ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] .....MAMA Plan.....Kris x Luhan

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 55


    Kris
    .
    .
    .

    ผมจำได้แล้วว่าไปคุ้นหูเพลงนี้มาจากที่ไหน เพลงที่ไอ้หน้าหล่อมันฟังตอนขับรถไปทะเลก็คือเพลงนี้เนี่ยแหละผมจำได้ ว่าแต่คริสเนี่ยมันก็เขียนแบบเดียวกับคริสที่สลักอยู่ในแหวนผมห้อยคออยู่เลยอ่ะ แต่คงไม่ใช่คริสเดียวกันหรอกมั้งเนอะ
    .
    .
    .
    หรืออาจจะใช่??
     
    ข้องใจอ่ะ ทำไงดี โทรหาดีมั้ยเนี่ย?? แต่ไม่มีเบอร์นี่หว่า...งั้นช่างมันเหอะ
    .
    .
    .
    แต่ม๊ามีนี่ คิดได้แบบนั้นผมก็กระเด้งตัวออกจากเตียงเพื่อไปหาม๊าที่ตอนนี้คงจะยังดูทีวีอยู่ข้างล่าง
     
    “ม๊า ขอเบอร์พี่อู๋ฟานหน่อยดิ”
     
    “ดึกแล้วนะจะโทรไปหาพี่เค้าทำไม”  เอ๊ะ วันนี้มาแปลก ถ้าปกติผมขอเบอร์ไอ้หน้าหล่อเนี่ยม๊าต้องดีใจรีบให้เลยไม่ใช่หรอ??
     
    “เอามาเหอะน่า”
     
    “หรือว่าคิดถึงพี่เค้า หืม??”  ผมรู้แล้วล่ะว่าม๊าต้องการอะไร-*-
     
    “อือ คิดถึงมากกกกกกกกกกกก จะให้ได้ยัง”
     
    “อ่ะ หาเอาเอง เมมไว้ว่าลูกเขย” โอ้โหม๊าจะรีบเรียกลูกเขยไปไหน   ผมยังไม่ได้ตกลงปลงใจกับมันเลยนะ
     
    พอผมได้เบอร์มาแล้วก็กดโทรหาซะเดี๋ยวนั้นเลย รอสายมันจนผมเดินไปถึงห้องแล้วก็ยังไม่มีคนรับจนสัญญาณตัดไป ผมก็กดโทรใหม่อีก ดึกขนาดนี้แล้วคงไม่ได้ทำงานอยู่หรอกมั้ง หรือว่าจะหลับแล้ว แต่นี่ก็ยังไม่ดึกมากไม่น่าจะหลับลึกขนาดไม่รู้สึกตัวว่ามีคนโทรมานะ หรือเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกเลยไม่อยากรับ ลองส่งข้อความไปดีกว่า....ส่งว่าอะไรดีอ่ะ
     
    ....พี่..ผมเอง รับหน่อยดิ....
     
    สั้นๆง่ายๆได้ใจความ ส่งแล้วรอแปบนึงผมก็โทรไปอีก มันก็ไม่รับ แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าเพราะมีกดตัดสาย เอาซี่ๆ กล้าตัดสายใส่ผมแบบนี้ต้องจัดรัว ผมโทรยิกเลยครับ บางครั้งก็รอสายจนตัด หรือไม่ก็ถูกตัดสายก่อน ยิ่งโทรยิ่งโมโห ถ้าเป็นผมคงจะรำคาญจนกดรับมาคุยกันให้รู้เรื่องไปแต่นี่สงสัยความอดทนมันจะสูงน่าดู ผมโทรจนโทรศัพท์ร้อนหมดแล้วยังไม่มีทีท่าจะรับเลย จนในที่สุด....มันปิดเครื่องหนี อ๊ากกกกกกกกกกกก จำไว้เลยไอ้บ้า  นอนก็ได้ว่ะ
     
    ..........................................................................................................................................................................
     
    วันนี้ผมมีเรียนบ่ายเลยตื่นสายได้นิดหน่อย แต่ก็ดีแล้วเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะมีเรื่องติดใจ..แถมยังโดนคนกวนโมโหอีก อารมณ์ยังค้างอยู่เลยเนี่ย ถ้าเจอหน้านะจะ....จะ....จะ
     
    “เฮ้ย....มาทำไม”  มันมายืนทำหน้าหล่ออะไรตรงบันไดบ้านคนอื่นเค้าเนี่ย
     
    “นี่เสี่ยวลู่เมื่อวานยังบอกว่าคิดถึงพี่เค้าอยู่เลย แล้วนี่มาหงุดหงิดใส่ได้ไง หรือเมื่อคืนทะเลาะอะไรกัน”  มันมองหน้าผมแล้วทำหน้างงๆ แต่ผมเห็นนะว่ามันแอบอมยิ้มตอนที่ม๊าบอกว่าผมคิดถึงมันก่อนจะกลับไปตีหน้าเข้มตามเดิม
     
    “เปล่าครับ” พอเห็นผมจ้องหน้ามันเงียบๆมันเลยตอบตอบม๊าไป
     
    “แล้วตกลงว่ามาทำไม”
     
    “ม๊าให้มารับลู่หานไปส่งที่มหาลัย”  มันบอก ผมเลยหันไปมองหน้าม๊า ม๊าก็พยักหน้าให้
     
    “ก็พอดีม๊าไม่ได้ทำกับข้าวไว้ก็เลยให้พี่เค้ามารับเสี่ยวลู่ไปกินข้าวเที่ยงไงลูก”
     
    “ลำบากพี่เค้าเปล่า ดูหน้าเหมือนไม่อยากจะมาเท่าไหร่” ทำไมชอบทำหน้าเครียดว่ะ ถ้ายิ้มเยอะแล้วหน้าจะเหี่ยวเร็วรึไง
     
    “เสี่ยวลู่ทำไมพูดกับพี่แบบนั้น ขอโทษพี่เค้าเดี๋ยวนี้เลยนะ”  แล้วผมพูดผิดตรงไหนอ่ะม๊า ดูไอ้หน้าหล่อมันทำหน้าบูดแบบนี้ยังจะไปเข้าข้างมันอีก 
     
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่านี่ก็จะเที่ยงแล้ว...”  มันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพูดขึ้น
     
    “ม๊าไม่รู้นะว่าเป็นอะไรกัน ไปคุยกันเองล่ะกัน” ม๊าพูดเสร็จก็เดินหนีไป ปล่อยให้ผมกับไอ้หน้าหล่ออยู่ด้วยกันสองคน ผมก็เลยเริ่มหาเรื่องมันซะเลย
     
    “เมื่อคืนทำไมไม่รับโทรศัพท์”  พูดไปแล้วเริ่มรู้สึกว่าเหมือนประโยคที่พวกแฟนงี่เง่าพูดยังไงไม่รู้-*-
     
    “ไม่ว่าง”
     
    “หรอ...แล้วที่กดตัดสายผมแล้วปิดเครื่องหนีนี่หมายความว่าไง”
     
    “แล้วที่ลู่หานตัดสายพี่ไปรับสายไอ้เด็กนั่นล่ะหมายความว่าไง” อ๋ออออออ มันเอาคืนผมเรื่องนี้นี่เอง
     
     “โหพี่ เรื่องแค่เนี้ย”  เรื่องแค่เนี้ยที่มันทำให้ผมโทรหามันจนประสาทผมจะกิน กับไอ้แค่ผมตัดสายไปรับสายเซฮุนแค่เนี้ย!!
     
    “ไม่ว่าเรื่องแค่นี้หรือแค่ไหน ถ้าเป็นเรื่องลู่หานกับเด็กนั่นพี่ก็มีสิทธิ์โกรธไม่ใช่หรอ” เออแม่งอยากโกรธ โกรธไป
     
    “...................” ไม่ต้องมาเงียบตาม คิดว่าจะง้อหรอ?? ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ยืนนิ่งจ้องหน้าใส่กันอยู่ซักพักไอ้หน้าหล่อมันก็ยกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือ ดูเสร็จมันก็คว้าเอาหนังสือในมือผมไปถือไว้ให้แล้วเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถที่จอดอยู่ ผมทำอะไรไม่ได้ก็เลยขึ้นตามไป ถึงหงุดหงิดมันอยู่แต่ก็มีเรื่องติดใจที่อยากจะถามให้รู้เรื่อง
     
     
    มันขึ้นรถมาปุ๊บก็กดเปิดเพลงปั๊บ โชคดีจริงๆที่มันเปิดเพลงEndless loveของนักร้องจางอี้ชิงคนนั้น ผมจะได้เข้าเรื่องได้ง่ายๆ
     
    “ชอบเพลงนี้หรอ??” มันพยักหน้า
     
    “ผมก็ชอบ” ที่ยอมคุยด้วยนี่ไม่ใช่ว่าง้อนะ แค่อยากถามเรื่องเพลงเฉยๆ  ติดใจมาทั้งคืนอ่ะ
     
    “พี่รู้จักนักร้องคนนี้ป่ะ”  ลองชวนคุยต่อไปเรื่อยๆ  มันพยักหน้านิดหน่อย สีหน้าดูอ่อนลงแล้วด้วย สงสัยคิดว่าที่ผมยอมคุยด้วยนี่คือผมง้อมันมั้ง ไม่ใช่นะเว้ยอย่าเข้าใจผิด
     
    “ผมชอบเพลงเค้าทุกเพลงเลย ผมมีซีดีด้วยนะ” ซีดีของเซฮุนนั่นแหละ โม้ๆไปก่อน
     
    “ผมชอบเพลงEndless loveที่สุดในอัลบั้มเลยล่ะ”  จะเงียบอีกนานรึเปล่าว่ะ พูดคนเดียวจนเมื่อยปากแล้วเนี่ย
     
    “หรอ อืม”  เอาเว้ย เริ่มตอบแล้วถึงจะโคตรสั้นก็เหอะ
     
    “ที่โทรไปเมื่อคืนน่ะเพราะมีเรื่องอยากจะถาม” เหมือนมันจะหายโกรธแล้วนิดนึงผมก็เข้าเรื่องเลย
     
    “สงสัยจะอยากรู้มาก โทรจนโทรศัพท์พี่แบทหมดเลย” อ้าวแบทหมดหรอกหรอ นึกว่าปิดเครื่องหนีซะอีก แต่ช่างเหอะ มาเข้าเรื่องต่อ
     
    “คริสคนที่แต่งเพลงEndless loveเนี่ย ใช่พี่รึเปล่า” มันหันมามองผมแวบนึงก่อนจะหันไปขับรถต่อ
     
    “ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ”
     
    “ไม่รู้สิ แค่สงสัย แล้วตกลงว่าใช่รึเปล่าล่ะ??”
     
    “ก็....ใช่” เฮ้ยจริงดิ...แล้วไปแต่งเพลงให้เค้าได้ไงอ่ะ แต่ยังไม่ทันถามมันก็ตอบกลับมาก่อน “แต่งให้เป็นของขวัญเมื่อ2-3ปีก่อนล่ะมั้ง” ของขวัญ?? เนื่องในโอกาสอะไร?? ในฐานะอะไรล่ะ?? คำถามเริ่มผุดขึ้นมาในหัวของผมอย่างต่อเนื่อง เพลงรักที่แสนอบอุ่นขนาดนั้น...ถ้าจะแต่งให้ใครสักคน คนๆนั้นจะต้องเป็นคนพิเศษแน่ๆ หรือว่าไอ้หน้าหล่อนี่กับจางอี้ชิงจะเป็น....คนรักกัน??
     
    “อยากเจอมั้ย?? พี่จะได้นัดอี้ชิงให้” สามารถนัดนักร้องดังได้ง่ายๆนี่คงจะสนิทกันพอสมควรเลยสินะ
     
    “ก็ดีนะ ผมอยากให้เซ็นซีดีให้หน่อย” อยากเจอตัวจริงเหมือนกัน คนที่ไอ้หน้าหล่อมันแต่งเพลงให้ แถมยังเป็นคนที่เซฮุนชื่นชมอีก จะเป็นคนแบบไหนกันนะ
     
    “ไว้พี่นัดอี้ชิงได้แล้วจะโทรบอกล่ะกัน อี้ชิงจะต้องดีใจแน่ๆ เค้าอยากเจอลู่หานมาตลอดเลยรู้มั้ย??” มันพูดไปยิ้มไป ทุกๆครั้งที่พูดว่าอี้ชิงมันจะมีรอยยิ้มทั้งที่ปากและดวงตาซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก
     
    ..จางอี้ชิงคนนี้เค้าเป็นอะไรกับไอ้หน้าหล่อกันนะ..
     
    .............................................................................................................................................................................
     
    กินข้าวเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแน่นอนว่าต้องเป็นของแพง และแน่นอนอีกว่ามันต้องเลี้ยง ฮ่าฮ่า  สะใจกินไปซะเยอะเลยแต่มันก็จ่ายเงินอย่างสบายๆอยู่ดี รวยจริงอะไรจริง พอกินเสร็จมันก็ขับรถมาส่งผมที่มหาวิทยาลัยถึงก่อนเวลาเข้าเรียนเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ ทำเวลาดีจริงๆ
     
    “เลิกเรียนแล้วรอแถวๆนี้นะ จะมารับ” ผมที่กำลังจะเปิดประตูลงไปก็ต้องชะงักเมื่อมันพูดขึ้น
     
    “ไม่ต้องอ่ะ กลับเองได้”
     
    “ถ้าพี่มาแล้วไม่เจอลู่หาน เจอดีแน่” เดี๋ยวนี้มีขู่ด้วยแหะ อัพเกรดนะ
     
    “อะไร อย่างพี่จะทำอะไรได้” 
     
    “ทำได้ทุกอย่างแหละ หรืออยากลอง” ไม่ต้องมาขู่ ไม่กลัวเว้ย
     
    “คิดว่าจะกลัวรึไง ทุกอย่างที่ว่าเนี่ยทำอะไรได้บ้างล่ะ”
     
    “ฟ้องหม่าม๊าลู่หานไง” จบ.....
     
    “เลิกเรียนห้าโมงครึ่ง ถ้ามาช้านะ...” ผมชี้นิ้วใส่มันเหมือนจะขู่แต่ก็ขู่มันไปงั้นแหละ ทำอะไรไม่ได้หรอก แบ็คอัพมันดีอ่ะ ซึ่งก็คือม๊าผมเองTT ก่อนที่ผมจะปิดประตูรถผมก็เหลือบไปเห็นมันยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ หึ...มันรู้ทางผม ถ้าเอาม๊ามาอ้างแล้วผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ แง้ อยากมารับก็มาเลย ดีไม่เปลืองค่ารถกลับบ้านด้วย!!
     
     “หน้าบูดมาเชียว เป็นไรวะ”  ผมนั่งหน้าบูดลงข้างๆซิ่วหมินปุ๊บพอมันเห็นก็ทักขึ้น
     
    “โมโหคน”
     
    “คู่หมั้นสุดหล่อของแกสินะ แล้วเค้าทำอะไรให้โมโหอีกล่ะ”
     
    “เค้าจะมารับหลังเลิกเรียน”
     
    “แค่นั้นอ่ะนะ” ผมพยักหน้า “คุณคู่หมั้นสุดหล่อทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ” อ้าวเฮ้ยแล้วไปชมมันทำไม ไอ้นี่ๆเห็นคนหล่อหน่อยไม่ได้ เข้าข้างตลอด
     
    “แกไม่คิดว่าเค้ามาก่าวก่ายในชีวิตประจำวันชั้นมากไปหรอว่ะ”
     
    “ไม่หรอก เป็นเรื่องปกติแหละมั้ง แต่ชั้นว่าแกควรจะบอกเซฮุนนะว่าช่วงนี้อย่ามาที่มหาลัย เจอแบบวันนั้นอีกยุ่งแน่ๆ”
     
    “เออจริง ไว้จะส่งข้อความไปล่ะกัน”
     
    วันนี้พอเลิกเรียนหลังจากซิ่วหมินกลับไปผมก็เอ้อระเหยอยู่ในห้องนิดหน่อยเพราะรู้ว่าถ้าลงไปก็คงเจอมันรออยู่ ถ้าเป็นปกตินะผมออกจากห้องคนแรกไปแล้ว สตาร์ทตัวเร็วยิ่งกว่านักวิ่งโอลิมปิกอีก เว่อร์ป่าว ฮ่าฮ่า ผมเดินเอื่อยๆลงบันไดตึกเรียนมาทั้งๆที่คนออกจะเยอะแยะผมก็ยังคงเห็นไอ้หน้าหล่อหัวทองเด่นมาแต่ไกลอยู่ดี วันนี้มันยืนพิงรถหรูคันเดิมของมันนั่นแหละ ใส่เชิ้ตกับสูทสีดำมองหาผมด้วยสายตาคบกริบ หล่อมากเหอะ ให้ตาย สาวๆในคณะผมเดินผ่านมันนะมองเหลียวหลังกันทุกคน บางคนยังทอดสายตาอ่อยให้อีก แต่ดูมันจะไม่สนใจนะ
     
    “ทำไมลงมาช้าจัง” มันยกนาฬืกาข้อมือขึ้นดูตอนที่ผมเดินไปถึงตัวมัน สายตาคล้ายจะตำหนินิดหน่อย แล้วใครใช้ให้มารับล่ะ อยากมาเองไม่ใช่หรอแล้วจะบ่นทำไม ผมได้แต่ตอบโต้ในใจ ทำหน้ายุ่งใส่มันไปทีนึงแล้วก็เดินอ้อมไปขึ้นรถ
     
    “พอดีมีงานด่วนเข้ามา ขอพี่แวะไปสตูดิโอแถวนี้ก่อนได้มั้ย”
     
    “มีงานแล้วจะแวะมารับทำไม ผมกลับเองได้”
     
    “ก็บอกอยู่ว่างานด่วน เพิ่งรู้เมื่อกี้ ไปด้วยกันก่อน ไม่นานหรอก” มันออกรถโดยไม่ฟังคำคัดค้านจากผมเลย ผมก็เลยนั่งเงียบไป อยากไปไหนก็ไปเลยไป เอาแต่ใจตัวเองชะมัด
     
    ขับรถมาไม่นานก็ถึงสตูดิโอที่ไว้สำหรับถ่ายภาพซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารระดับสูงอย่างมันจะมาทำอะไรที่นี่
     
    “สวัสดีครับท่านประธาน” พอเข้าไปถึงทุกคนในสตูดิโอก็โค้งให้มันกันหมดเลย โอ้โห ไอ้หน้าหล่อนี่มันใหญ่โตจริงๆนะ
     
    “เริ่มเลยมั้ย พอดีชั้นรีบ” พอคำว่ารีบหลุดจากปากมัน พนักงานทั้งหลายก็วิ่งกันให้วุ่นไปหมด สงสัยจะยังเตรียมการกันยังไม่เสร็จ
     
    “เชิญนั่งก่อนนะครับ” พนักงานยกเก้าอี้มาให้มันนั่งแต่ยกมาแค่ตัวเดียวสำหรับมันคนเดียวไม่เกี่ยวกับผม   เสียใจ:( มันเหลือบตามองพนักงานคนนั้นนิดนึงก่อนจะพูดขึ้น
     
    “ขอเก้าอี้ให้คู่หมั้นผมด้วยสิ” ตึง!! พนักงานคนนั้นทำหน้าตกใจก่อนจะรีบไปหาเก้าอี้มาให้ผมนั่ง แล้วโค้งขอโทษผมยกใหญ่ ผมเลยรีบบอกว่าไม่เป็นไร แต่พนักงานคนนั้นก็ยังได้รับสายตาคาดโทษจากไอ้ประธานใหญ่นี่อยู่ดี แหมต่อหน้าลูกน้องล่ะทำขรึม
     
    “อีกนานมั้ย” นั่งรอไปประมาณสิบนาทีมันก็พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเฉียบ ผมเห็นหลายคนเริ่มหน้าซีดเหงื่อตกจนผมรู้สึกสงสาร มันจะดุอะไรนักหนาเนี่ย
     
    “พี่...ไม่เห็นหรอว่าเนี่ยเค้าก็รีบกันอยู่แล้วจะไปเร่งทำไม” ผมกระซิบบอกเผื่อมันจะใจเย็นลง
     
    “ก็นั่งรอตั้งนานพี่กลัวลู่หานเบื่อ” อ่อที่มันหงุดหงิดใส่คนอื่นนี่เพราะผมหรอเนี่ย
     
    “ไม่เบื่อหรอก สบายมาก” ถึงผมจะเบื่อแต่ก็ทำเป็นยิ้มร่าไป เพราะกลัวมันจะโมโหระเบิดสตูดิโอแตกเสียก่อน
     
    “พร้อมแล้วครับ เริ่มเลยนะครับ” ผมเห็นเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่จัดคิวตะโกนออกมาจากหลังฉาก มันพยักหน้าทีนึง ทุกอย่างในห้องก็เงียบลง นางแบบเซ็ทแรก5คนเดินออกมายืนอยู่หน้าผมกับมัน ในมือมันมีกระดาษที่ทำเป็นช่องๆไว้สำหรับเลือกคนที่มันพอใจ มันมองนางแบบทุกคนอย่างพิจารณาเสร็จแล้วก็ทำเครื่องหมายถูกใส่ในช่องหมายเลข2
     
    ผมเลยเงยหน้าดูตาม โอ้โห...นี่มันเลือกไปเป็นนางแบบเครื่องเพชรหรือนางแบบฟาร์มนมว่ะเนี่ย ถ้าหน้าอกหน้าใจจะสะบึมรึมฮึ่มขนาดนี้ล่ะก็นะ มันพยักหน้าทีนึงนางแบบเซ็ทแรกก็เข้าไป นางแบบเซ็ทสองก็เข้ามา ผมแอบดูมันเลือกอีก คราวนี้มันเลือกหมายเลข1 ผมเงยหน้าขึ้นดู แน่ะ...ท่าทางจะชอบแบบอึ๋มๆนะ และแล้วนางแบบอีกหลายชีวิตก็ผลัดกันเดินเข้ามาให้มันเลือก ผมเห็นว่าที่มันเลือกนี่มีแต่หน้าอกตูมๆทั้งนั้นเลยจริงๆ สุดท้ายแล้วก็ได้นางแบบ5คนสำหรับถ่ายภาพ ซึ่งจะแจ้งไปยังสังกัดนางแบบอีกทีภายหลัง
     
    “เลือกนางแบบนี่ประธานบริษัทต้องลงมาเลือกเองเลยหรอ” ผมถามเพราะสงสัยจริงๆนะ  ไม่ได้คิดอะไร
     
    “ใช่สิ งานทุกอย่างต้องผ่านมือพี่ทั้งหมดนะ พี่ไม่ใช่พวกผู้บริหารที่วันเอาแต่เซ็นเอกสารหรอกนะ” อ่อก็ว่าอยู่ว่าวันๆมันดูจะยุ่งเหลือเกิน
     
    “กว่าบริษัทจะเติบโตมาถึงทุกวันนี้ป๊าพี่ก็ลำบากมามาก พี่จะไม่ทำให้บริษัทเสียชื่อเพราะความมักง่ายของตัวเองหรอก” จากคำพูดนี้ผมอดที่จะชื่นชมมันไม่ได้จริงๆ มันไม่ใช่คนไม่เอาไหนอย่างที่ผมคิดเลย จากการที่ผมนั่งดูมันทำงานในวันนี้ถึงมันจะดูเหนื่อยๆไปบ้างแต่ความจริงจังในการทำงานทำให้ผมรู้สึกดีกับมันจริงๆ
     
    “พี่คงจะเหนื่อยมาก”
     
    “ก็นิดหน่อย แต่ถ้างานออกมาดีพี่ก็หายเหนื่อยนะ”
     
    “ผมว่าพี่ควรจะแบ่งเบางานอื่นๆไปให้ลูกน้องบ้าง”
     
    “พี่ไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเองหรอก”
     
    “มันก็ดีนะพี่ แต่มันจะทำให้พี่เหนื่อยเกินไป”
     
    “เป็นห่วงพี่หรอ”
     
    “ก็นิดนึง”
     
    “แค่นิดนึงก็ยังดี” มันยิ้มแล้วลูบหัวผม เป็นผู้ชายที่อบอุ่นจริงๆนะคนๆนี้
     
    “กลับเลยมั้ย” ผมถาม
     
    “อืมก็ได้...ทุกคน ผมกลับก่อนนะ” มันเพิ่มเสียงบอกกับพนักงานทุกคน พนักงานที่กำลังทำงานอยู่วางมือจากงานแล้วโค้งให้มันทุกคน มันยิ้มนิดนึงแล้วก็คว้ามือผมไปจูงแล้วเดินออกไป ใช่....มันจับมือผม!!
     
    “ปล่อยดิพี่”
     
    “แค่จับมือเอง”
     
    “แค่นั้นก็ไม่ได้”
     
    “ถึงรถแล้วจะปล่อย สัญญา” มันก้มลงมากระซิบที่ข้างหูผม ผมเห็นหน้าเศร้าของมันแล้วก็เลยใจอ่อนยอมๆไป แค่จับมือไม่เสียหายหรอกมั้ง ต่อหน้าพนักงานไม่กี่คนเอ๊งงงงงงงงงง>///<
     
    หลังจากวันนั้นมันก็ขยันมารับมาส่งผมที่มหาวิทยาลัยตลอด โชคดีที่ช่วงนี้เซฮุนอยู่ในช่วงสอบมิดเทอมซึ่งถูกแทมินห้ามมาเจอผมจนกว่าจะเลิกสอบ เพราะเซฮุนทำคะแนนเก็บได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งผมก็เห็นด้วย ผมเข้าใจว่าเด็กมัธยมนั้นเรียนหนักมากและต้องขยันมากๆด้วยเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
     
    วันนี้ผมเลิกครึ่งวันมันเลยชวนผมไปดูถ่ายแบบ ผมเห็นว่าก็ว่างๆอยู่เลยตามมันไปด้วย แอบอยากดูเค้าถ่ายแบบกันด้วยแหละ สงสัยจะเป็นพวกนางแบบที่มันเลือกไปวันนั้นล่ะมั้ง
     
    พวกเราไปยังสตูดิโอเดิมที่เคยไป วันนี้ฉากถูกจัดขึ้นดูหรูหราไฮโซสมกับที่จะถ่ายแบบเครื่องเพชรราคาหลายร้อยล้านวอนเลยล่ะ มันเดินนำผมไปนั่งอยู่ด้านหลังมอนิเตอร์ พนักงานหลายคนพอเห็นมันก็โค้งให้กันใหญ่ แต่วันนี้แปลกเพราะโค้งให้ผมด้วย สงสัยว่าที่มันดุพนักงานคนนั้นไปวันนั้นจะทำให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นคู่หมั้นท่านประธานของพวกเค้ากันหมดแล้วมั้ง อ่อใช่ ผมเดินจับมือกับมันต่อหน้าพนักงานพวกนี้ด้วยนี่นา....น่าอายจัง(แต่ก็ทำไปแล้ว ฮ่าฮ่า)
     
    “อ้าวพี่ มีนายแบบด้วยหรอ” ผมเห็นนายแบบหนุ่มลูกครึ่งรูปหล่อเดินออกมาพร้อมนางแบบสาวอกตู้มๆที่ผมจำได้
     
    “อือ งานถ่ายคู่น่ะ ทำไม ชอบรึไง” มันทำหน้าบึ้งใส่ผม  ไม่ได้ชอบก็แค่หล่อดี
     
    “แล้วนี่พี่เลือกเองเปล่า”
     
    “เปล่า ให้ลูกน้องเลือก”
     
    “อ้าวววว ไหนบอกงานทุกงานต้องผ่านมือพี่ไง”
     
    “กะ..ก็..เห็นว่าลู่หานเป็นห่วงพี่ พี่ก็เลยแบ่งงานให้ลูกน้องทำบ้าง จะได้ไม่เหนื่อยไง ไม่ดีหรอ??”  ไอ้ชี้โม้ ตอบตะกุกตะกักเชียว
     
    “พอผู้หญิงล่ะเลือกเอง” ผมบ่นงึมงำ
     
    “ก็ผู้หญิงเป็นตัวหลักมันก็ต้องพิถีพิถันหน่อย” ยังแถไม่เลิกอีกคนเรา
     
    “ไม่ต้องแก้ตัวหรอก ผมเข้าใจ” หึ...
     
    “หน้าตาดูเหมือนไม่ค่อยจะเข้าใจนะ” มันเอานิ้วมาจิ้มๆแก้มผม ผมเลยหันหน้าหนีมัน
     
    “อย่างอนเลยน่า พี่มีลู่หานอยู่แล้วจะไปสนใจนางแบบพวกนั้นทำไม”  ไม่ได้งอนเว้ย ไม่ต้องมาหยิกแก้มด้วย แหมไม่สนเลยยยยยยย เห็นมองจนน้ำลายจะไหลอยู่แล้ว
     
    “อะแฮ่ม อะแฮ่ม” เสียงตากล้องกระแอมไอดังขึ้นทำให้ผมกับไอ้หน้าหล่อต้องหันไปมอง แล้วก็พบว่าทุกคนกำลังมองพวกเราหยอกกันอยู่ สายตาหลายสิบคู่ที่มองมาทำให้ผมอายจนแทบอยากจะมุดเข้าไปในจอมอนิเตอร์
     
    “พะ..พร้อมแล้วก็เริ่มเลยสิ” มันพูดตะกุกตะกักสงสัยจะอายเหมือนกัน ก็นะท่านประธานเค้าคงไม่เคยมาจิ้มแก้มหยิกแก้มใครต่อหน้าพนักงานหรอกมั้ง เรานั่งดูถ่ายแบบผ่านมอนิเตอร์กันอยู่ซักพักมันก็ทำหน้าเครียดแล้วลุกขึ้นไปคุยกับนายแบบและนางแบบ
     
    “ผมว่าท่าทางของพวกคุณมันไม่ธรรมชาติเท่าไหร่ สายตาก็สำคัญนะ คุณเข้าใจคอนเซปของงานนี้ใช่มั้ย..” นางแบบกับนายแบบหนุ่มพยักหน้า “แต่เท่าที่ผมดูอยู่มันไม่ได้แสดงออกถึงความรักเลยนะ” มันส่ายหัวอย่างไม่พอใจนัก
     
    “ถ้าคุณจะกอด คุณก็จะต้องกอดแบบเต็มตัว ผมจะทำให้ดู...” มันไปยืนอยู่ข้างหลังนางแบบเตรียมจะกอด สายตาผมมองไปที่มันเลย เฮ้ย จะกอดจริงหรอ?? ต่อหน้าผมเนี่ยนะ กล้าหรอ?? เหมือนกระแสจิตผมจะส่งไปถึงมันครับ มันเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วก็เรียกให้ผมไปหา ผมก็เดินไปหามันอย่างงงๆ เรียกทำไมว่ะ
     
    “ถ้าจะกอดต้องกอดแบบนี้” พอผมเดินไปถึงตัวมันมันก็คว้าตัวผมไปกอดหมับจากด้านหลัง หน้าผมเหวอไปเลย เสียงฮือฮาจากเหล่าพนักงานดังขึ้นทั่วทั้งสตูดิโอ 
     
    “มือวางตรงนี้ อย่าสูงไปมันจะดูไม่ดี...” มันบอกแล้วกระชับกอดที่รอบเอวผม “หน้าคุณต้องอยู่ในระดับเดียวกับเค้า ลู่หานหันมาทางนี้...” มันบอกผมก็เลยหันตามไป ก็เจอเข้ากับหน้ามันในระยะประชิด ว๊ากกก “เขยิบหน้าเข้าไปใกล้หน่อย...” มันเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกจะแตะจมูกผมอยู่แล้ว ใจผมเต้นระรัวยิ่งกว่าจังกวะกลองเพลงร็อคซะอีก “หลังจากนั้นก็สบตา..” เสียงของมันเหมือนมนต์สะกด ผมทำตามอย่างว่าง่าย “หลังจากนั้นก็ยิ้ม..” รอยยิ้มออร่าของมันกระจ่างชัดเต็มหน้าผมเพราะหน้าเราใกล้กันกว่าครั้งไหนๆ “แค่นั้น”  มันบอกแต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด
    “ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” มันเบี่ยงหน้ามาหอมแก้มผมเหมือนให้รางวัลแต่ผมนี่ตัวแข็งทื่อไปเลย ขนาดถูกมันลากมานั่งที่เก้าอี้แล้วผมยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนไร้ความรู้สึก ผมรู้ว่ามันหล่อมาก และถ้ามันยิ้มมันจะหล่อขึ้นอีก แล้วผมจะไปทนได้ยังไงล่ะ ผมไม่ใช่หินนะที่จะไม่รู้สึกอะไร แล้วใครใช้ให้มาหอมแก้มผมอีกเนี่ย อยู่ดีๆมาหอมไม่ขออนุญาต  คนถูกหอมหวั่นไหวนะเว้ยยยยยยยยยยยยยยยย
     
    การถ่ายแบบดำเนินต่อไปเหมือนจะง่ายขึ้นหลังจากมันและผมสาธิตให้ดู แม้การถ่ายแบบทั้ง5เซ็ทจะเสร็จไปเรียบร้อยแล้วแต่ผมก็ยังไม่หายอึ้งไม่หายงงที่ถูกมันหอมแก้มอยู่เลย  ผมนั่งเงียบจนมันมาส่งผมที่บ้าน ดูมันจะกังวลใจไม่น้อยเลยล่ะ
     
    “โกรธรึเปล่า” ไม่ได้โกรธ แต่มัน...ไม่รู้ดิ  มันแปลกๆ
     
    “ถ้าโกรธให้หอมคืนก็ได้นะ” มันเอียงหน้ามาให้ผมหอม ผมเลยเอามือพลักหน้ามันออกไป
     
    “ตลกมั้ยเนี่ย??” ผมหัวเราะนิดๆ นานๆทีผมจะเห็นมุมเด็กๆของมัน
     
    “พูดจริงๆนะ อ่ะๆ” มันยังยื่นหน้ามาอีกผมเลยยื่นมื่อไปหยิกแก้มมันจนมันร้องโอ้ยเลย
     
    “สมน้ำหน้า เข้าบ้านแล้วนะ”
     
    “อืม แล้วพรุ่งนี้เช้าเจอกัน” ผมพยักหน้าแล้วมันก็ยิ้มตอบผม ผมเริ่มจะชินกับการที่มันมารับมาส่ง รวมถึงไปไหนมาไหนกับมันบ้างแล้ว ผมยอมรับว่าผมเริ่มจะรู้สึกดีกับมันขึ้นมาบ้างนิดหน่อย อาจเพราะเราอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นทำให้ได้รู้นิสัยหลายๆอย่างจากมัน ซึ่งผมเองก็ชอบนะ(ชอบนิสัยนะไม่ได้ชอบมัน) ทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต และการเอาใจใส่ผมซึ่งมันทำได้ดีมากในฐานะผู้ชายคนนึง จะมีใครมั้ยที่จะมารับมาส่งไม่เคยขาดและตรงต่อเวลาเสมอ พาผมไปกินข้าว ผมอยากได้อะไรก็ซื้อให้ ตามใจผมทุกอย่าง ซึ่งมันทำมาได้เป็นอย่างดีเป็นเวลาอาทิตย์นึงแล้ว อาทิตย์นึงที่เซฮุนหายไป และมันเข้ามาทดแทน 
     
    ผมไม่ได้หมายความว่ามันกำลังมาแทนที่เซฮุนนะ ผมยังคบกับเซฮุนอยู่ แต่ไอ้หน้าหล่อมันเหมือน....ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน
     
    ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกกลัวเหลือเกิน เพราะเวลาอยู่กับไอ้หน้าหล่อทีไร ผมเหมือนจะลืมเซฮุนไปซะสนิทเลย...


    TBC


    -เหมือนจะมาต่อช้ารึเปล่า??(ไม่เหมือนอ่ะ ช้าจริงๆ XD)
    -ก่อนอื่นก็ขอบคุณสำหรับคอมเม้นในตอนที่แล้วมากๆเลยค่ะ  สงสัยกันใหญ่ว่าอี้ชิงเป็นใครอะไรยังไง  แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่เฉลย ปล่อยให้ค้างคากันไปอีกหน่อย ฮ่าฮ่า แต่ก็เอาฉากหวานๆมาให้อ่านกันก่อน  เหมือนน้องลู่หานจะเริ่มมีใจ  แต่ก็ยังไม่มั่นใจเนอะ  ไม่เป็นไรๆ  เค้ารอได้ๆTT(อยากแต่งหวานๆใจจะขาดดดดด)
    -ตอนนี้ได้เห็นมุมของคริสเยอะขึ้น  หวังว่าจะชอบนะคะ
    -สุดท้ายยย เช่นเดิม  ขอฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ  ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยน้าาาา:)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×