ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Unknown Mythology

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 55


    ดียธิกิสด้วยนามแห่งเจตจำนงอันยิ่งใหญ่

     

                    เดียธิกิสเป็นภาษาโบราณในอารยธรรมเก่าแก่ของมนุษย์ครั้นเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านี้ ในภาษามารมีคำที่เรียกคล้ายๆกันนี้ว่า ดีอาและในภาษาเทพจะเรียกว่า ธา นอกจากนั้นยังมีคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกันอีกมากมายในภาษาอื่นๆบนโลก โดยความหมายของคำเหล่านั้นล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ โดยมีเพียงถ้อยคำซึ่งกล่าวถึงความประสงค์ของเหล่าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะใช้คำเหล่านั้นได้

                    ทว่าในความเป็นจริงแล้วยังมีมนุษย์ เทพ ปีศาจ หรือเผ่าพันธุ์ต่างๆส่วนหนึ่งที่ใช้คำเหล่านี้สำหรับเรียกขานอาวุธแห่งเจตจำนงของเหล่าเทพเจ้าในตำนาน โดยมากแล้วเจตจำนงของเทพเจ้าซึ่งมอบให้แก่สิ่งมีชีวิตที่ตนโปรดปรานเป็นพิเศษเพื่อปกป้องคุ้มครอง ตลอดจนเพื่อยื่นมือเข้าช่วยเหลือในยามสงครามผ่านพลังแห่งธรรมชาติทั้งมวลบนโลกที่เทพเจ้าองค์นั้นเป็นผู้ปกปักษ์ดูแล

                    เป็นต้นว่าหากมีมนุษย์คนหนึ่งได้รับเจตจำนงแห่งเปลวเพลิงจากเทพเจ้าแห่งไฟ มนุษย์ผู้นั้นจะสามารถควบคุมธาตุไฟทั้งจากภายในและภายนอกร่างได้ และเปลวเพลิงทั้งมวลจะไม่มีวันทำอันตรายเขาเด็ดขาด นอกเสียจากว่าเทพเจ้าผู้มอบพลังให้จะริบพลังนั้นกลับคืนไป

                    กระนั้นแล้ว แม้จะเป็นคำที่มาจากความหมายเดียวกัน ทว่าอาวุธหรือวิธีการในการใช้พลังของแต่ละเผ่าพันธุ์มักต่างกันเล็กน้อย เช่นว่า เผ่ามนุษย์ที่มีอายุสั้นนั้นเมื่อได้รับเดียธิกิสจากเทพเจ้าแล้วจะเป็นอมตะไม่มีวันตาย หากแต่เมื่อใดที่ความปรารถนาของพวกเขาหมดลงหรือเสร็จสิ้นแล้ว พลังเดียธิกิสในร่างก็จะมอดไหม้จนหมดสิ้น ส่งผลให้มนุษย์ผู้นั้นล้มตายลง

                    พลังเดียธิกิสของมนุษย์เปรียบได้ดั่งพลังแห่งปาฏิหาริย์ที่เทพเจ้ามอบให้เพียงครู่หนึ่งแล้วหายไป

                    ส่วนดีอาของเหล่ามารนั้นจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ว่ากันว่าเผ่ามารทุกตนสามารถใช้พลังดีอาได้ตั้งแต่แรกที่ลืมตาดูโลก และจะคงอยู่ไปจนสิ้นอายุขัยไปตามธรรมชาติ ทว่าพลังดีอาโดยปกติของพวกเขามักอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบกับเดียธิกิสของมนุษย์ที่จะแผ่คลื่นพลังกล้าแกร่งออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เผ่ามารทุกคนจะมีเพียงม่านพลังดีอาเบาบางครอบคลุมร่างกายเอาไว้เท่านั้น

                    นอกจากนี้ พลังแห่งเจตจำนงนั้นยังสามารถกระทำพันธะสัญญาต่อเทพเจ้าหลายองค์ได้ ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของคนผู้นั้นและความพึงพอใจของเหล่าเทพเจ้าบนท้องฟ้า

                    เป็นต้นว่า เรวิส ลุซเต้ มีพลังแห่งเจตจำนงของเทพเจ้าอยู่ในตัวถึงสองอย่างด้วยกัน

                    หนึ่งในนั้นคือเจตจำนงแห่งสายลม และอีกหนึ่งคือ….----

     

                    วันรุ่งขึ้น

                    “อาวล่ะ! ใกล้แล้วสินะ”ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเอ่ยอย่างเกียจคร้าน พลางบิดตัวไปมาจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ เขาทำหน้าพะอืดพะอมอยู่พักหนึ่งแล้วหยิบหมวกปีกกว้างข้างกายขึ้นมาสวมพลางใส่เสื้อคลุมปิดร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าให้มืดชิด

                    “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ---…”เรวิสยิ้มมุมปากราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองก็ไม่ปาน ร่างสูงดึงปมวกปีกกว้างลงมองไม่เห็นหน้า แล้วก้าวเดินออกจากร้านไปเงียบๆเหนือขึ้นไปบนนภากว้างของยามฟ้าสางแสงออโรร่าเปล่งประกายงดงามเป็นแถบทางยาวทอดไปสู่ทิศตะวันตกราวกับเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง

                    ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลานั้นกระชันชิดเข้ามาแล้ว….

                   

                    “จัดการเลยไหมครับ?”

                    เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีชาอ่อน นัยน์ตาสีเดียวกับท้องทะเลเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะที่จ้องมองเรือสินค้าลำใหญ่ที่ภายในบรรจุอาวุธสงครามผิดกฎหมายเอาไว้ด้วยดวงตาที่ลุกวาวราวกับสัตว์ป่า

                    “ใจเย็นน่า รอดูท่าทีก่อนดีกว่า”ฟรอสต์เอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะย่อตัวลงเมื่อเห็นชายวัยกลางคนสามคนแบกกล่องไม้เดินผ่านหน้าพวกเขาไป ตอนนี้กองโจรสลัดหลบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆกระจายกันจนทั่ว หากไม่เกิดเหตุเกินความคาดหมาย พวกเขาคนชิงเอาสินค้ามาได้ไม่ยาก

                    เพราะอย่างน้อยๆ ฟรอสต์ก็มั่นใจในความสามารถของตนเองและลูกเรือไม่น้อย หากไม่เจอศัตรูที่เป็นยอดฝีมือหรือตกอยู่ในสถานการณ์ไม่คาดฝันก็คงสามารถชนะได้ไม่ยากนัก

                    “ยี่สิบสองยี่สิบสามยี่สิบสี่ส่งคนมาเยอะน่าดู สงสัยที่เรวิสบอกว่าคนที่จ้างเป็นคนใหญ่คนโตท่าจะเป็นเรื่องจริงอืม...เล่นด้วยยากแฮะ ท่าทางจะเป็นมืออาชีพพอสมควร”ฟรอสต์พึมพำในลำคอพลางลูบเส้นผมสีเงินของตนแผ่วเบา ดวงตาสีคล้ายมรกตทอประกายครุ่นคิดอยู่ไม่ขาด

                    จะบุกเข้าไปตรงๆหรือรอเวลา

                    การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวอาจนำชัยชนะหรือความพินาศมาให้ เด็กหนุ่มคิดไตร่ตรองไม่นานนักก็ได้คำตอบ ก่อนริมฝีปากบางจะเอ่ยคำขาดออกมา

                    กริ๊ง---

                    เสียงกระพรวนสัมฤทธิ์ดังแว่วเข้าหูแผ่วเบา

     


     

     

                    บนท้องฟ้ามีเทวดาอยู่---

                    หากใครบังเอิญเดินผ่านคนเห็นภาพตรงหน้าคงคิดเช่นนั้น แต่หากสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าเทวดาองค์นั้นมีปีกสีดำราวกับปีศาจ และมีเส้นผมสีเขียวประหลาดรวมถึงดวงตาสีน้ำตาลทองคล้ายอัญมณี เขาหน้าตาหล่อเหลางดงามราวกับเป็นศิลปะสมบูรณ์แบบที่เทพเจ้าสร้างขึ้นอย่างประณีต ขณะเดียวกันก็คงไว้ซึ่งความน่าเกรงขามดุดันราวกับเป็นตัวแทนของเหล่าทวยเทพอย่างไรอย่างนั้น

                    หากแต่ในมือซ้ายของเด็กหนุ่มกลับมีลูกไฟสีดำทมิฬลุกวาวอยู่ดูน่าหวาดกลัว เคียงข้างเขามีร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย มีหูยาวคล้ายพรายทว่ามีปีกใสคล้ายผีเสื้ออยู่ที่หลัง อีกทั้งยังมีผิวขาวเหลืองแปลกไปจากเผ่าพรายปกติที่มักมีผิวสีขาวนวล ดวงตาคมสวยคู่นั้นก็มิใช่ทั้งสีเขียวหรือน้ำเงิน หากแต่เป็นสีแดงคล้ายทับทิมส่องประกายแวววาว เส้นผมของเขาเป็นสีขาวเงินยาวสยาย ใบหน้าฉายแววแห่งความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีและความทระนง หากแต่กลับยอมก้มหัวให้เด็กหนุ่มข้างๆอย่างน่าแปลก

                    “จะใช่เรือลำนั้นหรือเปล่านะ? ณ็อง”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ ในมือมีเปลวเพลิงสีดำที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งสรรพให้มอดไหม้เป็นจุลในพริบตา

                    “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าคงไม่ผิดลำหรอกขอรับ”ณ็องกล่าว อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะผิดลำหรือไม่เจ้านายของเขาก็ไม่สนหรอก ขอเพียงทำลายเป้าหมายได้ก็เป็นพอ

                    “งั้นเหรอ”เป็นอย่างที่ณ็องคิด เด็กหนุ่มข้างกายเขาดูไม่สนใจสักนิดว่าจะถูกหรือผิด เขายกไฟสีดำในมือขึ้นสูงแล้วเอ่ยมนตร์ออกมา

                    “เทพเจ้าแห่งเพลิงทั้งมวล เจตจำนงแสนบริสุทธิ์ผู้ปกครองเปลวเพลิงเอ๋ยโปรดมอบพลังแก่ข้า ด้วยนามข้าผู้ผูกพันธะสัญญาแห่งดีอาแห่งเปลวเพลิง จงปรากฏขึ้นคันศรแห่งเยรูน”สิ้นคำ เปลวไฟสีดำในมือพลันปรากฏสัญลักษณ์ประหลาดเป็นลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ก่อนเปลวเพลิงจะแผ่ขยายใหญ่ขึ้น ลุกลามใหญ่โตจนดูเป็นรูปเป็นร่าง ก่อนจะกลายเป็นคันศรขนาดใหญ่ยักษ์สีดำทมิฬดูน่าหวาดกลัว

                    “เอาล่ะ อย่าโทษกันเลยนะ

                    เด็กหนุ่มง้างคันศรสีกาฬในมือจนโก่ง เตรียมเล็งยิงเป้าหมายด้วยคันธนูที่ไม่มีลูกศรอยู่อย่างเยือกเย็น!!

     

                    “เสียงกระพรวน?”

                    เด็กหนุ่มผมสีเงินพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าราวกับมีลางสังหรณ์ ก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทองซึ่งเล็งคันศรประหลาดมาทางพวกเขา

                    “บลูเบล!!!

                   

                    ฟุ่บ!!

                    ศรแสงสีแดงถูกปล่อยจากคันศร ก่อนจะกระจายตัวออกเป็นฝนแสงสีแดงนับพันร่วงหล่นสู่พื้นดินและพื้นน้ำส่งผลให้รอบๆถูกทำลายจนพินาศ บริเวณที่ถูกฝนศรแสงตกใส่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นผงจำนวนนับไม่ถ้วนจนมองไม่เห็นจากด้านบน เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลทองหรี่ตาลงมองเบื้องล่างอย่างประหลาดใจ

                    “ด้วยนามแห่งข้า จงเติบใหญ่ พฤกษาแห่งบาล์ก!!!

                    สิ่งที่ปรากฏขึ้นมิใช่ความวินาศ หากแต่เป็นพฤกษาขนาดยักษ์ที่รองรับเอาศรสีแดงฉานเอาไว้จนหมด ส่งผลให้อำนาจทำลายล้างนั้นไม่สามารถทำลายพื้นเบื้องล่างได้

                    “หืมผู้ผูกพันธะสัญญากับเทพแห่งแผ่นดินงั้นหรือ?”เด็กหนุ่มเจ้าของปีกสีดำหรี่ตาลง มองจากเบื้องสูงอย่างไม่ชอบใจเม่าไหร่นัก “ควบคุมพลังได้ไม่เลวเลยนี่? แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะทนรับพลังระลอกสองได้ทั้งหมดหรอกนะ”เขาพูดอย่างนั้นแล้วง้างคันศรขั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

                    พลังสีแดงชาดปรากฏขึ้นล้างๆก่อนจะเข้มข้นขึ้นจนมีรูปร่างคล้ายลูกศร มันเข้มข้นกว่าทีแรกจนดูราวกับสีของเลือดก็ไม่ปาน เขาง้างลูกศรลงไปยังเบื้องล่างก่อนจะปล่อยศรสีโลหิตออกไป

                    ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศรกระจายออกเป็นลูกศรขนาดเล็กนับพันหมื่นตกลงสู่เบื้องล่าง ทั้งหมดมุ่งจู่โจมมหาพฤกษาแห่งบาล์กที่ผุดขึ้นจากผืนดินจนบางส่วนพังพลายลงในที่สุด

                    สิ่งที่ปรากฏภายในคือร่างสีขาวเรืองแสงสีฟ้าออกมาที่มีปีกล้ายผีเสื้อใสๆโปร่งแสงสีฟ้าน้ำทะเลงดงาม

                    เส้นผมสีชาที่เคยสั้นระต้นคอยาวสยาย ใบหูยืดยาวออกคล้ายพรายหากแต่มีดวงตาสีแดงสดราวกับเลือดดังเช่นปีศาจ นิ้วมือทั้งสิบมีเล็บยาวคมกริบงอกออกมา

                    “เกือบไม่ทันแล้วเชียว”ร่างนั้นพึมพำแผ่วเบา ก่อนกิ่งก้านสาขาของมหาพฤกษาแห่งบาล์กจะงอกยาวออกมาจนบดบังสิ้นทุกสิ่งอีกครา เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีทองขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าตาราวกับเห็นของประหลาด

                    “เผ่าภูติยังหลงเหลืออยู่บนโลกอีกงั้นหรือ?”

                   


     

     

                    โลกนี้สร้างขึ้นเพื่อเธอทว่ากลับไม่ได้ดำรงอยู่เพื่อเธอ

                    นานแสนนานมาแล้วในช่วงเวลาที่ดาวเคราะห์อันห้อมล้อมไปด้วยสีทองเพิ่งถือกำเนิด ใต้เมฆหมอกสีทองคำมีเพียงพื้นน้ำกว้างเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด เอลซูร์ผู้เป็นดุจธิดาแห่งวารีได้ถือกำเนิดขึ้นจากสายน้ำก่อกำเนิดเป็นชีวิตแรกบนโลกอันว่างเปล่างดงาม นางทอดสายตามองเพียงผืนฟ้าสีทองว่างเปล่าอยู่เนิ่นนานจนไม่อาจประมาณเวลาได้ ก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังโลกของนาง

                    จากนั้นนานแสนนานไม่รู้เมื่อไหร่ที่เอลซูร์เบี่ยงเบนสายตาจากโลกของนางไป

                    เมื่อเวลาไหลผ่านไป ทั้งสองฝั่งฝ่ายต่างเฝ้ามองซึ่งกันและกัน กระทั่งวันหนึ่งแอนซิสต์ เทพธิดาแห่งธรณีก็ได้ตัดสินใจเดินทางมายังโลกที่สร้างราวกับจะขึ้นเพื่อธิดาแห่งวารีแล้วเสกสรรเนรมิตแดนดินขึ้นมาจากความว่างเปล่าสีฟ้าครามของผืนน้ำ แน่นอนว่าเอลซูร์ผู้ไม่เคยเห็นแผ่นดินย่อมรู้สึกแปลกใหม่และดีใจอย่างแน่นอน

                    รอยยิ้มงามหมดจดถูกแต่งแต้มบนใบหน้าอ่อนหวานงดงามราวกับสายน้ำของเอลซูร์สร้างความประทับใจแก่เทพธิดาแห่งแผ่นดินและเหล่าผู้เฝ้ามองไม่น้อย จากนั้นไม่นาน เหล่าผู้เฝ้ามองต่างก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนเอลซูร์เป็นคราแรก

                    จากนั้นโลกที่มีเพียงนางจึงมิได้มีเพียงนางอีกต่อไป

                   

                    เผ่าภูติสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์โบราณ หนึ่งในสี่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาแรกเริ่มของโลกใบนี้

                    แรกเริ่มนั้นโลกไร้ซึ่งเผ่าพันธุ์ทรงสติปัญญาที่สามารถพัฒนาตนเองได้ กล่าวได้ว่าโลกใบนี้มีเพียงผืนป่าราบเรียบและสรรพสัตว์ที่มีชีวิตอย่างเรียบง่ายเท่านั้น

                    ทว่าวันหนึ่ง เมอาห์ เทพธิดาผู้สร้างชีวิตก็ได้สร้างสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษขึ้นมา

                    นางสร้างร่างกายของเผ่าภูติจากลมหายใจของซาซ่า เทพแห่งเมฆหมอกและพายุฝน สกัดจิตวิญญาณจากหยาดเลือดอันเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุดของนาง รังสรรค์หน้าตาให้อย่างประณีตดุจดั่งเป็นบุตรของนางเอง และเมื่อครั้นลืมตาตื่นขึ้นก็ได้มอบพรอันวิเศษให้

                    “เจ้าเปรียบเสมือนบุตรแห่งข้า พวกเจ้าและเผ่าพันธุ์จะไม่มีวันดับสลายชั่วนิรันดร์ จะมีกายอมตะ แข็งแกร่งและเป็นที่รักจากสิ่งที่ข้ารังสรรค์ขึ้น

                    จากนั้น เผ่าพันธฺใหม่จึงได้กำเนิดขึ้นบนโลกแห่งทองคำซึ่งมิได้ว่างเปล่าอีกต่อไป พวกเขาสร้างสรรค์อารยธรรมอันงดงามอ่อนช้อยขึ้นเพื่อสักการะเมอาห์ผู้เปรียบได้ดั่งมารดา ใช้ชีวิตตามครรลองที่ถูกต้องอย่างใสสะอาด

                    ทว่าความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน

                    สงครามระหว่างเผ่าเทพฟ้าและเผ่าเทพธรณีเริ่มลุกลามใหญ่โตจนโลกแทบวินาศ หลังจากนั้นเองที่เหล่าทวยเทพหายตัวไปและสิ้นสุดยุคมหาสงคราม

                    จากนั้น--- เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกส่งต่อมายังปัจจุบัน


     

    ข้อมูลตัวละคร
     

    เพิ่มเติม::ข้อมูลของตัวละครที่โผล่มาในบทที่สอง

     
    แนะนำ?? แนะนำ??? หา บทนี้เนี่ยนะ? ไหนตัวละครใหม่ล่ะ ไม่มีหรอก(โดนกระทืบแบน/)

     

    1.บลูเบล
    หนุ่มน้อยหน้าตาดี เจ้าของตำแหน่งเผ่าภูติที่หน้าตาดีที่สุดแห่งปี!? (ตำแหน่งบ้าอะไรของหล่อนยะ!?/โดนตรบ)ล้อเล่นหรอก เขาเป็นเผ่าภูติเพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่(บนโลก) สำหรับคนที่อ่านภาคเก่าอย่าสับสนกับบลูเบลอีกคนนะคะ บลูเบลคนนี้ชื่อ Bluuubelle (เป็นคำภาษาของภูติในเรื่องค่ะ) ส่วนบลูเบลในภาคอนาคต(ขอเรียกอย่างนี้ก็แล้วกัน) จะเขียนว่า Blurbell ค่ะ อันที่จริงไม่รู้จะรีวิวอะไรดี เพราะเขาเป็น--- แล้วก็ --- เอาง่ายๆคือคนเขียนสปอยล์ไม่ออก = ="
    ใบ้ให้ว่าชื่อจริงของเขามีสี่วรรคก็แล้วกัน...

    จบการแนำนะเพียงเท่านี้ เพราะบทนี้ตัวละครน้อยเหลือเกิน จะเอาเทพมารีวิวก็กระไรอยู่ ขอบคุณค่ะ (_ _)





     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×