ตอนที่ 18 : 17 | Dark Jane
Chapter 17
Dark Jane
I knew I was in trouble for the moment I laid eyes on you
Dangerously, I can feel the chemistry around the room
Something deep inside told me to think twice, I knew
But I went ahead what a stupid thing to do
Now I'm in trouble
หลังจากวันนั้น เขาก็หายไปจริงๆ
เขาไม่โทรหาผมอีก ไม่มาดักรอเจอไม่ว่าที่ไหนในมหาวิทยาลัย และไม่ขับรถไปดักรอเจอผมหน้าบ้านแล้วด้วย
และผมก็กำลังคิดว่าผมต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะเขาไม่มาตื๊อ ก็ดันคิดถึงเขาอยู่อย่างนี้ สายตามันคอยแต่ชำเลืองมองว่าเขาอยู่ที่ไหนใกล้ๆ รึเปล่า แต่ตอนที่เขามาตามผมก็กลับหงุดหงิด นี่ผมกำลังเป็นไบโพล่าร์หรือยังไง
เรื่องแย่กว่านั้น คือตั้งแต่ต้นแล้วที่เรื่องของเรามันค่อนข้างจะดัง อาจเป็นเพราะความหล่อของพี่เจน เพราะเพจคิวท์บอย หรือเพราะอะไรก็ตาม ทำให้เมื่อตอนนี้เราห่างกันอย่างเห็นได้ชัด ก็เกิดเสียงซุบซิบอย่างสงสัยไปทั่วว่าเราทะเลาะกันหนักหรือว่าเลิกกันแล้วกันแน่ แม้แต่ในเพจคู่ของเราก็มีทั้งแม่เพจและลูกเพจที่ไต่ถามกันอย่างสงสัย แล้วพอมีคนไปคอมเมนต์บอกว่าเห็นเราทะเลาะกันที่ชั้นสามตรงหน้าตู้ล็อกเกอร์ หลังจากนั้นเรื่องก็กระจายออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ซึ่งแน่นอนว่าหากผมปรากฏตัว กลุ่มคนที่กำลังซุบซิบก็จะเงียบกันไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันหายไปจริงๆ และผมก็ไม่คิดที่จะเล่าอะไรให้ใครฟังด้วย ผมไม่มีอารมณ์...
แต่ที่แย่ที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องสุขภาพจิตของผม เพราะผมหวาดระแวงตลอดเวลาที่ต้องอยู่ในมหาวิทยาลัย เวลาที่มีคนมาคุยกับผม ในหัวผมก็เอาแต่คิดว่าพวกเขาเป็นคนที่ติดหนี้พี่เจนรึเปล่า และในเวลาที่เรียนหนังสือ ผมก็เอาแต่คิดว่าอาจารย์คนไหนที่ติดค้างพี่เจนบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นพี่เจนจะเอารหัสล็อกอินนั้นมาได้ยังไง หรือว่ามันเลยเถิดไปขนาดระดับอธิการบดียังติดหนี้กับเขา ผมระวังตัวมากจนดูคล้ายเป็นโรคประสาท แม้แต่กับยามของมหาวิทยาลัย ผมยังระแวง
“เจน”
“อะไร” ผมขานตอบแก๊ปในบ่ายวันหนึ่ง
“มึง... ยังไม่คืนดีกับพี่เจนเหรอ”
“...”
“กูเห็นมึงไม่ใส่สร้อยที่เขาให้แล้ว กูก็เลยคิดว่าทะเลาะกัน แต่นี่มึงไม่ใส่มาเป็นอาทิตย์แล้วนะ ยังไม่ดีกันอีกเหรอวะ”
และก็ยังมีบางคนที่ตาดีมากๆ อย่างแก๊ป ที่รู้ขนาดว่าผมเลิกใส่สร้อยคู่กับพี่เจนแล้ว
“ว่าไง”
“...พวกกูเลิกกันแล้ว”
“หา!”
“อืม”
ผมบอกแค่นั้น ไม่อยากบอกรายละเอียดกับแก๊ปไปมากกว่านี้ ผมเห็นพุฒิคอยชำเลืองมองพวกเรา แต่ผมก็ตีหน้านิ่ง ผมรู้แล้วว่าพุฒิคิดยังไงกับผม ผมก็ขอบคุณที่มันมีความรู้สึกดีๆ ให้ แต่ผมไม่อาจตอบแทนมันกลับด้วยความรู้สึกเดียวกันได้จริงๆ ผมไม่มีทางมองมันเกินเพื่อนไปได้ ดังนั้นผมจึงปฏิบัติตัวเหมือนเดิม และท่าทางของผมคงบ่งบอกชัดว่าผมไม่ต้องการพูดถึงเรื่องวันนั้นหรือเรื่องของพี่เจน พุฒิจึงไม่ปริปากเอ่ยถึงเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งผมก็ขอบคุณ
แก๊ปตวัดแขนโอบรอบบ่าผม
“เพื่อนเอ๊ย คู่รักที่รักกันใหม่ๆ มันก็แบบนี้อ่ะนะ จะทะเลาะกันเรื่อยๆ แหละจนกว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้ เดี๋ยวมึงก็อาจจะกลับมาคืนดีกับเขาเร็วๆ นี้แหละกูว่า”
“ไม่แก๊ป กูกับเขาเลิกกันแล้ว จะไม่กลับมารักกันอีก” ผมเอ่ยจบแล้วก็ตัดสินใจกำกำปั้นเคาะโต๊ะเบาๆ เรียกความสนใจจากเพื่อนในกลุ่มให้ต้องเงยหน้ามามองโดยพร้อมเพรียง ก่อนผมจะประกาศ
“ทุกคน เจนกับพี่เจนเลิกกันแล้วนะ”
“อ้าว”
“หา”
“อืม ตามนั้นแหละ”
แล้วผมก็ก้มหน้าลงไปสนใจกับชีทวิชาบัสคอม ทำเหมือนกับมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก ปล่อยให้เพื่อนๆ ลอบมองหน้ากันและกันอย่างสงสัยแต่ผมก็ไม่คิดจะขยายความมากไปกว่านั้น ทุกคนรู้เท่านี้ก็พอแล้ว
ไม่จำเป็นต้องมารู้เยอะๆ แล้วประสาทเสียบ้าบอเหมือนผมหรอก
สี่วันที่ไม่มีเจน แพทริคในชีวิต
ไม่มีตัวเจน แพทริค แต่ก็ไม่รู้ว่ามีสมุนคนไหนของเขาที่จับตาดูผมอยู่รึเปล่า
ช่างแม่ง... ดูไปแล้วจะทำอะไรได้ ก็ทำได้แค่จับตาดูนั่นแหละ
ผมหวังจริงๆ ว่าคืนนี้ผมจะนอนหลับสนิทโดยไม่ฝันถึงเขาสักที
ผมจับมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาเข้าหากัน แล้วผลักประตูห้องกระจกเข้าไปเพื่อเข้าเรียนลีลาศ เข้าไปถึงก็เห็นว่าทุกคนเข้าที่ ยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้ว ...ยกเว้นก็แต่คู่ของผมที่ยังยืนอยู่คนเดียว
ผมผงกศีรษะให้อาจารย์เป็นเชิงขอโทษที่มาสาย ยังดีที่อาจารย์รพีใจดีเขาจึงไม่เช็กให้ผมขาด ก่อนผมจะวางกระเป๋าลงที่มุมห้อง แล้วเดินเข้าไปประจำที่
ผมจับมือหนาทั้งสองข้างที่ตั้งท่ารอไว้ก่อน เลี่ยงการมองหน้าโดยการมองผ่านไหล่เขาไปไกลๆ
ผมก็แค่มาเข้าเรียนตามปกติ ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
ผมก้าวเท้าไปตามจังหวะเพลงบอลรูมอย่างแม่นยำ และมีสมาธิ ปล่อยให้เสียงเพลงที่สง่างามโอบล้อมไปทั้งตัว ไม่มีการพูดคุยใดๆ จากเราทั้งสองในวันนี้เลย
“You’re late.” (เจนมาสาย)
ในที่สุดเสียงทุ้มก็เป็นฝ่ายที่เปิดปากพูดก่อน ผมตอบกลับทั้งที่ยังไม่สบตาเขาเช่นเดิม
“Yes.” (ใช่)
“Why?” (ทำไม)
“It’s none of your business.” (ไม่ใช่เรื่องของพี่)
“Woo-hoo.”
กวนตีน...
ผมนึกอยากจะหยุดเต้นแล้วตั๊นหน้าเขาแรงๆ เมื่ออีกฝ่ายทำเสียงผิวปากอย่างนั้น เกลียดที่พอได้ชำเลืองสายตาไปมองเขาก็เห็นว่าเขายิ้มน้อยๆ อยู่ เขาไม่สะทกสะท้าน ไม่เลยสักนิดเดียว
ผมหมุนตัวออกตามจังหวะ แล้วกลับเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะก้าวเท้าตามจังหวะต่อ
“พี่ถามหน่อยสิ”
“อะไร”
“ทำไมเจนต้องเกลียดสิ่งที่พี่ทำขนาดนี้ด้วย”
ผมต้องเงยหน้าไปมองหน้าเขาเต็มๆ จนได้ ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำถามโง่ๆ แบบนี้จากคนฉลาดๆ อย่างเขา
“เพราะมันผิด”
“ผิดยังไง”
“...”
“ตอบพี่สิ ว่ามันผิดยังไง”
“...พี่เล่นกับจิตใจคน”
“พี่แค่ช่วยเหลือพวกเขา”
“เหอะ”
“เจนรู้จัก favor ไหม”
“พูดอะไรของพี่”
“Do me a favor. รู้จักประโยคนี้ไหม”
“รู้”
ไม่รู้จักก็บ้าแล้ว มันก็แค่ประโยคอังกฤษพื้นฐานง่ายๆ ที่แปลว่าช่วยเหลือฉันหน่อย เรียนมาตั้งแต่ตอนมอต้น
“เจนคิดว่า favor คืออะไรล่ะ”
“มันก็แปลว่าความช่วยเหลือไง”
เขากดยิ้มมุมปากขวา ก้าวเท้าถอยหลังเมื่อถึงท่าที่ผู้ชายต้องถอย ผมบอกรึเปล่าว่าเขาเองก็ไม่มองหน้าผมเหมือนกัน แต่มองเลยหัวผมไปที่กำแพงด้านหลัง
“ครูสอนภาษาอังกฤษในไทยเขาบอกแบบนั้นเหรอ”
“...ใช่”
“ความช่วยเหลือ มันคือ help ต่างหาก”
“มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”
“ไม่ ไม่เหมือนกัน”
“...”
“ไม่คล้ายเลยด้วยซ้ำ”
“...”
“ถ้าเจนติดอยู่ในตึกที่ไฟไหม้ เจนจะบอกว่า help me หรือบอกว่า do me a favor ล่ะ”
“...”
“บอกว่า help me ถูกไหม”
“...”
“Favor คือความช่วยเหลือแบบที่ต้องการการตอบแทนกลับ ถ้าพี่ขอให้เจนทำ favor ให้พี่ แปลว่าวันหนึ่งพี่ต้องตอบแทนเจน เหมือนที่ประธานธิบดีสหรัฐขอ favor กับประธานสภาคอนเกรส แปลว่าวันหนึ่งประธานสภาฯ ก็จะขออะไรบางอย่างจากท่านประธานธิบดีกลับได้”
เขายังคงกระซิบเล่าด้วยเสียงที่ทำให้ผมไม่อาจละความสนใจจากเขาได้เลย
“มันก็เหมือนกับการเทรดแลกสินค้า แค่เปลี่ยนจากสินค้าเป็นความช่วยเหลือ การพึ่งพาอาศัยกัน”
“...”
“อาชีพของพี่ก็เหมือนพ่อค้าทั่วไป แค่สินค้าของพี่...มันคือความช่วยเหลือ”
“...favor”
“ใช่” เขายิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อผมพึมพำคำนั้นออกไป “I just did everyone a favor.” (พี่ก็แค่ให้ความช่วยเหลือกับทุกคน)
“...”
“น่าเสียดายนะ ไม่มีคำไหนในภาษาไทยที่จะแปลคำว่า favor ได้ตรงความหมายจริงๆ เลย”
ไม่มีจริงๆ นั่นแหละ
favor เป็นความช่วยเหลือรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่มีบัญญัติในภาษาไทย
มันไม่ใช่สินบน ไม่ใช่แป๊ะเจี๊ยะ ไม่ใช่หนี้บุญคุณ
...แต่ก็ไม่ใช่ความช่วยเหลือจริงๆ
“แล้วในเมื่อพี่แค่ช่วยเหลือทุกคนในสิ่งที่เขามาขอ แล้วพี่ก็แค่เรียกคืนเวลาที่พี่ต้องการอะไรบ้าง”
“...”
“เอาล่ะทีนี้ ตอบพี่หน่อย เจนอารีย์”
“...”
“พี่เลวขนาดนั้นเลยเหรอ”
เขากรีดยิ้มกว้าง
“หืม...?”
ขอเขาแล้วได้ทุกสิ่ง แต่แค่ต้องจ่าย
“...เลวสิ เจน แพทริค”
ผมหาเสียงของตัวเองพบแล้วตอบออกไปจนได้ เขาเอียงศีรษะ มองหน้าผมอย่างสนใจขณะที่วงแขนนั้นยังรัดผมเอาไว้แล้วชักพาไปตามจังหวะเช่นทุกครั้ง ผมสบตาเขาเต็มสองตา
“เลวที่เล่นกับจิตใจคน บังคับให้เขาต้องทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างไร้ทางเลือก จะหาคำพูดสวยหรูแค่ไหนมาอธิบายมันก็เท่านั้นแหละ”
ผมไม่หลบดวงตาคู่นั้นเลย
“การกระทำแบบนี้มันคือการกระทำของพวกมาเฟียชัดๆ”
“Jane Jane Jane...” เขาเรียกชื่อผมเป็นจังหวะ เสียงเจือหัวเราะ ใบหน้านั้นยิ่งมีรอยยิ้มร้ายระบายกว้าง “Nothing in this world comes for free.” (ไม่มีอะไรบนโลกที่ได้มาฟรีๆ หรอก)
“...”
“They are all willing to ask me for a favor, so of course they need to give me back” (พวกเขาทุกคนยิ่งกว่าเต็มใจที่จะมาขอความช่วยเหลือจากพี่ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องจ่ายคืน)
“...”
เขาก้มศีรษะลงกระซิบเสียงเบาแสนเบาที่ข้างหูผม
“So please baby, don’t be too emotional.” (เพราะงั้นขอล่ะที่รัก อย่าอ่อนไหวไปหน่อยเลยได้ไหม)
“ฮัลโหล ป๊าอยู่ไหนแล้ว”
[เอ้อ อีกสิบห้านาทีน่าจะถึง เจนมารอตรงสะพานลอยสองได้ไหม ป๊าขี้เกียจวนรถเข้ามอเจน]
“ได้ๆ”
[นี่เรียนวิชาอะไรมานะ]
“เรียนเต้นลีลาศ เขาเก็บหน่วยกิตเข้าหมวดพละอ่ะป๊า”
[เอ้อ ดี ป๊าชอบมาก ตอนหนุ่มๆ อยากเรียนแต่ก็ไม่มีตังค์ ว่าแต่ช่วงนี้เจนกลับเร็วตลอดเลยนะ ปกติไม่มืดไม่กลับ เดี๋ยวนี้ไม่เตะบอลแล้วเหรอ]
“...เจนเหนื่อยๆ ไม่มีอารมณ์อ่ะครับป๊า สงสัยจะเรียนหนัก”
[สู้ลูก คว้าใบปริญญามาให้ป๊ากับแม่ชื่นใจให้ได้ เจนจะเป็นปริญญาตรีใบแรกของบ้านเราเลยนะ]
“ครับ เจนรู้ เจนสู้เพื่อป๊ากับแม่แล้วก็เพื่อตัวเองเสมอแหละ”
[ดีมาก เอ้า วางแล้วนะ เดี๋ยวเจอกัน]
ผมเดินข้ามถนนเพื่อที่จะไปยังสะพานลอยสองตามนัดกับป๊า ยังคงคิดถึงคำพูดของเขาเรื่องความช่วยเหลือ ที่ต่อไปนี้ผมคงจะต้องเรียกมันว่า favor เพราะในเมื่อมันไม่ใช่ความช่วยเหลือจากใจที่บริสุทธิ์จริงๆ แล้วก็ไม่มีศัพท์คำใดที่จะอธิบายได้ดีกว่านี้แล้ว
ลมหนาวยามค่ำพัดโชยมาต้องผิวเนื้อ ผมรู้สึกหัวใจหวิวไหวกว่าทุกคราว อาจเป็นเพราะว่าปกติหากเป็นวันที่เรียนลีลาศ เราต้องกลับด้วยกัน เราจะไปหาข้าวเย็นกิน...แล้วเขาจึงจะไปส่งผมที่บ้าน และเพราะต่อจากนี้มันจะไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไป ผมจึงอ่อนไหวกว่าที่เคย
‘So please baby, don’t be too emotional.’ (เพราะงั้นขอล่ะที่รัก อย่าอ่อนไหวไปหน่อยเลยได้ไหม)
อีกแล้ว... อีกครั้งแล้วที่มีคนมาบอกผมว่าอย่าอ่อนไหวให้มันมากนัก
การที่ผมเป็นคนอ่อนไหว มันคงน่ารำคาญมากสินะ
ผมสลัดหัวไล่คำพูดของเขาออกไป พึมพำบอกให้ตัวเองลืมสิ่งที่เขาพูดในวันนี้ซะ หากระหว่างทางที่ต้องเดินผ่านห้องสูบบุหรี่ ผมกลับอดไม่ได้จริงๆ ที่จะมองเขาไปข้างในเพื่อมองหาคนที่ตัวเองเพิ่งแยกจาก ไม่มีเขา ก็ดี เขาคงจะกลับคอนโดฯ ไปแล้ว ไปล่ารายชื่อของคนที่ยังติดค้าง favor กับตัวเอง
ผมเดินไปตามทางที่ความมืดค่อยๆ โรยตัวลงมา แล้วก็ต้องใจกระตุกเมื่อในที่สุดผมก็พบกับเขาจนได้
แต่เขาไม่ได้อยู่คนเดียว เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหิน พิงหลังกับโต๊ะขณะที่สูบบุหรี่ไปด้วย มีเพื่อนๆ ของเขานั่งรายล้อมอีกสี่ห้าคน
และผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลย
ว่าตัวเองกำลังเดินเข้าไปหาเขาจริงๆ
แต่ผมก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด ในเมื่อผมมีคำถามที่ค้างคาใจที่ยังไม่ได้ถามเขา คำถามที่ผมไม่อาจสลัดออกไปจากหัวได้ ทีเขายังมาถามผมเลยว่าทำไมต้องเกลียดสิ่งที่เขาทำขนาดนั้นด้วย ทำไมผมจะถามเขาบ้างไม่ได้
เราสบตากันตั้งแต่ผมยังอยู่ห่างๆ จนกระทั่งตอนนี้ที่ผมเดินมาตรงหน้าเขา พี่เจนโบกมือซ้ายขึ้นส่งสัญญาณ เพียงเท่านั้นเพื่อนๆ ของเขาก็กระจายตัวหายไปกันหมด ลืมไป... พี่แดนบอกผมแล้วนี่ว่าเขาไม่มีเพื่อน คนพวกนั้นคือสมุนของเขาต่างหาก คนที่ติดหนี้วิญญาณกับเขาแล้วยังไม่ได้ชดใช้...
เขามีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
“ว่าไง เจนจะมาขอ favor อะไรจากพี่แล้วเหรอ”
“เปล่า แต่เจนมีอะไรมาถามพี่เจนกลับบ้าง”
เขาผงกศีรษะ รอยยิ้มไม่จางหายไปเลย
“...เจนจะมาถาม ว่าพี่มายุ่งกับเจนแต่แรกทำไม”
“...”
“ตั้งแต่ตอนนั้น...วันนั้น...”
ผมคิดถึงครั้งแรกที่เราสบตากัน วันนั้นผมเตะบอล ส่วนเขานั่งอยู่บนอัฒจันทร์ ผมยังจำรอยยิ้มมุมปากนั่นได้ หรือตอนที่ผมเตะบอลลอยไปไกล แล้วเขาเป็นคนที่เก็บให้ ความทรงจำตอนที่เราเริ่มรู้สึกดีๆ ต่อกันลอยวนขึ้นมาเต็มสมองผมทำให้ผมรู้สึกอ่อนไหวจนน้ำตาคลอหน่วย มันน่าเศร้าเหลือเกินที่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ผมที่รู้สึกดีๆ อยู่ฝ่ายเดียว ส่วนเขา...ไม่เลย
ผมคิดถึงคำพูดนั้นที่เขาบอกว่าตั้งแต่เขาเกิดมายี่สิบเจ็ดปี เขาไม่เคยชอบใครเท่าผมเลย ตอนที่เขาชวนผมกลับไปอยู่อเมริกาด้วยกัน มันเหมือนกับคำขอแต่งงาน... ทั้งหมดนั้นนั่นแหละที่ทำให้ผมปล่อยมันไปไม่ได้จริงๆ
“พี่มายุ่งกับเจนทำไม...”
ดวงตาของผมพร่าเบลอเพราะหยดน้ำตาจนไม่อาจมองออกว่าเขามีสีหน้ายังไง ผมรู้เพียงว่าเขายังเอาแต่เงียบนิ่ง
“มาทำให้เจนชอบพี่ทำไม...”
“...”
“พี่มาทำดีกับเจน... มาดูแลเจน... มายุ่งกับเจนตั้งแต่แรกเจนทำไม”
“...”
“ทำอย่างนั้นทำไม ตอบมาสิ!”
“เพราะหน้าเจน .. โง่ดี”
“...”
คำตอบของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบหัว ผมมือชา ใจสั่นจนขยับตัวไม่ได้ รู้สึกได้ถึงเสียงของความทรงจำที่แตกสลายราวกับแก้วที่แตกออกจากกันเป็นเศษ
เพราะหน้าผมมันโง่ดี...
แค่นั้นสินะ... แค่นั้น...
ควันบุหรี่สีเงินถูกพ่นออกจากปากของคนพูด
“เป็นไง พอใจกับคำตอบของคนเลวๆ อย่างพี่ไหม”
“...”
“ถ้าพอใจ ก็ไปได้แล้วครับ”
...ใจร้าย
เขามันใจร้ายที่สุด...
อย่าถามผมเลยว่าผมตอบโต้เขากลับไปว่าอะไร
เพราะผมจำได้เพียงแค่ว่าผมหันหลังวิ่งสุดฝีเท้าออกมาจากตรงนั้น และนอนร้องไห้หนักยิ่งกว่าวันที่ผมรู้ความจริงเกี่ยวกับเขาซะอีก
แล้วนายคาดหวังว่าจะได้ยินอะไรล่ะเจนอารีย์
คาดหวังว่าจะได้ยิน...ว่าเขาเข้ามาเพราะเขารักนายหรือไง...
...ใช่ ผมคาดหวังอย่างนั้น
ในความหวังที่ริบหรี่ ในความโกรธที่ถูกหลอก ในความเจ็บปวดที่ยังไม่เจือจาง ผมยังหวังว่าคำตอบของคำถามจะเป็นคำนั้น
แต่มันไม่ใช่เลย
ทุกอย่างมันเริ่มต้นหลังจากที่เราสบตากันวันที่เขาอยู่บนอัฒจันทร์วันนั้น
เพียงเพราะหน้าตาของผมมันโง่ดี
---------
ฮวังซอล
บอกแล้วไงว่าจะร้ายให้ดูแล้วนะ
เรื่องนี้ไม่ใช่แฟนตาซีนะคะ คือโทนเรื่องอาจจะลึกลับวาบหวิวมากไปหน่อยคนเลยคิดว่าเป็นแฟนตาซีซะเยอะเลย 5555 เห็นมีคอมเม้นกับแท็กแนวๆ รอเผยร่าง ฮืออ ไม่ช่ายยย พี่เจนใหญ่เป็นมานุดดดดด
ตอนนี้มีอธิบายเรื่องคำว่า favor ให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจคอนเซปต์ของเรื่องและพี่เจนใหญ่โดยทั่วกัน
#อย่าขอพี่เจน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทีมพี่เจนจ้าาาาา บอกเลยยยยยย
ส่วนเจนคือไม่ฟังใครตั้งแต่ต้น เพื้อนก็ไม่ฟัง พอตอนนี้ก็ไม่ฟังพี่เจน เจนฟังแค่ตัวเองอะ น้องเอ้ยยย
ปล.เขาจะกลับมารักกันได้จริงเหรอคะไรท์....