ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Eternity Moon

    ลำดับตอนที่ #3 : Moonalist ( ชนเผ่าดวงจันทร์ )

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 48


            

              แสงนวลของพระจันทร์ส่องสว่างลอดผ่านหน้าต่างเผยให้เห็นหญิงสาวผมแดงนอนอยู่บนเตียง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธอกำลังหลับสนิท ยามนิทราเธอช่างงดงามเหลือเกิน ไม่มีทีท่าว่าหญิงผู้นี้จะมีอันตรายใดๆต่อผู้อื่นสักนิด



             เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้างดงามนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนสายตาหันไปหยิบหมอนใบสำรองลงไปนอนบนโซฟาชั้นล่าง







    Chapter Three   Moonalist  (ชนเผ่าดวงจันทร์)







              แสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำให้เรนกิต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมอง เธอสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเธอ  ร่างกายของเธอบางส่วนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลอย่างปราณีต บาดแผลทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูแล้ว แม้ว่ายาจะไม่ใช่ตัวสมานแผลที่แท้จริง แต่มันก็มีส่วนช่วยให้เธอสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้เร็วขึ้นกว่าเดิม



              หมอนั่นช่วยเราไว้งั้นรึ ไม่นึกเลยว่าเราจะได้รับการช่วยเหลือจากมนุษย์ที่อ่อนแอนั่น



              เรนกิยันตัวขึ้นนั่ง เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดประตูเพื่อลงไปชั้นล่าง ที่นี่เงียบสงบกว่าที่เธอคิด หญิงสาวเดินตรงไปยังห้องครัว ชินกำลังยกถาดอาหาร เขามีสีหน้าแปลกใจที่เห็นเธอเดินลงมาข้างล่างได้ เด็กหนุ่มยิ้ม



              “ ฉันกำลังจะยกอาหารนี่ขึ้นไปให้เธอพอดี “



              “ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน  “



              เรนกิพูดเสียงเย็นชา ชินไม่ต่อปากต่อคำ เขาเปลี่ยนใจวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะอาหารแทนเมื่อสังเกตเห็นว่าเธอดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติ



              “ ทานอาหารสิ ฉันทำไว้เผื่อเธอด้วย “      



              “ ไม่ต้อง  ขอบใจ “



              เรนกิทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ เธอไม่แตะต้องอาหารที่ชินทำให้ ชินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะ เขาใช้ช้อนตักโจ๊กของตัวเองเข้าปากสองสามคำก่อนจะเอ่ยปากชวนสนทนา



              “ ประหลาดจัง อาการเธอสาหัสขนาดนั้น ทำไมหายเร็วแบบนี้“



              “ เพราะเรามีความสามารถในการฟื้นตัวเอง(Recovery)ที่เหนือกว่าพวกนายมาก ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งพละกำลัง ประสาทสัมผัส พวกเราก็เหนือกว่ามาก “ เรนกิพูดเสียงเรียบ “ รู้ไหมว่าตอนนี้นายอยู่ในสถานภาพที่อันตรายแค่ไหน นายช่วยฉันไว้ ไคออนไม่ปล่อยนายไว้แน่ “



              “ รู้สิ “ ชินตอบทันควัน “ รู้ดีเลยล่ะ เจ้านั่นถูกกรดสาด ถูกระเบิด ถูกปืนยิงก็ไม่ตาย แถมปล่อยไฟออกจากนิ้วได้อีก  เธอเองก็เหมือนกัน จู่ๆเล็บมืองอกยืดยาวออกมาได้น่ะ ... พวกเธอเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไง”



              เด็กหนุ่มหอบหายใจ เรนกิมีสีหน้าเรียบสนิทไม่แสดงอารมณ์ใดๆ



              “ เรียกว่ามนุษย์ต่างดาวออกจะเสียมารยาทไปหน่อยนะ เราเพียงแต่เป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์เท่านั้น “





              “ อยู่บนดวงจันทร์ !? “ ชินโพล่งขึ้นอย่างตกใจ





              “ ใช่ เราเป็น ชนเผ่าดวงจันทร์  (Moonalist)



              “ แต่บนดวงจันทร์ไม่เห็นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลยนี่ “ ชินแย้ง



              “ นั่นเป็นภาพลวงตา “ เรนกิตอบ “ เทคโนโลยีบนโลกไม่สามารถใช้กับพวกเราได้หรอกนะ ดวงจันทร์ที่โลกมองเห็นว่ามีเพียงพื้นดินทราย แท้จริงนั้นมีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่และมีประชากรหลายล้านคนด้วย”



              ชินขมวดคิ้วนั่งนิ่งครุ่นคิด ถ้าเป็นเมื่อวานซืนนี้เขาคงหัวเราะ แต่นี่เขาได้พบสิ่งที่เหลือเชื่อมามากแล้ว เพิ่มกว่านี้สักหน่อยจะเป็นไร



              “ แล้วมีทางไหนบ้างที่มนุษย์อย่างฉันจะต่อกรกับพวกมันได้  ถ้าหากฉันเจอกับไคออนอีกจะทำยังไง “



              นี่เป็นคำถามที่ชินต้องการถามที่สุด  ใครบอกล่ะว่าเขาไม่กลัว เขากลัวมาก ภาพไคออนค่อยๆคืนร่างตัวเองจากเศษเนื้อจนกลับมาสมบูรณ์ได้ยังวนเวียนไม่หยุดตลอดคืนวานนี้  แต่คำตอบที่ออกมานั้นถือว่าแย่ที่สุดที่จะมีได้  เพราะหญิงสาวตอบเสียงเย็นชาว่า



              “ ไม่มี “



              “ อะ ... อะไรนะ” เด็กหนุ่มอึ้ง “  ไม่มีสักวิธีนึงรึไง “



              ชินต้องการคำตอบว่า “ใช่” จากปากของเรนกิ แต่เธอกลับนั่งนิ่ง ใช้ความเงียบแทนคำตอบ หญิงสาวใช้สายตาเพ่งไปยังมีดที่เหน็บไว้ข้างผนังมีดหั่นผักลอยมาหาตรงหน้า ชินอ้าปากตาค้าง ดวงตายิ่งเบิกโพลงมากขึ้น เมื่อมีดเล่มนั้นกรีดผ่านปลายนิ้วกลางของหญิงสาว เลือดสีแดงเข้มข้นไหลทะลักออกมา เธอยังคงปิดปากสนิท ปล่อยให้ชินพิสูจน์บางอย่างด้วยตนเอง เวลาผ่านไปเพียง 10 วินาทีเลือดของเธอก็หยุดไหล 20 วินาทีปากแผลเริ่มปิดสนิทเข้าหากัน 30 วินาทีนิ้วมือมีเพียงรอยบางๆพาดผ่าน และ40 วินาทีริ้วรอยนั้นก็จางหาย นิ้วของเธอคืนสภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ชินมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง



              “ เข้าใจแล้วสินะ “ เรนกิพูดต่อ “ นี่คือความสามารถในการฟื้นตัวเองที่ชนเผ่าดวงจันทร์มี  เป็นสิ่งที่มนุษย์โลกไม่อาจก้าวข้ามไปได้ ราวกับเป็นเวทมนตร์แห่งโบราณกาล อาวุธหรือวัตถุใดๆบนโลกนี้ไม่อาจที่จะฆ่าพวกเราได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะถูกระเบิดแหลกเป็นชิ้นๆก็ตาม  เราจะฟื้นฟูบาดแผลได้ในทันที ไม่แม้แต่จะทำให้รู้สึกเจ็บ “



              “ แบบนี้พวกเธอก็เป็นอมตะน่ะสิ “ ชินอุทาน



              “ จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ผิด เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นชนเผ่าดวงจันทร์ด้วยกันเอง จึงสามารถทำร้ายกันให้บาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้นายไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้อีก ไคออนน่ะ ฉันจะจัดการกับมันเอง “



              แววตาอำมหิตของเรนกิทำให้ชินเสียววาบไปถึงกระดูกสันหลัง  



              “ แต่ฉันอยากจะช่วยเธอนี่นา “



              “ พูดไม่รู้เรื่อง “ เรนกิขึ้นเสียงด้วยความโมโห “ นายนี่มันหัวแข็งจริง ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีนายเมื่อวานนี้เลย “



              “ บัญชี ?  เธอจะคิดบัญชีฉันเรื่องอะไร “ ชินงุนงง



              “ เรื่องที่... “ เรนกิหน้าแดงขึ้นมา “ เรื่องที่นายแตะเนื้อต้องตัวฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตไงล่ะ “



              ชินพอฟังแล้วหัวเราะดังลั่น



              “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มีเรื่องอย่างนี้ด้วย ”



              “ หุบปากนะ ! “



              หญิงสาวตะคอก ชินเงียบทันที ไม่ใช่เพราะที่เธอขึ้นเสียงหรอกนะ แต่เล็บยาวเกือบเมตรที่คมกริบนั่นมันจ่อห่างหน้าเขาไม่กี่คืบแล้ว



              “ล้อเล่นน่า ล้อเล่น ...ไม่หัวเราะแล้ว “ ชินพูดอย่างหวั่นๆ แต่เธอก็ไม่หดเล็บกลับคืนไป  หญิงสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงตาเป็นประกาย



              “ หรือว่าฉันจะเล่นสนุกกับนายก่อนดี “



              “ เล่น ... จะ เล่นอะไร “



              “ เช่นจิ้มตานายสักข้างนึงเป็นไง “





              “ เฮ้ย อย่านะ !





              ไม่รอให้ชินพูดจบ เรนกิพุ่งเล็บที่แหลมคมนั่นไปที่ตาของชินทันทีดุจสายฟ้า  ชินร้องเสียงดังลั่นด้วยความกลัว เขากลั้นหายใจหลับตาปี๋ นี่เขาต้องเสียตาข้างหนึ่งไปตั้งแต่ยังหนุ่มๆแล้วหรือนี่ แต่ผ่านไป 3 วินาทีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ชินค่อยๆลืมตาขึ้นพบว่าเรนกิหดเล็บกลับไปแต่แรกแล้ว เธอมองหน้าตาตื่นกลัวของเขาพลางหัวเราะคิกคัก



              “ ล้อเล่นน่า ล้อเล่น “ เรนกิยิ้ม เธอลอกเลียนคำพูดของเขา  ชินนึกบ่นในใจ มันไม่ตลกเลยนะ เขากลัวแทบตาย ยัยนี่แสบจริงๆ



              แต่เมื่อมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเธอแล้ว มันทำให้เขาโกรธไม่ลง เธอดูน่ารักทีเดียวเวลายิ้มและหัวเราะ เรนกิหุบยิ้มเมื่อเห็นว่าชินจ้องเธอตาไม่กระพริบสีหน้าบึ้งตึงในทันที เธอใช้เสียงดุดันข่มขู่



              “ มองอะไร “  



              “ เปล่าหรอก “ ชินไม่กล้าสู้สายตาเรนกิ เขาเปรยเบาๆ “เวลาเธอยิ้มกับหัวเราะแบบนี้น่ะ เธอน่ารักน่ะสิ  น่ารักกว่าทำหน้าบึ้งตั้งเยอะ“



              พูดจบรีบหลับตายกมือป้องกัน เตรียมรับการโจมตีจากเรนกิทันที  พูดแบบนี้ไปจะโดนอะไรอีกไหมเนี่ย ชินนึกหวั่นในใจ ...ทว่าผิดคาด หญิงสาวไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ชินลืมตามองพบว่าเรนกินั่งนิ่งไม่ขยับเลย เธอมีแววตาเหม่อลอย เอ่ยถามเบาๆ



              “ นายว่าฉันน่ารักจริงเหรอ “



              “ จริงสิ ต้องให้พูดซ้ำด้วย “ ชินทำท่าไม่พอใจนิดๆ  



              “ งั้นเหรอ เป็นครั้งแรกนะ ที่มีคนพูดกับฉันแบบนี้ “



              เรนกิพูดเสียงเรียบอย่างไร้ความรู้สึก ชินรู้สึกเหนือคาด ไม่น่าเชื่อ  เธอสวยปานนางฟ้าจากสวรรค์แบบนี้กลับไม่เคยได้รับคำชมเลยหรือไง  หรือเพราะว่าเธอดุมากจนไม่มีชายใดกล้าจีบ  



              แต่ไม่ทันที่ชินจะครุ่นคิดต่อนั้น





              “ ชิน นายคุยกับใครน่ะ !





              เสียงนามิดังลั่นจากหน้าบ้าน  เธอคงมารอเขาตามปกติเพื่อไปโรงเรียนด้วยกัน เนื่องจากห้องครัวนี้อยู่ริมรั้วบ้านพอดี ทำให้นามิบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับเรนกิเข้า  ชินใจหายวาบ





             ไม่ได้การแล้ว ! ขืนให้นามิเข้ามาเห็นเรนกิล่ะก็ ยุ่งแน่





              แม้จะไม่เอ่ยถึงเรื่องชนเผ่าดวงจันทร์ แต่แค่นามิมาเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงแปลกหน้า 2 ต่อ 2 ในบ้านหลังนี้  เธอต้องเข้าใจผิดแน่ๆ  นามิยิ่งเป็นคนที่โกรธแล้วไม่ค่อยฟังอะไรซะด้วย  แย่แล้ว แย่แน่



              ชินมีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เรนกิมองเขาอย่างแปลกใจ



              “ ทำไมต้องกระวนกระวายด้วย เพื่อนเธอไม่ใช่หรือ “



              ชินเอามือจุ๊ปากให้เรนกิเงียบ ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจเรื่องของมนุษย์เอาซะเลย  เขารีบคว้ามือเรนกิพาไปยังตู้เก็บของในห้องครัว



              “ อยู่ในนี้ อย่าออกมาจนกว่าฉันจะเรียก “ ชินกระซิบ



              “ ชิน นายทำอะไรอยู่น่ะ ฉันจะเข้าไปนะ “



              เสียงนามิดังขึ้นซ้ำสอง เธอถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา ชินรีบออกมารับหน้านามิไว้ไม่ให้เธอเดินล่วงเข้าไปในห้องครัว



              “ อะ ... อรุณสวัสดิ์ นามิ “



              น้ำเสียงชินสั่นนิดๆ  นามิมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัย



              “ เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงพูดนี่ นายพูดกับใครน่ะ “



              “ เออ คือ ..  โทรทัศน์น่ะ เสียงโทรทัศน์ “ เขาแก้ต่าง



              “ แต่ปกตินายไม่ค่อยดูโทรทัศน์นี่ ... ไหนล่ะ ไม่เห็นเปิด  “



              นามิจ้องตาเขาอย่างคาดคั้น เธอรู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี เขาไม่ค่อยชอบดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่โดยเฉพาะตอนเช้า ชินไม่อยากจะโกหกให้ยุ่งยากอีกเพราะไม่ถนัดเรื่องนี้  รีบคว้ากระเป๋านักเรียน ดึงแขนนามิออกจากบ้าน



              “ ช่างเหอะน่า รีบไปเถอะ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย “



              “ ชิน วันนี้นายแปลกๆนะ “



              นามิมองหน้าชินอย่างนึกระแวง เธอรู้ว่าชินกำลังปิดบังอะไรเธอแน่ นามิสะบัดแขนเล็กน้อยให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม  สืบเท้าเข้าไปในบ้านโดยไม่ฟังคำทัดทานของชิน เธอกวาดตาไปรอบๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน  



              “ เห็นไหม ไม่มีอะไรสักหน่อย “



              ชินเดินตามหลังมารีบพูด  นามิกำลังจะเลิกล้มความคิดสงสัย แต่ฉับพลันนั้นเอง สายตาเธอสะดุดเข้ากับชามโจ๊ก 2 ชามวางอยู่บนโต๊ะชินมองตามร้องโอยในใจ นามิหน้าบึ้งตึงมองซ้ายขวาก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้าตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด  เธอเปิดมันออกในทันที



              ชินหยุดหายใจ หลับตา จบสิ้นแล้ว ชีวิตเรา  





              ทว่า  ภายในกลับว่างเปล่า !?





              “ เอ๋ ไม่มีใครอยู่หรอกรึ  “ นามิมีท่าทีแปลกใจ ชินรีบลืมตา มองเข้าไปด้านใน มีเพียงเครื่องดูดฝุ่นและผ้าถูพื้นเท่านั้น เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองเห็นหน้าต่างห้องที่เดิมมันปิดอยู่ แต่ตอนนี้เปิดออก     แสดงว่าเรนกิคงหนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว



              ชินแม้จะดีใจที่เรนกิหนีออกไปทันโดยนามิไม่เห็น แต่ลึกๆแล้วก็รู้สึกเสียใจ ....



              บางที .... เขาอาจจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว





                        ___________________________________







              ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นครั้งใหญ่ เมื่อนักเรียนนับร้อยเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ที่หน้าโรงเรียน  แต่ยังน้อยถ้าเทียบกับห้องเคมีที่อยู่ที่ชั้น 4 ที่เละกระจุยกระจายผนังห้องมีรอยโหว่ขนาดใหญ่ เศษอิฐเศษปูนร่วงหล่นอยู่บนพื้น บางคนตื่นเต้น บางคนหวาดกลัว บางคนกังวลและบางคนกลับบ้าน เพราะคิดว่าคงไม่มีการเรียนการสอนแล้ว



              ชินยืนมองอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนกับนามิ  สภาพความเสียหายที่เห็นรุนแรงเกินกว่าที่จะเป็นฝีมือของเด็กนักเรียน  แถบพลาสติกสีเหลืองล้อมรอบบริเวณเกิดเหตุไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องรุกล้ำ มีรอยชอล์กสีขาวขีดเป็นรูปคนที่พื้น และเศษเขม่าดำๆชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่โดยรอบ คงเป็นใครไม่ได้นอกจากยามเฝ้าประตูผู้เคราะห์ร้าย ตอนนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังทำงานอย่างเคร่งเครียด นักข่าวตามประกบเช่นเคย



              “ ตายจริง  นี่เกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนเราน่ะ “



              นามิมีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด ชินรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี แต่เขาไม่คิดจะบอกเธอ



              “ เฮ้ พวกนายมาสายกันอีกแล้วนะ “



              ทานากะวิ่งกระหืดกระหอบมาทักทาย  นามิถาม



              “ เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทานากะ “



              ทานากะหยุดยืนพักหายใจก่อนบอกอย่างตื่นเต้นว่า



              “ ไม่รู้เหมือนกัน ที่เห็นนี่ยังน้อยนะ  ห้องเคมีสิ เละทั้งห้องเลย ตอนนี้ตำรวจยังจับมือใครดมไม่ได้ด้วย  ไม่แน่คนที่ทำอาจมีความโกรธแค้นกับโรงเรียนเรามาก  แม้แต่ยามเฝ้าประตูยังถูกเผาทั้งเป็น “



              “ หา ! คุณลุงที่ใจดีคนนั้นน่ะนะ ”



              นามิร้องอย่างตกใจ  ใบหน้าเธอสลดลงเมื่อทานากะพยักหน้า  



              “ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ฉันจดบันทึกเบาะแสทั้งหมดไว้แล้ว  ฉันจะต้องสืบหาตัวคนร้ายให้เจอให้ได้ “



              ทานากะโชว์สมุดพกเล่มเล็กให้นามิดูด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว  ไม่รู้ว่าเขาเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่  แต่ทุกคนรู้ว่าเขาชอบทำตัวเป็นนักสืบ  คดีเด็ดๆแบบนี้เขามีหรือจะพลาด



              “ เฮ้ ชิน  นายจะมาเป็นผู้ช่วยสืบของฉันไหม “



              “ เหอะ อย่าดีกว่าน่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์อย่างเราจะยุ่งเกี่ยวได้ ”



              ชินพูดตอบเรียบๆ ทำเอาทั้งสองคนงุนงงกับคำว่า “มนุษย์อย่างเรา“ มันหมายความว่ายังไงหว่า นี่ถ้าหากเป็นชินคนเก่า เขาต้องร่วมมือกับทานากะอยู่แล้ว แต่ใครจะคิดเล่าว่า เขานี่แหละที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นสดๆร้อนๆเลย  และหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องก็นอนอยู่ที่บ้านเขาเมื่อคืนนี้



              “ อะไรวะ  จู่ๆก็ปอดแหก ไม่สมเป็นนายเลย “



              ทานากะมองชินอย่างแปลกใจ



              “ มันเรื่องของฉัน นายเองก็เลิกยุ่งเรื่องนี้ซะจะดีกว่า “



              ไม่รอให้ทานากะซักถามต่อ ชินสืบเท้าเดินเข้าไปดูภายในโรงเรียน  ทิ้งให้นามิกับทานากะมองตามหลังด้วยความสงสัยกว่าเดิม



              “ แปลกจริง ปกติมันไม่น่าจะเป็นยังงี้นี่  เอ๊ะ  หรือว่าเธอกับเขา ... “



              ทานากะหันมาจ้องตานามิ  เขายิ้มอย่างมีเลศนัยทำเอานามิหน้าแดงขึ้นมา



              “ อะ ... อะไรเล่า “



              “ ไม่มีอะไรหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า .... โอ๊ะ สาวๆมาแล้ว ฉันไปก่อนนะ “



              พูดจบทานากะรีบชิ่งเท้าหนี  ได้ยินเสียงนามิร้องตามหลัง



              “ ทานากะบ้า ! “





              อีกด้านหนึ่ง  ชินเดินสำรวจรอบๆบริเวณโรงเรียน มีนักเรียนจับกลุ่มนั่งคุยกันตามทาง  มีรอยไหม้ตามจุดต่างๆทั่วไป  ชินสังเกตเห็นบางสิ่งที่เขารู้สึกผิดปกติ  นั่นคือมีต้นไม้หักโค่นบ้าง ถูกเผาบ้าง รอยระเบิดมีหลายแห่ง ซึ่งมากเกินไป เมื่อวานนี้พวกเขาหนีอย่างเดียว ไม่ได้ปะทะอะไรกันรุนแรงขนาดนั้นนี่  มันหมายความยังไงนะ ... หรือว่าเขาคิดไปเอง !?



              แสงที่ส่องประกายแวบๆที่โคนต้นไม้สะท้อนเข้าตาชิน  เขาลองไปดูใกล้ๆ มันเป็นกระสุนปืนสีเงินวาวขนาดใหญ่มีลักษณะต่างจากทั่วไปที่ชินไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่จากปืนของยามคนนั้นแน่  มันทำให้เขาสงสัยยิ่งขึ้น



              เสียงรถขับเข้ามาในโรงเรียนทำให้ชินหยุดคิดลุกขึ้นยืนมอง คนอื่นก็เช่นกัน  มีรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งขับเข้ามาจอดช้าๆห่างจากเขาไปไม่ไกลนัก



              ปึง ประตูรถเปิดออกมา ชายชุดสูทดำคนหนึ่งก้าวออกมา ชินจำเขาได้แม่นเลย หมอนี่แหละเคสโรเจอร์ที่อ้างตัวว่าเป็นคนขององค์กร KM อะไรนั่น  เสียงคุยจอแจเงียบลง  และเงียบกว่าเดิม เมื่อชายสูทชุดดำเดินอ้อมไปเปิดประตูข้างรถ มีหญิงสาวชาวต่างชาติหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ไว้ผมสีทอง ชุดสีดำตัดกับผิวขาวเนียน อายุเธอคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา  ความสวยของเธอสะกดสายตาบุรุษทุกคู่ให้ไม่อาจละมองที่อื่น หญิงสาวก้าวลงจากรถด้วยกิริยาที่สง่างาม  ชินพอเห็นใบหน้าเธอก็ฉุกใจคิดขึ้นทันที



              จำได้แล้ว  คนนี้แหละที่สวนทางเรากับเรนกิในตอนเย็นวันนั้น !



              ขณะนั้นพวกตำรวจเข้ามาตอนรับแขกต่างประเทศอย่างดี  นายที่ชื่อเคส โรเจอร์ กำลังพูดคุยกับพวกตำรวจ ชินพอเดาได้ว่าบทสนทนาคงไม่ต่างจากเดิม ส่วนหญิงสาวผมทองสง่าคนนั้น เธอเดินดูบริเวณรอบๆ โดยทุกคนเปิดทางให้หมด และฉับพลันนั้น สายตาเธอกับชินประสานกันเข้า  



              หญิงสาวยิ้มให้กับชินและสืบเท้าเข้าหา ทำเอาชินตกใจขึ้นมาทันที



              “ สวัสดีค่ะ “



              เธอพูดภาษาของเขาได้อย่างชัดเจน เพื่อนคนอื่นๆที่มุงดูอยู่แถวนั้นต่างพาสงสัยว่าชินรู้จักกับผู้หญิงสวยขนาดนี้ได้ยังไงกัน



              “ เออ ... สะ สวัสดีครับ “



              ชินมีอาการประหม่าเล็กน้อย  สาวแปลกหน้าถามต่อ



              “ ผู้หญิงผมแดงที่มากับนายเมื่อวานนี้ไปไหนซะล่ะ “



              พระเจ้า !   ชินใจหายวาบ  ไม่ผิดแล้ว เธอจำเขาได้  เด็กหนุ่มรีบเก็บอาการตกใจเอาไว้ เขายังไม่รู้ว่าเธอคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู



              “ คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ผู้หญิงคนไหนกัน “



              “ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง นายกำลังอยู่ในอันตรายนะ บอกฉันมาตอนนี้ดีกว่าว่านายกับผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกัน “



              แม้ใบหน้าเธอจะยิ้มแย้ม คนทั่วไปอาจนึกว่าคุยกันธรรมดา แต่น้ำเสียงแฝงการข่มขู่นี้ชินสัมผัสได้ บางทีหากชินบอกออกไปคนพวกนี้อาจช่วยป้องกันอันตรายแก่เขาได้ แต่ดูจากท่าทางและน้ำเสียงแล้ว เธอไม่เป็นมิตรกับเรนกิแน่  ...  เพียงนึกถึงเรนกิเท่านั้น ชินตัดสินใจปดออกไปทันที



              “ ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น  คุณจำคนผิดแล้วล่ะ “



              สาวผมทองยิ้มและไม่พูดอะไรอีก เธอเดินกลับไปที่รถคันหรู สนทนากับนายเคส โรเจอร์ไม่กี่คำ ทั้งสองก็กลับขึ้นรถ และเบนซ์คันหรูก็ถอยออกจากโรงเรียนนี้ไปท่ามกลางเสียงซุบซิบถกเถียงกันของนักเรียนทั่วไป  ชินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก



              ทานากะกับนามิรีบวิ่งมาหาชินทันที



              “ เฮ้ย ชิน นายไปรู้จักสาวไฮโซเซ็กซี่คนนั้นได้ไงวะ สุดยอดเลย “



              “ ฉันไม่ได้รู้จักกับเธอหรอก เป็นเรื่องเข้าใจผิด “



              ชินปฏิเสธ นามิเหล่ตามองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง



              “ จริงเร้อ  ผู้หญิงสวยขนาดนั้น นายคงไม่ได้ทำอะไรเธอไว้นะ “



              “ จะบ้าเรอะ อย่าพูดเล่นไป  ฉันไม่นิยมต่างชาติหรอกจะบอกให้ “



              ชินรีบแก้ต่าง  นามิฟังแล้วก็หัวเราะคิกๆ



              “ เหรอ  ฉันรู้นะ ว่านายโกหกเรื่องไม่นิยมต่างชาติอะไรนั่น  แต่เอาเถอะ ฉันจะเชื่อนายก็แล้วกัน ”



              พูดจบก็ยิ้มน้อยๆ  ชินชักจะรู้สึกปวดหัวกับผู้หญิงรอบตัวเขาซะแล้ว





                          _______________________________________







              ตึกที่เกิดเหตุถูกยกเลิกการเรียนการสอนทั้งหมด นักเรียนต้องเสียเวลาย้ายสถานที่ในการเรียนกันอลหม่าน เรื่องราวที่เกิดขึ้นทางโรงเรียนประกาศชี้แจงว่าเป็นสาเหตุของกลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติตามที่ชินคาดไว้ และขอให้นักเรียนระมัดระวังตนเอง และกลับบ้านในทันทีที่โรงเรียนเลิก



              เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนแล้ว  แม้จะมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเรียนทุกคนดีใจก็คือเลิกเรียนเร็วกว่าเดิม มีเสียงจอแจ ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน นามิยังมาคุยกับชินเรื่องที่โรงเรียนแจ้งเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับเหตุการณ์ในสวนสาธารณะ ชินก็เออออตาม  แต่ในใจนึกหัวเราะพวกองค์กร KM ว่าโม้เรื่องอื่นไม่เป็นแล้วหรือไง นอกจากผู้ก่อการร้ายข้ามชาติเนี่ย



              “ นาย ชิน ยาเมะ กรุณามาที่ห้องวิชาการด้วย “



              เสียงประกาศดังขึ้น มันทำให้ชินกับนามิที่กำลังเก็บกระเป๋าอยู่ในห้องเรียนสงสัยทันที



              “ นายไปทำเรื่องอะไรไว้น่ะชิน “



              “ ไม่รู้สิ  เดี๋ยวฉันมานะ “



              ชินรีบเดินไปห้องวิชาการอย่างแปลกใจ เขาเคาะประตูและเลื่อนมันออก  ภายในห้องมีพวกตำรวจและครูใหญ่นั่งอยู่รอบโต๊ะสี่เหลี่ยมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บรรยากาศแบบนี้ทำเอาเขาใจสั่น



              “ เธอใช่ไหม ชิน ยาเมะ นั่งก่อนสิ ”



              “ครับ “



              ชินค้อมหัวให้ครูใหญ่ เขาทรุดตัวลงบนโซฟาก่อนถามว่า



              “เออ นี่เรื่องอะไรหรือครับ “



              ตำรวจนายหนึ่งมองหน้าชินตรงๆ



              “เราได้รับแจ้งมาว่า เมื่อวานตอนเย็น คุณเข้าไปในโรงเรียน “



              ตายละ  ชินรู้สึกเสียววาบทั้งตัว ท่าจะไม่ดีแน่ๆ นอกจากจะต้องรับมือกับเรนกิ  ไคออน คอยปิดนามิและผู้หญิงต่างชาตินั่นแล้ว ยังต้องมารับมือพวกตำรวจอีกด้วยรึนี่ เรื่องชักยุ่งขึ้นทุกทีแล้วสิ







                                                                                                                 โปรดติดตามตอนต่อไป





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×