คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สอง
เดียธิกิส…ด้วยนามแห่งเจตจำนงอันยิ่งใหญ่
เดียธิกิสเป็นภาษาโบราณในอารยธรรมเก่าแก่ของมนุษย์ครั้นเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านี้ ในภาษามารมีคำที่เรียกคล้ายๆกันนี้ว่า ‘ดีอา’ และในภาษาเทพจะเรียกว่า ‘ธา’ นอกจากนั้นยังมีคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกันอีกมากมายในภาษาอื่นๆบนโลก โดยความหมายของคำเหล่านั้นล้วนแต่เกี่ยวข้องกับ‘เจตจำนง’อันยิ่งใหญ่ โดยมีเพียงถ้อยคำซึ่งกล่าวถึงความประสงค์ของเหล่าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะใช้คำเหล่านั้นได้
ทว่า…ในความเป็นจริงแล้วยังมีมนุษย์ เทพ ปีศาจ หรือเผ่าพันธุ์ต่างๆส่วนหนึ่งที่ใช้คำเหล่านี้สำหรับเรียกขานอาวุธแห่งเจตจำนงของเหล่าเทพเจ้าในตำนาน โดยมากแล้วเจตจำนงของเทพเจ้าซึ่งมอบให้แก่สิ่งมีชีวิตที่ตนโปรดปรานเป็นพิเศษเพื่อปกป้องคุ้มครอง ตลอดจนเพื่อยื่นมือเข้าช่วยเหลือในยามสงครามผ่านพลังแห่งธรรมชาติทั้งมวลบนโลกที่เทพเจ้าองค์นั้นเป็นผู้ปกปักษ์ดูแล
เป็นต้นว่าหากมีมนุษย์คนหนึ่งได้รับเจตจำนงแห่งเปลวเพลิงจากเทพเจ้าแห่งไฟ มนุษย์ผู้นั้นจะสามารถควบคุมธาตุไฟทั้งจากภายในและภายนอกร่างได้ และเปลวเพลิงทั้งมวลจะไม่มีวันทำอันตรายเขาเด็ดขาด นอกเสียจากว่าเทพเจ้าผู้มอบพลังให้จะริบพลังนั้นกลับคืนไป
กระนั้นแล้ว แม้จะเป็นคำที่มาจากความหมายเดียวกัน ทว่าอาวุธหรือวิธีการในการใช้พลังของแต่ละเผ่าพันธุ์มักต่างกันเล็กน้อย เช่นว่า เผ่ามนุษย์ที่มีอายุสั้นนั้นเมื่อได้รับเดียธิกิสจากเทพเจ้าแล้วจะเป็นอมตะไม่มีวันตาย หากแต่เมื่อใดที่ความปรารถนาของพวกเขาหมดลงหรือเสร็จสิ้นแล้ว พลังเดียธิกิสในร่างก็จะมอดไหม้จนหมดสิ้น ส่งผลให้มนุษย์ผู้นั้นล้มตายลง
พลังเดียธิกิสของมนุษย์เปรียบได้ดั่งพลังแห่งปาฏิหาริย์ที่เทพเจ้ามอบให้เพียงครู่หนึ่งแล้วหายไป…
ส่วน‘ดีอา’ของเหล่ามารนั้นจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ว่ากันว่าเผ่ามารทุกตนสามารถใช้พลังดีอาได้ตั้งแต่แรกที่ลืมตาดูโลก และจะคงอยู่ไปจนสิ้นอายุขัยไปตามธรรมชาติ ทว่าพลังดีอาโดยปกติของพวกเขามักอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบกับเดียธิกิสของมนุษย์ที่จะแผ่คลื่นพลังกล้าแกร่งออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เผ่ามารทุกคนจะมีเพียงม่านพลังดีอาเบาบางครอบคลุมร่างกายเอาไว้เท่านั้น
นอกจากนี้ พลังแห่งเจตจำนงนั้นยังสามารถกระทำพันธะสัญญาต่อเทพเจ้าหลายองค์ได้ ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของคนผู้นั้นและความพึงพอใจของเหล่าเทพเจ้าบนท้องฟ้า
เป็นต้นว่า เรวิส ลุซเต้ มีพลังแห่งเจตจำนงของเทพเจ้าอยู่ในตัวถึงสองอย่างด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือเจตจำนงแห่งสายลม และอีกหนึ่งคือ….----
วันรุ่งขึ้น
“อาวล่ะ! ใกล้แล้วสินะ”ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเอ่ยอย่างเกียจคร้าน พลางบิดตัวไปมาจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ เขาทำหน้าพะอืดพะอมอยู่พักหนึ่งแล้วหยิบหมวกปีกกว้างข้างกายขึ้นมาสวมพลางใส่เสื้อคลุมปิดร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าให้มืดชิด
“วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ---…”เรวิสยิ้มมุมปากราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองก็ไม่ปาน ร่างสูงดึงปมวกปีกกว้างลงมองไม่เห็นหน้า แล้วก้าวเดินออกจากร้านไปเงียบๆ …เหนือขึ้นไปบนนภากว้างของยามฟ้าสาง…แสงออโรร่าเปล่งประกายงดงามเป็นแถบทางยาวทอดไปสู่ทิศตะวันตกราวกับเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง
ชายหนุ่มรู้ดี…ว่าเวลานั้นกระชันชิดเข้ามาแล้ว….
“จัดการเลยไหมครับ?”
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีชาอ่อน นัยน์ตาสีเดียวกับท้องทะเลเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะที่จ้องมองเรือสินค้าลำใหญ่ที่ภายในบรรจุอาวุธสงครามผิดกฎหมายเอาไว้ด้วยดวงตาที่ลุกวาวราวกับสัตว์ป่า
“ใจเย็นน่า… รอดูท่าทีก่อนดีกว่า”ฟรอสต์เอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะย่อตัวลงเมื่อเห็นชายวัยกลางคนสามคนแบกกล่องไม้เดินผ่านหน้าพวกเขาไป ตอนนี้กองโจรสลัดหลบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆกระจายกันจนทั่ว หากไม่เกิดเหตุเกินความคาดหมาย พวกเขาคนชิงเอาสินค้ามาได้ไม่ยาก
เพราะอย่างน้อยๆ ฟรอสต์ก็มั่นใจในความสามารถของตนเองและลูกเรือไม่น้อย หากไม่เจอศัตรูที่เป็นยอดฝีมือหรือตกอยู่ในสถานการณ์ไม่คาดฝันก็คงสามารถชนะได้ไม่ยากนัก
“ยี่สิบสอง…ยี่สิบสาม…ยี่สิบสี่…ส่งคนมาเยอะน่าดู สงสัยที่เรวิสบอกว่าคนที่จ้างเป็นคนใหญ่คนโตท่าจะเป็นเรื่องจริง…อืม...เล่นด้วยยากแฮะ ท่าทางจะเป็นมืออาชีพพอสมควร”ฟรอสต์พึมพำในลำคอพลางลูบเส้นผมสีเงินของตนแผ่วเบา ดวงตาสีคล้ายมรกตทอประกายครุ่นคิดอยู่ไม่ขาด
จะบุกเข้าไปตรงๆหรือ…รอเวลา
การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวอาจนำชัยชนะหรือความพินาศมาให้ เด็กหนุ่มคิดไตร่ตรองไม่นานนักก็ได้คำตอบ ก่อนริมฝีปากบางจะเอ่ยคำขาดออกมา
กริ๊ง---
เสียงกระพรวนสัมฤทธิ์ดังแว่วเข้าหูแผ่วเบา
บนท้องฟ้ามีเทวดาอยู่---
หากใครบังเอิญเดินผ่านคนเห็นภาพตรงหน้าคงคิดเช่นนั้น แต่หากสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าเทวดาองค์นั้นมีปีกสีดำราวกับปีศาจ และมีเส้นผมสีเขียวประหลาดรวมถึงดวงตาสีน้ำตาลทองคล้ายอัญมณี เขาหน้าตาหล่อเหลางดงามราวกับเป็นศิลปะสมบูรณ์แบบที่เทพเจ้าสร้างขึ้นอย่างประณีต ขณะเดียวกันก็คงไว้ซึ่งความน่าเกรงขามดุดันราวกับเป็นตัวแทนของเหล่าทวยเทพอย่างไรอย่างนั้น
หากแต่ในมือซ้ายของเด็กหนุ่มกลับมีลูกไฟสีดำทมิฬลุกวาวอยู่ดูน่าหวาดกลัว เคียงข้างเขามีร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย มีหูยาวคล้ายพรายทว่ามีปีกใสคล้ายผีเสื้ออยู่ที่หลัง อีกทั้งยังมีผิวขาวเหลืองแปลกไปจากเผ่าพรายปกติที่มักมีผิวสีขาวนวล ดวงตาคมสวยคู่นั้นก็มิใช่ทั้งสีเขียวหรือน้ำเงิน หากแต่เป็นสีแดงคล้ายทับทิมส่องประกายแวววาว เส้นผมของเขาเป็นสีขาวเงินยาวสยาย ใบหน้าฉายแววแห่งความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีและความทระนง หากแต่กลับยอมก้มหัวให้เด็กหนุ่มข้างๆอย่างน่าแปลก
“จะใช่เรือลำนั้นหรือเปล่านะ? …ณ็อง”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ ในมือมีเปลวเพลิงสีดำที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งสรรพให้มอดไหม้เป็นจุลในพริบตา
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าคงไม่ผิดลำหรอกขอรับ”ณ็องกล่าว อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะผิดลำหรือไม่เจ้านายของเขาก็ไม่สนหรอก ขอเพียงทำลายเป้าหมายได้ก็เป็นพอ
“งั้นเหรอ…”เป็นอย่างที่ณ็องคิด เด็กหนุ่มข้างกายเขาดูไม่สนใจสักนิดว่าจะถูกหรือผิด เขายกไฟสีดำในมือขึ้นสูงแล้วเอ่ยมนตร์ออกมา
“เทพเจ้าแห่งเพลิงทั้งมวล เจตจำนงแสนบริสุทธิ์ผู้ปกครองเปลวเพลิงเอ๋ย…โปรดมอบพลังแก่ข้า ด้วยนามข้าผู้ผูกพันธะสัญญาแห่งดีอาแห่งเปลวเพลิง จงปรากฏขึ้น…คันศรแห่งเยรูน”สิ้นคำ เปลวไฟสีดำในมือพลันปรากฏสัญลักษณ์ประหลาดเป็นลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ก่อนเปลวเพลิงจะแผ่ขยายใหญ่ขึ้น ลุกลามใหญ่โตจนดูเป็นรูปเป็นร่าง ก่อนจะกลายเป็นคันศรขนาดใหญ่ยักษ์สีดำทมิฬดูน่าหวาดกลัว
“เอาล่ะ… อย่าโทษกันเลยนะ…”
เด็กหนุ่มง้างคันศรสีกาฬในมือจนโก่ง เตรียมเล็งยิงเป้าหมายด้วยคันธนูที่ไม่มีลูกศรอยู่อย่างเยือกเย็น!!
“เสียง…กระพรวน?”
เด็กหนุ่มผมสีเงินพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าราวกับมีลางสังหรณ์ ก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทองซึ่งเล็งคันศรประหลาดมาทางพวกเขา
“บลูเบล!!!”
…
ฟุ่บ!!
ศรแสงสีแดงถูกปล่อยจากคันศร ก่อนจะกระจายตัวออกเป็นฝนแสงสีแดงนับพันร่วงหล่นสู่พื้นดินและพื้นน้ำส่งผลให้รอบๆถูกทำลายจนพินาศ บริเวณที่ถูกฝนศรแสงตกใส่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นผงจำนวนนับไม่ถ้วนจนมองไม่เห็นจากด้านบน เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลทองหรี่ตาลงมองเบื้องล่างอย่างประหลาดใจ
“ด้วยนามแห่งข้า… จงเติบใหญ่ พฤกษาแห่งบาล์ก!!!”
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมิใช่ความวินาศ หากแต่เป็นพฤกษาขนาดยักษ์ที่รองรับเอาศรสีแดงฉานเอาไว้จนหมด ส่งผลให้อำนาจทำลายล้างนั้นไม่สามารถทำลายพื้นเบื้องล่างได้
“หืม…ผู้ผูกพันธะสัญญากับเทพแห่งแผ่นดินงั้นหรือ?”เด็กหนุ่มเจ้าของปีกสีดำหรี่ตาลง มองจากเบื้องสูงอย่างไม่ชอบใจเม่าไหร่นัก “ควบคุมพลังได้ไม่เลวเลยนี่? แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะทนรับพลังระลอกสองได้ทั้งหมดหรอกนะ”เขาพูดอย่างนั้นแล้วง้างคันศรขั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
พลังสีแดงชาดปรากฏขึ้นล้างๆก่อนจะเข้มข้นขึ้นจนมีรูปร่างคล้ายลูกศร มันเข้มข้นกว่าทีแรกจนดูราวกับสีของเลือดก็ไม่ปาน เขาง้างลูกศรลงไปยังเบื้องล่างก่อนจะปล่อยศรสีโลหิตออกไป
ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศรกระจายออกเป็นลูกศรขนาดเล็กนับพันหมื่นตกลงสู่เบื้องล่าง ทั้งหมดมุ่งจู่โจมมหาพฤกษาแห่งบาล์กที่ผุดขึ้นจากผืนดินจนบางส่วนพังพลายลงในที่สุด
สิ่งที่ปรากฏภายในคือ…ร่างสีขาวเรืองแสงสีฟ้าออกมาที่มีปีกล้ายผีเสื้อใสๆโปร่งแสงสีฟ้าน้ำทะเลงดงาม
เส้นผมสีชาที่เคยสั้นระต้นคอยาวสยาย ใบหูยืดยาวออกคล้ายพรายหากแต่มีดวงตาสีแดงสดราวกับเลือดดังเช่นปีศาจ นิ้วมือทั้งสิบมีเล็บยาวคมกริบงอกออกมา
“เกือบไม่ทันแล้วเชียว…”ร่างนั้นพึมพำแผ่วเบา ก่อนกิ่งก้านสาขาของมหาพฤกษาแห่งบาล์กจะงอกยาวออกมาจนบดบังสิ้นทุกสิ่งอีกครา เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีทองขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าตาราวกับเห็นของประหลาด
“เผ่าภูติยังหลงเหลืออยู่บนโลกอีกงั้นหรือ?”
โลกนี้สร้างขึ้นเพื่อเธอ…ทว่ากลับไม่ได้ดำรงอยู่เพื่อเธอ…
นานแสนนานมาแล้ว…ในช่วงเวลาที่ดาวเคราะห์อันห้อมล้อมไปด้วยสีทองเพิ่งถือกำเนิด ใต้เมฆหมอกสีทองคำมีเพียงพื้นน้ำกว้างเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด เอลซูร์ผู้เป็นดุจธิดาแห่งวารีได้ถือกำเนิดขึ้นจากสายน้ำ…ก่อกำเนิดเป็นชีวิตแรกบนโลกอันว่างเปล่างดงาม นางทอดสายตามองเพียงผืนฟ้าสีทองว่างเปล่าอยู่เนิ่นนานจนไม่อาจประมาณเวลาได้ ก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังโลกของนาง
จากนั้นนานแสนนาน…ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เอลซูร์เบี่ยงเบนสายตาจากโลกของนางไป
เมื่อเวลาไหลผ่านไป ทั้งสองฝั่งฝ่ายต่างเฝ้ามองซึ่งกันและกัน กระทั่งวันหนึ่ง…แอนซิสต์ เทพธิดาแห่งธรณีก็ได้ตัดสินใจเดินทางมายังโลกที่สร้างราวกับจะขึ้นเพื่อธิดาแห่งวารีแล้วเสกสรรเนรมิตแดนดินขึ้นมาจากความว่างเปล่าสีฟ้าครามของผืนน้ำ แน่นอนว่าเอลซูร์ผู้ไม่เคยเห็นแผ่นดินย่อมรู้สึกแปลกใหม่และดีใจอย่างแน่นอน
รอยยิ้มงามหมดจดถูกแต่งแต้มบนใบหน้าอ่อนหวานงดงามราวกับสายน้ำของเอลซูร์สร้างความประทับใจแก่เทพธิดาแห่งแผ่นดินและเหล่าผู้เฝ้ามองไม่น้อย จากนั้นไม่นาน เหล่าผู้เฝ้ามองต่างก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนเอลซูร์เป็นคราแรก
จากนั้น…โลกที่มีเพียงนางจึงมิได้มีเพียงนางอีกต่อไป…
เผ่าภูติ…สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์โบราณ หนึ่งในสี่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาแรกเริ่มของโลกใบนี้
แรกเริ่มนั้นโลกไร้ซึ่งเผ่าพันธุ์ทรงสติปัญญาที่สามารถพัฒนาตนเองได้ กล่าวได้ว่าโลกใบนี้มีเพียงผืนป่าราบเรียบและสรรพสัตว์ที่มีชีวิตอย่างเรียบง่ายเท่านั้น
ทว่าวันหนึ่ง เมอาห์ เทพธิดาผู้สร้างชีวิตก็ได้สร้างสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษขึ้นมา
นางสร้างร่างกายของเผ่าภูติจากลมหายใจของซาซ่า เทพแห่งเมฆหมอกและพายุฝน สกัดจิตวิญญาณจากหยาดเลือดอันเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุดของนาง รังสรรค์หน้าตาให้อย่างประณีตดุจดั่งเป็นบุตรของนางเอง และเมื่อครั้นลืมตาตื่นขึ้นก็ได้มอบพรอันวิเศษให้
“เจ้าเปรียบเสมือนบุตรแห่งข้า พวกเจ้าและเผ่าพันธุ์จะไม่มีวันดับสลายชั่วนิรันดร์ จะมีกายอมตะ แข็งแกร่งและเป็นที่รักจากสิ่งที่ข้ารังสรรค์ขึ้น…”
จากนั้น เผ่าพันธฺใหม่จึงได้กำเนิดขึ้นบนโลกแห่งทองคำซึ่งมิได้ว่างเปล่าอีกต่อไป พวกเขาสร้างสรรค์อารยธรรมอันงดงามอ่อนช้อยขึ้นเพื่อสักการะเมอาห์ผู้เปรียบได้ดั่งมารดา ใช้ชีวิตตามครรลองที่ถูกต้องอย่างใสสะอาด
ทว่าความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน…
สงครามระหว่างเผ่าเทพฟ้าและเผ่าเทพธรณีเริ่มลุกลามใหญ่โตจนโลกแทบวินาศ หลังจากนั้นเองที่เหล่าทวยเทพหายตัวไปและสิ้นสุดยุคมหาสงคราม
จากนั้น--- เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกส่งต่อมายังปัจจุบัน
ข้อมูลตัวละคร
เพิ่มเติม::ข้อมูลของตัวละครที่โผล่มาในบทที่สอง
แนะนำ?? แนะนำ??? หา บทนี้เนี่ยนะ? ไหนตัวละครใหม่ล่ะ ไม่มีหรอก(โดนกระทืบแบน/)
1.บลูเบล
หนุ่มน้อยหน้าตาดี เจ้าของตำแหน่งเผ่าภูติที่หน้าตาดีที่สุดแห่งปี!? (ตำแหน่งบ้าอะไรของหล่อนยะ!?/โดนตรบ)ล้อเล่นหรอก เขาเป็นเผ่าภูติเพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่(บนโลก) สำหรับคนที่อ่านภาคเก่าอย่าสับสนกับบลูเบลอีกคนนะคะ บลูเบลคนนี้ชื่อ Bluuubelle (เป็นคำภาษาของภูติในเรื่องค่ะ) ส่วนบลูเบลในภาคอนาคต(ขอเรียกอย่างนี้ก็แล้วกัน) จะเขียนว่า Blurbell ค่ะ อันที่จริงไม่รู้จะรีวิวอะไรดี เพราะเขาเป็น--- แล้วก็ --- เอาง่ายๆคือคนเขียนสปอยล์ไม่ออก = ="
ใบ้ให้ว่าชื่อจริงของเขามีสี่วรรคก็แล้วกัน...
จบการแนำนะเพียงเท่านี้ เพราะบทนี้ตัวละครน้อยเหลือเกิน จะเอาเทพมารีวิวก็กระไรอยู่ ขอบคุณค่ะ (_ _)
ความคิดเห็น