คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความทรงจำที่สาบสูญ(2)
ความทรงจำที่สาบสูญ (2)..
"กินข้าวซักหน่อยเถอะคุณ เดี๋ยวจะไม่มีแรง"
น้ำเสียงที่เย็นเยียบแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยนั้น กล่าวขึ้นมาเบาๆ
"นี่!คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมฉันถึงไม่เห็นคุณเมื่อกี้นี้เลย....ทำตัวยังกะผี"
หล่อนเอะอะโวยวายแต่ก็ไม่เสียงดังเกินไปนัก ประโยคหลังก่นเบาๆเหมือนจะประชด
"กินซี่ อาหารดีๆทั้งนั้นเลย น่ากินออกผมยังอยากกินเลย"
"อยากกินก็กินซี่ ฉันยกให้"
"เรื่องอะไร..ของๆคุณ คุณก็กินเถอะอย่ามาโยนให้ผมเลย กินซะเดี๋ยวจะได้ไปพบกับคุณหมอรูปหล่อนั่น"
สรีตยาเบ้ปากที่เซียวซีดของเธอพลางเอื้อมมือไปเลื่อนโต๊ะอาหารเข้ามาตรงหน้า
"นี่!คุณ เป็นสุภาพบุรุษหน่อยซิ เห็นมั้ยเนี่ยฉันเป็นผู้หญิงนะแล้วก็กำลังป่วยอยู่ด้วย จะช่วยเข็นมาให้หน่อยก็ไม่มี ใจดำจริงๆ"
ชายลึกลับทำหูทวนลม ผิวปากหวือยังคงปล่อยให้หล่อนก่นด่าอยู่เช่นนั้น
"แล้วนี่คุณจะบอกฉันได้รึยังเนี่ยว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันแล้วถือวิสาสะเข้าๆออกๆห้องนี้ได้ยังไง"
คนไข้แสนสวยยิงคำถามเป็นชุดปากก็กินข้าวต้มบนโต๊ะอย่างช้าๆ
ชายลึกลับผู้ถูกสอบ ค่อยๆเลื่อนร่างสูงใหญ่ของเขาลงจากโต๊ะวางแจกันช้าๆ เยื้องย่างไปที่โซฟาในห้องมือกอดอก ปากยังคงสั่นฟันกระทบกันเบาๆ
"ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลยแม้แต่น้อย คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ"
น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นพูดขึ้นช้าๆ สายตาเหม่อมองไปยังระเบียงนอกห้องพลางเอนกายลงกับโซฟานุ่มๆอย่างเชื่องช้า หล่อนแอบเหลือบมองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนๆนั้นอย่างพินิจ ความรู้สึกบางอย่างในความทรงจำที่เลือนรางของเธอ เหมือนจะพยายามเรียกภาพของใครซักคนให้คืนมา แต่ภาพนั้นก็ไม่ปรากฎซักที
"แล้วไงต่อ?"
"แต่ผมพอจะรู้จักคุณมาบ้าง คุณจะเชื่อมั้ยถ้าผมจะบอกคุณว่า.."
"ว่าอะไร?"
สรีตยาละจากอาหารตรงหน้าขึ้นมาสบตากับเขา มือก็พลางเช็ดปากด้วยทิชชู่จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังจะหลุดออกมาจากวงปากที่ซีดเซียวนั้น
'พรึ่บ'
เสียงกระพือปีกของนกนางนวลหลงถิ่นตัวขนาดเขื่องสีขาว พัดเอาเศษใบไม้แห้งนอกระเบียงกระจายว่อนไปทั่ว หยุดชะงักการพูดคุยของคนทั้งสองลงชั่วขณะ
ชายหนุ่มลึกลับขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน ลุกขึ้นพรวด ส่งสายตาแข็งกร้าวไปยังนกนางนวลตัวนั้นเหมือนจะต่อว่า ขณะที่เจ้าสัตว์มีปีกตัวยักษ์ผิดปกติก็กระพือปีกเหมือนจะพูดจาโต้ตอบ บินวนไปวนมาอยู่แต่บริเวณนั้นอย่างผิดวิสัยนกทั่วไป
"โอ้โห! นกนางนวลนี่ ตัวเมียซะด้วยแถมยังตัวใหญ่เบิ้มเลย นี่หาดูยากมากเลยนะ"
สรีตยาอุทานเสียงดัง รีบหันหน้าออกไปทางที่มาของเสียง เมื่อพบกับเจ้าตัวที่ทำให้เกิดเสียงหล่อนก็ตาโตเท่าไข่ห่านทันที ดูหล่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเจ้านกพลัดถิ่นตัวนั้นมากกว่าจนลืมเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อครู่เสียสนิท
"อื้อ หาดูยาก ยิ่งตัวใหญ่ผิดนกนางนวลทั่วไปแบบนี้แล้วยิ่งหายากใหญ่เลย"
"ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นนกพันธุ์นี้ที่ไหนน้า.."
"บางปู"
หล่อนหลับตานิ่งอยู่ครู่เหมือนจะทบทวนความทรงจำ ก่อนจะดีดนิ้วออกมาเสียงดัง
"อื้อ!ใช่ สถานตากอากาศบางปู ใช่แล้ว"
"แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ ต้องอีกสองเดือนนกพวกนี้ถึงจะหนีหนาวลงมาที่บ้านเรา"
สุ้มเสียงของชายหนุ่มนุ่มลึกเย็นเยียบ โดยที่สายตาที่แข็งกร้าวนั้นก็ยังไม่ละสายตาไปจากนกนางนวลยักษ์ตัวนั้น ขณะที่เจ้าตัวที่ถูกจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้นก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเช่นกัน
"ผมว่าคุณไปพบคุณหมอก่อนเถอะ จะได้รู้ความเป็นมาของตัวคุณเองซักที"
หล่อนเหลือบไปมองหน้าที่ตายด้านนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งที่หัวนอนของหล่อน
"งั้นคุณก็ไปด้วยกันซี่ ฉันว่าฉันต้องรู้จักคุณแน่ๆเลย"
ใบหน้าที่ซีดเซียวเย็นกระด้างนั้นปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ พร้อมกับสั่นศีรษะช้าๆ
"ตามสบายเถอะคุณ ผมมีธุระต้องทำน่ะ เอาไว้เดี๋ยวหัวค่ำผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่"
เสียงบานประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงรองเท้ามีส้นต็อกแต็กๆ เดินเข้ามา ทำให้สรีตยาหันไปมอง ก็พบกับร่างของนางพยาบาลเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับรถเข็น
"นี่ฉันเป็นอัมพาตด้วยเหรอคะเนี่ย คุณพยาบาล?"
สตรีในชุดสีขาวบริสุทธิ์หัวเราะเบาๆ
"เปล่าหรอกค่ะ แต่คุณหมอเห็นว่าสภาพร่างกายของคุณยังไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่น่ะค่ะ ก็เลยให้ดิฉันเอารถมารับ แต่ถ้าคุณสรีตยาคิดว่าพอจะเดินไหวก็จะเดินไปก็ได้นะคะ"
สรีตยาโบกมือช้าๆพร้อมกับหัวเราะ ขยับร่างเพรียวบางจะลงจากเตียง
"ฉันล้อคุณพยาบาลเล่นน่ะค่ะ ถ้าคุณหมอเห็นว่าต้องนั่งรถเข็นก็นั่งค่ะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ในชีวิตนึงจะมีโอกาสได้นั่งรถเข็นซักกี่ครั้งกันเนอะ"
พยาบาลสาวยิ้มให้คนไข้ขี้เล่นอย่างชอบพอ พร้อมกับช่วยพยุงร่างนั้นให้ขึ้นนั่งบนรถเข็นอย่างช้าๆ
"อ้อ นี่คุณ 'ตายด้าน' คุณจะไม่ช่วยคุณพยาบาลพยุงฉันขึ้นรถเข็นเลยใช่มั้ยเนี่ย? ยืนมองเฉยเลย"
พูดไปหล่อนก็หันหน้าไปทางด้านที่ร่างลึกลับนั้นยืนเหม่ออยู่ โดยที่หล่อนเองถือวิสาสะตั้งชื่อประชดประชันให้เสียเลย แต่ร่างนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่มีอาการสะดุ้งหรือสะทกสะท้านใดๆเลย
"ผมมันคงตายด้านอย่างที่คุณว่าจริงๆแหละ"
"ใช่! ทั้งด้านทั้งบ้องตื้ออีกต่างหาก ไปกันเถอะค่ะคุณพยาบาล"
คุณพยาบาลยืนงง หัวคิ้วขมวดกันเป็นโบว์ มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบกับบุคคลที่สามนอกจากตัวเธอกับหล่อน
"คุณสรีตยา..พูดกับใครคะ?"
"ก็พูดกับหมอนี่ไง....."
พูดพลางหล่อนก็หันไปจะชี้หน้า คนตายด้าน (อย่างที่หล่อนว่า) แต่ก็ปรากฏว่าร่างนั้นได้อันตรธานหายไปกับสายลมอีกแล้ว
"เอ๊ะ! หมอนี่ หายไปไหนอีกแล้วนะ เป็นผีรึไงกัน คุณพยาบาลคะช่วยก้มดูใต้เตียงให้หน่อยซิคะว่ามี คนตายด้าน ไปนอนแอบอยู่รึเปล่า?"
พยาบาลสาวพาเซ่อทำท่าจะก้มลงไปดูตามที่หล่อนสั่ง แต่สรีตยาก็เหนี่ยวไหล่ห้ามไว้พร้อมกับหัวเราะเบาๆ
"ฉันล้อเล่นน่ะค่ะคุณพยาบาล ช่างเถอะค่ะหมอนี่น่ะผลุบๆโผล่ๆอย่างนี้เป็นประจำน่ะแหล่ะค่ะ เราไปกันเถอะ ฉันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเต็มทีแล้ว"
รถเข็นคนไข้พาร่างเพรียวบางของสรีตยาออกจากโลกที่อุดอู้ของหล่อนด้วยล้อใหญ่ๆกับอีกสองล้อเล็กๆ คุณพยาบาลสาวยืนอยู่ด้านหลังของรถทำหน้าที่เป็นคนเข็น เมื่อเลี้ยวออกจากห้องได้เพียงสองเมตรสรีตยาและคุณพยาบาลก็สวนกับหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งจนเกือบจะชนกัน หล่อนหยุดวิ่งพร้อมกับปราดเข้ามาจับที่ต้นแขนของคุณพยาบาลพลางเขย่าถี่ๆ
"คุณพยาบาลคะ ช่วยตามคุณหมอปิยพงษ์ให้หน่อยซิคะ แฟนของดิฉันเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆชีพจรก็อ่อนลงฮวบฮาบเลยค่ะ"
คุณพยาบาลถอดสีหน้าทันที ก้มหน้าไปบอกความกับสรีตยาเบาๆ
"คุณสรีตยาคะ รอดิฉันที่นี่ซักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบมา"
"ค่ะ"
เธอว่าง่ายจนหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนั้นหันมายิ้มให้ทั้งที่น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาใสๆทั้งสอง หลังจากนั้นคุณพยาบาลสาวก็โกยอ้าวสุดกำลังที่หล่อนมีวิ่งไปที่เคาน์เตอร์หน้าลิฟท์อย่างรวดเร็ว
"ใจเย็นๆนะคะ แฟนของคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ"
สรีตยาพูดปลอบโยนหญิงสาวผมสั้นคนนั้นพร้อมกับกุมมืออย่างถือสนิทในฐานะผู้หญิงด้วยกัน
"ขอบคุณค่ะ เมื่อวานยังดีๆอยู่เลยไหงวันนี้เป็นยังงี้แล้วก็ไม่รู้"
พูดไปหล่อนก็ทำท่าจะร้องไห้อีก ยกมือขึ้นปิดปากน้ำใสๆค่อยๆไหลออกจากตาหยดลงผ่านแก้มขาวนวลที่ซีดเซียว
"เข้าไปรอคุณหมอในห้องก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้วล่ะ"
"ค่ะ"
"คุณ...."
"พิชัญญา ค่ะ เรียกว่า 'ปีใหม่'ก็ได้ค่ะ ชื่อเล่นของฉันเอง"
"ค่ะ..ยินดีที่รู้จักค่ะ ดิฉันชื่อ สรีตยาค่ะ เรียกว่า 'รถเมล์' ก็ได้ค่ะชื่อเล่นของฉันเหมือนกัน อยู่ห้องข้างๆคุณนี่เอง"
พิชัญญายิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มทั้งสอง
"จะรังเกียจมั้ยคะ ถ้าฉันจะขอเข้าไปดูอาการของแฟนคุณด้วยในห้องน่ะค่ะ"
"อ้อ..ไม่เลยค่ะ เชิญเลยค่ะ"
พูดพลางสองสาวก็พากันเข้าห้องหมายเลข 323 ไป โดยหญิงสาวผมสั้นเป็นผู้เข็นรถพาเพื่อนใหม่เข้าไป
"ชื่อคุณแปลกจังเลยนะคะ"
หญิงสาวผมสั้นชวนคุยขณะที่พาร่างของเพื่อนใหม่เข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของคนเจ็บ ร่างของคนที่นอนปากซีดหน้าซีดอยู่บนเตียงตรงหน้าของสรีตยายามนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณน่าจะรุ่นๆหล่อน นอนหายใจอ่อนระทวยอย่างน่าสงสารริมฝีปากแห้งผากจนเกิดรอยแตกชนิดที่เห็นได้ชัด
"ค่ะ..แฟนของคุณปีใหม่เป็นอะไรล่ะคะ ถึงต้องเข้าโรงพยาบาล?"
ผู้ถูกถามเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของเตียง เอื้อมไปกุมมือของคนเจ็บบนเตียงอย่างแผ่วเบายืนจ้องวงหน้าที่เรียวยาวนั้นด้วยน้ำตาคลอ ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยประโยคใดออกไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยความแรงของผู้ผลักออก พร้อมกับร่างของคุณหมอหนุ่มกับพยาบาลสาว
"คุณหมอคะ ช่วยดูด้วยเถอะค่ะ จู่ๆเค้าก็หน้าซีดปากซีดเฉยๆขึ้นมาอย่างนั้นแหละค่ะ พอดิฉันลองตรวจจับดูที่ข้อมือ ชีพจรของเค้าก็เต้นอ่อนมากๆเลยล่ะค่ะ"
บุรุษในเสื้อกาวน์สีขาวบริสุทธิ์ผู้เป็นดั่งความหวังของพิชัญญา ตรวจจับและดูอาการของคนเจ็บอย่างละเอียด ด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านความคิดถูก
"อิ๋ว! คุณไปเตรียมรถเข็นมาด่วนเลย ผมจะนำคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน"
พิชัญญาแทบจะลมจับ รีบเข้าไปดักหน้าของคุณหมอหนุ่มทันที
"ถึงกับต้องเข้าห้องI.C.U.เลยเหรอคะคุณหมอ"
ผู้เป็นความหวังเดียวของพิชัญญายิ้มให้อย่างอบอุ่นพูดเชิงปลอบใจ พร้อมกับเอื้อมมือที่อ่อนนุ่มมากุมที่ไหล่ของเธอแผ่วเบา
"ไม่มีอะไรต้องห่วงมากหรอกครับ หมอจะพยายามอย่างเต็มที่ แฟนของคุณพ้นขีดอันตรายมาแล้ว แค่อาการอาฟเตอร์ช็อคแค่นี้ เค้าต้องผ่านไปได้อยู่แล้วล่ะครับ"
พลันคุณหมอหนุ่มรูปหล่อก็หันไปทางสรีตยาผู้นั่งมองอยู่บนรถเข็น
"คุณสรีตยาครับ ผมคงต้องเลื่อนการพูดคุยของเราไปเป็นตอนค่ำนะครับ"
"ค่ะ ฉันเองก็ไม่รีบร้อนอะไรมากอยู่แล้วล่ะค่ะ ยังไงชีวิตของคนย่อมสำคัญกว่าค่ะ"
ทั้งคุณหมอและพิชัญญาหันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทางพิชัญญาเธอเองรู้สึกรักใคร่ชอบพอสรีตยาเยี่ยงมิตรเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
ครู่เดียวร่างของคนเจ็บก็ถูกลำเลียงไปยังห้องฉุกเฉินชนิดแข่งกับเวลา
ร่างเพรียวบางของสรีตยาบนรถเข็นเอื้อมมือไปกุมมือของพิชัญญา ที่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย พร้อมกับส่งสายตาที่เป็นประกายแห่งความเป็นมิตรมาให้อย่างอบอุ่น
"นั่งก่อนก็ได้จ้ะ เดินไปเดินมามันก็ไม่ช่วยอะไรมากนักหรอก เดี๋ยวก็เวียนหัวเป็นลมเป็นแล้งไปซะอีกคน มันจะยุ่ง"
น้ำเสียงหวานๆที่ปลุกปลอบโยนระคนหยอกเบาๆ ช่วยให้พิชัญญาหยุดเดินจงกลมหน้าห้องฉุกเฉินลงได้ เธอส่งมืออีกข้างมากุมตอบสรีตยาเช่นกัน สีหน้าที่ยุ่งและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวลใจ ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ยิ้มจางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางๆคู่นั้น
"ฉันร้อนใจมากเลย ไม่รู้ว่าปอนด์จะเป็นยังไงบ้าง.."
"ใจเย็นๆก่อนเถอะจ้ะ คุณหมอเองก็รับปากแถมยังยืนยันด้วยว่าแฟนของปีใหม่จะไม่เป็นอะไรมาก เชื่อมือเค้าเถอะ ยังไงเค้าก็เคยช่วยแฟนของปีใหม่มาแล้วหนนึงไม่ใช่เหรอจ๊ะ.."
"ฉันขอบใจเธอมากเลยนะ ที่ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นน่ะ"
สรีตยายิ้มกว้างๆให้อีกครั้งจนเห็นฟันขาวราวกับเปลือกหอยที่เรียงเป็นระเบียบราวกับกำแพงเมืองจีนทั้งสามสิบสองซี่อย่างจริงใจและเปิดเผย เขย่ามือที่กุมไว้แรงๆ
"เลิกเรียก 'ฉัน' เรียก 'เธอ' ได้แล้ว เรียกชื่อเลยก็ได้ แบบรถเมล์ไง..รถเมล์ยังเรียกปีใหม่ว่าปีใหม่เลย จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้น..หนิดหนมๆ"
พิชัญญาอดหัวเราะไม่ได้ทั้งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้ เธอชอบในความเป็นมิตรและความอารมณ์ดีของเพื่อนใหม่คนนี้ ชนิดที่ลึกๆในใจคิดจะคบหาจริงจังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เลยทีเดียว
"จ้ะ"
แล้วพิชัญญาหรือปีใหม่ก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องแทนที่จะเดินวนไปวกมาเหมือนเมื่อครู่ ขณะที่สรีตยาก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ๆ ขยับจะลุกลงจากรถ พิชัญญาจึงรี่เข้ามาช่วยพยุง
"ไม่ต้องพยุงหรอกจ้ะ รถเมล์ไม่ได้เป็นอัมพาตหรือขาแข้งหักซะหน่อย เดินได้จ้ะ..เดินได้"
แต่ก็ยังไม่วาย พิชัญญาก็ยังช่วยประคองร่างเพรียวบางนั้นเข้ามานั่งข้างๆกัน
"แล้วเธอเอ้ย!รถเมล์เป็นอะไรล่ะจ๊ะ ถึงต้องมาเข้าโรงพยาบาล?"
"รถเมล์เองก็ยังไม่รู้เลยล่ะ"
"อ้าว!"
พิชัญญาเลิกคิ้วร้องเสียงสูง มองหน้าเพื่อนใหม่อย่างฉงน
"รถเมล์จำอะไรไม่ได้เลยล่ะ แม้กระทั่งพ่อกับแม่"
"หือ..ความจำเสื่อมงั้นเหรอ?"
"ก็ยังไม่แน่เหมือนกันแหละ วันนี้คุณหมอเค้านัดจะคุยพร้อมกับผลตรวจแต่เผอิญต้องปลีกตัวมาดูแฟนของปีใหม่ก่อน ก็เลยยังไม่รู้อะไรแน่ชัดน่ะ"
พิชัญญากุมมือ พูดเสียงอ่อย
"ปีใหม่ขอโทษนะที่แซงคิวรถเมล์น่ะ"
"โอ๊ย!ช่างเถอะจ้ะ เล็กน้อยๆชีวิตคนทั้งคนสำคัญกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยหรอกจ้ะ"
หล่อนพูดพลางโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้ายิ้มให้อย่างมิตร
"จ้ะ..แต่ปีใหม่ว่ารถเมล์คงไม่ถึงกับความจำเสื่อมหรอก อาจแค่สมองกระทบกระเทือนนิดหน่อย พอรื้อฟื้นหน่อยก็น่าจะจำอะไรได้แล้วล่ะ"
"จ้า..รถเมล์ก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน ว่าแต่แฟนของปีใหม่ล่ะ ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะจ๊ะ"
พิชัญญาคลายมือที่กุมไว้ออก เสยผมสีน้ำตาลขึ้น ถอนใจเฮือกใหญ่ เหม่อมองไปยังผนังกำแพงสีขาวที่ว่างเปล่า ค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มแฉะไปด้วยน้ำใสๆที่เรียกว่า 'น้ำตา'
ขอบคุณทุกๆความเห็นที่ส่งเข้ามานะครับ..ช่วยติดตามอ่านตอนต่อๆไปด้วยนะครับ เพราะรับรองว่ามีอะไรให้แปลกใจอยู่เสมอแน่ๆ โดยเฉพาะตอนจบ(ซึ่งคงยังอีกนาน)
จะรีบปั่นมาลงให้เร็วๆที่สุดนะครับ คาดว่าสิ้นเดือนหน้าจบแน่นอน...ขอบคุณอีกครั้งครับ..
"กินข้าวซักหน่อยเถอะคุณ เดี๋ยวจะไม่มีแรง"
น้ำเสียงที่เย็นเยียบแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยนั้น กล่าวขึ้นมาเบาๆ
"นี่!คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมฉันถึงไม่เห็นคุณเมื่อกี้นี้เลย....ทำตัวยังกะผี"
หล่อนเอะอะโวยวายแต่ก็ไม่เสียงดังเกินไปนัก ประโยคหลังก่นเบาๆเหมือนจะประชด
"กินซี่ อาหารดีๆทั้งนั้นเลย น่ากินออกผมยังอยากกินเลย"
"อยากกินก็กินซี่ ฉันยกให้"
"เรื่องอะไร..ของๆคุณ คุณก็กินเถอะอย่ามาโยนให้ผมเลย กินซะเดี๋ยวจะได้ไปพบกับคุณหมอรูปหล่อนั่น"
สรีตยาเบ้ปากที่เซียวซีดของเธอพลางเอื้อมมือไปเลื่อนโต๊ะอาหารเข้ามาตรงหน้า
"นี่!คุณ เป็นสุภาพบุรุษหน่อยซิ เห็นมั้ยเนี่ยฉันเป็นผู้หญิงนะแล้วก็กำลังป่วยอยู่ด้วย จะช่วยเข็นมาให้หน่อยก็ไม่มี ใจดำจริงๆ"
ชายลึกลับทำหูทวนลม ผิวปากหวือยังคงปล่อยให้หล่อนก่นด่าอยู่เช่นนั้น
"แล้วนี่คุณจะบอกฉันได้รึยังเนี่ยว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันแล้วถือวิสาสะเข้าๆออกๆห้องนี้ได้ยังไง"
คนไข้แสนสวยยิงคำถามเป็นชุดปากก็กินข้าวต้มบนโต๊ะอย่างช้าๆ
ชายลึกลับผู้ถูกสอบ ค่อยๆเลื่อนร่างสูงใหญ่ของเขาลงจากโต๊ะวางแจกันช้าๆ เยื้องย่างไปที่โซฟาในห้องมือกอดอก ปากยังคงสั่นฟันกระทบกันเบาๆ
"ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลยแม้แต่น้อย คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ"
น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นพูดขึ้นช้าๆ สายตาเหม่อมองไปยังระเบียงนอกห้องพลางเอนกายลงกับโซฟานุ่มๆอย่างเชื่องช้า หล่อนแอบเหลือบมองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนๆนั้นอย่างพินิจ ความรู้สึกบางอย่างในความทรงจำที่เลือนรางของเธอ เหมือนจะพยายามเรียกภาพของใครซักคนให้คืนมา แต่ภาพนั้นก็ไม่ปรากฎซักที
"แล้วไงต่อ?"
"แต่ผมพอจะรู้จักคุณมาบ้าง คุณจะเชื่อมั้ยถ้าผมจะบอกคุณว่า.."
"ว่าอะไร?"
สรีตยาละจากอาหารตรงหน้าขึ้นมาสบตากับเขา มือก็พลางเช็ดปากด้วยทิชชู่จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังจะหลุดออกมาจากวงปากที่ซีดเซียวนั้น
'พรึ่บ'
เสียงกระพือปีกของนกนางนวลหลงถิ่นตัวขนาดเขื่องสีขาว พัดเอาเศษใบไม้แห้งนอกระเบียงกระจายว่อนไปทั่ว หยุดชะงักการพูดคุยของคนทั้งสองลงชั่วขณะ
ชายหนุ่มลึกลับขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน ลุกขึ้นพรวด ส่งสายตาแข็งกร้าวไปยังนกนางนวลตัวนั้นเหมือนจะต่อว่า ขณะที่เจ้าสัตว์มีปีกตัวยักษ์ผิดปกติก็กระพือปีกเหมือนจะพูดจาโต้ตอบ บินวนไปวนมาอยู่แต่บริเวณนั้นอย่างผิดวิสัยนกทั่วไป
"โอ้โห! นกนางนวลนี่ ตัวเมียซะด้วยแถมยังตัวใหญ่เบิ้มเลย นี่หาดูยากมากเลยนะ"
สรีตยาอุทานเสียงดัง รีบหันหน้าออกไปทางที่มาของเสียง เมื่อพบกับเจ้าตัวที่ทำให้เกิดเสียงหล่อนก็ตาโตเท่าไข่ห่านทันที ดูหล่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเจ้านกพลัดถิ่นตัวนั้นมากกว่าจนลืมเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อครู่เสียสนิท
"อื้อ หาดูยาก ยิ่งตัวใหญ่ผิดนกนางนวลทั่วไปแบบนี้แล้วยิ่งหายากใหญ่เลย"
"ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นนกพันธุ์นี้ที่ไหนน้า.."
"บางปู"
หล่อนหลับตานิ่งอยู่ครู่เหมือนจะทบทวนความทรงจำ ก่อนจะดีดนิ้วออกมาเสียงดัง
"อื้อ!ใช่ สถานตากอากาศบางปู ใช่แล้ว"
"แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ ต้องอีกสองเดือนนกพวกนี้ถึงจะหนีหนาวลงมาที่บ้านเรา"
สุ้มเสียงของชายหนุ่มนุ่มลึกเย็นเยียบ โดยที่สายตาที่แข็งกร้าวนั้นก็ยังไม่ละสายตาไปจากนกนางนวลยักษ์ตัวนั้น ขณะที่เจ้าตัวที่ถูกจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้นก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเช่นกัน
"ผมว่าคุณไปพบคุณหมอก่อนเถอะ จะได้รู้ความเป็นมาของตัวคุณเองซักที"
หล่อนเหลือบไปมองหน้าที่ตายด้านนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งที่หัวนอนของหล่อน
"งั้นคุณก็ไปด้วยกันซี่ ฉันว่าฉันต้องรู้จักคุณแน่ๆเลย"
ใบหน้าที่ซีดเซียวเย็นกระด้างนั้นปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ พร้อมกับสั่นศีรษะช้าๆ
"ตามสบายเถอะคุณ ผมมีธุระต้องทำน่ะ เอาไว้เดี๋ยวหัวค่ำผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่"
เสียงบานประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงรองเท้ามีส้นต็อกแต็กๆ เดินเข้ามา ทำให้สรีตยาหันไปมอง ก็พบกับร่างของนางพยาบาลเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับรถเข็น
"นี่ฉันเป็นอัมพาตด้วยเหรอคะเนี่ย คุณพยาบาล?"
สตรีในชุดสีขาวบริสุทธิ์หัวเราะเบาๆ
"เปล่าหรอกค่ะ แต่คุณหมอเห็นว่าสภาพร่างกายของคุณยังไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่น่ะค่ะ ก็เลยให้ดิฉันเอารถมารับ แต่ถ้าคุณสรีตยาคิดว่าพอจะเดินไหวก็จะเดินไปก็ได้นะคะ"
สรีตยาโบกมือช้าๆพร้อมกับหัวเราะ ขยับร่างเพรียวบางจะลงจากเตียง
"ฉันล้อคุณพยาบาลเล่นน่ะค่ะ ถ้าคุณหมอเห็นว่าต้องนั่งรถเข็นก็นั่งค่ะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ในชีวิตนึงจะมีโอกาสได้นั่งรถเข็นซักกี่ครั้งกันเนอะ"
พยาบาลสาวยิ้มให้คนไข้ขี้เล่นอย่างชอบพอ พร้อมกับช่วยพยุงร่างนั้นให้ขึ้นนั่งบนรถเข็นอย่างช้าๆ
"อ้อ นี่คุณ 'ตายด้าน' คุณจะไม่ช่วยคุณพยาบาลพยุงฉันขึ้นรถเข็นเลยใช่มั้ยเนี่ย? ยืนมองเฉยเลย"
พูดไปหล่อนก็หันหน้าไปทางด้านที่ร่างลึกลับนั้นยืนเหม่ออยู่ โดยที่หล่อนเองถือวิสาสะตั้งชื่อประชดประชันให้เสียเลย แต่ร่างนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่มีอาการสะดุ้งหรือสะทกสะท้านใดๆเลย
"ผมมันคงตายด้านอย่างที่คุณว่าจริงๆแหละ"
"ใช่! ทั้งด้านทั้งบ้องตื้ออีกต่างหาก ไปกันเถอะค่ะคุณพยาบาล"
คุณพยาบาลยืนงง หัวคิ้วขมวดกันเป็นโบว์ มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบกับบุคคลที่สามนอกจากตัวเธอกับหล่อน
"คุณสรีตยา..พูดกับใครคะ?"
"ก็พูดกับหมอนี่ไง....."
พูดพลางหล่อนก็หันไปจะชี้หน้า คนตายด้าน (อย่างที่หล่อนว่า) แต่ก็ปรากฏว่าร่างนั้นได้อันตรธานหายไปกับสายลมอีกแล้ว
"เอ๊ะ! หมอนี่ หายไปไหนอีกแล้วนะ เป็นผีรึไงกัน คุณพยาบาลคะช่วยก้มดูใต้เตียงให้หน่อยซิคะว่ามี คนตายด้าน ไปนอนแอบอยู่รึเปล่า?"
พยาบาลสาวพาเซ่อทำท่าจะก้มลงไปดูตามที่หล่อนสั่ง แต่สรีตยาก็เหนี่ยวไหล่ห้ามไว้พร้อมกับหัวเราะเบาๆ
"ฉันล้อเล่นน่ะค่ะคุณพยาบาล ช่างเถอะค่ะหมอนี่น่ะผลุบๆโผล่ๆอย่างนี้เป็นประจำน่ะแหล่ะค่ะ เราไปกันเถอะ ฉันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเต็มทีแล้ว"
รถเข็นคนไข้พาร่างเพรียวบางของสรีตยาออกจากโลกที่อุดอู้ของหล่อนด้วยล้อใหญ่ๆกับอีกสองล้อเล็กๆ คุณพยาบาลสาวยืนอยู่ด้านหลังของรถทำหน้าที่เป็นคนเข็น เมื่อเลี้ยวออกจากห้องได้เพียงสองเมตรสรีตยาและคุณพยาบาลก็สวนกับหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งจนเกือบจะชนกัน หล่อนหยุดวิ่งพร้อมกับปราดเข้ามาจับที่ต้นแขนของคุณพยาบาลพลางเขย่าถี่ๆ
"คุณพยาบาลคะ ช่วยตามคุณหมอปิยพงษ์ให้หน่อยซิคะ แฟนของดิฉันเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆชีพจรก็อ่อนลงฮวบฮาบเลยค่ะ"
คุณพยาบาลถอดสีหน้าทันที ก้มหน้าไปบอกความกับสรีตยาเบาๆ
"คุณสรีตยาคะ รอดิฉันที่นี่ซักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบมา"
"ค่ะ"
เธอว่าง่ายจนหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนั้นหันมายิ้มให้ทั้งที่น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาใสๆทั้งสอง หลังจากนั้นคุณพยาบาลสาวก็โกยอ้าวสุดกำลังที่หล่อนมีวิ่งไปที่เคาน์เตอร์หน้าลิฟท์อย่างรวดเร็ว
"ใจเย็นๆนะคะ แฟนของคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ"
สรีตยาพูดปลอบโยนหญิงสาวผมสั้นคนนั้นพร้อมกับกุมมืออย่างถือสนิทในฐานะผู้หญิงด้วยกัน
"ขอบคุณค่ะ เมื่อวานยังดีๆอยู่เลยไหงวันนี้เป็นยังงี้แล้วก็ไม่รู้"
พูดไปหล่อนก็ทำท่าจะร้องไห้อีก ยกมือขึ้นปิดปากน้ำใสๆค่อยๆไหลออกจากตาหยดลงผ่านแก้มขาวนวลที่ซีดเซียว
"เข้าไปรอคุณหมอในห้องก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้วล่ะ"
"ค่ะ"
"คุณ...."
"พิชัญญา ค่ะ เรียกว่า 'ปีใหม่'ก็ได้ค่ะ ชื่อเล่นของฉันเอง"
"ค่ะ..ยินดีที่รู้จักค่ะ ดิฉันชื่อ สรีตยาค่ะ เรียกว่า 'รถเมล์' ก็ได้ค่ะชื่อเล่นของฉันเหมือนกัน อยู่ห้องข้างๆคุณนี่เอง"
พิชัญญายิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มทั้งสอง
"จะรังเกียจมั้ยคะ ถ้าฉันจะขอเข้าไปดูอาการของแฟนคุณด้วยในห้องน่ะค่ะ"
"อ้อ..ไม่เลยค่ะ เชิญเลยค่ะ"
พูดพลางสองสาวก็พากันเข้าห้องหมายเลข 323 ไป โดยหญิงสาวผมสั้นเป็นผู้เข็นรถพาเพื่อนใหม่เข้าไป
"ชื่อคุณแปลกจังเลยนะคะ"
หญิงสาวผมสั้นชวนคุยขณะที่พาร่างของเพื่อนใหม่เข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของคนเจ็บ ร่างของคนที่นอนปากซีดหน้าซีดอยู่บนเตียงตรงหน้าของสรีตยายามนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณน่าจะรุ่นๆหล่อน นอนหายใจอ่อนระทวยอย่างน่าสงสารริมฝีปากแห้งผากจนเกิดรอยแตกชนิดที่เห็นได้ชัด
"ค่ะ..แฟนของคุณปีใหม่เป็นอะไรล่ะคะ ถึงต้องเข้าโรงพยาบาล?"
ผู้ถูกถามเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของเตียง เอื้อมไปกุมมือของคนเจ็บบนเตียงอย่างแผ่วเบายืนจ้องวงหน้าที่เรียวยาวนั้นด้วยน้ำตาคลอ ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยประโยคใดออกไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยความแรงของผู้ผลักออก พร้อมกับร่างของคุณหมอหนุ่มกับพยาบาลสาว
"คุณหมอคะ ช่วยดูด้วยเถอะค่ะ จู่ๆเค้าก็หน้าซีดปากซีดเฉยๆขึ้นมาอย่างนั้นแหละค่ะ พอดิฉันลองตรวจจับดูที่ข้อมือ ชีพจรของเค้าก็เต้นอ่อนมากๆเลยล่ะค่ะ"
บุรุษในเสื้อกาวน์สีขาวบริสุทธิ์ผู้เป็นดั่งความหวังของพิชัญญา ตรวจจับและดูอาการของคนเจ็บอย่างละเอียด ด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านความคิดถูก
"อิ๋ว! คุณไปเตรียมรถเข็นมาด่วนเลย ผมจะนำคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน"
พิชัญญาแทบจะลมจับ รีบเข้าไปดักหน้าของคุณหมอหนุ่มทันที
"ถึงกับต้องเข้าห้องI.C.U.เลยเหรอคะคุณหมอ"
ผู้เป็นความหวังเดียวของพิชัญญายิ้มให้อย่างอบอุ่นพูดเชิงปลอบใจ พร้อมกับเอื้อมมือที่อ่อนนุ่มมากุมที่ไหล่ของเธอแผ่วเบา
"ไม่มีอะไรต้องห่วงมากหรอกครับ หมอจะพยายามอย่างเต็มที่ แฟนของคุณพ้นขีดอันตรายมาแล้ว แค่อาการอาฟเตอร์ช็อคแค่นี้ เค้าต้องผ่านไปได้อยู่แล้วล่ะครับ"
พลันคุณหมอหนุ่มรูปหล่อก็หันไปทางสรีตยาผู้นั่งมองอยู่บนรถเข็น
"คุณสรีตยาครับ ผมคงต้องเลื่อนการพูดคุยของเราไปเป็นตอนค่ำนะครับ"
"ค่ะ ฉันเองก็ไม่รีบร้อนอะไรมากอยู่แล้วล่ะค่ะ ยังไงชีวิตของคนย่อมสำคัญกว่าค่ะ"
ทั้งคุณหมอและพิชัญญาหันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทางพิชัญญาเธอเองรู้สึกรักใคร่ชอบพอสรีตยาเยี่ยงมิตรเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
ครู่เดียวร่างของคนเจ็บก็ถูกลำเลียงไปยังห้องฉุกเฉินชนิดแข่งกับเวลา
ร่างเพรียวบางของสรีตยาบนรถเข็นเอื้อมมือไปกุมมือของพิชัญญา ที่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย พร้อมกับส่งสายตาที่เป็นประกายแห่งความเป็นมิตรมาให้อย่างอบอุ่น
"นั่งก่อนก็ได้จ้ะ เดินไปเดินมามันก็ไม่ช่วยอะไรมากนักหรอก เดี๋ยวก็เวียนหัวเป็นลมเป็นแล้งไปซะอีกคน มันจะยุ่ง"
น้ำเสียงหวานๆที่ปลุกปลอบโยนระคนหยอกเบาๆ ช่วยให้พิชัญญาหยุดเดินจงกลมหน้าห้องฉุกเฉินลงได้ เธอส่งมืออีกข้างมากุมตอบสรีตยาเช่นกัน สีหน้าที่ยุ่งและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวลใจ ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ยิ้มจางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางๆคู่นั้น
"ฉันร้อนใจมากเลย ไม่รู้ว่าปอนด์จะเป็นยังไงบ้าง.."
"ใจเย็นๆก่อนเถอะจ้ะ คุณหมอเองก็รับปากแถมยังยืนยันด้วยว่าแฟนของปีใหม่จะไม่เป็นอะไรมาก เชื่อมือเค้าเถอะ ยังไงเค้าก็เคยช่วยแฟนของปีใหม่มาแล้วหนนึงไม่ใช่เหรอจ๊ะ.."
"ฉันขอบใจเธอมากเลยนะ ที่ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นน่ะ"
สรีตยายิ้มกว้างๆให้อีกครั้งจนเห็นฟันขาวราวกับเปลือกหอยที่เรียงเป็นระเบียบราวกับกำแพงเมืองจีนทั้งสามสิบสองซี่อย่างจริงใจและเปิดเผย เขย่ามือที่กุมไว้แรงๆ
"เลิกเรียก 'ฉัน' เรียก 'เธอ' ได้แล้ว เรียกชื่อเลยก็ได้ แบบรถเมล์ไง..รถเมล์ยังเรียกปีใหม่ว่าปีใหม่เลย จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้น..หนิดหนมๆ"
พิชัญญาอดหัวเราะไม่ได้ทั้งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้ เธอชอบในความเป็นมิตรและความอารมณ์ดีของเพื่อนใหม่คนนี้ ชนิดที่ลึกๆในใจคิดจะคบหาจริงจังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เลยทีเดียว
"จ้ะ"
แล้วพิชัญญาหรือปีใหม่ก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องแทนที่จะเดินวนไปวกมาเหมือนเมื่อครู่ ขณะที่สรีตยาก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ๆ ขยับจะลุกลงจากรถ พิชัญญาจึงรี่เข้ามาช่วยพยุง
"ไม่ต้องพยุงหรอกจ้ะ รถเมล์ไม่ได้เป็นอัมพาตหรือขาแข้งหักซะหน่อย เดินได้จ้ะ..เดินได้"
แต่ก็ยังไม่วาย พิชัญญาก็ยังช่วยประคองร่างเพรียวบางนั้นเข้ามานั่งข้างๆกัน
"แล้วเธอเอ้ย!รถเมล์เป็นอะไรล่ะจ๊ะ ถึงต้องมาเข้าโรงพยาบาล?"
"รถเมล์เองก็ยังไม่รู้เลยล่ะ"
"อ้าว!"
พิชัญญาเลิกคิ้วร้องเสียงสูง มองหน้าเพื่อนใหม่อย่างฉงน
"รถเมล์จำอะไรไม่ได้เลยล่ะ แม้กระทั่งพ่อกับแม่"
"หือ..ความจำเสื่อมงั้นเหรอ?"
"ก็ยังไม่แน่เหมือนกันแหละ วันนี้คุณหมอเค้านัดจะคุยพร้อมกับผลตรวจแต่เผอิญต้องปลีกตัวมาดูแฟนของปีใหม่ก่อน ก็เลยยังไม่รู้อะไรแน่ชัดน่ะ"
พิชัญญากุมมือ พูดเสียงอ่อย
"ปีใหม่ขอโทษนะที่แซงคิวรถเมล์น่ะ"
"โอ๊ย!ช่างเถอะจ้ะ เล็กน้อยๆชีวิตคนทั้งคนสำคัญกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยหรอกจ้ะ"
หล่อนพูดพลางโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้ายิ้มให้อย่างมิตร
"จ้ะ..แต่ปีใหม่ว่ารถเมล์คงไม่ถึงกับความจำเสื่อมหรอก อาจแค่สมองกระทบกระเทือนนิดหน่อย พอรื้อฟื้นหน่อยก็น่าจะจำอะไรได้แล้วล่ะ"
"จ้า..รถเมล์ก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน ว่าแต่แฟนของปีใหม่ล่ะ ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะจ๊ะ"
พิชัญญาคลายมือที่กุมไว้ออก เสยผมสีน้ำตาลขึ้น ถอนใจเฮือกใหญ่ เหม่อมองไปยังผนังกำแพงสีขาวที่ว่างเปล่า ค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มแฉะไปด้วยน้ำใสๆที่เรียกว่า 'น้ำตา'
ขอบคุณทุกๆความเห็นที่ส่งเข้ามานะครับ..ช่วยติดตามอ่านตอนต่อๆไปด้วยนะครับ เพราะรับรองว่ามีอะไรให้แปลกใจอยู่เสมอแน่ๆ โดยเฉพาะตอนจบ(ซึ่งคงยังอีกนาน)
จะรีบปั่นมาลงให้เร็วๆที่สุดนะครับ คาดว่าสิ้นเดือนหน้าจบแน่นอน...ขอบคุณอีกครั้งครับ..
ความคิดเห็น