ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Unknown Mythology

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สาม

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 55


    ยักษาแห่งอาเพศ



     

                    สายลมที่โอบอุ้มโลกใบนี้ไว้มีสักครั้งไหมที่จะกลับกลายเป็นความสุขของข้า?

                    ดวงดาวที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีทองอันงดงามระยิบระยับนี้ถูกถักทอขึ้นโดยความตั้งใจของเหล่าเทพเจ้าบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราอูลผู้เปรียบเสมือนลมหายใจแห่งโลกได้ถือกำเนิดขึ้นและพัดผ่านทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้  เขาคือเทพเจ้าผู้ปกครองสายลม มีชีวิตอย่างเสรีดุจสายลมที่พัดผ่าน ทว่าไม่อาจจับต้องได้และบอบบางราวกับจะเลือนหายไปทุกเมื่อ

                    และแล้ววันหนึ่งราอูลจึงได้ลองสร้างชีวิตขึ้นมาเป็นครั้งแรก….

     

                    และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถือกำเนิดขึ้นจากเจตจำนงอันบริสุทธิ์

                    “อย่ามาขวางข้า

                    เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลทองประกาศกร้าว หากแต่บลูเบลในร่างภูติกลับทำเพียงยิ้มออกมาบางๆ และส่งพลังให้มหาพฤกษาเติบโตงอกงามเสียยิ่งกว่าเดิม

                    ดอกผลแห่งมหาพฤกษาบาล์กผลิบานออกมาช้าๆ ภายในนั้นมีสิ่งที่รูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์เพศหญิง เพียงแต่มีขนาดเล็กเพียงหนึ่งช่วงแขนและมีปีกใสๆสีฟ้าน้ำทะเลงอกออกมา พวกนางมีผิวกายเป็นสีเนื้อซีดเซียวไร้เลือดฝาด ดวงตาสุกใสกลมโตสีฟ้าแดงประหลาด เพียงปีกโปร่งใสสีฟ้าน้ำทะเลขยับเพียงเล็กน้อย ร่างๆเล็กๆมากมายก็โบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

                    ข้างบนนั้น--- เหนือศีรษะของเด็กหนุ่มขึ้นไปมีหลุมสีดำไร้ก้นบึ้งปรากฏขึ้นมา

                    ในพริบตานั้น ศรเพลิงมากมายก็ร่วงหล่นลงมาจากหลุมดำนั่นและเผาทำลายผลแห่งมหาพฤกษาทังหมดในคราเดียว!!!

                    บางส่วนของศรเพลิงร่วงหล่นลงไปยังเบื้องล่าง ส่งผลให้มหาพฤกษาขนาดยักษ์นั้นถูกแผดเผาไปเสียส่วนใหญ่

                    “หืมเล่นด้วยยากจริงๆแฮะ ข้าเองก็ชักอยากสู้กับหมอนั่นเหมือนกัน”ฟรอสต์พึมพำเสียงแผ่ว ขณะที่แหงนมองยอดไม้ที่ถูกเพลิงกาฬแผดเผาจนมอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่ธุลีผง

                    “คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว.. ไวท์
     

     

     

                    เคยเห็นดวงอาทิตย์ยามราตรีหรือไม่?

                    เด็กหนุ่มมีดวงตาสีเหลืองทองเปล่งประกายแวววาแม้ในยามราตรีโดยมิได้ต้องแสง มีเรือนผมเหลืองทองตรงยาวตรงงดงามเปล่งประกายแวววาว เขาสวมชุดกิโมโนแขนยาวทิ้งตัวลงมาจากอาคารสูงโดยมีฉากหลังเป็นดวงจันทร์กลมโต มองผ่านๆแล้วดูราวกับจะเป็นภาพของผีเสื้อสีขาวตัวใหญ่ที่เริงละเล่นท่ามกลางจันทราอันงดงาม

                    เขายกดาบญี่ปุ่นยาวซึ่งมีเพลิงลุกท่วมขึ้นเหนือหัว และฟันมันออกไปกลางอากาศ

                    พรึ่บ!!

                    เสียงราวกับม่านถูกแหวกออกดังขึ้นแผ่วเบาเงียบเชียบจนแทบกลืนหายไปกับยามราตรีร้างผู้คน ก่อนเปลวเพลิงรูปวงกลมจะปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้าเด็กหนุ่มช้าๆ

                    เขาจ้องมองสิ่งนั้นไม่กระพริบ ไม่นานจึงเผยรอยยิ้มงดงามอ่อนโยนออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะพาร่างอันงดงามของตนทิ้งตวลงไปในห่วงเพลิงสีเหลืองส้มร้อนระอุนั้น

                    กริ๊ง

                    ก่อนที่ร่างบอบบางงดงามราวสายน้ำจะแตะต้องกับเพลิงโลกันต์ เจ้าของร่างกลับพลันสลายกลับกลายเป็นผีเสื้อไฟนับไม่ถ้วนโบยบินขึ้นสู่ผืนนภาสีดำมืด สู่ดวงจันทร์กลมโตสีขาวปลอดเบื้องบน

                    ในพริบตาสีผีเสื้อตัวสุดท้ายโบยบินหายลับไปนั้นวงแหวนเพลิงก็พลันส่องแสงเจิดจรัสราวกับดวงตะวันออกมา---

                    ชำระล้างทุกสิ่งจนพิสุทธิ์อีกครา---
     

     

     

    เจ้ายักษาตัวน้อยแห่งอาเพศเอ๋ย

    ตัวเจ้านั้นต้องการสิ่งใดกัน เหตุใดจึงต้องร่ำไห้เรื่อยมา

    เป็นเพราะว่าไม่อาจลืมเลือนดวงตาคู่นั้นได้งั้นหรือ?

     

                    ดวงตาคู่นั้นเป็นเหมือนกับเปลวเพลิงที่กลืนกินแผดเผาทุกสิ่งไปในพริบตา

                    สิ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในอดีตแสนลางเลือนคือดวงตาคู่สวยงดงามหมดจดที่เหลือบมองเขาเพียงครู่หนึ่งในค่ำคืนแห่งฝันร้าย แม้ความทรงจำทั้งหมดจะถูกลบไปเสียสิ้นแล้วก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้

                    ใช่แล้วดวงตนคู่นั้นเหมือนกับ---

                    “อัศวินแห่งเปลวเพลิงเอ๋ย นี่คือเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเจ้า”

                    เมือ่ไม่นานมานี้มีเหตุบางอย่างทำให้เพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวของเขาหรือจะพูดง่ายๆก็คือคู่หูต้องด่วนจากไปกะทันหัน ทางโบสถ์จึงหาเพื่อนร่วมงานคนใหม่มาให้..ก็รู้อยู่หรอก แต่ว่าจะหาได้เร็วเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?

                    ปกติแล้วใครที่ได้ยินชื่อเขาก็มักเกิดความรู้สึกสามอย่าง หนึ่งคือขยาด ของคือกลัว สามคือรังเกียจ

                    เพราะงั้นทางโบสถ์ไม่น่าจะหาคนใหม่มาได้เร็วขนาดนี้นี่นา?

                    เอหรือว่าคราวนี้ไปหลอกต้มชาวบ้านธรรมดามาหว่า?

                    ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคิดเรื่อยเปื่อย ร่างของเพื่อนร่วมงานคนใหม่ก็ถูก พาออกมา

                    อันที่จริงเรียกว่าพาออกมาไม่ได้หรอกเรียกว่าลากออกมาจะดีกว่า

                    “มะ ม่ายยย!! ไม่เอา ข้าไม่อยากด่วนตายถึงขนาดมาทำงานกับเจ้าตัวอาเพศนี่หรอกนะ ปล่อยข้าไปเถอะ!!!”เสียงร้องโหยหวนปานใจจะขาดคือเสียงแรกของว่าที่คู่หูคนใหม่ แถมยังเอ่ยถึงเขาเสียเต็มๆอีกด้วย

                    อ่าเรียกว่าเป็นความประทับใจแรกพบได้หรือเปล่านะ?

                    เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำ ดวงตาสีดำสนิทเอียงคอคิดอย่างรู้สึกขำขัน เขารู้สึกชาชินกับเหตุเช่นนี้เพราะมันมิได้เกินเป็นคราแรกพูดให้ถูกก็คือในบรรดาคนแทบทุกคนที่มาเป็นคู่หูของเขา---คนคนนี้ดูออกอาการโหนหวนน้อยที่สุดแล้วก็ว่าได้

                    “เงียบเสีย! ในมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เจ้ายังกล้าส่งเสียงโวยวายอีกหรือ? เหตุใดจึงไม่รู้จักละอายต่อพระเจ้าบ้างเล่า!?”บางครั้งโซเลย์ก็รู้สึกอยากคารวะท่านนักบวชผู้นี้กสักครั้งในฐานที่พูดภาษาได้โบราณเยิ่นเย้อเสียเหลือเกิน แถมยังมิวายตบท้ายด้วยการกล่าวอ้างถึงพระเจ้าอีกด้วย

                    หากแปลคำพูดของท่านนักบวชอาวุโสตรงๆล่ะก็

                    “หุบปาก! นี่แกจะส่งเสียงดังทำบ้าอะไรหา!? ไม่อายชาวบ้านเขาบ้างหรือไง!!

                    คงราวๆนี้ล่ะ

                    ว่าที่คู่หูคนใหม่ของเขาปิดปากเงียบทันที ไม่รู้ว่าเพราะตีความตามคำพูดของท่านนักบวชไม่ทันหรือว่าตกใจกลัวจนเงียบไปเองกันแน่

                    “แนะนำตัวเสียสิ!

                    ..ขะ ข้าชื่อทอเรส.. ทอเรส นาร์ล”อัศวินว่าที่คู่หูของเขาเอ่ยแผ่วเบาอย่างกระอักกระอ่วน ดวงตาสีเขียวมรกตมีน้ำใสๆคลออยู่เล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลยาวถักเป็นเปียถูกเจ้าตัวขยำจนแทบไม่อยู่ในสภาพเดิม

                    “ข้า โซเลย์ไม่มีนามสกุลน่ะ ยินดีทีได้รู้จักนะ!!!”เด็กหนุ่มยิ้มอย่างไร้พิษสง บริสุทธิ์สะอาดราวไม่เคยแปดเปื้อนทั้งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวอาเพศเสียบ้างล่ะ เป็นมารร้ายเสียบ้างล่ะ รอยยิ้มที่สดใสจนเกินไปนั้นเปลี่ยนแปลงทัศนคติของทอเรสที่มีต่อโซเลย์ไปเล็กน้อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

                    ในตอนนั้นในหูพลันได้ยินเสียงประหลาดดังก้องขึ้น เสียงนั้นดังไปทั่ว ทั้งยังก้องกังวานใสราวกับเสียงของระฆังแก้วกระทบกัน

                    กริ๊ง

                    จำได้ว่าเสียงนั้นดังกังวานราวกับเสียงของกระพรวนที่ทำด้วยอัญมณีบริสุทธิ์บนสรวงสวรรค์
     

     

                    สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างในชุดขาวของเด็กคนหนึ่ง

                    ใบหน้าของเขาถูกปกปิดด้วยผ้าพันแผลสีขาวจนแทบมองไม่เห็นผิวสีขาวปลอดภายใต้เนื้อผ้านั้น ร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมาก็ถูกผ้าพันแผลพันทับอยู่เสียหลายส่วน ทั้งที่ไม่มีบาดแผลภายนอกหรือเลือดออกสักนิดเดียว เด็กชายสวมเสื้อสีขาวปลอดยาวยวงราวกับเสื้อของนักบวช ในมือซ้ายที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลรุงรังนั้นถือเอาคทาด้ามทองยาวเกินตัวเขาถึงครึ่งหนึ่งเอาไว้ บนยอดคทาที่ดูเหมือนคทานักพรตของทางตะวันออกมีคริสตัลสีเหลืองส้มประดับอยู่

                    โซเลย์ไม่รู้จักเด็กคนนั้นทว่ารู้จักคทานั่น

                    คทานั้นคือหนึ่งในแปดสัญลักษณ์ของนักบุญศักดิ์สิทธิ์

                    หมายความว่าเด็กตรงหน้าคือ ว่าที่นักบุญศักดิ์สิทธิ์

                    เจ้านายในอนาคตของเขา


     

     

     

     

                    ถึงจะพูดว่าอนาคตก็เถอะแต่มันเร็วไปหรือเปล่า!?

                    โชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่เดาใจยากเหมือนหญิงสาวเสียจริง โซเลย์คิดว่าเด็กที่เขาพบเมื่อวานจะเป็นเจ้านายในอนาคตของเขาคิดเพียงแค่นั้น แต่ไม่เคยคิดว่าพอรุ่งขึ้นเด็กคนนั้นก็กลายมาเป็นเจ้านายของเขาแบบปัจจุบันทันด่วนเลยเนี่ยสิ!!!

                    คิดเช่นนั้นแล้วก็อยากลองพบหน้าเทพีเซราฟีห์ผู้ถักทอด้ายแห่งชะตากรรมสักครั้งแล้วถามจริงๆว่า “นี่ท่านเล่นอะไรกับโชคชะตาของข้าเนี่ย!!??

                    เมื่อวานเพิ่งเจอหน้ากันไปหยกๆ(ถึงจะเห็นแค่ฝ่ายเดียวก็เถอะ) แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่าต้องเจอกันอีกแถมยังต้องเจอกันไปอีกนาน!!!

                    “ฝากตัวด้วย”เสียงไพเราะราวกับเครื่องดนตรีเงินหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูบางเป็นรูปกระจับน่าลิม้ลองนั้นช้าๆ ใบหน้าของเด็กชายยังคงเต็มไปด้วยผ้าพันแผล หากแต่ช่วงล่างตั้งแต่ปากลงมากลับถูกแกะผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นผิวสีขาวเนียนเรียบขาวซีดเซียวราวกับไม่ต้องแสง

                    อืมดูจากโครงหน้าแล้วท่าทางจะหน้าตาดีใช่ย่อยแฮะ..ไม่ใช่สิ!!

                    โซเลย์สักบัดความคิดไร้สาระของตนทิ้งไปและหันกลับมาจ้องร่างเล็กตรงหน้าที่ส่งรอยยิ้มบางๆมาให้

                    “เอิ่มครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับท่านนักบุญ

                    “เอาล่ะ ข้าจะนอนแล้วรบกวนลุกขึ้นมาจากเตียงด้วย”

                   

                    รู้สึกว่าคิ้วกระตุกแปลกๆ

                    “เอ่อ ท่านครับ อันที่จริงท่านกลับไปนอนที่ห้องของท่านก็ได้นี่ครับ”โซเลย์พูดเสียงแผ่ว รู้ดีว่าตนค่อนข้างไม่มีมารยาทต่อเด็กชายมากนักแต่การที่อยู่ดีๆก็ถูกเด็กมาแย่งที่นอนกันหน้าตาเฉยนี่มันรู้สึกยอมไม่ได้ลึกๆ

                    “ไม่ล่ะ ข้ายอยากนอนห้องนี้เอาเป็นว่าเจ้าก็ไปนอนห้องข้าแทนก็แล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก?”

                    เกรงใจสิ!! เกรงใจสุดๆ ห้องท่านคนธรรมดาอย่างข้าเข้าไปนอนหน้าตาเฉยได้ที่ไหนกันเล่า!? มีหวังโดนท่านนักบวชบ่นชุดใหญ่แน่ๆ!!!

                    “ราตรีสวัสดิ์”

                    อ๊ากกกก!! เอาเตียงข้าคืนมานะเจ้าเด็กบ้า!!!

     

                   


     

     

     

    พรึ่บ!

                    ปีกสีขาวโปร่งแสงทั้งหกคู่ที่ดูราวกับปีกของเหล่าทวยเทพปรากฏเด่นชัดบนท้องฟ้าเหนือมหาพฤกษาแห่งบาล์ก โดยเจ้าของปีกสีขาวนั้นคือเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินซึ่งบัดนี้ยาวกว่าเดิมจนปลายของมันจรดข้อเท้าของเขา ร่างกายเปล่งแสงสีเงินเรืองรองออกมา ดวงตาสีเขียวสว่างคู่สวนนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเงินเปล่งประกายสุกสกาว

                    ภาพตรงหน้านั้นดูราวกับจะเป็นภาพของทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้นหากแต่ว่า ภาพทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นเวทย์มนตร์

                    จะเรียกว่าเวทย์มนตร์เต็มปากเสียก็คงมิใช่  เพราะมันเป็นหนึ่งในรูปแบบพลังของพันธะสัญญาแห่งเดียธิกิส การอวตาร การอวตารนั้นคือการหยิบยืมพลังของเทพเจ้าผู้ร่วมทำพันธะผ่านสื่อกลางบางอย่างโดยแลกกับพลังงานมหาศาล ดังนั้นร่างกายของผู้ทำพันธะประเภทนี้จึงต้องรับภาระหนักและทำให้อายุขัยสั้นกว่าปกติ

                    และนอกจากนี้การทำพันธะสัญญาเช่นนี้ยังมีข้อเสียร้ายแรงอยู่อีกข้อ จึงทำให้แม้การอวตารร่างเทพเจ้าจะมอบพลังที่ยิ่งใหญ่ให้แต่กลับถูกกำหนดเป็นศาสตร์ต้องห้ามไปในที่ที่สุด

                    กริ๊ง

                    เสียงกระพรวนดังแว่วแผ่วเบา ร่างสีขาวที่ราวกับจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อนั้นยิ้มเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เด็กหนุ่มเคยมีมาก่อน หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้บรรยากาศรอบๆใสสะอาดขึ้นมาในพริบตา

                    ปีกขาวทั้งหกคู่คลี่ออก ร่างสีขาวและบรรยากาศแสนบริสุทธิ์

                    อา..ไม่ผิดแน่ นั่นคือรูปลักษณ์ของ จักรพรรดิสวรรค์อย่างไรเล่า

                    “คิก มาเล่นกันเถอะ”

                    รอยยิ้มที่เบ่งบานบนริมฝีปากนั้นคือรอยยิ้มอันงดงามของปีศาจที่แม้แต่หมู่มารยังต้องเบือนหน้าหนี

                    ในพริบตานั้นทุกสิ่งรอบกายของทั้งสองได้แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆราวกับเศษแก้ว


     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×