ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Unknown Mythology

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 55


    The Mythology I

    บทเพลงส่งวิญญาณแห่งหมู่มาร

    The Requiem of All Devil

     

                    ในโลกใบนี้ที่ถูกรัศมีแห่งเทพเจ้าปกป้องคุ้มครองไว้มีเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก

                    พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ว่ากันว่าสูญสิ้นไปแล้ว..เผ่าพันธุ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจ้าวโลกนอกเหนือจากมนุษย์

                    พวกเขาถูกเรียกขานว่า มาร ผู้มิใช่ทั้งปีศาจหรือภูตผี

                    แม้จะจากไป..แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความรุ่งโรจน์ไว้ตลอดกาล

                    …แกะสลักมันลงไปในโลกนี้

     

                    ใบหน้าใต้ผ้าคุลมสีดำคือผ้าพันแผลที่พันทับไว้อีกชั้นอย่างแน่นหนากับดวงตาสีน้ำตาลทองเปล่งประกายเจิดจรัสราวกับอัญมณี ผิวของเด็กหนุ่มที่เคยเป็นสีขาวซีดเข้มขึ้นเล็กน้อยเพราะต้องแดดจัดเป็นเวลานาน ที่หลังของเขามีปีกสีดำอยู่สองคู่ซึ่งกระพือเล็กน้อยเพื่อพยุงร่างนั้นไว้กลางอากาศมิให้ร่วงหล่น

                    เส้นผมสีเขียวสว่างโผล่พ้นชายผ้าคลุมเล็กน้อย มือซ้ายและขวามีลวดลายประหลาดสีดำดูงดงามอย่างประหลาด เด็กหนุ่มหยิบเอาจี้ห้อยคอที่ทำจากคริสตัลใสรูปคล้ายดอกบัวตูมขึ้นมาแล้วถ่ายคลื่นพลังสีดำออกจากมือข้างซ้าย ก่อนคลื่นพลังมืดนั้นจะเข้าปกคลุมจี้ผลึกและทำให้กลีบดอกบัวบานออกอย่างน่าอัศจรรย์ ภายในจี้ผลึกใสนั้นมีวงแหวนเวทย์ค้นหาอยู่ มันฉายให้เห็นถึงสภาพเมืองโดยรอบแบบสามมิติและมีลูกศรชี้ไปยังจุดจุดหนึ่งไม่ห่างจากสถานที่ที่เขาอยู่มากนัก

                    เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนแรง การเดินทางติดต่อกันยาวนานนั้นแม้แต่พวกผิดมนุษย์อย่างเขาก็จัดเป็นการทรมานชั้นยอดได้เหมือนกัน...

                    ปีกสีดำสนิทกระพือเล็กน้อยก่อนร่างสีดำจะเลือนหายไปจากที่แห่งนั้น

     

     

                    เชอริล ราเฟลทีล เติบโตขึ้นในย่านสลัมกับครอบครัวเล็กๆอันประกอบด้วยพ่อ แม่ เธอและน้องชายอีกสองคน ในสถานที่อันเสื่อมโทรมเช่นนี้การที่เธอเป็นเพศหญิงทำให้ลำบากอยู่ไม่น้อย แต่หญิงสาวกลับไม่ย่อท้อแม้สักนิดอีกทั้งยังแก้จุดด้อยของตัวเองด้วยการฝึกศิลปะการต่อสู้จากบิดาจนชำนาญ จากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น สุดท้ายจึงทำให้นางตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นซ้ำสอง

                    ตอนแรกหญิงสาวคิดเพียงว่าจะออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งแล้วลงหลักปักฐาน หาเลี้ยงชีพและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น ทว่าวันหนึ่งหลังจากที่หญิงสาวออกเดินทางได้ไม่นานคนคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาในชีวิตและเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไป

                    คนคนนั้นมีดวงตาที่งดงามจนแทบหยุดหายใจ

                    “เหเก่งไม่เบานี่? ไม่น่าเชื่อว่าหน้าอย่างเจ้าจะทำแบบนี้ได้”ตามหลักแล้วคำพูดที่ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยออกมาควรเป็นคำดูถูกเหยียดหยาม แต่เชอริลกลับรู้สึกว่าคนคนนั้นไม่ได้พูดด้วยความรู้สึกเหยียดหยามเธอเลยสักนิด

                    “อ้ะ!?”ปกติแล้วไม่เคยมีใครที่ถูกเธอซัดไปเต็มๆแล้วยังลุกขึ้นมาอย่างปกติสุข หญิงสาวจึงรู้สึกแปลกใจไม่มากก็น้อย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะแผ่วเบา

                    “ฮะๆเอาน่า ไม่ต้องตกใจแบบนั้นหรอก?”เขายิ้ม ดวงตาสีเขียวมรกตส่องประกายงดงามเจิดจรัสไร้มลทินราวกับอัญมณี “หากเป็นคนอื่นคงหมอบราบไปแล้วแต่ข้าค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่นล่ะนะ”เชอริลรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนมั่นใจในตัวเองและหยิ่งยโสไม่มากก็น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นการแสร้งทำหรือนิสัยที่แท้จริงก็เท่านั้น

                    “เจ้ามีธุระอะไรกับข้าล่ะ?”ตอนนี้เป็นยามกลางคืน อีกทั้งยังเป็นคืนเดือนดับจึงทำให้ตรอกซอยเช่นนี้ดูเปลี่ยวกว่าปกติ หากเชอริลรู้สึกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรไม่ดีก็คิดจะหนีห่างทันที

                    “สนใจน่ะสนใจนิสัยของคนแบบเจ้า เพราฉะนั้นไปกับข้าดีกว่าไหม? แทนที่ชีวิตของเจ้าจะจบลงอย่างเรียบง่ายน่าเบื่อถ้าไปกับข้ามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้?”ทั้งที่คำตอบดูกำกวมและแฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกสนใจในคำถาม(?)ของเด็กหนุ่มไม่น้อย

                    “ไป? ไปไหนล่ะ?”

                    “นั่นสินะ คงไปทุกที่นั่นล่ะ? อย่างแรกก็ต้องลองล่องเรือบนพื้นสมุทรก่อนล่ะมั้ง”เขาขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจนัก ก่อนจะลูบเส้นผมสีเงินเงางามของตนเบาๆ ดวงตาทอประกายอ่านยาก

                    “ล่องเรือ? เจ้าเป็นพ่อค้าอย่างนั้นหรือ?”หญิงสาวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาสีเหลืองกระพริบอย่างงุนงงสงสัย นางเอียงคอเล็กน้อยส่งผลให้เส้นผมสีดำยาวละเอียดราวกับแพรไหมสัมผัสกับกางเกงขาสั้นสีดำของตน

                    ชายคนนั้นแสยะยิ้ม

                    “เปล่า ตรงกันข้ามต่างหาก”

                    “ตรงข้าม?”

                    “ข้าเป็นพวกที่คอยดักปล้นพ่อค้าอีกที โจรสลัดไงล่ะ”

     


     

                    อันที่จริงบนโลกนี้มีอาชีพอยู่สองประเภท คืออาชีพตามกฎหมายกับอาชีพนอกกฎหมาย

                    พ่อค้าจัดเป็นประเภทแรก คืออาชีพถูกกฎหมาย สามารถค้าขายสินค้าใดๆที่ไม่ผิดกฎได้ตามใจชอบ ส่วนโจรสลัดนับเป็นอาชีพที่สองจะเรียกได้ว่าเป็นอาชีพของพวกนักแสดงโชคหรือพวกชุบมือเปิบก็แลจะไม่ผิดเท่าไหร่

                    “เวรเอ้ย!!! เมื่อไหร่พวกแกจะยอมยกเรือลำนี้ให้ข้าดีๆแบบไม่ต้องใช้กำลังสักทีฮะ!! รู้ไหมว่าการอาละวาดโดยไม่ทำลายข้าวของนี่มันลำบากแค่ไหน!!!?”เสียงสบถด่าของเด็กหนุ่มดังลั่นขึ้นเมื่อเห็นว่ากลุ่มพ่อค้าทาสจากต่างแดนไม่ยอมสละเรือลำใหญ่ที่เขาถูกใจให้สักที ทั้งที่ต่อรองก็แล้ว อ่อนข้อให้ก็แล้ว ใช้ไม้แข็งก็แล้ว เรียกได้ว่าใช้ทั้งพระเดชพระคุณก็ไม่ยอมสักที

                    พูดตามตรงว่าเด็กหนุ่มรู้สึกรำคาญมากถึงมากที่สุด แถมเขายังไม่ใช่คนที่เลิศประเสริฐศรีขนาดที่ถึงจะโดนหักหน้ามาไม่ต่ำกว่าสามรอบแล้วก็ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการใช้กำลังเข้ายึดแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

                    หากจัดให้คนเรามีสองประเภท คือพวกมีความอดทนสูงและพวกความอดทนต่ำ เฟรลิออส หรือฟรอสต์ กัปตันกองโจรสลัดวัยสิบเจ็ดปีถือเป็นบุคคลประเภทที่สองพวกความอดทนต่ำมากถึงต่ำที่สุดขัดกับหน้าตางดงามสมบูรณ์แบบรามกับงานศิลปะชั้นเอกและท่าทางกิริยาในตอนแรกอย่างลิบลับ

                    อันที่จริงกองโจรสลัดของพวกเขาถือว่ายังไม่สมบูรณ์แบบนัก เนื่องจากคนเป็นหัวหน้าค่อนข้างเรื่องมากและขี้จู้จี้จุกจิกไม่น้อย การจะได้เพื่อนพ้องมาเพิ่มอีกสักคนสองคนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ฉะนั้นแม้จะออกทะเลมาได้ปีกว่าแล้วจำนวนสมาชิกก็จัดได้ว่าแทบไม่กระเตื้องขึ้นจากตอนออกเรือครั้งแรกเลยสักนิด

                    อย่างเช่นสมาชิกคนล่าสุดบนเรือคือเชอริล สาวน้อยคนเก่งที่กัปตันเป็นคนชวนเข้ามาเอง(/แต่อันที่จริงเขาก็ชวนสมาชิกบนเรือมาเองเกือบทั้งหมดนั่นล่ะ) ได้ยินมาว่าเธอมีความสามารถในด้านศิลปะการป้องกันตัวสูงเข้าขั้นปรมาจารย์จะเรียกว่าพรสวรรค์ของแท้ก็คงได้

                    ปัจจุบันกองเรือของโจรสลัดกลุ่มนี้มีสมาชิกอยู่เก้าคนรวมกัปตัน สมาชิกคนล่าสุดเพิ่งเข้าร่วมกลุ่มได้ไม่ถึงครึ่งปีทว่าสมาชิกแต่ละคนกลับมีความแข็งแกร่งและความสามารถพิเศษเฉพาะทาง รวมทั้งศาสตร์แขนงต่างๆจนแทบเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มหัวกะทิด้วยซ้ำ โดยเหตุอาจเป็นเพราะกัปตันเรือเป็นพวกช่างเลือกก็เป็นได้ ฉะนั้นจึงเลือกคัดสรรเอาเพียงคนเก่งมาอย่างใจเย็นไม่เร่งรีบเพื่อผลประโยชน์และความสะดวกสบายของตน

                    “ขอรับ! ขอรับ!! ข้ายอมท่านทุกอย่างแล้ว!!! โปรดอย่าฆ่าข้าเลยขอรับ!!!”พ่อค้าชราผมดำแซมเทากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว ก้มหัวขอร้องเด็กหนุ่มอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความรักตัวกลัวตายเสียดายชีวิต

                    มองดูแล้วฟรอสต์กลับรู้สึกสมเพชแปลกๆ….

                    “เฮอะพูดแค่นี้แต่แรกก็จบ”เด็กหนุ่มปล่อยชายเสื้อชายร่างยักษ์ที่ตนเพิ่งจัดการอัดจนน่วม ปล่อยให้ร่างกายตกลงบนพื้นไม้จนส่งเสียงดังแล้วชี้ไปยังเรือเล็กที่แขวนไว้ข้างๆ

                    “ข้าให้เวลาพวกเจ้าห้านาที หากไม่อยากตายจริงๆก็ไสหัวไปซะ!!!”เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับจะเหยียดหยาม เปรยตามองคนเหล่านั้นจากที่สูงราวกับจะสมเพชเวทนา

                    ช่างดูหยิ่งยโสเหลือเกิน

     

                    เปรี๊ยะ!!!

                    จู่ๆระหว่างที่ฟรอสต์ยิ้มไปมองเรือลำเล็กของพ่อค้าทาสและทหารรับข้างไร้ฝีมือ กลับมีแท่งน้ำแข็งแหลมคมขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำครึ้มในชั่วพริบตา และตรงใจกลางของท้องฟ้านั้นมีรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่

                    หลุมอากาศขนาดใหญ่นั้นกินพื้นที่หลายกิโลจนครอบครอบคลุมไปถึงเรือของฟรอสต์ด้วย ขณะที่ท้องฟ้าส่งเสียงร้องครืนราวกับจะเกิดพายุนั้น ห่าแท่งน้ำแข็งแหลมคมมากมายก็โปรยปรายลงมาจากฟ้า พุ่มตรงลงไปเสียบเรือลำเล็กของพ่อค้าทาสและทหารรับจ้างในพริบตาที่แทบไม่มีใครทันตั้งตัว!!

                    …!! มหาเวทย์สายน้ำแข็งงั้นหรอ!? บ้าน่า เจ้าพวกนั้นมันมีนักเวทย์ฝีมือดีขนาดนั้นอยู่ด้วยหรือไง!?” ฟรอสต์ที่มองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆจับขอบเรือแน่น ถ้าหากผู้ใช้เวทย์เกิดเปลี่ยนเป้าหมายมาทางเขาล่ะก็ยุ่งแน่!!

                    ท้องฟ้ายังคงส่งเสียงคำรามกึกก้อง ก่อนบนท้องฟ้าจะปรากฏวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่ขึ้นหลายชั้นโดยมีเรือโจรสลัดของพวกเขาเป็นศูนย์กลาง เหนือขึ้นไปนั้นมีร่างของผู้ใช้เวทย์ปรากฏให้เห็นอย่างเลือนราง

                    ก่อนร่างนั้นจะปรากฏอยู่เบื้องหน้าฟรอสต์แทน

                    “มนุษย์งั้นหรอ? คิดว่าเป็นพวกครึ่งเทพเสียอีก น่าเสียดาย”ดวงตาคู่นั้นเป็นสีเหลืองทองเจิดจรัส เส้นผมสีเขียวเข้มจนแลดูคล้ายสีดำซอยสั้นทรงรากไทร อีกฝ่ายมองดูเหล่าโจรสลัดด้วยสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

                    “แล้วจะทำไมล่ะ? ต่อให้ข้าเป็นมนุษย์แต่พวกครึ่งผีครึ่งคนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”ฟรอสต์เอ่ยอย่างไม่กลัวเกรง ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ใช้เวทย์อาจเป็นนักเวทย์อาวุโสหรือเผ่าพันธุ์ที่นานๆจะปรากฏให้เห็นสักครั้งอย่างเผ่าภูติหรือเผ่ามาร แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ทั้งสามอย่างที่ว่ามาทั้งนั้น

                    เพราะคนตรงหน้าเป็นเพียงมนุษย์..มนุษย์ที่กำลังกลายเป็นครึ่งมาร

                    “ครึ่งผีครึ่งคน? หากเป็นศพแล้วยังจะพูดแบบนี้ได้อีกไหมนะ?”อีกฝ่ายโต้ตอนกลับมา ก่อนจะสะบัดปีกสีดำแผ่วเบาราวกับไม่สบอารมณ์ น้ำแข็งมากมายก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่ากลายเป็นผลึกและมีปลายคมกริบจ่ออยู่รอบๆเรือ

                    “เจ้าคิดว่าตัวเองมีปัญญาจะทำแบบนั้นได้หรือไง? ข้าเดาว่าตอนนี้แม้แต่จะร่ายเวทย์บทใหญ่ๆอย่างตอนแรกก็คงไม่ไหวแล้วล่ะสิ!?”เด็กหนุ่มมองออกมาแท่งน้ำแข็งแหลมคมตรงหน้าก่อกำเนิดจากพลังเวทย์เพียงน้อยนิด ฉะนั้นต่อให้โดนโจมตีเข้ามาจริงๆก็ทำลายได้อย่างสบายๆ

                    ฝ่ายตรงข้ามเหลือบมองกัปตันหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนจะกรีดแขนตัวเองจนเลือดไหล ปล่อยให้เลือดสีเข้มหยดลงไปบนผืนน้ำ

                    “ชิ!! หยุดหมอนั่นไว้ มันตั้งใจจะใช้เวทย์อัญเชิญพวกปีศาจ!!

                    “ซิมิเนียร์ผู้ปกครองปีศาจแห่งทิศเหนือ จงปรากฏกายและรับใช้ข้า!!!

                    ปกติแล้วการอัญเชิญปีศาจชั้นสูงจำต้องมีเครื่องสังเวยมากมายมหาศาลแทน อีกทั้งซิมิเนียร์ยังเป็นปีศาจที่ไม่สามารถอัญเชิญได้ในยามปกติ ทว่าสำหรับเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลทองแล้วเขาถือเป็นกรณีพิเศษ

                    …ถือเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ซิมิเนียร์อนุญาตให้เรียกใช้ตนได้ตามต้องการ

                    ท้องทะเลพลันถูกแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนร่างใหญ่โตของปีศาจจะปรากฏขึ้นเคียงข้างเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลทอง การปรากฏตัวของมันทำให้ท้องฟ้าดำมืดราวกับราตรี พื้นน้ำสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับมีพายุ คลื่นลูกใหญ่โถมเข้าหาเรือโจรสลัด

                    “ขยี้มันซะ

                    ดวงตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายวาวโรจน์ ก่อนสายฟ้าสีขาวจะผ่าเปรี้ยงลงมากลางลำเรือแล้วส่องแสงเจิดจ้ากลืนกินทุกสิ่งไปในพริบตา

                    แล้วท้องทะเลก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

     

                    “ให้ตายสิ เสียของชะมัด

                    เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีทองหรี่ตาลงอย่างเสียดาย ยกแขนขึ้นมาเลียเลือดที่ไหลเป็นทางยาวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทั้งที่อุตส่าห์อัญเชิญมารชั้นสูงอย่างซิมิเนียร์มา แต่กลับถูกขัดขวางอย่างน่าเสียดาย

                    “ไม่นึกเลยว่าพวกเทพจะยื่นมือมาสอด”

                    เพราะว่าอัสนีบาตรสีขาวที่ผ่ากลางระหว่างเขากับคนพวกนั้นเข้ามาขัดขวางกระแสเวทย์ จึงทำให้ซิมิเนียร์ถูกบังคับให้กลับไปยังโลกล่างอย่างน่าเสียดาย ความสามารถแบบนี้มีเพียงเทพที่สืบสายเลือดของเทพฟ้าเท่านั้นที่จะทำได้

                    เทพฟ้าหนึ่งในสี่เผ่าพันธุ์โบราณที่สูญสิ้นไปจากโลกปัจจุบันแล้วอย่างสิ้นเชิง

                    “โธ่นายท่าน ข้าเตือนแล้วว่าอย่าเสียเวลาอัญเชิญตาแก่นั่นเลย เรียกใช้ข้าแต่แรกยังจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ” ณ็อง=ฟาร์ว ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวเข้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะกังวาน ดึงมืออาบเลือดนั้นขึ้นมาแล้วเลียโลหิดสีแดงฉานนั้นช้าๆ

                    “ยุ่งน่า

                    อันที่จริงที่ไม่อัญเชิญณ็องก็เพราะนิสัยแบบนี้ของเจ้าตัว หากเรียกออกมาแล้วจะรำคาญใจตัวเองเสียเปล่าๆ

                    “น่าเสียดายๆเผ่าพันธุ์ชั้นสูงเช่นท่านไม่จำเป็นต้องหลั่งเลือดเพราะคนแบบนั้นแท้ๆ”

                    ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ณ็องกลับหัวเราะหึหึอย่างเจ้าเล่ห์ เด็กหนุ่มชักสีหน้าไม่สบอารมณ์แล้วไล่ชายหนุ่มร่างสูงกลับไปยังโลกล่างอย่างรวดเร็วโดยอีกฝ่ายไม่มีโอกาสแม้จะกล่าวคำใดๆออกมาอีก

                    อันที่จริงฟรอสต์เดาผิดไปอย่างหนึ่ง

                    เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทองที่มีพลังมหาศาลขนาดอัญเชิญซิมิเนียร์ได้นั้นมิได้เป็นเพียงครึ่งมาร แต่เป็นมารสายเลือดแท้ที่ควรสาบสูญไปแล้วต่างหาก

                    “ช่างเถอะไหนๆก็ได้เจอกันแล้ว? ถือว่าจุดประสงค์แรกบรรลุอย่างงดงามก็คงได้สินะ”เด็กหนุ่มลูบไปบนมือข้างที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย เมื่อเขาลูบผ่านไปร่องรอยบาดแผลรวมถึงเลือดก็กลับเลือนหายไปราวกับถูกลบทิ้งอย่างไรอย่างนั้น

                    “ภาชนะของเทพเจ้างั้นหรือน่าสนใจดีนี่? ไว้คราวหน้าเจอกันคงสนุกกว่านี้แน่ๆ”

     

    ข้อมูลตัวละคร
     

    เพิ่มเติม::ข้อมูลของตัวละครที่โผล่มาในบทนำ


    1.เฟรลิออส  (ฟรอสต์)
    เห...ต้องแนะนำด้วยหรอ แนะนำด้วยหรอ
    ~ ...เฟรลิออส บุตรคนที่สองของดัชเดชแห่งอาควีไทน์ ปัจจุบันเป็นกัปตันเรือโจรสลัดไร้นาม ดวงตาของเขาเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนร่างแล้วก็เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดด้วย!! นิสัย..นิสัยหรอ? อ่านแล้วก็คงรู้เองล่ะ(ฮา)... อา อันที่จริงคนเขียนชอบหมอนี่ตอนโตแล้วมากกว่านะ เพรางั้นโตเร็วๆสิ~~ ไม่งั้นอาจจะตายเอาง่ายๆก็ได้นา? อันที่จริงมีอะไรจะพูดเยอะมาก เอาเป็นว่า “น่าหมั่นไส้จริงๆนะ!!” ก็แล้วกัน!!

    (/คนอ่าน แนะนำตัวละครภาษาอะไรของหล่อนหา? อย่าเข้าใจแค่คนเดียวจะได้มั๊ย!?)

    2.เชอริล ราเฟลทีล (เชอริล)

    ว่าที่เจ๊สาวจอมโหดในอนาคต ตอนนี้เป็นสาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีที่เพิ่งถูกฟรอสต์ลักพาตัว(/หรอ)มาหมาดๆ เลยยังเป็นคนดีไม่มีลับลมคมในอยู่ล่ะ...มั้งนะ!? เธอเป็นคนใจกล้า นิสัยดีติดอันดับต้นๆของตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำ!! อันที่จริงเชอริลจังเป็นพี่สาวใจดีคนหนึ่งเลยล่ะ!!

    3.เด็กหนุ่มลึกลับ

    หลายคนอาจจะเอะใจ บางคนคุ้นๆ บางคนก็จำได้!? ถ้าคนไหนตามอ่านมาตั้งแต่สมัยยังไม่รีไรท์เลยอาจจะจำตัวละครตัวนี้ได้ก็ได้...อันที่จริงหมอนี่เป็นตัวละครที่เปลี่ยนไปมากที่สุด...พอนายโตขึ้นแล้วนิสัยดีขึ้นเยอะเลยนะ ฮ่าๆๆๆ!!

    (/เห็นแบบนี้ก็เถอะ คนเขียนชอบหมอนี่มากเลยน้า~)

     

    4.ณ็อง=ฟาร์ว

    หมอนี่เป็นตัวละครใหม่ มีบทมาแป๊ปเดียวก็หมดแล้ว คงไม่ต้องเขียนถึงมากหรอก ชิ! ช่วยไม่ได้ ดันทำตัวน่าหมั่นไส้จนคนเขียนหมดรักเองนี่!!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×