ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Frecia:มหานครแห่งสงคราม ภาค2: หอกเทพสปาด้า

    ลำดับตอนที่ #1 : การเดินทางครั้งใหม่ของนักเดินทางแห่งเพลิง

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 49



    สวัดดีครับ ยินดีต้อนรับกลับมา ผมจ้าวเก่านะครับ ถ้าท่านทั้งหลายอ่านเรื่อง Frecia ภาคแรกจบแล้วนะครับ ถ้ายังจำกันได้ จิมนั้นถ้าสู้กับเอล ณ ที่ทะเลทรายในตำนานดาดร์ ถ้ายังจำได้นะครับ อาวุธของจิม ที่ถืออยู่ในมือในบทสุดท้ายของภาคหนึ่ง นั้นคือ เคียวปีศาจดาร์รันรูน หรือ ที่ผมจะเรียกมันว่า เคียวดูดวิญญา ผมจะเล่าราวละเอียดให้ละกัน มันเป็นอาวุธที่เทพฮาเดส เป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อจะดูดพลังชีวิตของผู้ใช้ข้างใน ในการใช้มันแต่ละทีต้องเสียพลังชีวิตของตัวเองที่ละ 1/100 หรือที่เรียกว่า อายุนั้นจะสั้นลงไปเรื่อยๆ เมื่อมันไม่มีวิญญาของผู้ใช้ให้ดูดแล้ว มันจะกลายเป็นหินทันที แล้วมันจะรอวันที่มันจะมีเจ้าของคนใหม่ขึ้น เทพฮาเดสนั้นใช้ความโลภของมนษย์ให้เป็นประโยชน์เพราะ มนษย์นั้นต้องการของที่จะให้ตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด แล้วเมื่อ พวกมนษย์นั้น มาเห็นเคียวคาร์รันรูนนี้มันจะใช้มนต์บางอย่าง ทำให้มนุษย์ควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วในที่สุด มนษย์ผู้ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็จะมาจับที่เคียว แล้วเคียวนี้มันก็จะทำงานเองโดยอัตโนมัติ แล้วมันก็จะดูดไปแบบนี้เรื่อยๆ จนคนสุดท้ายบนโลก มันทำแบบนี้มาเป็นเวลาถึงสองพันห้าร้อยปีแล้ว มันดูดวิญญามาได้เกือบ 1/4 ของโลกแล้วครับ นี้คือประวัติคราวๆ ของเคียวนี้ครับ แล้วต่อไปนี้จะเริ่มภาคต่อจากที่ เอลได้ออกเดินทางเพื่อไปฝึกนะครับ ตอนนี้ก็ปีกว่าๆแล้วละ แล้วเรื่องราวจะเป็นจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามอ่านครับ >-<

    ---------------------------------------------------------------------------------------


    นับตั้งแต่วันนั้นมาก นักฆ่ามืออาชีพอย่างเอล ได้ออกเดินทางจากสภานที่ ที่เขามีเพื่อนครั้งแรกนั้นก็คือ โรงเรียน West Ham แห่งฟรีเชียร์นั้นเอง เขาได้ฝึกบนภูเขาที่สูงที่สุดในโลกมาเกือบสองปีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงใช้พลังไฟของเขาแบบเมื่อก่อนไม่ได้ เขาก็ได้นั่งทบทวนเหตุการว่ามันมีความผิดปกติอะไร แต่ที่แน่นอนที่สุดตอนนี้ก็เป็น สิ่งที่อสูรของเขา ซาลาแมนเดอร์บอก ว่ามีอะไรปิดจุดก่อเกิดพลังของเขาอยู่นั้นเอง จนในที่สุด เมื่อเพลยไฟของเขาตอนนี้ได้เปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าใสเรียบร้อยไปแล้ว

    "เฮ้อ กว่าจะได้นะท่านเอล พลังท่านกลับมาแล้ว 1/10 ของพลังที่แท้จริงแล้ว ยินดีด้วยนะครับ" ซาลาแมนเดอร์ก็อดปรึ่มไม่ได้เพราะว่า มันเองก็ไม่ได้เห็นพลังที่น่าเกรงข่ามของเอลมานาน แล้วถึงจะไม่ใช่พลังที่แท้จริงก็เหอะ หลังการที่เอลพลังลดน้อยลง มันก็ทำให้พลังของมันน้อยลงเช่นกัน มันเลยอยากได้พลังคืนมาบ้าง

    "แค่ 1ใน10ไม่พอหรอกอย่างฉันนะ ต้องเต็ฒร้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า" เอลหัวเราะอย่างอารมณ์ (อะก็แน่นอน)

    แต่เสียงหนึ่งก็พลุดขึ้นอย่างรวดเร็ว "เสียงอะไรนะ เสียงเหมือน อะไรน้า อะไรน้า อ้อ จำได้แล้ว มังกรพ่นไฟ นึกว่าอะไร" เอลพูดอย่างอารมณ์ดีเช่นเคยแต่ พึงนึกได้ "มะ มะ มะ มะ มะ มะ มะ มะ มะ มะ มะ มะ มังกรพ่นไฟหรอ ว้ากกกกกกกกกกก" (เฮ้อ โง่เหมือนเดิม)

    แล้วนั้นก็เป็นอีกด้านหนึ่งของผู้ที่เป็นพระเอกของเรา แล้วก็เป็นอีอกวันที่ยุ่งยาก ของเขาที่ต้องวิ่งหนีมังกร โดยไม่คิดชีวิต แบบนี้น้อยไป ต้องไม่คิดอะไรเลยมากกว่า

    "เหนื่อยจริงๆเลย แฮะๆ " เอลพูดพลางล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างหมดแรงเต็มที่

    "อ่าว นึกว่าใคร มานอนอะไรอยู่ตรงนี้เลา ข้างทางเขา" เสียงที่คุ้นเคย คุ้นเคย และ คุ้นเคย ดังขึ้นข้างหู จนเอลต้องเอลต้องหันไปอย่างรวดเร็ว เขานั้นเห็นคนที่ไม่อยากเชื่อ เขาใส่ชุดที่หรูหรา มีผ้าคลุมสีแดงถึงพื้น ใส่มงกุฏสีทอง ใบหน้าหล่อเหลา

    "ดีฮาดร์ !!!!" เอลร้องอย่างตกใจ

    "เออสินึกว่าใครเลาหะ เจ้าเพื่อนเกลอ ไม่ได้เจอตั้งนาน ไม่น่าละ ทำไมหาไม่เจอ เล่นของสูง นะเรา"(แน่หล่ะอยู่บนภูเขานี้)  ดีฮาดีร์แซวเล่นอย่างเป็นกันเอง จนทหารที่มาด้วยตกใจที่ เจ้าชายรัชทายาทอย่างเขามา พูดกับนักผญจภัยอย่างเป็นมิตรแถมกอดคอกันอีกด้วย

    "ขออภัยครับท่าน ท่านผู้นี้คือใครหรือกระหม่อน" ทหารพูดพลางมองไปทางเอล อย่างไม่ค่อยเป็นมิตรนัก 

    "ไม่เป็นไร นี้เพื่อนฉันเอง เขาชื่อ มิคาเอล ฟอร์แวร์" แค่ได้ยินชื่อทหารทุกคนเกือบเป็นลม เพราะไม่นึกว่านักฆ่าเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆแบบนี้

    "ทะ ทะ ท่าพูดว่า มะ มะ มิคาเอล ฟอร์แวร์ หรอกระหม่อน" ทหารนายหนึ่งถามเพื่อความแน่ใจ

    "อือ ใช่แล้ว ทำไมหรอ เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า" ดีฮาดร์พูดจนทหารนายนั้นสะดุ้งโหยง

    "มะ มิได้กระหม่อน" ทหารนายนั้นตอบทันที

    "เออ ถึงไหนแล้วนะ อ้อใช่ ฉันขอชวนนายไปกินข้าวที่บ้านฉันหน่อยนะ ได้ไหมละ" ดีฮาดร์ถามพลางกอดคอ เพื่อไม่ให้ปฏิเสษ

    "แปปเดี่ยวคงไม่เป็นไรนะ ใช่ไหมซาลาแมนเดอร์" มิคาเอลพูดเบาๆ พร้อมซาลาแมนเดอร์ ปรากฏตัวออกมาจน ทหารทุกคนสะดุ้งสุดตัวจนล้มไม่เป็นท่า

    "คงไม่เป็นไรครับ เป็นไงมั้งท่านดีฮาดร์ไม่เจอตั้งนาน น่าเกลียดขึ้นเยอะเลยนะ" ซาลาแมนเดอร์พูดกวนบาทาขึ้นครั้งแรก (แน่ละอยู่กับเอลมา 2-3 ไม่แปลกหรอกท่าจะติดนิสัยมาด้วย) จนดีฮาดร์เส้นเลือดขึ้นหน้าหนึ่งเส้น

    "นี้นายออกมาทีไรเนี่ย ช่วยเปลี่ยนร่างเป็นคนได้ไหม" ดีฮาดร์พูดยังไม่ทันขาดคำก็

    ปัง!!

    เสียงปีนดังขึ้นมาจากทหารคนหนึ่งที่คิดว่าซาลาแมนเดอร์เป็นศัตรู แต่ยังไงกระสุนก็ไม่เข้าไปถึงตัวอยู่ดี มันสลายไปก่อนแล้ว ซาลาแมนเดอร์เลยแค่สะดุ้งเล็กน้อย

    "ท่านดีฮาดร์ หนีเร็วกระหม่อนตรงนี้พวกเราจัดการเอง" ทหารนายนั้นพูดอย่างกล้าหาญ (ขาสั่น แดกๆ อยู่เลย 555 กล้าหาญจริงงับ)

    "นี้เจ้าบ้า ตกใจนะเฟ้ย ถ้าโดนขึ้นมามันจะเป็นไงหะ มันอาจจะไปโดนกระดูกฉันก็ได้นะ เดี๋ยวฉันก็ต้องโดนตัดขา โอ้ไม่นะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆละก็ แกได้เป็นอาหารว่างฉันแน่ เจ้าเปี้ยก" ซาลาแมนเดอร์บ่นโวยวายใหญ่เลยครับท่านผู้อ่านทำไงดีละ

    "พอๆฉันจัดการเอง" มิคาเอลบอก พลางเดินเข้าไปใกล้ๆ ทหารนายนั้นแล้วก็

    บั้ก!!   เบิ้ก!!   อั้ก!!    โอ้ก!!   เย้ก!!   ตุบ!!   เฟี้ยบ!!   เอ้ก!!  เอ้ก!!  เอ้ก!! 

    บั้ก (โดนต่อยเต็มหน้า)

    เบิ้ก (เสียงอ้วก) 

    อั้ก (เสียงโดนต่อยท้อง)

    โอ้ก (โดนซ่ำสอง อิอิ มันใส้ครับ)

    เย้ก (เสียงอ้วกอีกครั้ง) 

    ตุบ (เสียงเข่าล่อยครับ จา พนม มาแร้ว) 

    เฟี้ยบ (เสียงหางของซาลาแมนเดอร์มาตบใส่หน้า แจมครับ) 

    เอ้ก (เสียงร้องเหมือนหมาพลางวิ่งหนี) 

    เอ้ก (โดนลูกถีบซ่ำ) 

    เอ้ก (โดนไฟปาใส่ก้นเต็มๆ) 

    หมดสบายนักศึกษาไปแร้วครับ (แบบนี้ พากษ์ มันส์โว้ย อิอิ จา พนมมาจากไหนเนี่ย ผมยังงง เลย)

    "เอลฉันว่านายพอได้แล้วหล่ะ เดี๋ยวทหารฉันตาย เป็นอะไรมากไหม โรเวียด" ดีฮาดร์รีบวิ่งไปดูอาการของทหารนายนั้นทันที

    "กระหม่อนไม่เป็นไร กระหม่อนต้องขอโทษท่านด้วยนะครับ ท่านกิ่งกือ อุ๋อ ขอโทษครับ ท่านซาลาแมนเดอร์" กระหม่อนนายนั้นก็สะใจไม่น้อยที่ด่าวาลาแมนเดอร์ไปเต็มๆ

    "เอาไงก็เหอะ วันนี้ฉันขอชวนนายไปกินข้าวที่บ้านฉันแล้วกัน" ดีฮาดร์ชวน มีรึที่เด็กหนุ่มนาม มิคาเอล ฟอร์แวร์จะพลาดของฟรีดีๆแบบนี้ รีบเดินเข้ารถทันที

    เมื่อไปถึง นครแห่งสายน้ำแล้ว เอลก็ต้องตกใจที่ ในเมืองนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นดิน แต่ทำลอยอยู่บนผิวน้ำกลางทะเลเลยทีเดี่ยว เอลเลยคิดว่าไม่น่าละ ทำไมถึงตั้งชือนครนี้ว่า นครแห่งสายน้ำโปเซด็อน

    เมื่อเข้าไปในตัวเมืองขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นผู้คนพากันมา โปกไม้โปกมือให้ บางคนก็ยิ้มหน้าบาน เมื่อรถของพวกเขาผ่านไป บางครั้งก็มี พวกวัยรุ้นผู้หญิงขอถ่ายรูปกับดีฮาดร์ด้วย อาจเป็นเพราะหน้าตาหานคนจับยากก็ได้ เลยแห่กันมามากมาย

    "นั้นไงบ้านฉัน" ดีฮาดร์ชี้ไปที่ ปราสาทหลังงาม ที่ทำมาจากหินอ่อนทั้งหมด มีลายรูปมังกรที่ทำมาจากทองอยู่ตรงกลาง มีประตูเป็นประตูเลื่อยขึ้น เลื่อยลงได้ (ใครเคยดูเรื่องของพวกฮัศวินบ้างอะ ปราสาทแบบนั้นเลย)

    "โธ่!!  หรูกว่าบ้านฉันอีกนเนี่ย"  เอลพูดพลางเดินไปรอบ พลางคิดไปว่า ถ้าขโมยของสักชึ้นจะมีใครว่าไหมเนี่ย ถ้าไม่ว่าคงขายได้หลายตัง

    "นี่ๆ อย่าริอาจมาขโมยของๆ พ่อแม่ฉันนะ" ดีฮาดร์พูดอย่างรู้ทันเกม เอลเลยสะดุ้งพลางหันมายิ้มให้อย่างแห้งๆ

    "แฮะๆ โทษที"

    หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จแล้ว ดีฮาดร์ก็ให้สาวใช้สุดเซ็กซี่พาเอลไปส่งถึงห้องพัก

    ห้องพักของเอลมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็หรูมากๆ มีทั้งแจกันใบละ ครึ่งล้าน ฟาวว์ วางไว้อยู่หัวเตียง คิงไซร์ ห้องน้ำทำมาจาก หินแกร์นิน (Granite เป็นหินที่มีความสวยมาก มีลายออกจะเหมือนกับหินอ่อน แต่แข็งกว่ามาก)

    "เฮ้อได้ห้องแบบนี้นอนค่อยยัง...ค้อย???" หลับแล้วครับท่านยังพูดไม่จบเลยหลับซะแล้ว แล้วก็เจอกันใหม่กับตอนที่สองครับ ราตรีสวัดดิ์ทุกท่าน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×