้วนะแทมิน” มือเรียวเคาะหน้าผากน้องชายเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว

    “พี่คิบอม นี่พี่จินกิ รุ่นพี่พี่มินโฮ พี่จินกิฮะ นี่พี่คิบอม พี่ผมเอง”

    จินกิยิ้ม จนตาหยีปิดเป็นเส้นโค้ง

    “เจอกันอีกแล้วนะครับ คุณคิบอม”

    คิบอมเองก็ยิ้มกว้าง ลักยิ้มบนแก้มกดลึกจนเห็นได้ชัด

    “ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับ คุณจินกิ”










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×