ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Unknown Mythology

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 55


      

    รูลริลิน เมืองท่านอกกฏหมายกับข่าวสารจากเทพเจ้า
     


     

                    “คาร์ฟ อย่ามาขวางจะได้ไหมหา!? ทั้งที่ข้าออกจะสนใจหมอนั่นแท้ๆ!!!”ฟรอสต์ตวาดอย่างหงุดหงิดเมื่อเทพแห่งสายฟ้าขี้เป็นห่วงตรงหน้าทำเกินหน้าที่ ส่งสายฟ้าผ่าลงกลางวงแถมด้วยเวทย์เคลื่อนย้ายทำให้เขาคลาดกับเจ้าคนน่าสนใจนั่น!!

                    น่าโมโหนัก!!

                    เทพสายฟ้าเป็นหญิงงามสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับชาวตะวันออก มีผมสีดำเหลือบทอง นัยน์ตาสีขาวฟ้าคล้ายกับสายฟ้า นางสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนบางครั้งฟรอสต์ยังต้องเบนหน้าหนี มีหน้าอกอวบอิ่มและเสน่ห์ยั่วยวนเหลือล้น ถ้าหากไร้ปีกสีขาวโปร่งแสงแล้วบางคนอาจคิดว่านางเป็นอินคิวบัสเสียด้วยซ้ำ

                    “โอ๋ไม่เอาน่า เจ้านั่นน่ากลัวจะตาย ถ้าฟรอสต์น้อยๆของข้าเกิดมีแผลขึ้นมาข้าคงข้าคงขาดใจตายแน่ๆ!!”หญิงสาวเอ่ยอย่างโศกาปานใจจะขาด หากใบหน้านั้นไม่ประดับรอยยิ้มขี้แกล้งขึ้นมาคงคิดว่าเธอเสียอีกที่เป็นฝ่ายโดนเด็กหนุ่มรังแก

                    “โกหกชัดๆเจ้านั่นก็แค่ครึ่งมาร ถ้าข้าคิดจะฆ่าจริงๆก็ฆ่าไปแล้วล่ะน่า”

                    “ครึ่งมาร?...เอ๋ ไม่ใช่มั้ง?หนูน้อยนั่นน่ะมารสายเลือดแท้เลยนา?”คาร์ฟเอ่ยด้วยใบหน้างุนงง ปกติแล้วพลังในการแยกแยะจิตวิญญาณของฟรอสต์มักสูงกว่าปกติ เรื่องแค่นี้ไม่น่ามองพลาดนี่?

                    “หา? ไม่น่าข้าไม่เห็นรู้สึกถึงพลังของเรพลัสก้าเลยนี่?”เรพลัสก้าคือเทพธิดาในตำนานที่คอยปกป้องหมู่มารและมอบความรักให้ในฐานะที่พวกเขาเป็นบุตรของนาง ฉะนั้นชาวเผ่ามารทุกคนจึงมีพลังพิเศษที่เรียกได้ว่าเป็น ความรักของเรพลัสก้า ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิด แต่หมอนั่นไม่มี

                    “เรื่องนั้นข้าก็ตอบไม่ได้คงต้องตรวจสอบสักหน่อย”คาร์ฟทำเสียงอ่อนลง ก่อนจะพึมพำบางอย่างในลำคอและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

                    “ยัยแก่ อย่าหนีกันหน้าด้านๆเซ่!”เด็กหนุ่มบ่นไล่หลังอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปจัดทรงผมให้เข้าที่แล้วกลับมามองลูกเรือที่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกด้วยใบหน้าประดับยิ้มนุ่มนวลดังเดิม

                    “เอาล่ะ! พอหมดเรื่องแล้วเราก็รีบเอาของที่ปล้นได้ไปขายกันดีกว่า!!!

                    เด็กหนุ่มยิ้มเริงร่า เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ทำเอาลูกเรือคนอื่นปรับตัวแทบไม่ทัน บางคนเผลอร้องอุทานออกมาเบาๆอย่างตกใจเสียด้วยซ้ำไป

                    และด้วยเหตุนี้เรือโจรสลัดจึงมุ่งหน้าสู่รูลริลินอันเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งของตะวันตกและอีกด้านหนังยังเป็นแหล่งรับซื้อของนอกกฎหมายขนาดใหญ่อีกด้วย

                   

                    ดวงดาวที่ได้รับการปกปักษ์จากเมอาห์ผู้สร้างชีวิตเปล่งแสงสีแดงโดดเด่นกว่าทุกราตรีในรอบปีนี้ ดาราสีชาดจะส่องแสงนำทางผู้คนในท้องทะเลสู่ทิศตะวันออกและจะหายลับไปเมื่อเรือแล่นผ่านกาฬทวีปที่อยู่เลยแผ่นดินตะวันออกไปอีกเล็กน้อย หากเลยกาฬทวีปไปอีกจะเข้าสู่อาณาเขตของชายฝั่งแห่งแสงดาวอันเป็นที่ซึ่งว่ากันว่าเทพเจ้ามักปรากฏกายขึ้นนับแต่สมัยโบราณกาล และหากเลยชายฝั่งแห่งแสงดาวไปอีกจะเป็นจุดสิ้นสุดของโลกที่ย้อมไปด้วยความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง

                    แต่เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น….

                    ไม่เคยมีใครเดินทางไปถึงจุดสิ้นสุดของโลก ไม่เคยมีใครเดินทางพ้นกาฬทวีปแม้สักคนนับแต่ศักราชปัจจุบันเริ่มต้นขึ้นนับจากมหาสงครามครั้งใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อนจบลงและเผ่าพันธุ์ทั้งแปดถือกำเนิดขึ้นจากโองการของเหล่าทวยเทพ

                    เรียกได้ว่า ณ โลกปัจจุบันนี้เหล่าทวยเทพได้ขาดการติดต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

                    ว่ากันว่าเผ่าพันธุ์ที่มีมาแต่โบราณนั้นมีอยู่สีเผ่าพันธุ์ด้วยกัน คือ เทพฟ้า เทพธรณี มารและภูติ โดยปัจจุบันเผ่าพันธุ์โบราณนั้นมีประชากรอยู่เพียงน้อยนิดและหลบซ่อนตัวจนแทบกลายเป็นเพียงตำนาน อีกทั้งเผ่าเทพฟ้าและเทพธรณีต่างสูญสิ้นไปจากมหาสงครามเหลือเพียงเผ่ามารที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งและเผ่าภูติที่มีร่างอมตะเท่านั้น

                    เผ่ามารจะมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่สองหมื่นปี ส่วนเผ่าภูติไม่มีวันตาย

                    ว่ากันว่าเผ่ามารนั้นใช้ชีวิตอยู่ ณ ส่วนลึกของโลกล่างที่อยู่ลึกลงไปในจุดสิ้นสุดของโลก และเผ่าภูติหลบซ่อนอยู่ในผืนป่าขนาดยักษ์ที่ยังไม่มีการบุกเบิกของแผ่นดินตะวันออก ถึงอย่างนั้นแล้วเผ่าภูติและเผ่ามารกลับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลยจนกาลเวลาล่วงเลยผ่านมานับพันปีตัวตนของพวกเขาจึงหลงเหลืออยู่เพียงตำนานโบราณที่เล่าขานกันปากต่อปาก

                    ลูกหลานของเผ่ามารที่แต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์คือเผ่าปีศาจ แต่ว่ากันว่าเผ่าปีศาจในปัจจุบันแทบไม่มีสายเลือดมารหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่ยังมีสายเลือดมารเข้มข้นถึงขนาดมีปีกสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ของมาร แต่เหล่าปีศาจชั้นสูงตนอื่นตลอดจนชนชั้นล่างกลับเป็นลูกหลานของเหล่าเทพธรณีที่สูญสิ้นไปแล้วซึ่งเทพเจ้าสร้างขึ้นมาทีหลัง

                    ถึงอย่างนั้นราชวงศ์ปีศาจกลับไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นตัวตนของเผ่าพันธุ์โบราณทั้งสี่จึงยิ่งจมดิ่งเข้าไปในความมืดมิดมากขึ้น

                    จนสุดท้ายก็เลือนหายไปจากโลก….

                    ไม่หลงเหลือร่อยรอยเอาไว้อีก

     

                    เซเลเนีย เซรีมิเลีย ในวัยสิบสี่ปีจดจำวันที่ได้พบกับเขาคนนั้นได้ดี

    เธอมีเส้นผมเนียนละเอียดนุ่มยาวสลวยสีเหลืองอ่อนดูคล้ายสีขาวสะท้อนแสงตะวันเจิดจ้า มีดวงตาสีแดงอ่อนเปล่งประกายคล้ายเพชรดูอ่อนโยนหากแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาและเยือกเย็นราวน้ำแข็ง ใบหน้าคมเรียวรูปไข่จัดได้ว่างดงามและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เด็กสาวสวมอาภรณ์สีดำเป็นกระโปรงยาวเรียบง่าย ใบหน้าอ่อนเยาว์มีสีแดงระเรื่อขณะที่ดวงตาจ้องมองเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่เดินลงมาจากเรือไม่ปรากฏสัญชาติที่เพิ่งเทียบท่าได้ไม่นานนัก

    เขามีดวงตาสีเขียวประหลาด--- มองดูแล้วคล้ายสีเขียวมรกตน่าหลงใหล

    เด็กหนุ่มคนนั้นเดินลงมาจากเรือลำโตพร้อมกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทยาวจรดเอวกับนัยน์ตาสีเหลืองสดใสที่ดูฉลาดเฉลียวในชุดรัดรูปที่ดูคล่องตัวไม่รุ่มรามน่ารำคาญสีดำ เด็กหนุ่มคนนั้นสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีดำเรียบๆดูไม่รุ่มร่ามและไม่อึดอัด ทว่าใบหน้างดงามนั้นกลับดึงดูดสายตาของเด็กสาวไปอย่างสิ้นเชิง

    สาบานได้ว่าทั้งชีวิตนี้เธอไม่เคยเจอคนที่มีนัยน์ตาสีสวยขนาดนั้นมาก่อนเลย---

    คนคนนั้นหันหลังไปพูดบางอย่างผู้ใหญ่อีกห้าถึงหกคนที่เดินตามหลังมา พวกเขาคุยกันอยู่พักหนึ่งด้วยภาษาที่เซเลเนียไม่เคยได้ยิน แต่คิดว่าคงเป็นภาษาของประเทศใกล้เคียงเพราะคำบางคำที่เด็กสาวได้ยินดูคล้ายภาษาที่เธอรู้จักมาก จากนั้นเด็กหนุ่มกับเด็กสาวผมสีดำจึงเดินไปอีกทาง ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือพากันขนสินค้าในลังไม้ลงมาอย่างระมัดระวัง

    เซเลเนียชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแอบเดินตามเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีประหลาดไปเงียบๆ

     

    สถานที่ที่เขาและเธอมุ่งหน้าไปคือร้านขายข่าวเล็กๆในรูลริลิน

    ร้านขายข่าวตั้งอยู่ในย่านสลัม ฉะนั้นทัศนียภาพโดยรอบจึงทรุดโทรมไม่น่าดู รอบๆมีคนเร่ร่อนตลอดจนขอทานนั่งอยู่เป็นระยะ บางคนเมื่อเห็นฟรอสต์และเชอริลเดินเข้ามาก็พุ่งเข้าจู่โจมหวังแย่งของมีค่าที่นำติดตัวมาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าย่านนี้เป็นย่านเสื่อมโทรมของแท้เลยจริงๆ

    แอ๊ด….

    บานประตูของร้านเปิดแง้มไว้ บนพื้นมีรอยเลือดลากเป็นทางยาวดูไม่ใช่ลางดีสักเท่าไหร่ ทว่าฟรอสต์กลับไม่สนใจ เมื่อเดินมาถึงหน้าร้านแล้วจึงผลักประตูเข้าไปโดยไม่ทันคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน

    “อ้าว สวัสดีฟรอสต์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ?”คนในร้านเอ่ยทักเสียงเริงร่า ร่างนั้นคือชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์เจ้าของเรือนผมสีทองประกายแดงที่มีนัยน์ตาสีเขียวงดงามในชุดหรูหราฟูฟ่องคล้ายชุดขุนนางไม่มีผิด อีกทั้งเขาคนนั้นยังโบกไม้โบกมือทักทายเด็กหนุ่มผมสีเงินอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย


                    ปัง
    !

    ฟรอสต์ปิดประตูใส่หน้าชายหนุ่มอย่างรุนแรงเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบ ก่อนจะเปิดมันขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าซีดเซียวและดวงตาที่เบิกกว้าง

    “ท่าน..ท่านท่านเอลลิออต!!! ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่กันครับ!?”เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างตื่นตระหนก ความเยือกเย็นเลือนหายไปจากดวงตาจนหมดสิ้น

    ท่าทางของเจ้าช่างน่าขันจริงๆนะเด็กน้อย! เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ข้าถึงชอบแกล้งเจ้าไงล่ะ ฮะๆๆ”ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองประกายแดงเอ่ยกลั้วหัวเราะ ใบหน้างดงามและกิริยานุ่มนวลราวกับสายน้ำทำให้เขาดูดีตลอดเวลาแม้ยามหัวเราะจนน้ำตาเล็ดก็ตาม

    “อุ---”เด็กหนุ่มผมสีเงินกุมศีรษะอย่างเหน็ดหน่าย ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ต่างๆมากมายทั้งยังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

    “ไม่เอาน่าฟรอสต์ อย่าทำหน้าตลกๆแบบนั้นนานๆสิ คิกๆๆ..”กิริยาของชายหนุ่มดูนุ่มนวลงดงามเหมือนสายน้ำใสสะอาด มองอย่างไรก็ดูไม่ขัดตาหรือน่าเกลียด กอปรกับใบหน้างดงามและเส้นผมยาวยวงเหมือนม่านน้ำตก เรียกได้ว่าดูงดงามพร้อมสมบูรณ์แบบก็คงไม่เกินจริงเลย

    “ท่านมาทำอะไรที่นี่

    “มาดูหน้าเจ้าไง คิกคิกคิก”

    “ล้อเล่นหรอกน่าอันที่จริงข้ามาเพื่อนำข่าวใหญ่มาแจ้งเจ้าต่างหาก.. ฟังให้ดีล่ะเด็กน้อย”ใบหน้ายิ้มแย้มเลือนหายไปในชั่วพริบตา แทนที่ด้วยความเย็นชาสุดจะหยั่ง

    “ดวงดาวของเอลายจ์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว”

     

    เอลายจ์ ราชันย์แห่งภัยพิบัติในตำนานเทพปกรณัม ว่ากันว่าเขามีพลังมากถึงขนาดสามารถกลืนกินทำลายดวงดาวได้ ในเทวตำนานเอลายจ์เป็นเทพเจ้าผู้ปกครองสรวงสวรรค์ด้านมืดคู่ขนานกับไวลส์จักรพรรดิสวรรค์ผู้ปกครองด้านสว่างของโลกแห่งเหล่าเทพเจ้าบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น เขาเป็นเทพเจ้าผู้ปกปักษ์คุ้มครองดวงดาวแห่งเดซเซียซึ่งเป็นดาราสีนิลกาฬซึ่งจะปรากฏเมื่อโลกถึงคราวหายนะ

    ฉะนั้นผู้คนจึงเรียกเทพเจ้าผู้ครอบครองดวงดาวว่าราชันย์แห่งภัยพิบัติ

     ครั้งสุดท้ายที่เดซเซียฉายแสงคือในครั้งที่มหาสงครามของเผ่าพันธุ์โบราณเริ่มขึ้น และหายลับไปเมื่อสงครามยุติลง จากนั้นมันก็ไม่เคยปรากฏอีกเป็นเวลาหลายพันปี

    มหาสงครามครั้งนั้นนำพามาซึ่งภัยพิบัติ ความสูญเสียมากมาย รวมถึงการสิ้นเผ่าพันธุ์ของเทพฟ้าและเทพธรณีในตำนาน แผ่นดินกว่าหนึ่งในสิบของโลกแตกสลายลงและกลายเป็นมิติอันดำมืดที่เรียกว่าจุดสิ้นสุดของโลกซึ่งเชื่อมต่อกับดินแดนแห่งต้นกำเนิด เผ่าภูติบ้าคลั่งขึ้นและเงียบหายไปจากประวัติศาสตร์ เผ่ามารเหลือเพียงน้อยนิดอพยพไปยังดินแดนแห่งต้นกำเนิดและไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีก โลกเหี่ยวแห้งไร้ชีวิตจนเทพเจ้าต้องเนรมิตเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีกแปดเผ่าพันธุ์

    เรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งในหายนะครั้งใหญ่ไม่กี่ครั้งตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้นก็ว่าได้

    และตอนนี้ดวงดาราแห่งภัยพิบัติได้ฉายแสงอีกครั้งเหนือท้องฟ้า หมายความว่าจะเกิดอาเพศอันใดกับโลกนี้อีกงั้นหรือ?

     

    “ดาวสีดำฉายแสงอีกแล้ว

    เด็กหนุ่มลึกลับเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทองเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่พิงร่างเข้ากับกำแพงเย็นเยียบอีกด้านหนึ่งของห้องพักในโรงแรมที่มองเห็นดาวสีดำเปล่งแสงได้อย่างชัดเจนผ่านหน้าต่างซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของของ เด็กหนุ่มยกไวน์แดงราคาสูงขึ้นจิบเล็กน้อย เหม่อมองดาราสีดำที่ทอแสงมืดมนน่าหดหู่ออกมาเงียบๆ

    “เทพเจ้าของพวกเรา ท่านประสงค์ในสิ่งใดหรือ?”

    ในความเชื่อของเผ่ามารซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์โบราณนั้น ดาวเดซเซียจะถูกเรียกว่าดาวเซียสซึ่งเป็นดวงดาวที่ถูกปกปักษ์จากคราวน์หรือคือเคออสในตำนานของมนุษย์ คราวน์เป็นเทพเจ้าองค์แรกผู้ปกครองทุกสิ่งจากความว่างเปล่าฉะนั้นแสงดาวจึงเป็นสีดำมืดอันหมายถึงความสับสนวุ่นวายและความว่างเปล่าในครั้งที่เอกภพยังคงไร้ซึ่งทุกสิ่ง

    คราวน์นั้นถือเป็นเทพเจ้าที่เผ่ามารนับถือสูงสุด รองมาจึงเป็นเรพลัสก้าเทพเจ้าผู้รังสรรค์ธรรมชาติอย่างที่เผ่าอื่นเข้าใจ เผ่ามารทุกตนได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับเทพเจ้าโดยตรงเช่นเดียวกับเผ่าภูติที่ขึ้นตรงต่อเซราฟีห์ผู้ถักทอโชคชะตาจากเส้นด้ายในธารเวลา

                    พวกเขาเข้าใจในความหมายที่เทพเจ้าต้องการสื่อ เข้าใจในพลังของเทพเจ้าได้ดีกว่าใคร

                    ดวงดาวเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าขึ้นเพียงพริบตาหนึ่ง เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็เข้าใจในความหมายของมันในทันที

                    “ตามประสงค์ของท่านเทพเจ้าของพวกเรา”

                    หากท่านไม่ปรารถนาในสงคราม ข้าก็จะหยุดมันเสีย

                    หากนั่นเป็นความปรารถนาของเทพเจ้า….แม้ว่าจะเกี่ยวอะไรกับตัวเองหรือไม่ก็ตามเขาก็ยินดีจะทำมัน

                    คงเพราะพวกเขาได้รับชีวิตจากเทพเจ้าโดยตรง เทพเจ้าในสายตาพวกเขาจึงเปรียบได้ดั่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ดังนั้น แม้ว่าจะต้องอาบเลือดสักกี่ครั้ง เผ่ามารทุกคนก็ยังยินดีทำตามความปรารถนาของเหล่าเจตจำนงอันบริสุทธิ์ที่พวกเขานับถือและเรียกขานว่าเทพเจ้า

                    “ณ็อง พรุ่งนี้เราจะไปเมืองรูลริลินทางฝั่งตะวันตก ไปทำลายเรือขนส่งอาวุธสงครามกัน

                   


     

                    “ฟรอสต์ คนที่นายเรียกว่าท่านเอลลิออตที่เป็นใครมาจากไหนหรอ?”เชอริล ราเฟลทีลเอ่ยถามเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินที่เป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อนด้วยความสงสัย

                    “?... ท่านเอลลิออตน่ะหรอ? เป็นขุนนางน่ะเห็นแบบนั้นแต่ก็อยู่มาหลายร้อยปีแล้วล่ะ”เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินเอ่ยตอบ ก่อนจะยกชาในแก้วดินเผาเคลือบอย่างดีขึ้นมาจิบดับกระหายอย่างสบายอารมณ์ขณะที่พวกเขาทั้งสองรอให้เจ้าของร้านขายข่าวฟื้นสติขึ้นมา

                    “หะหา!? หลายร้อยปี? ไม่น่าหน้าตาเขาดูยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลยนี่นา!?”เชอริลพูดด้วยสีหน้าตกใจเพราะคนเมื่อครู่มองอย่างไรก็เป็นเผ่ามนุษย์แน่ๆ ไม่จะมีอายุยืนถึงขนาด หลายร้อยปีได้ อีกทั้งยังไม่แก่อีกต่างหาก

                    “อย่าตัดสินคนด้วยรูปร่างภายนอกสิ ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงอยู่มาได้หลายร้อยปีโดยไม่แก่ลงเลย แต่อย่างน้อยๆเมื่อสิบปีก่อนสมัยข้ายังเด็กเขาก็หน้าตาเหมือนตอนนี้ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยล่ะ

                    “ไม่ใช่คนชัดๆ

                    “ข้าก็คิดอย่างนั้น แถมท่านเอลลิออตยังมีน้อยชายอีกสองคนที่เป็นปีศาจไม่แก่ไม่ตายอยู่ด้วยล่ะ

                    “เป็นปีศาจกันทั้งครอบครัวหรือไงน่ะ?”

                    “เสียมารยาท อย่างน้อยท่านเอลลิออตก็เป็นคนที่ข้านับถือนะ  จะพูดอะไรก็ไว้หน้ากันบ้างเถอะ”ฟรอสต์เปรยเบาๆแล้วเหลือบมองร่างของเจ้าของร้านที่เริ่มขยับเล็กน้อย หากมองผ่านๆคงไม่ทันสังเกต

                    “ลุกขึ้นมาได้แล้วน่าตาแก่ ไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นสลบเลย ถ้าขืนยังไม่รีบลุกขึ้นมาข้าจะเหยียบเจ้าล่ะนะ”ฟรอสต์เปรยกับร่างที่นอนสลบบนพื้นแผ่วเบา จากนั้นร่างของชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่จึงรีบเด้งตัวขึ้นมายืนตรงในพริบตา

                    “อูยเจ็บชะมัด ฟรอสต์ท่านเอลลิออตของเจ้านี่ช่างชอบใช้ความรุนแรงจริงๆนะ!!”ผู้กล่าวคือเจ้าของร้านขายข่าวที่ฟรอสต์ตั้งใจจะมาหา เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมเพียงกางเกงไม่สวมเสื้อเผยให้เห็นกล้ามเนื้อล่ำกำยำดูดีไม่ล่ำมากหรือน้อยเกินไป ใบหน้าหล่อเหลาคมและเส้นผมสีดำซอยยาวระต้นคอกับดวงตาคมกริบสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ

                    “เฮอะ สมควรแล้วที่เจ้าจะโดนซัดน่ะให้เดาว่าเจ้าคงไปทำอะไรแปลกๆใส่ท่านเอลลิออตเข้าล่ะสิ?”

                    “หะ..โหดร้าย!! ข้าแค่แค่เรียกเขาว่า น้องสาวเองนะ!! ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยก็ได้นี่ โฮ!!!”ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าแสนโศกเศร้า ทว่าฟรอสต์กลับมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยติดจะสะใจด้วยซ้ำ ส่วนเชอริลมองชายหนุ่มด้วยความอึ้ง

                    ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ไม่ใช่..เรียกผู้ชายว่าน้องสาว เป็นใครได้ยินเข้าก็ไม่ชอบใจทั้งนั้นล่ะ!!!...

                    “เฮ้อ..เจ้านี่มัน--- …ช่างเถอะ”ฟรอสต์ถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างหน่ายๆ “เข้าเรื่องกันดีกว่า เรวิส ข้าอยากได้ข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายอาวุธผิดกฎหมายในแถบนี้น่ะ มีหรือเปล่า?”

                    “เหจะว่ามีก็มีหรอกนะ แต่คุณโจรสลัดคิดจะเอามันไปทำอะไรงั้นหรือ? จะเอาไปปล้นมาขายอีกต่อหรือไง หืม?”เรวิสเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

                    “มีคนขอร้องมา”ฟรอสต์ตอบ ดวงตาหรี่อย่างนึกรำคาญขึ้นทุกที

                    “หืม งั้นเองหรอ ช่างเถอะข้าจะไปถามหรอกนะว่าใคร”ถึงตามไปก็คงไม่ตอบอยู่ดี ฉะนั้นไม่ถามเลยจะดูสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายเสียมากกว่า เรวิสคิดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปหยิบแผนที่ม้วนหนึ่งขึ้นมากางออก เขาชี้ท่าเรือเล็กๆที่ชายฝั่งตะวันตกสองสามจุดที่อยู่ติดๆกัน

                    “ทั้งสามที่จะมีการขนอาวุธผิดกฎหมายลงจากเรือเพื่อนำไปขายต่อให้ใครสักคน มีการตรวจเช็คอย่างระมัดระวังน่าดู คงเข้าไปปล้นไม่ได้ง่ายๆเหมือนสินค้าทั่วไปหรอก”เรวิสกล่าว “เห็นว่าผู้ซื้อเป็นถึงคนใหญ่คนโตของอาณาจักรข้างๆน่ะ

                    “งั้นหรอ ขอข้อมูลจำนวนทหารรับจ้างกับบริเวณโดยรอบด้วยก็แล้วกัน” กล่าวจบเรวิสก็ยื่นม้วนกระดาษให้สามม้วน ภายในมีข้อมูลของทหารรับจ้างที่มาเฝ้ายามตลอดจนเรือที่น่าจะแล่นผ่านหรือจำนวนคนโดยรอบและสภาพแวดล้อมโดยรวม

                    “เหวุ่นวายน่าดูแฮะ แต่รับปากมาแล้วก็คงต้องทำล่ะนะ”ฟรอสต์พึมพำในลำคอ ดวงตาคู่สวยมีประกายแห่งความคิดฉายแสงอยู่ “จะว่าไปข้าขอข้อมูลเกี่ยวกับเผ่ามารหน่อยสิ พอมีบ้างหรือเปล่า?”

                    “หือ? ของแบบนั้นจะเอาไปทำไมกัน เผ่ามารไม่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้แล้วไม่ใช่หรือไง?”

                    “ข้าอยากได้ เอามาเถอะน่า!

                    “ครับๆเผ่ามารเป็นหนึ่งในสี่เผ่าพันธุ์โบราณของโลก โดยปัจจุบันหายสาบสูญไปแล้ว”เรวิสเริ่มกล่าวข้อมูลของเผ่ามารที่เขารู้ทีละอย่าง ทว่าฟรอสต์กลับส่ายหน้าหน่ายๆ

                    “ไม่ใช่ข้อมูลพื้นๆแบบนั้น ข้าหมายถึงพวกลักษณะเด่นๆที่สังเกตง่ายๆ หรือไม่ก็พลังหรือความสามารถพิเศษของเผ่า อะไรอย่างนี้ต่างหาก!!!

                    “เห ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็…..----



    ข้อมูลตัวละคร
     

    เพิ่มเติม::ข้อมูลของตัวละครที่โผล่มาในบทนำ

     

    1.เซเลเนีย เซรีมิเลีย

    สาวยันเดระสุดโหดผู้ตกหลุมรักฟรอสต์แต่ครั้งแรกพบ!? ปัจจุบันทำตัวเป็นสโตรเกอร์ตามติดฟรอสต์อยู่ห่างๆ(???) คนเขียนชอบเธอมากๆเหมือนกันล่ะ!!!

    2.เอลลิออต มอนเต ซาติน แลงคาสเตอร์

    เขาเป็นพระเอกของอีกเรื่องหนึ่ง (ฮา) เป็นพี่ชายใจดีรักน้องแบบไม่เปิดเผย เป็นความรักแบบบิดๆเบี้ยวๆไม่สมประกอบล่ะมั้งนะ(???)

    3.เรวิส ลุซเต้

    พ่อค้าข่าวเพี้ยนๆที่ชอบเปลือยท่อนบน เขาเป็นหนึ่งในตัวละครที่สำคัญของเรื่อง แต่ดันบทน้อยมากๆแถมคนเขียนก็ไม่ได้ปลื้มเท่าไหร่ จำชื่อเขาไว้ดีๆก็แล้วกัน!!

     

    ทำไมคราวนี้แนะนำตัวละครสั้นแปลกๆนะ? (ฮา)

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×