ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Eternity Moon

    ลำดับตอนที่ #1 : Night Fall ( รัตติกาล )

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 48


                  

                   ร้อน ?



                   ทำไมถึงร้อนอย่างนี้นะ



                    ร้อนเหมือนกับอยู่ในเตาอบ ทำไมกัน นี่ไม่ใช่หน้าร้อนสักหน่อย  



                    กลิ่น ?



                    มีบางอย่างกำลังไหม้  



                    แสงไฟที่เจิดจ้าไปทั่วนี่มัน



                    พ่อ ?



                    แม่ ?



                    น้องสาว ?





                    มีด











    Chapter One   Night Fall   ( รัตติกาล )





              เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ แสงจันทร์ที่สาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามาช่วยให้ในห้องไม่มืดจนเกินไป  เตียงเดี่ยวตรงมุมห้องมีร่างเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนทอดยาว เขาเอามือก่ายหน้าผากพลางทอดถอนใจ สายตาเหลือบมองไปยังนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงบอกเวลาสองนาฬิกาแล้ว  แต่เขาก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ความเงียบอันวังเวงทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน



              7 ปีแล้วสินะ เขานึกว่าลืมเรื่องวันนั้นได้แล้วสักอีก  7 ปีที่ชีวิตของเขาต้องพลิกผัน  เมื่อคฤหาสน์ที่อาศัยอยู่เกิดไฟไหม้ ... หรือเปล่านะ ? ภาพวันนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน  ที่รู้ก็คือพ่อกับแม่และน้องสาวของเขาหายไปในกองเพลิง  เขาเป็นคนเดียวที่รอดมาได้พร้อมกับสิ่งๆหนึ่ง



              มีดเล่มนั้น  



             มีดพับได้เล่มสั้น ด้ามของมันสีดำมีลวดลายที่แปลกประหลาด คมมีดเมื่อเปิดออกมาจากด้ามมีสีเงินวาววับสะท้อนความคมกริบ เขาจำได้ว่าแม่ได้มอบมันให้เขาก่อนสิ้นใจ เขาจำคำพูดสุดท้ายนั้นได้ดี



              “ จงใช้มันเพื่อปกป้องคนที่สำคัญ “



              หลังจากนั้นเขาไม่เคยได้ยินเสียงของแม่อีกเลย



              ชิน  ยาเมะ  เด็กหนุ่มมัธยมวัย 17 ปี ผมสั้นสีดำ รูปร่างค่อนข้างสูงดูทะมัดทะแม่ง ใบหน้าที่ดูดีนั้นแฝงความเหม่อลอยอยู่ตลอดราวกับเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องรอบตัวเท่าใดนัก ชินอาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆหลังหนึ่งโดยมีมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นทุนการศึกษา เขาไม่ได้ต่างจากเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปเลย  หากแต่เวลานี้เท่านั้น



              ตุ๊บ  ตุ๊บ



              อีกแล้วเรอะ ชินร้องในใจ เสียงหัวใจที่เต้นแรงระรัวนี่มันอะไรกัน มีความรู้สึกบางอย่างกำลังปะทุในร่างกาย มันเคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงหลายวันนี้  แต่วันนี้มันแรงมากกว่าปกติ ทั้งๆที่ไม่ใช่เจ็บป่วย มันเป็นแค่ความรู้สึก  ที่บอกเขาว่ามีอะไรบางอย่างกำลังร้องเรียกเขาอยู่  



              เดิน ...  



              ชินหยิบมีดพับบนโต๊ะข้างหัวเตียงพกใส่กระเป๋ากางเกงเดินออกจากห้อง เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกอยากออกไปข้างนอกในค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้



              ถนนว่างเปล่า ไร้ผู้คน



              แมลงกลางคืนไม่ยอมส่งเสียงร้อง



              มันนิ่งและเงียบ….เงียบจนเกินไป มีเพียงแสงจากเสาไฟทำให้พอมองเห็นทางและหมาจรจัดที่กำลังคุ้ยหาเศษอาหารภายในถังขยะ  



              ชินมีอาการเหมือนคนนอนละเมอ เดินอย่างไร้จุดหมาย จนมาหยุดเท้าที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน สายลมเย็นพัดวูบผ่านมาให้เขาสะดุ้งเฮือก ชินได้สติ  เขาก้มมองตัวเองและรอบข้างอย่างนึกประหลาดใจ



              นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ สถานที่ที่เขาควรอยู่ในเวลานี้ก็คือ บ้าน  



              ชินตัดสินใจหันหลังกลับ ทว่า!



              หญิงสาวผู้มีผิวขาวราวหิมะและมีผมสีแดงเข้มยาวสยายอยู่กลางหลังผู้นั้นสะดุดตาเข้าอย่างจัง  เธออายุราว 16 ปีได้ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวและกระโปรงพลีทยาวที่สีเดียวกันกับผม ดูราวกับคุณหนูตระกูลสูง ชินยืนนิ่งราวถูกสะกด เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนงดงามเช่นนี้มาก่อน  เพียงแต่แสงไฟสว่างพอที่จะทำให้เขาเห็นแววตาอันเยือกเย็นคู่นั้น ริมฝีปากบางจัดไร้รอยยิ้ม  



              เขานึกสงสัยว่าทำไมหญิงสาวที่สวยเช่นนี้ถึงมาอยู่ในสวนสาธารณะในเวลาดึกดื่นแบบนี้ได้ ไม่ทันที่เขาจะได้คิดต่อก็ปรากฏชายลึกลับคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด



              ชายคนนั้นดูอายุ 30 ปีได้ ผมสีเหลือง ผิวคล้ำ สวมเสื้อโค้ชสีน้ำตาล แวบแรกที่เห็น ความรู้สึกของชินบอกว่าชายผู้นี้น่ากลัวมาก เขาหลบวูบแอบที่พุ่มไม้ใกล้ๆขณะที่ชายลึกลับคนนั้นเดินเข้าหาหญิงสาว



              “ ในที่สุดเราก็ได้พบกันเสียทีนะ “



              ชายลึกลับแสยะยิ้มทักทายด้วยเสียงแหบห้าว หญิงผู้ถูกทักมีแววตาอาฆาตปรากฏขึ้น



              “ แกสะกดรอยตามฉันมาหลายวันแล้ว คิดว่าฉันไม่รู้ตัวหรือไง “



              “ ฉลาดเหมือนเดิมนะ ฉลาดอย่างนี้ก็ควรรู้นะว่า ถ้ายอมกลับไปกับฉันแต่โดยดี ทุกอย่างก็จะสะดวกสบาย  “



              “ ฝันไปเถอะ !



              สิ้นเสียงเกรี้ยวกราด หญิงสาวก็พุ่งตัวเข้าหาชายลึกลับในทันที   พระเจ้า! นิ้วเล็กๆของเธอกลับมีเล็บงอกยาวเฟื้อยออกมาจนเกือบเมตร เธอใช้มันเป็นอาวุธเข้าต่อสู้กับชายลึกลับ มันหลบทันกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนปลายเสาไฟฟ้า





              นี่มันอะไรกัน  เล็บมือที่ยืดออกมาได้  กระโดดสูงตั้ง 6 เมตร  





             มันใช่คนรึเปล่าเนี่ย !!





              ชินเบียดตัวเข้าพุ่มไม้มากขึ้นด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด  เด็กสาวเมื่อพบว่าตนโจมตีพลาด เธอก็รุกไล่ต่อ ใช้เล็บที่มือสองข้างเป็นอาวุธแกว่งฟันสลับไปมาใส่เป้าหมาย  ต้นไม้ 3-4 ต้นหักโค่นลงมาทันทีเมื่อถูกเล็บทั้งห้าที่คมเหมือนดาบตะกุยข่วน แต่ชายลึกลับก็หลบได้ทั้งหมดอย่างว่องไว เขาและเธอเคลื่อนที่เร็วมากจนชินตาลาย



              “ ในเมื่อเธอดื้อด้านอย่างนี้  เห็นทีต้องใช้กำลังกันแล้ว “



              เสียงแหบห้าวคำรามลอดไรฟันออกมาอย่างหัวเสีย เขาชี้นิ้วออกไปยังคู่ต่อสู้ พริบตานั้นปรากฏลูกไฟขนาดเล็กพุ่งวาบเข้าหาหญิงสาว ดีที่เธอหลบทัน ลูกไฟจึงพลาดถูกใบไม้ลุกไหม้กระจายไปทั่วบริเวณ



              “ หลบได้ดีนี่  แล้วถ้าแบบนี้จะเป็นยังไงล่ะ “



              ชายนิรนามยิ้มพลางกางนิ้วทั้งห้า ลูกไฟถึง 5 ลูกพวยพุ่งเข้าใส่พร้อมกัน  เห็นได้ชัดว่าเธอคนนั้นหลบไม่พ้นแน่แล้ว แต่ฉับพลันนั้นเอง !!



              ตูม เศษอิฐละเอียดและฝุ่นผงปลิวว่อน ม้านั่งตัวที่อยู่ใกล้สุดได้ลอยมาเป็นปราการป้องกันหญิงสาวเอาไว้  บรรดาสิ่งของต่างๆบริเวณใกล้เคียงทั้งต้นไม้ กระถางหรือกระทั่งถังขยะ ต่างพากันลอยขึ้นเหนือพื้นโดยไร้คนจับต้องอย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวยืนนิ่งดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปยังสรรพสิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหน้า  ชายลึกลับมีสีหน้าเหนือคาด



              “ โฮ้  นี่รึพลังไซโค (Psycho)ที่เขาร่ำลือกัน “



              “ ฉันจะฝังแกทั้งเป็น “ น้ำเสียงเย็นเรียบตรงข้ามกับสีหน้าที่อำมหิต



              “ ทำได้ก็ลองดูสิ “ ชายลึกลับท้า



              ฉับพลันนั้นเอง สิ่งของมากมายที่ลอยเหนือพื้นพุ่งเข้าใส่ชายนิรนามราวพายุ ในขณะที่ชายคนนั้นดันมือซ้ายขวาไปข้างหน้า เกิดม่านเพลิงขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเขาเป็นวงกลม ลูกไฟปะทะกับวัตถุเกิดเสียงดังสนั่นติดต่ออย่างรุนแรง แรงระเบิดซัดชินที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้จนกระเด็นไป



              ชินทั้งตกตะลึงพรึงเพริด ทั้งงุนงงสับสน เขาพยายามยันกายลุกขึ้นคลานหนีห่างออกมา ทว่าหญิงสาวกลับหลบอาวุธของคู่ต่อสู้มาทางเขาพอดี  เธออุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นชิน



              “ มนุษย์ !



              ไม่ทันขาดคำนั้นเอง ลูกไฟอีก 5 ลูกพุ่งตามหลังมา มันพุ่งมาทางชินเห็นได้ชัดว่าจะโดนเขาแน่ แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาเสี้ยววินาที ผู้หญิงคนนั้นผลักร่างของเขาให้ออกห่าง





              ตูม !!!





              ทุกอย่างยุติ ... มีเพียงความมืดมิดเท่านั้นที่ยังทำงานต่อไป





                        ______________________________                                    







           ตื้ด ตื้ด ตื้ด เสียงนาฬิกาปลุกดิจิตอลดังขึ้นข้างเตียงบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา เด็กหนุ่มลืมตาตื่น  เขาอยู่ในห้องนอนของตนเอง  แสงอาทิตย์ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาเหมือนกับทุกวัน  ชินมองรอบข้างอย่างตกใจ  ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม  มีดเล่มสีดำที่วางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงใกล้ๆตามปกติ



              ฝันยังงั้นรึ  เฮอะ  ก็แหงล่ะสิ



              ชินลอบถอนใจนึกหัวเราะกับตัวเอง  ไม่มีทางที่จะมีเด็กสาวยืดเล็บตัวเองได้ตั้ง 2เมตร ผู้ชายที่ปล่อยไฟออกจากนิ้วได้  มันบ้าเกินไป



              ชินลุกออกจากเตียงจัดการกับตัวเองอย่างรีบร้อนเพื่อไปโรงเรียน



              กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ต่างหากคือความจริง



              เขานำโจ๊กสำเร็จรูปอุ่นในไมโครเวฟ  อาหารเช้าง่ายๆก่อนออกจากบ้าน  ชินไม่ลืมที่จะพกมีดพับเล่มนั้นไว้ติดตัวเสมอ  ประตูบ้านเปิดออกเด็กสาวหน้าตาน่ารักยื่นหน้าออกมาจากรั้วพร้อมกับทักทายเสียงใส



              “ อรุณสวัสดิ์ ชิน “



              “ อรุณสวัสดิ์ นามิ “          



             นามิ นามาซึกิ  อายุน้อยกว่าชิน 1 ปีเธอไว้ผมหางม้าสีดำ ใส่เสื้อสีเหลืองสดใส กระโปรงบางสีขาว หน้าตาน่ารักมีความร่าเริงแจ่มใสตลอด เธอเป็นเพื่อนของชินตั้งแต่สมัยที่ชินย้ายบ้านมาใหม่ๆ บ้านของเธออยู่ไม่ห่างชินมากนัก ดังนั้นทั้งสองคนจะไปโรงเรียนด้วยกันอยู่เสมอ  



              “ วันนี้ทำไมดูอารมณ์ดีจังล่ะ “



              นามิเอ่ยขึ้นระหว่างทางที่เดินไปโรงเรียน  ชินยิ้มตอบ



              “ ก็นึกถึงความฝันแปลกๆเมื่อวานน่ะ  มันตลกดี  ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ฝันเรื่องบ้าๆแบบนั้นได้ “



              “ ฝันว่าอะไรเหรอ  มีฉันอยู่ในฝันเธอหรือเปล่าน่ะ “



              นามิถามอย่างกระตือรือร้น  ชินหัวเราะดังลั่น



              “ จะบ้าเหรอ  ไม่มีเธอหรอก “  



              “ โธ่เอ้ย  แล้วฝันเรื่องอะไรล่ะ ”



              นามิมีสีหน้าขุ่นเคืองนิดๆ ชินเล่าต่อ



              “ ก็ฝันว่า ... “



              แต่แล้วบทสนทนาก็หยุดชะงักลง เมื่อทั้งคู่สังเกตเห็นว่าที่สวนสาธารณะเบื้องหน้ามีฝูงชนยืนอออยู่เต็มไปหมด  เสียงอื้ออึงดังขึ้นพอๆกับสภาพชุลมุนเพราะผู้คนที่เบียดเสียดยัดเยียด คนเหล่านี้ถูกกันไว้ด้วยแถบพลาสติกสีเหลืองอันเป็นเขตห้ามเข้า ตำรวจหลายนายกำลังทำงานอย่างเคร่งเครียด รวมถึงพวกนักข่าวที่ตามประกบอย่างกระชั้นชิด



              “ เกิดอะไรขึ้นนะ “



              นามิพูดอย่างสงสัย  แต่ชินไม่ตอบ  สมองของเขาครุ่นคิดอย่างหนัก ร่างกายตื่นกลัวและหวาดระแวง เขารีบวิ่งไปดูยังสวนสาธารณะเบื้องหน้าโดยนามิวิ่งตามแทบไม่ทัน เมื่อพยายามแทรกตัวฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงด้านในได้  ชินก็ต้องอ้าปากตาค้างกับสิ่งที่ได้เห็น  



              สภาพของสวนสาธารณะนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ การระเบิดอย่างรุนแรง  ต้นไม้หักโค่นหลายต้น ทั้งม้านั่งที่แตกกระจาย หลอดไฟหลุดแตกละเอียด และปรากฏรอยไหม้ตามบริเวณต่างๆ ชินไม่สามารถเข้าไปด้านในแถบเหลืองได้ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจสอบอย่างเคร่งเครียด





              บ้าน่า  หรือว่าความฝันเมื่อคืน  . . . !!!





              ชินใจหายวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น





              เหลือเชื่อ





               ไม่น่าเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นมันสอดคล้องกับความฝันเมื่อคืนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน  หรือว่าเมื่อคืนนี้มันไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง !?



              ชินกลืนน้ำลายเหนียวๆลงลำคออย่างยากเย็น มือทั้งสองเย็นเฉียบ



              “ ชิน เธอเป็นอะไรน่ะ “ นามิถามเมื่อเห็นท่าทีชินแปลกไป



              “ ปะ เปล่า “  



              ชินพยายามควบคุมสติตนเองไว้  ขณะนั้นฝูงชนแหวกออกเป็นทางเมื่อมีรถเบนซ์สีดำ 6 ที่นั่งคันหนึ่งขับรถเข้ามาจอด บุรุษชาวต่างชาติใส่สูทสีดำคนหนึ่งออกมาจากรถ  เขาเดินเข้าไปพูดกับนายตำรวจคนหนึ่งที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็นหัวหน้าสืบสวนของกรมตำรวจ  ชินดึงแขนนามิแทรกตัวเข้าไปใกล้ๆ เงี่ยหูฟังการสนทนาด้วยความใคร่อยากรู้



              “ ผมมาจากองค์กร KM  “  ชายชุดสูทแสดงบัตรประจำตัว “ ต่อไปทางเราจะดำเนินการต่อเอง  ให้พวกคุณถอยออกไปจากสถานที่นี้ซะ และทิ้งหลักฐานข้อมูลต่างๆที่ได้ไว้กับเรา ห้ามนำชิ้นส่วนใดๆกลับไปเด็ดขาด “



              หัวหน้ากองสืบสวนรับบัตรมาอย่างสงสัย  เขาอ่านมัน



              “  อะไรเนี่ย  องค์กรพิทักษ์มนุษยชาติ ( Keep Mankind) คุณ เคส  โรเจอร์  ผมไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรนี้มาก่อนเลย “



              “ ขออภัย เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ระดับคุณไม่รู้ “



              “ ผมขอโอนสายไปทางผู้บังคับบัญชาผมก่อน “



              หัวหน้ากองสืบสวนหยิบมือถือขึ้นมาโทร เขามองชายสูทดำคนนั้นด้วยท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งระหว่างรอสาย  



              “ อา ท่านนายพล  ...  อะไรนะครับ ...  ท่านนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้เราถอนตัวจากเรื่องนี้  ... เพราะอะไรกัน ผมไม่เข้าใจ ...  “



              “ ครับ ... ครับ  ... รับทราบครับ  “



              ตื้ด  หัวหน้ากองสืบสวนเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ในชุดโค้ชตนเอง  



              “ พวกเราจะถอนตัว  ให้องค์กร KM ของคุณดำเนินการต่อ “



              “ ขอบคุณ “



              ชายสูทดำตอบ  ทำเอาพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคนอื่นๆที่ได้ยินพากันไม่พอใจบ่นกันพึมพำ  อาจเพราะว่าพวกเขาถูกฉีกหน้า แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งเบื้องบนพวกเขาก็ต้องปฏิบัติตาม ชินแอบได้ยินหัวหน้ากองสืบสวนบ่นกับลูกน้องว่าองค์กร KM เนี่ย  มีอำนาจเหนือกว่า FBI ของอเมริกาซะอีก ใครจะไปรู้ ก็องค์กรนี้ไม่เคยปรากฏชื่อในคดีไหนๆเลยนี่หว่า



              ขณะนั้นมีนักข่าวหญิงคนหนึ่งเข้าไปสอบถามกับชายสูทดำคนนั้น



              “ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คุณพอจะบอกได้ไหมคะว่าเป็นฝีมือใคร “



              ชินพอได้ยินคำถามก็ตั้งใจฟังเต็มที่ แต่คำตอบนั้นมันทำให้เขาอึ้งตะลึงไป เพราะชายสูทชุดดำขยับสูทเล็กน้อยและตอบว่า



              “ เป็นเรื่องของขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติครับ ผมอยากให้ประชาชนในละแวกนี้ ไม่ออกจากบ้านในยามค่ำคืน ”



              นี่มันยังไงกัน ชินนึกในใจ  มันไม่ใช่ขบวนการก่อการร้ายสักหน่อย  เมื่อวานที่เขาเห็นน่ะ มันไม่ใช่แน่  





              “ ไม่ ! “  





             ชินเผลอตะโกน



              กึก  ฉับพลันนั้นเอง  ชินรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่คุกคามมา ทุกคนเงียบเสียงหันมามองชินอย่างสงสัย แม้แต่นามิยังตกใจว่าชินจะพูดอะไร  ชายสูทชุดดำนั่นมองหน้าชินตาเขม็งทำให้ชินรู้สึกตื่นตระหนกมาก



              “ ไม่อะไร “  



              ชายสูทดำถามเสียงเย็น  ชินริมฝีปากสั่นระริก



              “ ไม่  ...  ไม่มีอะไรคับ “



              พูดจบชินรีบคว้ามือนามิฝ่าฝูงชนออกมาทันที  เขาวิตกกังวลจนเผลอบีบมือนามิจนเธอส่งเสียงร้อง



              “ เดี๋ยวสิชิน มันเจ็บนะ  นายจะรีบไปไหน “



              ชินไม่ตอบรีบจ้ำเท้าเร็วให้ออกห่างจากสถานที่นั้นให้เร็วที่สุด  เขาคิดไม่ผิดแน่  เมื่อวานนี้ไม่ใช่พวกผู้ก่อการร้ายข้ามชาติอย่างแน่นอน  และชายสูทชุดดำที่อ้างตัวว่าเป็นองค์กร KM นั้นก็ต้องรู้เหมือนกัน  เพียงแต่เรื่องนี้อาจเป็นความลับของทางรัฐบาลที่ไม่เปิดเผย มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะจะดีที่สุด  ... ใช่  เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น



              ระหว่างที่ชินจ้ำพรวดอยู่นั้น เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองรถเบนซ์คนเดิมอีกที  ภายในมีเด็กสาวชาวต่างประเทศคนหนึ่งนั่งอยู่  เธออายุไล่เลี่ยกับเขาได้ ผมยาวสีทอง  ใส่เสื้อคลุมสีดำ  หน้าตาสวยมาก  เมื่อเธอเห็นว่าชินมองมาทางเธอ  เธอก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร  แต่ชินไม่คิดจะยิ้มตอบ  



              “ นี่  ชิน  แล้วเมื่อวานนี้เธอฝันว่าอะไรกัน ยังไม่ได้เล่าเลย “



              นามินึกขึ้นได้ระหว่างเดินไปโรงเรียน  ชินตอบสั้นๆ



              “ ลืมแล้ว “





                         _________________________________







              สัญญาณเข้าเรียนดังขึ้นทั่วบริเวณโรงเรียน เสียงโหวกเหวกโวยวาย และเสียงเจี๊ยวจ๊าวค่อยๆเงียบลง นักเรียนมัธยมพากันกรูเข้าห้องเรียนและเดินไปประจำที่นั่งของตน พวกที่จับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานต่างก็แยกวงกลับไปยังที่นั่งประจำ ชินกับนามิเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งให้ทันเข้าห้องเรียนที่อยู่ชั้น 4           



              “ เฮ้ ชิน  ทำไมวันนี้มาช้านัก “



              เด็กหนุ่มคนหนึ่งแยกตัวออกมาจากสาวๆ เข้าทักทายชิน เขาเป็นเพื่อนชินชื่อ ทานากะ โยมิ  รูปร่างเขาเตี้ยกว่าชินเล็กน้อย ไว้ผมสีน้ำตาลเนื่องจากคนเฮฮาพูดเก่งและหน้าตาดี ทำให้มีสาวแอบชอบเขาอยู่หลายคน



              “ มีเรื่องอะไรนิดหน่อยน่ะ ช่างเถอะ “



              ชินตอบพลางนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างของตนด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก แต่ทานากะก็ไม่ทันได้สังเกต เขาพูดต่อด้วยท่าทางตื่นเต้น



              “ นี่ๆ รู้ข่าวหรือยัง  เมื่อวานนี้ก็อีกรายแล้วนะ “



              “ หา ? “



              “ ก็เรื่องที่คนหายตัวไปอย่างลึกลับไงเล่า “



              ชินร้อง “ อ้อ “ คำหนึ่ง  มันเป็นข่าวที่กำลังโครมครามอีกในขณะนี้เอง



              ช่วง 2 – 3 อาทิตย์นี้เกิดคดีประหลาดสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ขึ้น  นั่นคืออยู่ๆคนก็หายตัวไปทิ้งไว้เพียงกองเลือดอย่างน่าสยดสยองโดยไม่ทราบสาเหตุ  ทางตำรวจพยายามเร่งติดตามคนร้ายแต่ไม่พบเบาะแสคนร้ายแม้แต่นิดเดียว  และยังไม่ทราบด้วยว่าเป็นการลักพาตัวหรือเป็นการฆาตกรรม เพราะไม่มีการพบศพและไม่มีการโทรมาขู่เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ เหยื่อที่เคราะห์ร้ายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย เป็นคดีที่มืดแปดด้าน



              “ นี่ก็รายที่เจ็ดแล้วสินะ “



              ชินพูดกับทานากะ นามิเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย



              “ น่ากลัวจังนะ  ตอนนี้ถึงไม่มีเรื่องผู้ก่อการร้าย ก็ไม่มีใครกล้าออกไปไหนมาไหนคนเดียวหรอก “



              “ เอ๋ ผู้ก่อการร้ายอะไร “



              ทานากะถาม นามิก็เลยเล่าเรื่องที่สวนสาธารณะให้ฟัง ซึ่งทานากะก็รับฟังอย่างสนอกสนใจตาเป็นประกาย  ส่วนชินคร้านที่จะคุยด้วย การสนทนาจบลงเมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องพร้อมเอกสารการเรียนการสอน



              ระหว่างเรียนชินมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เขาไม่สนใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีสะเทือนขวัญหรือเรื่ององค์กร KM นั่น แต่มีสิ่งหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดไม่หยุดก็คือภาพการต่อสู้เหนือธรรมชาติเมื่อคืน และหญิงสาวผมสีแดงนั่น เธอเป็นใครกันนะ  ทำไมชินถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด … หรือว่าเขาเคยพบเธอมาก่อน !?



              ชินลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่ออาจารย์ผู้สอนวิชาสุดท้ายออกไปจากห้อง เสียงออดราวกับเสียงสวรรค์ของนักเรียนทุกคน เสียงจอแจ เจี๊ยวจ๊าวเช่นช่วงเช้ากลับมาสร้างชีวิตชีวาเหมือนเคย ทว่าเสียงเหล่านั้นในวันนี้กลับไม่มีอิทธิพลกับชินสักนิด ชินเดินกลับบ้านพร้อมนามิเช่นเคย



              มีหลายครั้งที่เพื่อนล้อว่าชินกับนามิเป็นแฟนกัน แต่นามิก็จะปฏิเสธหน้าแดงว่าเธอกับชินเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น



              “ นี่ชิน “



              “ หือ “



              ชินมองนามิอย่างสงสัย  เธอมีท่าทีเขินนิดหน่อย



              “ นายจำได้หรือเปล่า ว่าวันมะรืนนี้เป็นวันอะไร “



              “ จำไม่ได้ “



              “ อะไรนะ ! “



              นามิพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ  ชินรีบบอกทันที



              “ ล้อเล่นน่า  จำได้สิ  ก็วันเกิดของเธอไง “



              “ เฮอะ “ นามิมีสีหน้าขุ่นเคืองนิดๆ มองแล้วน่ารักดี  เธอพูดต่อ



              “ ปีที่แล้วนายไม่ได้ไปงานวันเกิดฉันน่ะรู้ไหม “



              “ ก็ตอนนั้นมันสุดวิสัยจริงๆนี่นา ... เอาเถอะน่า คราวนี้ฉันไม่พลาดแน่  .... ให้สัญญาเลย เอ้า “



              “ จริงๆนะ “ นามิมองตาเขาอย่างเอาจริงเอาจัง



              “ จริงดิ  ก็บอกแล้วไงว่าสัญญา “



              นามิมีอาการดีใจเห็นได้ชัด  เธอผลักประตูรั้วบ้านออก แต่แล้วก็หันกลับมาแสร้งทำสายตาดุ



              “ สัญญาลูกผู้ชายนะ  ถ้านายไม่มาล่ะก็  มีเรื่องแน่ “



             พูดจบปิดประตู  ชินเกาหัวแกรกๆอย่างช่วยไม่ได้ คราวที่แล้วที่เขาไม่ได้ไปงานวันเกิดเธอ นามิงอนเขาไปอาทิตย์เต็มๆ  หากทานากะไม่ช่วยไกล่เกลี่ยก็อาจจะนานกว่านั้นก็ได้ ทั้งทานะกะและนามิไม่รู้หรอกว่า วันนั้นเขาพบคนถูกรถชน และตัดสินใจพาคนๆนั้นส่งโรงพยาบาล มันเป็นวันที่ยุ่งยากที่สุดวันหนึ่งของเขาทีเดียว



              ชินเดินกลับบ้านของตนตามปกติ แต่ขณะที่กำลังจะเข้าบ้านนั้นเอง



              ตุ๊บ ตุ๊บ  เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น  ชินเอามือกดหน้าอกตัวเอง เขานิ่วหน้ารู้สึกปวดแปลบที่หน้าอกราวถูกเข็มแทง เสียงหัวใจของเขาที่เต้นแรงจนไม่ต้องเอาหูไปทาบก็ได้ยิน  มีเสียงบางอย่างกำลังร้องเรียกเขา  



              “ อีกแล้วเรอะ “



              ชินพูดพลางเอามือกุมหน้าผากตัวเอง  ไม่รู้เพราะสาเหตุใด  เขาเริ่มเดินอีกครั้ง แต่ไม่ได้เดินเข้าบ้าน  เขาเดินไปตามถนนเรื่อยๆไม่สนใจสิ่งรอบกายเหมือนคนที่ละเมอ  มีเพียงเสียงนั่นเท่านั้นที่ก้องอยู่ในหัวของเขา เวลาไหลผ่านไปเรื่อย จนเขามาหยุดอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุดรองจากบ้าน ก็คือโรงเรียนเขานั่นเอง



              “ ให้ตายสิ  เราเดินกลับมาที่โรงเรียนทำไมวะเนี่ย “



              ชินบ่นพึมพำก้มมองนาฬิกาข้อมือ เกือบทุ่มแล้วสินะ ไม่มีใครคิดจะอยู่ที่โรงเรียนในเวลานี้กันหรอก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ใครต่อใครต่างพากันอยู่แต่ในบ้านเพราะเหตุการณ์สะเทือนขวัญ  ในโรงเรียนตอนนี้จึงไม่เห็นใครเดินอยู่เลย ยามรักษาการณ์เห็นชินยืนหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนจึงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย



              “ ลืมของอะไรไว้อย่างนั้นหรือ “



              “ อ้อ  ...  เออ  ... ครับ “



              “เข้าไปเอาแล้วรีบออกมาล่ะ นี่เริ่มมืดแล้วนะ “



              ชินก้มศีรษะให้ยามคนนั้นแล้วรีบเดินเข้ามาภายในโรงเรียน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องเข้ามาด้วย ไม่ได้ลืมอะไรสักหน่อย  แต่อย่างน้อยได้มาเห็นโรงเรียนในสภาพที่ไร้ผู้คนก็เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดี ชินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องเรียน ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงรองเท้าเขาชัดเจน ที่นี่ตอนนี้เงียบสงัดมาก นี่ถ้าเป็นนามิอาจนึกกลัวผีได้ง่ายๆเชียว



              ชินผลักประตูห้องเข้าไป โต๊ะเก้าอี้เรียงกันไม่เป็นระเบียบนัก แสง อาทิตย์ตอนตะวันตกดินส่องเข้ามากระทบโต๊ะเก้าอี้เป็นสีทองอร่ามให้บรรยากาศที่ดีทีเดียว  ชินหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง สูดหายใจลึกๆให้เต็มปอด  



              “ เฮ้อ เราจะเดินมาที่นี่ทำไมนะ ก็ไม่เห็นมีใครสักหน่อย “



              ชินบ่นพึมพำกับตัวเองพลางหันหลังหมายจะกลับบ้าน  แต่พริบตาที่หันกลับไปนั้นเอง ชินก็ต้องชะงักค้างตาเบิ่งโพล่งหัวใจแทบหยุดเต้น



              ที่มุมหลังห้องเรียน มีเด็กสาวผมสีแดงนั่งกอดเข่าอยู่



              ชินจำได้แม่นว่าตอนเขาเข้ามาไม่เห็นมีใครอยู่เลย





             ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนี้แหละที่เขาเห็นเมื่อวานในสวนสาธารณะตอนกลางคืน !!







                                    

                                                                                                            โปรดติดตามตอนต่อไป



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×