ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Sister ( น้องสาว )
          ลมพัดกรรโชกแรงเป็นสิ่งที่เกิดเสมอในเวลากลางคืน เขาไม่ชอบเอาซะเลย  มันทำให้เขารู้สึกหนาวจนต้องเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหาความอบอุ่น  เด็กหนุ่มย่างก้าวบนถนนใจกลางเมือง  ห้างร้านต่างๆแออัดไปด้วยผู้คนพลุ่กพล่าน  บางคนเดินชนไหล่เขาโดยไม่มีการขอโทษ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ สอดส่องสายตามองไปรอบๆ แต่ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ
             
Chapter Five  :  Sister  (น้องสาว) 
          ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ?
          คำถามนี้ก้องอยู่ในหัวของชินตลอดเวลา  ถ้าจะโทษ เขาคงต้องโทษตัวเองที่ออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในเวลาดึกดื่น โทษที่เขาใจอ่อนช่วยผู้หญิงที่ไม่ใช่มนุษย์ 
          และโทษที่ต้องกระวนกระวายตามหาเธอในขณะนี้ !?
          หลังจากที่ผู้หญิงชื่ออิเล็กตร้าจากไป เขาก็พานามิไปส่งบ้าน  เธองัวเงียตื่นขึ้นมาและตกใจเมื่อเห็นว่าชินแบกเธออยู่บนหลัง นามิจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเธอสลบไปไม่ได้เลย นั่นทำให้ชินสบายใจ  เขาเพียงบอกว่าไคออนเป็นพวกอันธพาลธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
          เมื่อส่งนามิเข้าบ้านเรียบร้อย เขาคิดจะกลับบ้านแต่ทว่า ....
          ความรู้สึกไม่ดี !? ... จะเรียกแบบนั้นก็ได้ เรื่องหลายอย่างประดังเข้ามาจนเขารับไม่ทัน  เขาไม่น่าพลาดที่จะถามอิเล็กตร้าเกี่ยวกับมีดพับของตัวเอง  มีดเล่มนั้นทำให้ไคออนบาดเจ็บได้  ทั้งๆที่เรนกิก็บอกแล้วว่าอาวุธบนโลกทุกชนิดไม่อาจทำให้ชนเผ่าดวงจันทร์บาดเจ็บได้
          หรือว่ามันจะทำมาจากแร่ธาตุบนดวงจันทร์ !?
          เป็นไปไม่ได้หรอกน่า ชินเริ่มเปลี่ยนความคิด  มีดเล่มนี้เขาได้มาจากแม่ก่อนตาย  มันจะไปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน
          ชินถอนหายใจ วันนี้หลังจากที่ส่งนามิกลับบ้านแล้ว  เขาก็รู้สึกเป็นห่วงเรนกิขึ้นมา  เวลานี้ศัตรูของเธอไม่ใช่เพียงไคออนแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับนักล่าเผ่าดวงจันทร์อย่างอิเล็กตร้าด้วย เด็กหนุ่มตัดสินใจออกตาม หาเรนกิ น่าแปลก ทั้งๆที่เขาพึ่งจะผ่านพ้นเหตุการณ์ชวนขวัญผวาและน่าสะอิดสะเอียดมาสดๆร้อนเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะจินตนาการได้
          แต่เขาก็ยังอยากที่จะพบเธออยู่ดี
          ลมเย็นพัดมาปะทะร่างอีกครั้ง  4 ทุ่ม 10 นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมงได้ที่เขาเดินเล่นอย่างไร้ประโยชน์  แน่ล่ะ แม้จะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ แต่จะให้หาคนๆเดียวโดยไม่มีเบาะแสเลย มันก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เด็กหนุ่มเห็นว่าเดินหาต่อไปคงจะไม่ได้อะไรอีกจึงตัดสินกลับบ้าน
          แต่ทว่าเมื่อเดินกลับมาถึงหน้าบ้านตนด้วยความผิดหวังนั้นเอง  เขาก็ใจหายวาบมองภาพที่หน้าประตูอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
          มีหญิงสาวผมแดงคนหนึ่งทรุดร่างสลบอยู่ที่หน้าประตูบ้านเขา 
          “ เรนกิ !!! “
          ชินร้องด้วยความดีใจระคนตกใจตรงรี่เข้าไปประคองร่างเธอ  รอยเลือดปรากฏตามเสื้อขาว ชินจำเป็นต้องอุกอาจเปิดมันดู  มีรอยถูกกระสุนยิง 2 แห่ง แห่งแรกโดนที่ท้องน้อยด้านขวา  อีกแห่งที่หัวไหล่ขวา ทั้ง 2 แห่งเลือดไหลไม่ยอมหยุด  หญิงสาวยังไม่ได้สติ เธอหอบหายใจแรง 
          ฝีมืออิเล็กตร้าไม่ผิดแน่ !!
          ชินฉุกใจคิด เพราะถ้าเป็นกระสุนปืนธรรมดาไม่น่าจะทำให้เรนกิบาดเจ็บได้ แสดงว่าหลังจากที่อิเล็กตร้าแยกจากเขา  เธอคงตามหาจนพบเรนกิเข้า และต่อสู้กัน  เรนกิไม่ทันระวัง เธอเลยพลาดท่ากระสุนซิลเวอร์มูนจนมาบาดเจ็บแบบนี้  ชินมองหน้าหญิงสาวพลางถอนหายใจ
          “ เฮ้อ  นึกไม่ถึงจริงๆ  ทั้งๆที่ฉันออกตามหาเธออยู่แท้ๆ  แต่เธอกลับมาหาฉันเอง  คงไม่มีที่ไปสินะ “
          เด็กหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างยิ้มๆ ลืมเรื่องนามบัตรนั่นไปได้เลย  ชินอุ้มร่างเรนกิเข้าไปในบ้าน
          แม้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาจะกินเขาเป็นอาหาร เขาก็ยอม
                                            ________________________________________
         
          ขณะเดียวกัน มุมมืดหนึ่งที่ไร้ผู้คน
          ไคออนยืนอยู่ที่นั่น !
          กระสุนซิลเวอร์มูน 3 นัดที่ฝังในหน้าอกเขานั้นได้ถูกรักษาแล้วด้วยความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของเผ่าดวงจันทร์  แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ก็ตาม  อาวุธที่ทำจากแร่ธาตุดวงจันทร์นั้นสามารถฆ่าเขาได้ก็จริง  แต่ถ้าถูกโจมตีเพียงครึ่งๆกลางๆ  เขาก็สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้อยู่ดี เพียงแต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้น 
          แต่ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใจของมันยิ่งนานยิ่งว้าวุ่นกังวลโกรธแค้น  ความรู้สึกเจ็บที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่ลดน้อยลง  เลือดสีแดงที่รอมาได้สี่ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่หยุดไหล  ยิ่งมันเอามือลูบสัมผัสที่จุดนั้น ความเจ็บปวดก็ชัดขึ้นจนมันแทบทนไม่ไหว 
          ใช่แล้ว  บาดแผลที่หน้าผากนั่น  มันไม่ฟื้นฟูเลย !!
          ไคออนไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต  ขนาดบาดแผลจากกระสุนที่ทำจากแร่ธาตุดวงจันทร์ยังฟื้นฟูแล้ว
          แต่เฉพาะบาดแผลจากมีดของชินเท่านั้น ที่ไม่ว่ารอเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้นคืนสภาพเดิม  !!!
          หึ หึ  น่าตกใจจริง ๆ  ... เจ้าเด็กนั่น  ...
          มันเป็นใครกันแน่ !!
          เสียงหัวเราะแฝงความอาฆาตโกรธแค้น  สายลมแห่งรัตติกาลโบกพัดอีกครั้ง  ก่อนที่ร่างปีศาจร้ายจะหายลับไปกับสายลม
                                                      ________________________________
          หญิงสาวค่อยๆเปิดเปลือกตามองออกไปรอบๆตัวอย่างช้าๆ 
          เรากลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้วรึ !?
          เรนกินอนพักอยู่ในห้องชิน  บาดแผลที่ถูกกระสุนยิงยังไม่ฟื้นคืนดีนัก  ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอขยับตัว  สาวผมแดงใช้นิ้วมือเสยผมที่หน้าผากตนเองก่อนลุกขึ้นนั่ง  ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้  มนุษย์ผู้หญิงผมทองคนนั้น มันมีอาวุธที่ทำให้เราบาดเจ็บได้อยู่ด้วยรึนี่  .... ไม่เลวเลยแฮะ ..
       
          ทั้งๆที่มนุษย์โลกถูกกำหนดเป็นเพียงข้าทาสแท้ๆ พวกมันยังหาวิธีมาต่อต้านเราได้อีก         
          เรนกิยืนขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง  เธอสูดลมหายใจและผ่อนออกอย่างช้าๆ  ก่อนนึกแปลกใจตัวเอง  เมื่อวานนี้ขณะที่สติเธอกำลังเลือนรางเพราะพิษบาดแผล  ทำไมคนที่เธอต้องการให้มาช่วยและอยากไปหาที่สุดก็คือชิน  ?
          หญิงสาวก้าวลงบันไดอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่วายเกิดเจ็บแปลบที่แผลร้อง “ โอย “ เบาๆ ชินในห้องครัวได้ยินจึงรีบออกมาดู
          “ อาการเธอเป็นยังไงบ้างน่ะ “
          “ ฉันไม่เป็นไรหรอก “
          เรนกิข่มความรู้สึกเจ็บปวดไว้ไม่ให้ชินรู้ แต่เธอแสร้งสีหน้าไม่เก่งเลย
          “ แปลกนะ “ ชินขมวดคิ้วสงสัย “ ครั้งที่แล้วเธอบาดเจ็บสาหัสกว่านี้ แต่เพียงคืนเดียวก็ลงมาเดินได้สบาย แล้วทำไมครั้งนี้ถึง ... “
          “ หรือเพราะว่ากระสุนนั่น !? “
          ชินเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้  แววตาอำมหิตของเรนกิปรากฏขึ้นทันที
          “ ใช่ กระสุนนั่นมันทำมาจากแร่ธาตุบนดวงจันทร์ การฟื้นฟูบาดแผลจึงช้ากว่าปกติมาก นังผู้หญิงนั่น  เจออีกทีต้องฆ่าให้ได้ “
          ชินสะดุ้งวาบ  เรนกิเวลานี้น่ากลัวมาก  แต่เธอก็ปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงเก้าอี้ตัวเดิมที่เธอเคยนั่ง ตรงหน้ามีโจ๊กหอมกรุ่นรอยู่แล้ว  ชินพอเห็นโจ๊กชามนั้นก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ทันที  เมื่อวานไคออนบอกว่าชนเผ่าดวงจันทร์กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารนี่  แล้วเรนกิข้างหน้าเขาล่ะ 
          เธอจะกินเขาเป็นอาหารหรือเปล่า !?
          ชินถอยหลังออกห่างเรนกิอย่างลืมตัว มันทำให้เธอสงสัย
          “ นายเป็นอะไรไปน่ะ “
          “ ปะ เปล่า “
          เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธพลางหลบสายตา แม้ชินไม่พูดแต่ท่าทางหวาดกลัวจนน่าหมั่นไส้นั่นทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที
          “ นายคิดอะไรอยู่กัน  ฉันไม่ชอบ สิ่งสกปรก แบบนั้นหรอกนะ “
          “ เอ๋ “ ชินเงยหน้าอย่างสงสัย
          “ นายกำลังคิดว่าฉันต้องกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารใช่ไหม “
          เสียงเย็นๆของเธอทำให้ชินใจเต้น  เขานิ่งก่อนพยักหน้าเป็นคำตอบ
          “ นายผิดแล้ว “ เรนกิพูดเสียงเรียบเย็น
            “ ฉันบอกแล้วไงล่ะว่าไม่ชอบสิ่งสกปรกแบบนั้น  ชนเผ่าดวงจันทร์ของเราน่ะสูงส่ง ไม่ทำอะไรที่น่ารังเกียจอย่างนั้นหรอก  “
          ชินถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้เรนกิ
          “ จะ  ... จริงนะ !?  .... เธอไม่กินฉันแน่นะ “
          “ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ “ เรนกิพูดอย่างไม่พอใจ “ ไอ้พวกที่กินเนื้อมนุษย์น่ะ มันไม่ใช่เผ่าดวงจันทร์ดั้งเดิมหรอก  มันเป็นพวกที่อ้างตัวเองว่าพัฒนาแล้ว แต่แท้จริงพวกมันนั่นแหละที่กำลังจมดิ่งกลับไปสู่ความตกต่ำอับปลี “
          ชินยิ้ม เขาหย่อนตัวลงนั่งด้านตรงข้ามกับเธอ
          “ เรนกิ เธอช่วยเล่าหน่อยเรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าดวงจันทร์ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม  ว่ามันเป็นมายังไงกัน  ทั้งเธอ  และก็ไคออน “
          “ จะเล่าให้ฟังก็ได้ “ เรนกิพูด “ ชนเผ่าดวงจันทร์เราตอนนี้แบ่งออก เป็น 2 พันธุ์  คือพันธุ์ดั้งเดิม (Ancient) ที่ไม่กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร กับพันธุ์ผ่าเหล่า (Mutant) ที่กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร  ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเกิดพวกผ่าเหล่าขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่ตอนนี้มันเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง และกินพันธุ์ดั้งเดิมเป็นอาหาร  พวกมันมีความสามารถในการฟื้นตัวสูงกว่าเราหลายเท่า มิหนำซ้ำยังมีกลุ่มเล็กๆที่เมื่อเกิดมามีพลังพิเศษ (Magic) ติดตัวด้วย พวกนี้จะถูกยกฐานะให้เป็นชนชั้นปกครอง “
          “ อย่างที่ไคออนเสกไฟจากมือได้น่ะเหรอ  แล้วเธอที่จู่ๆเล็บงอกยาวได้ล่ะ “ ชินถามขึ้น
          “ เล็บที่งอกยาวได้ของฉันน่ะเป็นความสามารถทางฟิสิกส์ มาจากพันธุกรรม  ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม  ส่วนไคออนที่เสกไฟนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ นั่นแหละพลังพิเศษล่ะ  พันธุ์ดั้งเดิมอย่างฉันไม่อาจจะมีพลังพิเศษแบบนั้นได้หรอก “
          เท่าที่ฟังดูเหมือนว่าพันธุ์ผ่าเหล่าจะเหนือกว่าทุกด้านทีเดียว  ชินนึกหวั่นว่าฝ่ายดั้งเดิมคงไม่อาจมีชัยได้  เรนกิอ่านความคิดเขาออก
 
          “ อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น ไม่ใช่ว่าฝ่ายเราจะอ่อนแอซะทีเดียว “
          เรนกิยิ้ม  เธอพูดต่อ “ จริงอยู่ที่เราไม่อาจมีพลังพิเศษได้  พลังในการฟื้นตัวก็ต่ำกว่ามาก  แต่ว่าเนื่องจากที่เราไม่กินเนื้อมนุษย์ ทำให้ระดับจิตใจเราถูกยกสูงขึ้น  จึงมีความสามารถด้านพลังจิตแทน  เช่นสามารถโทรจิตหากันได้  เคลื่อนย้ายสิ่งของได้ เป็นต้น มันเรียกว่า พลังไซโค (Psycho) “
          ชินร้อง “อ้อ “ อย่างเข้าใจ  เขาหวนนึกถึงตอนที่เรนกิกำลังคับขัน สิ่งของต่างๆรอบตัวจะลอยขึ้นมาเป็นโล่ป้องกันและพุ่งเข้าใส่ศัตรูได้  ที่แท้เป็นพลังไซโคของเธอนั่นเอง
          “ แต่ว่าน่าเสียดาย พันธุ์ดั้งเดิมแม้มีพลังไซโค แต่กว่าครึ่งสามารถทำได้เพียงส่งโทรจิตหากันเท่านั้น  และมีเพียงส่วนน้อยที่เก่งพอจะใช้วิธีบังคับเคลื่อนย้ายสิ่งของให้เป็นอาวุธได้  นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้พันธุ์ดั้งเดิมของเราตายลงไปเรื่อยๆ  “
          เรนกิพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง  ดวงตาของเธอมีประกายของหยาดน้ำใสพร่ามัวอยู่ในนั้น เธอพยายามกลั้นมันเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่ชินสัมผัสความเป็นผู้หญิงที่บอบบางเช่นหญิงสาวทั่วไปควรมี
          “ ยังไงก็ตาม  ถ้าเธอไม่กินเนื้อมนุษย์ เธอก็กินอาหารที่ฉันทำได้ใช่มะล่ะ ” ชินรีบเปลี่ยนเรื่อง
          “ ไม่รู้สิ “ เรนกิมองโจ๊กข้างหน้าอย่างสงสัย “ อาหารบนโลกนี้ไม่เหมือนที่ดวงจันทร์เลยสักนิด  อย่างอาหารที่นายให้มานี่ ฉันก็ไม่รู้เลยว่ามันทำมาจากอะไร บางทีฉันอาจทานไม่ได้ “
          “ แล้วที่ดวงจันทร์เขากินอะไรกันล่ะ “
          “ ก็เป็นพวกเนื้อสัตว์ซะส่วนใหญ่  พืชผักเป็นส่วนน้อย อาหารมักทำให้สุกโดยวิธีย่างไฟ แบบดิบๆก็กินได้  แต่ฉันไม่ชอบ “
            “ อ้อ ที่แท้พวกเธอก็กินอาหารไม่ต่างจากพวกเราเท่าไหร่เลยนี่ เพียงแต่กรรมวิธีในอาจจะด้อยกว่าเรา โจ๊กนี่ทำมาจากพืชนะ”
          “ หา ! “ เรนกิมีสีหน้าทึ่ง “ ไอ้เหลวๆข้นๆแบบนี้เนี่ยนะ “
          “ ใช่ มันเรียกว่าโจ๊ก ทำจากพืชที่มีชื่อว่าข้าวที่บดจนละเอียด ผสมกับเครื่องปรุงต่างๆ ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องอาหารเท่าไหร่  “
          เรนกิมองมันอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  เธอหันมาทางชินอีกที
          “ ทานได้แน่นะ “
          ชินพยักหน้า หญิงสาวมีท่าทีลังเลแต่เพียงครู่เดียวเธอก็หยิบช้อนตักโจ๊กขึ้นมากินคำนึงอมไว้ในปากก่อนกลืนลงลำคอ  เธอนิ่งทันที สีหน้าฉายแววตกใจ  ชินรีบถามด้วยเป็นห่วง
          “  เป็นไงมั่ง กินได้หรือเปล่า  “
          เรนกินิ่งมองโจ๊กข้างหน้าครู่ใหญ่ ก่อนจะมองชินแล้วพูดด้วยท่าทางแปลกใจ ตาเป็นประกาย
          “ อร่อย ...  อร่อยมาก  ฉันไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย “
          “ จริงเรอะ “ ชินดีใจขึ้นมาทันที  ที่ดวงจันทร์แม้มีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่ซึ่งบนโลกไม่มี  แต่ด้านเทคโนโลยีโลกเราคงเหนือกว่า เรนกิตักโจ๊กทานเป็นคำที่สองและสามสี่ห้าอย่างรวดเร็ว  ชินเบิ่งมองตาค้าง  ไม่นานโจ๊กเต็มชามหายเกลี้ยง  เธอเลียริมฝีปาก พูดอย่างตื่นเต้น
          “ อร่อย  อร่อยจริงๆ นายมีอีกหรือเปล่า “
          “ อะ ... มีสิมี  “ ชินอึ้ง เขาหยิบชามโจ๊กตัวเองยื่นให้ 
          “ นั่นมันของนายไม่ใช่เหรอ “ 
          “ กินได้  เดี๋ยวฉันจะทำของฉันใหม่ “
          “ อื้อ “ เรนกิทานต่อ ชินมองเรนกิที่ทานอย่างเอร็ดอร่อยด้วยรอยยิ้ม เรนกิหยุดทานเมื่อเห็นชินมองเธอค้างนาน  เธอถาม
          “ มองอะไร นายไม่กินมั่งเหรอ “
          “ เห็นเธอกินเยอะแบบนี้ฉันอิ่มแทนน่ะ “
          ชินพูดยิ้มๆทำเอาเรนกิหน้าแดงขึ้นมา  เธอวางช้อน
          “ งั้นฉันก็อิ่มแล้ว “
          ท่าทีเขินอายของหญิงสาวทำให้ชินอดหัวเราะไม่ได้  เพียงแต่เขาไม่กล้าหัวเราะดังไป  เขายังขยาดเล็บยาวๆของเธออยู่  ขณะนั้นชินนึกขึ้นได้มีดพับของเขาทำให้ไคออนบาดเจ็บ  บางทีเรนกิอาจจะอธิบายเขาเรื่องนี้ได้ 
          “ เออ เรนกิ  ฉันมีเรื่องจะถามหน่อย “
          “ อะไรหรือ “
          “ เรื่อง ... “
          แต่ขณะนั้นเอง  เสียงประตูบ้านถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงนามิดังขึ้น
          “ ชิน นายคุยกับใครอีกแล้ว ! “
          ชินกับเรนกิใจหายวาบ เรนกิคิดที่จะหาทางหลบแต่ไม่ทันแล้ว เพราะครั้งนี้นามิไม่ถามอย่างเดียว เธอผลักประตูเข้ามาเลย  ก่อนหน้านามิก็เงี่ยหูฟังจนชัดเจนแล้วด้วยว่ามีคนอยู่แน่นอน  ประกอบกับเรนกิบาดเจ็บอยู่  เธอจะกระโดดหนีออกทางต่างก็เกิดเจ็บแผลขึ้น  นามิบุกรุกเข้ามาถึงในห้องครัว และมีท่าทีตกใจทันทีเมื่อเห็นเรนกิ 
          “ อะ  นี่เธอเป็นใครกัน  ทำไมมาอยู่ในบ้านชินได้ “
          นามิพูดเสียงสั่นแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เธอสังเกตรูปร่างลักษณะ เรนกิแล้วยิ่งตกใจกว่าเดิม  เพราะเรนกิไม่ใช่สวยธรรมดา แต่สวยระดับนางแบบแนวหน้าต้องชิดซ้าย  ผู้หญิงสวยขนาดนี้มาอยู่ในบ้านชินได้ยังไง หรือว่า .....  นามิสีหน้าซีดเม้มริมฝีปากแน่น  ชินร้องในใจ ซวยแล้วงานนี้
          “ เดี๋ยวก่อนนามิ  เธอกำลังเข้าใจผิด “
          “ เข้าใจผิด ? ... ฉันเข้าใจอะไรผิด  ก็ในเมื่อมันเห็นกันอยู่ชัดๆแล้วนี่ ผู้หญิงสวยขนาดนี้  มิน่าล่ะ ถึงให้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเลย เมื่อวานก็ทีนึง  นายน่าจะบอกฉันไปเลยนะว่ามีผู้หญิงสวยๆคอยรับใช้ที่บ้านอยู่แล้วน่ะ  ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย จะไปโรงเรียนกับหล่อนแทนฉันก็ได้นะ “
          นามิเชิ่ดหน้าด้วยความโมโหจัดทำท่าจะออกจากบ้านไป  ชินร้อง
          “ ฟังฉันก่อนสินามิ  มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ “
          แต่นามิไม่ฟัง เธอเชิดหน้าก้าวสวบๆ แต่เรนกิแทรกตัวมาขวางหน้าประตูไว้ นามิมองสาวสวยผมแดงด้วยความโกรธ
          “ จะทำอะไร ถอยไปนะ “
          นามิฉุนจัดจนเผลอตัวจะผลักเรนกิให้ถอยไป แต่เรนกิคว้ามือเล็กๆนั่นไว้อย่างง่ายดาย เธอพูดเสียงเย็นชา
          “ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอโมโหเรื่องอะไร แต่เธอต้องฟังที่ชินจะพูด ”
          ฉับพลันนั้นเอง  นามิสะท้านไปทั้งร่าง  เธอรู้สึกว่ามือเรนกิที่จับข้อมือเธอนั้นแข็งราวกับเหล็กกล้ายึดติดพื้นดิน ไม่ว่าเธอออกแรงยังไงมันไม่แม้กระดิก แถมยังบีบแน่นจนเธอรู้สึกชาไปทั้งร่าง 
          “ เรนกิปล่อยมือนามิซะ ! “  ชินรีบร้องเมื่อเห็นท่าไม่ดี
          ฟุบ  ความรู้สึกดั่งร่างทั้งร่างถูกตรึงนั้นหายไปอย่างฉับพลัน  นามิรีบผงะถอยตัวหนีด้วยความตกใจ  เรนกิยืนนิ่งๆไม่ทำอะไรต่อ 
          “ ธะ  เธอเป็นใครกันน่ะ “
          นามิถามด้วยอาการหวาดกลัว  เรนกิสีหน้าเรียบเฉย
          “ ฉันน่ะเหรอ  ฉันก็เป็น ...... “
          “ เอออออออออออออออออ  ”
          ชินรีบพูดเสียงดังยาวขัดจังหวะ ทั้งสองเงียบหันมามองชินอย่างสงสัย  เด็กหนุ่มยิ้มแหยะๆ
          “ เอาล่ะนามิ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด  ฉันจะบอกให้เองว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ฟังให้ดี “
          “ ใครล่ะ “ นามิหงุดหงิด
          ชินกระแอ่มเบาๆก่อนกล่าวว่า
          “ ขอแนะนำให้เธอรู้จักกับ เรนกิ น้องสาวของฉัน “
          “ น้องสาว !!! “
          นามิโพล่งด้วยท่าทีตกใจสุดขีด ส่วนเรนกินั้นตกใจงุนงงจนพูดไม่ออก  ชินรีบกอดอกชิงพูดต่อทันทีเพื่อไม่ให้เรื่องแตก
          “ ชะ ใช่  น้องสาวฉันเอง  เธอแยกจากฉันไปอาศัยอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เล็ก  เธอพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง ที่จริงฉันก็กะจะบอกเธอวันนี้พอดี ”
          “ แต่นายเคยบอกฉันว่ากำพร้า “ นามิเหล่ตามองชินอย่างสงสัย
          “ เข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่กำพร้าพ่อแม่ ยังมีน้องสาวอยู่อีกคนต่างหาก”
          ชินรีบแก้ต่าง  นามิยังคงมองเรนกิอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
          “ แต่ว่า ... ผู้หญิงคนนี้หน้าไม่ค่อยเหมือนนายเลยนะ “
          “ ปัดโธ่  พี่น้องหน้าตาไม่เหมือนกันมีถมไป  ถ้าเรนกิไม่ใช่น้องสาวฉันจริง แล้วเธอจะมาอยู่บ้านฉันได้ยังไง  เธอก็รู้นี่ ฉันใช่คนไม่ดีแบบนั้นรึ “
          “ .... “  นามิหยุดพูด เธอนิ่งอย่างครุ่นคิด ได้ผลแฮะ ชินนึกในใจ ตอนนี้เธอยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าคำพูดเขาจริงหรือเท็จ แม้จะรู้สึกผิดต่อนามิอยู่บ้าง แต่มันก็จำเป็น  ชินรีบหันไปทางเรนกิขยิบตา
          “ เรนกิ นี่นามิเพื่อนของพี่นะ สวัสดีสิ “
          ชินพูดย้ำเมื่อเห็นเรนกิยังนิ่งๆไม่ทำอะไร แต่ก็โค้งหัวลงทักทายนามิ
          “ สวัสดีค่ะ ... แบบนี้ใช้ได้แล้วใช่ไหม “
          ท่อนหลังเป็นคำถามที่ถามชิน  ชินยกมือกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ ดูท่าเขาอาจจะต้องสอนมารยาทการใช้ชีวิตให้เธอหลายอย่างทีเดียว
          ส่วนนามิครั้งแรกนึกว่าเรนกิพูดประชดเธอ แต่ดูจากแววตาไร้เดียงสาแล้วไม่น่าใช่  เมื่อเป็นน้องสาวชิน เธอก็ไม่จำเป็นต้องโกรธ
          “ สวัสดีจ๊ะ “  นามิเผยยิ้มอย่างเป็นมิตร
          เรนกิยิ้มตอบตามที่ชินทำท่าทางแนะนำจากด้านหลังนามิ  พอนามิหันหน้ากลับมา ชินกลับทำเฉยไม่รับรู้อะไร  นามิจึงไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ตรงกันข้ามเธอกำลังรู้สึกผิดที่เสียมารยาทต่อชินและน้องสาว
          “ ขอโทษนะชิน  ที่เมื่อกี้เข้าใจนายผิดน่ะ “
          “ ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว “
          ชินแอบผ่อนลมหายใจ อย่างน้อยนามิคงเลิกสงสัยแล้วตอนนี้
          “ งั้นเรารีบไปเถอะนะ เดี๋ยวจะสาย “
          นามิพูดเอ่ย  ชินขณะจะตอบรับก็ฉุกใจคิดขึ้น
          เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้เรนกิยังไม่หายบาดเจ็บ ถ้าไคออนบุกเข้ามาตอนนี้เธอสู้ไม่ได้แน่ เราคงต้องหาที่ปลอดภัยให้เธอ และสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็น่าจะเป็นที่ๆคนอยู่เยอะๆ และมันเคยไปมาแล้ว  นั่นก็คือ ...
          “ นามิ  ฉันขออะไรอย่างนึงจากเธอได้ไหม “
          “ อะไรล่ะ “
        “ ฉันจะขอยืมชุดนักเรียนเธอให้เรนกิน่ะ ฉันจะให้เรนกิไปโรงเรียนกับพวกเราด้วย ”
          “ หา ? “ นามิมีสีหน้างุนงง  ชินยิ้มแป้น  ใช่แล้ว ถ้าหากเป็นโรงเรียนล่ะก็ ไคออนคงจะไม่กล้าวู่วามแน่ เพราะที่นั่นมีคนเยอะ และอีกอย่างมันคงไม่คิดหรอกว่าเรนกิจะไปซ่อนตัวที่นั่นซ้ำสอง
          “ ก็ได้นะ แต่ว่าเพราะอะไรล่ะ “ นามิสงสัย
          “ เพราะ ....  เออออ “ ชินลากเสียงยาวพยายามนึก 
          “ อ้อ ใช่ เพราะว่าตอนนี้มีพวกโรคจิตมันจ้องจะเล่นงานเรนกิอยู่น่ะ ฉันกลัวว่าถ้าปล่อยให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวอาจจะเป็นอันตราย เลยอยากให้ไปโรงเรียนด้วย  เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าน้องฉันสวยแค่ไหน ”
          “ พวกโรคจิต ! “ นามิอุทานอย่างตกใจ ก่อนพูดอย่างกังวล
          “ แต่อาจารย์เค้าจะยอมให้เรนกิเข้าไปเรียนง่ายๆเลยหรือ “
          “ ฉันจะลองคุยกับอาจารย์มิโดริดู  อาจารย์คงช่วยฉันได้ “
          ชินพูดพลางคิดไป  เขาหันไปถามเรนกิบ้าง
          “ ว่าไงเรนกิ ไม่มีปัญหาใช่ไหม “
          เรนกิหยุดนิ่งสีหน้าขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน จนทั้งสองสงสัยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่  ในที่สุดเธอถามเสียงเรียบ
          “ โรงเรียนคืออะไรเหรอ ? “
          “ เอ๋ !?”  นามิมองเรนกิอย่างงุนงง  ชินร้องโอยในใจ นึกไม่ถึงว่าเรนกิจะไม่รู้จักโรงเรียนด้วย  เขารีบชิงพูดกับนามิ
          “ อ้อ ใช่ๆ  ฉันไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้  คือว่าเรนกิก่อนที่จะมาที่นี่ เธอได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนทางสมองน่ะ  ทำให้ความทรงจำบางส่วนขาดๆหายๆ  ฉันคิดว่าการให้เธอไปโรงเรียน อาจทำให้เธอจำอะไรได้บ้าง ”
          “ อย่างงั้นเหรอ “ นามิไม่ค่อยจะเชื่อนัก  แต่ว่าคงไม่มีเด็กคนไหนที่อายุป่านนี้แล้วไม่รู้จักคำว่าโรงเรียนหรอก  ดูจากสีหน้าแล้วก็ไม่ได้เสแสร้ง ก็คงจะเป็นอย่างที่ชินบอกแหละ  นามิคิดในใจ  ส่วนชินนั้น อยากจะตะโกนว่าให้ตายสิดังๆ ไม่รู้ว่าเขาโกหกเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  ปกติเขาเป็นคนไม่โกหกใครเลย  มีครั้งนี้นี่แหละที่โกหกน้ำไหลไฟแลบแบบนี้
          “ เอางี้นะชิน เดี๋ยวฉันจะกลับไปเอาชุดนักเรียนให้เรนกิ รอแป้บนึง ”
          นามิรีบผลุบผลันออกจากบ้านไป 
          “ นี่นาย ทำไมฉันถึงต้องไปโรงเรียนอะไรนั่นด้วย “
          เรนกิถามเมื่อเห็นว่านามิไปได้ไกลแล้ว
          “ ก็เพราะว่าที่นั่นปลอยภัยน่ะสิ  เธอบาดเจ็บอยู่อย่างนี้ ยังสู้ไคออนไม่ได้หรอก  ไหนจะมีนักล่าเผ่าดวงจันทร์อีก “
          ชินพูดด้วยความเป็นห่วง เรนกินิ่งเงียบไป ชินพูดต่ออย่างกังวล
          “ แล้วก็นะ เวลาเธอเจอคนอื่นห้ามยืดเล็บหรือใช้พลังไซโคด้วยล่ะ เธอต้องทำตัวเป็นคนธรรมดาที่สุด ห้ามทำร้ายใคร เข้าใจไหม “
          “ อื้อ  ฉันจะทำตามที่นายบอกล่ะกัน “
          “ ดี ว่าง่ายๆแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย ”
          ชินพูดแซวเล่น  แต่แปลก เรนกิกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ตามปกติ  เธอก้มหน้านิ่งพูดเบาราวกระซิบ
          “ ชิน  ฉันขอบใจนายมากนะ สำหรับหลายๆอย่างน่ะ “
          ชินมีอาการอึ้ง  เรนกิพูดขอบใจเขาเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อแฮะ เพราะว่าเธอแสนจะดื้อเย็นชาขนาดนั้น  เขายิ้มตอบ
          “ ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อฉันตรงๆนะเนี่ย “
          “ อื้อ “
          เรนกิก้มหน้าพวงแก้มของเธอมีสีชมพูระเรื่อระบายอยู่  ไม่นานนักนามิก็นำชุดเรียนมาให้เรนกิลองใส่ดู พบว่าเรนกิน่ารักมากเมื่ออยู่ในชุดนักเรียน ทั้งสามเดินไปโรงเรียนด้วยกัน ระหว่างทางนามิอดนึกถึงเหตุการณ์ที่เรนกิบีบข้อมือเธอไม่ได้ ตอนนั้นทั้งร่างของเธอชาไปหมด 
          มันเหมือนกับไม่ใช่แรงมนุษย์ !?
        แต่เมื่อมองดูเรนกิตอนนี้ เธอก็เหมือนนักเรียนหญิงน่ารักธรรมดา
        เราคิดไปเองมั่ง  ?
                                                                                                              โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น