ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อุบัติเหตุบนถนนสายที่24

    ลำดับตอนที่ #2 : ความทรงจำที่สาบสูญ(2)

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 49




    ความทรงจำที่สาบสูญ (2)..


             "กินข้าวซักหน่อยเถอะคุณ เดี๋ยวจะไม่มีแรง"

             น้ำเสียงที่เย็นเยียบแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยนั้น กล่าวขึ้นมาเบาๆ

             "นี่!คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมฉันถึงไม่เห็นคุณเมื่อกี้นี้เลย....ทำตัวยังกะผี"

             หล่อนเอะอะโวยวายแต่ก็ไม่เสียงดังเกินไปนัก ประโยคหลังก่นเบาๆเหมือนจะประชด

             "กินซี่ อาหารดีๆทั้งนั้นเลย น่ากินออกผมยังอยากกินเลย"

             "อยากกินก็กินซี่ ฉันยกให้"

             "เรื่องอะไร..ของๆคุณ คุณก็กินเถอะอย่ามาโยนให้ผมเลย กินซะเดี๋ยวจะได้ไปพบกับคุณหมอรูปหล่อนั่น"

             สรีตยาเบ้ปากที่เซียวซีดของเธอพลางเอื้อมมือไปเลื่อนโต๊ะอาหารเข้ามาตรงหน้า

             "นี่!คุณ เป็นสุภาพบุรุษหน่อยซิ เห็นมั้ยเนี่ยฉันเป็นผู้หญิงนะแล้วก็กำลังป่วยอยู่ด้วย จะช่วยเข็นมาให้หน่อยก็ไม่มี ใจดำจริงๆ"

             ชายลึกลับทำหูทวนลม ผิวปากหวือยังคงปล่อยให้หล่อนก่นด่าอยู่เช่นนั้น

             "แล้วนี่คุณจะบอกฉันได้รึยังเนี่ยว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันแล้วถือวิสาสะเข้าๆออกๆห้องนี้ได้ยังไง"

             คนไข้แสนสวยยิงคำถามเป็นชุดปากก็กินข้าวต้มบนโต๊ะอย่างช้าๆ

             ชายลึกลับผู้ถูกสอบ ค่อยๆเลื่อนร่างสูงใหญ่ของเขาลงจากโต๊ะวางแจกันช้าๆ เยื้องย่างไปที่โซฟาในห้องมือกอดอก ปากยังคงสั่นฟันกระทบกันเบาๆ

             "ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลยแม้แต่น้อย คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ"

             น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นพูดขึ้นช้าๆ สายตาเหม่อมองไปยังระเบียงนอกห้องพลางเอนกายลงกับโซฟานุ่มๆอย่างเชื่องช้า หล่อนแอบเหลือบมองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนๆนั้นอย่างพินิจ ความรู้สึกบางอย่างในความทรงจำที่เลือนรางของเธอ เหมือนจะพยายามเรียกภาพของใครซักคนให้คืนมา แต่ภาพนั้นก็ไม่ปรากฎซักที

             "แล้วไงต่อ?"

             "แต่ผมพอจะรู้จักคุณมาบ้าง คุณจะเชื่อมั้ยถ้าผมจะบอกคุณว่า.."

             "ว่าอะไร?"

             สรีตยาละจากอาหารตรงหน้าขึ้นมาสบตากับเขา มือก็พลางเช็ดปากด้วยทิชชู่จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังจะหลุดออกมาจากวงปากที่ซีดเซียวนั้น

             'พรึ่บ'

             เสียงกระพือปีกของนกนางนวลหลงถิ่นตัวขนาดเขื่องสีขาว พัดเอาเศษใบไม้แห้งนอกระเบียงกระจายว่อนไปทั่ว หยุดชะงักการพูดคุยของคนทั้งสองลงชั่วขณะ

             ชายหนุ่มลึกลับขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน ลุกขึ้นพรวด ส่งสายตาแข็งกร้าวไปยังนกนางนวลตัวนั้นเหมือนจะต่อว่า ขณะที่เจ้าสัตว์มีปีกตัวยักษ์ผิดปกติก็กระพือปีกเหมือนจะพูดจาโต้ตอบ บินวนไปวนมาอยู่แต่บริเวณนั้นอย่างผิดวิสัยนกทั่วไป

             "โอ้โห! นกนางนวลนี่ ตัวเมียซะด้วยแถมยังตัวใหญ่เบิ้มเลย นี่หาดูยากมากเลยนะ"

             สรีตยาอุทานเสียงดัง รีบหันหน้าออกไปทางที่มาของเสียง เมื่อพบกับเจ้าตัวที่ทำให้เกิดเสียงหล่อนก็ตาโตเท่าไข่ห่านทันที ดูหล่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเจ้านกพลัดถิ่นตัวนั้นมากกว่าจนลืมเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อครู่เสียสนิท

             "อื้อ หาดูยาก ยิ่งตัวใหญ่ผิดนกนางนวลทั่วไปแบบนี้แล้วยิ่งหายากใหญ่เลย"

             "ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นนกพันธุ์นี้ที่ไหนน้า.."

             "บางปู"

             หล่อนหลับตานิ่งอยู่ครู่เหมือนจะทบทวนความทรงจำ ก่อนจะดีดนิ้วออกมาเสียงดัง

             "อื้อ!ใช่ สถานตากอากาศบางปู  ใช่แล้ว"

             "แต่ไม่ใช่ช่วงนี้  ต้องอีกสองเดือนนกพวกนี้ถึงจะหนีหนาวลงมาที่บ้านเรา"

             สุ้มเสียงของชายหนุ่มนุ่มลึกเย็นเยียบ โดยที่สายตาที่แข็งกร้าวนั้นก็ยังไม่ละสายตาไปจากนกนางนวลยักษ์ตัวนั้น ขณะที่เจ้าตัวที่ถูกจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้นก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเช่นกัน

             "ผมว่าคุณไปพบคุณหมอก่อนเถอะ จะได้รู้ความเป็นมาของตัวคุณเองซักที"

             หล่อนเหลือบไปมองหน้าที่ตายด้านนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งที่หัวนอนของหล่อน

             "งั้นคุณก็ไปด้วยกันซี่ ฉันว่าฉันต้องรู้จักคุณแน่ๆเลย"

             ใบหน้าที่ซีดเซียวเย็นกระด้างนั้นปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ พร้อมกับสั่นศีรษะช้าๆ

             "ตามสบายเถอะคุณ ผมมีธุระต้องทำน่ะ เอาไว้เดี๋ยวหัวค่ำผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่"

             เสียงบานประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงรองเท้ามีส้นต็อกแต็กๆ เดินเข้ามา  ทำให้สรีตยาหันไปมอง ก็พบกับร่างของนางพยาบาลเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับรถเข็น

             "นี่ฉันเป็นอัมพาตด้วยเหรอคะเนี่ย คุณพยาบาล?"

             สตรีในชุดสีขาวบริสุทธิ์หัวเราะเบาๆ

             "เปล่าหรอกค่ะ แต่คุณหมอเห็นว่าสภาพร่างกายของคุณยังไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่น่ะค่ะ ก็เลยให้ดิฉันเอารถมารับ แต่ถ้าคุณสรีตยาคิดว่าพอจะเดินไหวก็จะเดินไปก็ได้นะคะ"

             สรีตยาโบกมือช้าๆพร้อมกับหัวเราะ  ขยับร่างเพรียวบางจะลงจากเตียง

             "ฉันล้อคุณพยาบาลเล่นน่ะค่ะ ถ้าคุณหมอเห็นว่าต้องนั่งรถเข็นก็นั่งค่ะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ในชีวิตนึงจะมีโอกาสได้นั่งรถเข็นซักกี่ครั้งกันเนอะ"

             พยาบาลสาวยิ้มให้คนไข้ขี้เล่นอย่างชอบพอ  พร้อมกับช่วยพยุงร่างนั้นให้ขึ้นนั่งบนรถเข็นอย่างช้าๆ

             "อ้อ นี่คุณ 'ตายด้าน' คุณจะไม่ช่วยคุณพยาบาลพยุงฉันขึ้นรถเข็นเลยใช่มั้ยเนี่ย? ยืนมองเฉยเลย"

             พูดไปหล่อนก็หันหน้าไปทางด้านที่ร่างลึกลับนั้นยืนเหม่ออยู่  โดยที่หล่อนเองถือวิสาสะตั้งชื่อประชดประชันให้เสียเลย  แต่ร่างนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่มีอาการสะดุ้งหรือสะทกสะท้านใดๆเลย

             "ผมมันคงตายด้านอย่างที่คุณว่าจริงๆแหละ"

             "ใช่! ทั้งด้านทั้งบ้องตื้ออีกต่างหาก ไปกันเถอะค่ะคุณพยาบาล"

             คุณพยาบาลยืนงง หัวคิ้วขมวดกันเป็นโบว์ มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบกับบุคคลที่สามนอกจากตัวเธอกับหล่อน

             "คุณสรีตยา..พูดกับใครคะ?"

             "ก็พูดกับหมอนี่ไง....."

             พูดพลางหล่อนก็หันไปจะชี้หน้า คนตายด้าน (อย่างที่หล่อนว่า) แต่ก็ปรากฏว่าร่างนั้นได้อันตรธานหายไปกับสายลมอีกแล้ว

             "เอ๊ะ! หมอนี่ หายไปไหนอีกแล้วนะ เป็นผีรึไงกัน  คุณพยาบาลคะช่วยก้มดูใต้เตียงให้หน่อยซิคะว่ามี คนตายด้าน ไปนอนแอบอยู่รึเปล่า?"

             พยาบาลสาวพาเซ่อทำท่าจะก้มลงไปดูตามที่หล่อนสั่ง แต่สรีตยาก็เหนี่ยวไหล่ห้ามไว้พร้อมกับหัวเราะเบาๆ

             "ฉันล้อเล่นน่ะค่ะคุณพยาบาล  ช่างเถอะค่ะหมอนี่น่ะผลุบๆโผล่ๆอย่างนี้เป็นประจำน่ะแหล่ะค่ะ  เราไปกันเถอะ ฉันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเต็มทีแล้ว"

       

             รถเข็นคนไข้พาร่างเพรียวบางของสรีตยาออกจากโลกที่อุดอู้ของหล่อนด้วยล้อใหญ่ๆกับอีกสองล้อเล็กๆ  คุณพยาบาลสาวยืนอยู่ด้านหลังของรถทำหน้าที่เป็นคนเข็น เมื่อเลี้ยวออกจากห้องได้เพียงสองเมตรสรีตยาและคุณพยาบาลก็สวนกับหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งจนเกือบจะชนกัน  หล่อนหยุดวิ่งพร้อมกับปราดเข้ามาจับที่ต้นแขนของคุณพยาบาลพลางเขย่าถี่ๆ

             "คุณพยาบาลคะ ช่วยตามคุณหมอปิยพงษ์ให้หน่อยซิคะ แฟนของดิฉันเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆชีพจรก็อ่อนลงฮวบฮาบเลยค่ะ"

             คุณพยาบาลถอดสีหน้าทันที ก้มหน้าไปบอกความกับสรีตยาเบาๆ

             "คุณสรีตยาคะ รอดิฉันที่นี่ซักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบมา"

             "ค่ะ"

             เธอว่าง่ายจนหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนั้นหันมายิ้มให้ทั้งที่น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาใสๆทั้งสอง  หลังจากนั้นคุณพยาบาลสาวก็โกยอ้าวสุดกำลังที่หล่อนมีวิ่งไปที่เคาน์เตอร์หน้าลิฟท์อย่างรวดเร็ว

             "ใจเย็นๆนะคะ แฟนของคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ"

             สรีตยาพูดปลอบโยนหญิงสาวผมสั้นคนนั้นพร้อมกับกุมมืออย่างถือสนิทในฐานะผู้หญิงด้วยกัน

             "ขอบคุณค่ะ  เมื่อวานยังดีๆอยู่เลยไหงวันนี้เป็นยังงี้แล้วก็ไม่รู้"

             พูดไปหล่อนก็ทำท่าจะร้องไห้อีก ยกมือขึ้นปิดปากน้ำใสๆค่อยๆไหลออกจากตาหยดลงผ่านแก้มขาวนวลที่ซีดเซียว

             "เข้าไปรอคุณหมอในห้องก่อนเถอะค่ะ  เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้วล่ะ"

             "ค่ะ"

             "คุณ...."

             "พิชัญญา ค่ะ  เรียกว่า 'ปีใหม่'ก็ได้ค่ะ ชื่อเล่นของฉันเอง"

             "ค่ะ..ยินดีที่รู้จักค่ะ ดิฉันชื่อ สรีตยาค่ะ เรียกว่า 'รถเมล์' ก็ได้ค่ะชื่อเล่นของฉันเหมือนกัน อยู่ห้องข้างๆคุณนี่เอง"

             พิชัญญายิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มทั้งสอง

             "จะรังเกียจมั้ยคะ  ถ้าฉันจะขอเข้าไปดูอาการของแฟนคุณด้วยในห้องน่ะค่ะ"

             "อ้อ..ไม่เลยค่ะ  เชิญเลยค่ะ"

             พูดพลางสองสาวก็พากันเข้าห้องหมายเลข 323 ไป โดยหญิงสาวผมสั้นเป็นผู้เข็นรถพาเพื่อนใหม่เข้าไป

             "ชื่อคุณแปลกจังเลยนะคะ"

             หญิงสาวผมสั้นชวนคุยขณะที่พาร่างของเพื่อนใหม่เข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของคนเจ็บ  ร่างของคนที่นอนปากซีดหน้าซีดอยู่บนเตียงตรงหน้าของสรีตยายามนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณน่าจะรุ่นๆหล่อน นอนหายใจอ่อนระทวยอย่างน่าสงสารริมฝีปากแห้งผากจนเกิดรอยแตกชนิดที่เห็นได้ชัด

             "ค่ะ..แฟนของคุณปีใหม่เป็นอะไรล่ะคะ ถึงต้องเข้าโรงพยาบาล?"

             ผู้ถูกถามเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของเตียง  เอื้อมไปกุมมือของคนเจ็บบนเตียงอย่างแผ่วเบายืนจ้องวงหน้าที่เรียวยาวนั้นด้วยน้ำตาคลอ  ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยประโยคใดออกไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยความแรงของผู้ผลักออก พร้อมกับร่างของคุณหมอหนุ่มกับพยาบาลสาว

             "คุณหมอคะ ช่วยดูด้วยเถอะค่ะ จู่ๆเค้าก็หน้าซีดปากซีดเฉยๆขึ้นมาอย่างนั้นแหละค่ะ พอดิฉันลองตรวจจับดูที่ข้อมือ ชีพจรของเค้าก็เต้นอ่อนมากๆเลยล่ะค่ะ"

             บุรุษในเสื้อกาวน์สีขาวบริสุทธิ์ผู้เป็นดั่งความหวังของพิชัญญา ตรวจจับและดูอาการของคนเจ็บอย่างละเอียด ด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านความคิดถูก

             "อิ๋ว! คุณไปเตรียมรถเข็นมาด่วนเลย  ผมจะนำคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน"

             พิชัญญาแทบจะลมจับ รีบเข้าไปดักหน้าของคุณหมอหนุ่มทันที

             "ถึงกับต้องเข้าห้องI.C.U.เลยเหรอคะคุณหมอ"

             ผู้เป็นความหวังเดียวของพิชัญญายิ้มให้อย่างอบอุ่นพูดเชิงปลอบใจ พร้อมกับเอื้อมมือที่อ่อนนุ่มมากุมที่ไหล่ของเธอแผ่วเบา

             "ไม่มีอะไรต้องห่วงมากหรอกครับ  หมอจะพยายามอย่างเต็มที่ แฟนของคุณพ้นขีดอันตรายมาแล้ว แค่อาการอาฟเตอร์ช็อคแค่นี้ เค้าต้องผ่านไปได้อยู่แล้วล่ะครับ"

             พลันคุณหมอหนุ่มรูปหล่อก็หันไปทางสรีตยาผู้นั่งมองอยู่บนรถเข็น

             "คุณสรีตยาครับ  ผมคงต้องเลื่อนการพูดคุยของเราไปเป็นตอนค่ำนะครับ"

             "ค่ะ  ฉันเองก็ไม่รีบร้อนอะไรมากอยู่แล้วล่ะค่ะ  ยังไงชีวิตของคนย่อมสำคัญกว่าค่ะ"

             ทั้งคุณหมอและพิชัญญาหันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทางพิชัญญาเธอเองรู้สึกรักใคร่ชอบพอสรีตยาเยี่ยงมิตรเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

             ครู่เดียวร่างของคนเจ็บก็ถูกลำเลียงไปยังห้องฉุกเฉินชนิดแข่งกับเวลา

       

     

             ร่างเพรียวบางของสรีตยาบนรถเข็นเอื้อมมือไปกุมมือของพิชัญญา ที่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย พร้อมกับส่งสายตาที่เป็นประกายแห่งความเป็นมิตรมาให้อย่างอบอุ่น

             "นั่งก่อนก็ได้จ้ะ เดินไปเดินมามันก็ไม่ช่วยอะไรมากนักหรอก เดี๋ยวก็เวียนหัวเป็นลมเป็นแล้งไปซะอีกคน มันจะยุ่ง"

             น้ำเสียงหวานๆที่ปลุกปลอบโยนระคนหยอกเบาๆ ช่วยให้พิชัญญาหยุดเดินจงกลมหน้าห้องฉุกเฉินลงได้  เธอส่งมืออีกข้างมากุมตอบสรีตยาเช่นกัน สีหน้าที่ยุ่งและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวลใจ ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย  ยิ้มจางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางๆคู่นั้น

             "ฉันร้อนใจมากเลย  ไม่รู้ว่าปอนด์จะเป็นยังไงบ้าง.."

             "ใจเย็นๆก่อนเถอะจ้ะ  คุณหมอเองก็รับปากแถมยังยืนยันด้วยว่าแฟนของปีใหม่จะไม่เป็นอะไรมาก  เชื่อมือเค้าเถอะ ยังไงเค้าก็เคยช่วยแฟนของปีใหม่มาแล้วหนนึงไม่ใช่เหรอจ๊ะ.."

             "ฉันขอบใจเธอมากเลยนะ ที่ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นน่ะ"

             สรีตยายิ้มกว้างๆให้อีกครั้งจนเห็นฟันขาวราวกับเปลือกหอยที่เรียงเป็นระเบียบราวกับกำแพงเมืองจีนทั้งสามสิบสองซี่อย่างจริงใจและเปิดเผย  เขย่ามือที่กุมไว้แรงๆ

             "เลิกเรียก 'ฉัน' เรียก 'เธอ' ได้แล้ว  เรียกชื่อเลยก็ได้  แบบรถเมล์ไง..รถเมล์ยังเรียกปีใหม่ว่าปีใหม่เลย  จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้น..หนิดหนมๆ"

             พิชัญญาอดหัวเราะไม่ได้ทั้งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้  เธอชอบในความเป็นมิตรและความอารมณ์ดีของเพื่อนใหม่คนนี้ ชนิดที่ลึกๆในใจคิดจะคบหาจริงจังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เลยทีเดียว

             "จ้ะ"

             แล้วพิชัญญาหรือปีใหม่ก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องแทนที่จะเดินวนไปวกมาเหมือนเมื่อครู่  ขณะที่สรีตยาก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ๆ ขยับจะลุกลงจากรถ พิชัญญาจึงรี่เข้ามาช่วยพยุง

             "ไม่ต้องพยุงหรอกจ้ะ รถเมล์ไม่ได้เป็นอัมพาตหรือขาแข้งหักซะหน่อย เดินได้จ้ะ..เดินได้"

             แต่ก็ยังไม่วาย พิชัญญาก็ยังช่วยประคองร่างเพรียวบางนั้นเข้ามานั่งข้างๆกัน 

             "แล้วเธอเอ้ย!รถเมล์เป็นอะไรล่ะจ๊ะ ถึงต้องมาเข้าโรงพยาบาล?"

             "รถเมล์เองก็ยังไม่รู้เลยล่ะ"

             "อ้าว!"

             พิชัญญาเลิกคิ้วร้องเสียงสูง มองหน้าเพื่อนใหม่อย่างฉงน

             "รถเมล์จำอะไรไม่ได้เลยล่ะ  แม้กระทั่งพ่อกับแม่"

             "หือ..ความจำเสื่อมงั้นเหรอ?"

             "ก็ยังไม่แน่เหมือนกันแหละ  วันนี้คุณหมอเค้านัดจะคุยพร้อมกับผลตรวจแต่เผอิญต้องปลีกตัวมาดูแฟนของปีใหม่ก่อน  ก็เลยยังไม่รู้อะไรแน่ชัดน่ะ"

             พิชัญญากุมมือ พูดเสียงอ่อย

             "ปีใหม่ขอโทษนะที่แซงคิวรถเมล์น่ะ"

             "โอ๊ย!ช่างเถอะจ้ะ  เล็กน้อยๆชีวิตคนทั้งคนสำคัญกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยหรอกจ้ะ"

             หล่อนพูดพลางโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้ายิ้มให้อย่างมิตร

             "จ้ะ..แต่ปีใหม่ว่ารถเมล์คงไม่ถึงกับความจำเสื่อมหรอก  อาจแค่สมองกระทบกระเทือนนิดหน่อย  พอรื้อฟื้นหน่อยก็น่าจะจำอะไรได้แล้วล่ะ"

             "จ้า..รถเมล์ก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน  ว่าแต่แฟนของปีใหม่ล่ะ ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะจ๊ะ"

             พิชัญญาคลายมือที่กุมไว้ออก เสยผมสีน้ำตาลขึ้น ถอนใจเฮือกใหญ่  เหม่อมองไปยังผนังกำแพงสีขาวที่ว่างเปล่า ค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ  ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มแฉะไปด้วยน้ำใสๆที่เรียกว่า 'น้ำตา'


            

             ขอบคุณทุกๆความเห็นที่ส่งเข้ามานะครับ..ช่วยติดตามอ่านตอนต่อๆไปด้วยนะครับ  เพราะรับรองว่ามีอะไรให้แปลกใจอยู่เสมอแน่ๆ  โดยเฉพาะตอนจบ(ซึ่งคงยังอีกนาน)
             จะรีบปั่นมาลงให้เร็วๆที่สุดนะครับ คาดว่าสิ้นเดือนหน้าจบแน่นอน...ขอบคุณอีกครั้งครับ..
            

             "กินข้าวซักหน่อยเถอะคุณ เดี๋ยวจะไม่มีแรง"

             น้ำเสียงที่เย็นเยียบแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยนั้น กล่าวขึ้นมาเบาๆ

             "นี่!คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมฉันถึงไม่เห็นคุณเมื่อกี้นี้เลย....ทำตัวยังกะผี"

             หล่อนเอะอะโวยวายแต่ก็ไม่เสียงดังเกินไปนัก ประโยคหลังก่นเบาๆเหมือนจะประชด

             "กินซี่ อาหารดีๆทั้งนั้นเลย น่ากินออกผมยังอยากกินเลย"

             "อยากกินก็กินซี่ ฉันยกให้"

             "เรื่องอะไร..ของๆคุณ คุณก็กินเถอะอย่ามาโยนให้ผมเลย กินซะเดี๋ยวจะได้ไปพบกับคุณหมอรูปหล่อนั่น"

             สรีตยาเบ้ปากที่เซียวซีดของเธอพลางเอื้อมมือไปเลื่อนโต๊ะอาหารเข้ามาตรงหน้า

             "นี่!คุณ เป็นสุภาพบุรุษหน่อยซิ เห็นมั้ยเนี่ยฉันเป็นผู้หญิงนะแล้วก็กำลังป่วยอยู่ด้วย จะช่วยเข็นมาให้หน่อยก็ไม่มี ใจดำจริงๆ"

             ชายลึกลับทำหูทวนลม ผิวปากหวือยังคงปล่อยให้หล่อนก่นด่าอยู่เช่นนั้น

             "แล้วนี่คุณจะบอกฉันได้รึยังเนี่ยว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับฉันแล้วถือวิสาสะเข้าๆออกๆห้องนี้ได้ยังไง"

             คนไข้แสนสวยยิงคำถามเป็นชุดปากก็กินข้าวต้มบนโต๊ะอย่างช้าๆ

             ชายลึกลับผู้ถูกสอบ ค่อยๆเลื่อนร่างสูงใหญ่ของเขาลงจากโต๊ะวางแจกันช้าๆ เยื้องย่างไปที่โซฟาในห้องมือกอดอก ปากยังคงสั่นฟันกระทบกันเบาๆ

             "ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลยแม้แต่น้อย คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ"

             น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นพูดขึ้นช้าๆ สายตาเหม่อมองไปยังระเบียงนอกห้องพลางเอนกายลงกับโซฟานุ่มๆอย่างเชื่องช้า หล่อนแอบเหลือบมองใบหน้าที่ซีดเซียวของคนๆนั้นอย่างพินิจ ความรู้สึกบางอย่างในความทรงจำที่เลือนรางของเธอ เหมือนจะพยายามเรียกภาพของใครซักคนให้คืนมา แต่ภาพนั้นก็ไม่ปรากฎซักที

             "แล้วไงต่อ?"

             "แต่ผมพอจะรู้จักคุณมาบ้าง คุณจะเชื่อมั้ยถ้าผมจะบอกคุณว่า.."

             "ว่าอะไร?"

             สรีตยาละจากอาหารตรงหน้าขึ้นมาสบตากับเขา มือก็พลางเช็ดปากด้วยทิชชู่จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังจะหลุดออกมาจากวงปากที่ซีดเซียวนั้น

             'พรึ่บ'

             เสียงกระพือปีกของนกนางนวลหลงถิ่นตัวขนาดเขื่องสีขาว พัดเอาเศษใบไม้แห้งนอกระเบียงกระจายว่อนไปทั่ว หยุดชะงักการพูดคุยของคนทั้งสองลงชั่วขณะ

             ชายหนุ่มลึกลับขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน ลุกขึ้นพรวด ส่งสายตาแข็งกร้าวไปยังนกนางนวลตัวนั้นเหมือนจะต่อว่า ขณะที่เจ้าสัตว์มีปีกตัวยักษ์ผิดปกติก็กระพือปีกเหมือนจะพูดจาโต้ตอบ บินวนไปวนมาอยู่แต่บริเวณนั้นอย่างผิดวิสัยนกทั่วไป

             "โอ้โห! นกนางนวลนี่ ตัวเมียซะด้วยแถมยังตัวใหญ่เบิ้มเลย นี่หาดูยากมากเลยนะ"

             สรีตยาอุทานเสียงดัง รีบหันหน้าออกไปทางที่มาของเสียง เมื่อพบกับเจ้าตัวที่ทำให้เกิดเสียงหล่อนก็ตาโตเท่าไข่ห่านทันที ดูหล่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเจ้านกพลัดถิ่นตัวนั้นมากกว่าจนลืมเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อครู่เสียสนิท

             "อื้อ หาดูยาก ยิ่งตัวใหญ่ผิดนกนางนวลทั่วไปแบบนี้แล้วยิ่งหายากใหญ่เลย"

             "ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นนกพันธุ์นี้ที่ไหนน้า.."

             "บางปู"

             หล่อนหลับตานิ่งอยู่ครู่เหมือนจะทบทวนความทรงจำ ก่อนจะดีดนิ้วออกมาเสียงดัง

             "อื้อ!ใช่ สถานตากอากาศบางปู  ใช่แล้ว"

             "แต่ไม่ใช่ช่วงนี้  ต้องอีกสองเดือนนกพวกนี้ถึงจะหนีหนาวลงมาที่บ้านเรา"

             สุ้มเสียงของชายหนุ่มนุ่มลึกเย็นเยียบ โดยที่สายตาที่แข็งกร้าวนั้นก็ยังไม่ละสายตาไปจากนกนางนวลยักษ์ตัวนั้น ขณะที่เจ้าตัวที่ถูกจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้นก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเช่นกัน

             "ผมว่าคุณไปพบคุณหมอก่อนเถอะ จะได้รู้ความเป็นมาของตัวคุณเองซักที"

             หล่อนเหลือบไปมองหน้าที่ตายด้านนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งที่หัวนอนของหล่อน

             "งั้นคุณก็ไปด้วยกันซี่ ฉันว่าฉันต้องรู้จักคุณแน่ๆเลย"

             ใบหน้าที่ซีดเซียวเย็นกระด้างนั้นปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ พร้อมกับสั่นศีรษะช้าๆ

             "ตามสบายเถอะคุณ ผมมีธุระต้องทำน่ะ เอาไว้เดี๋ยวหัวค่ำผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่"

             เสียงบานประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงรองเท้ามีส้นต็อกแต็กๆ เดินเข้ามา  ทำให้สรีตยาหันไปมอง ก็พบกับร่างของนางพยาบาลเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับรถเข็น

             "นี่ฉันเป็นอัมพาตด้วยเหรอคะเนี่ย คุณพยาบาล?"

             สตรีในชุดสีขาวบริสุทธิ์หัวเราะเบาๆ

             "เปล่าหรอกค่ะ แต่คุณหมอเห็นว่าสภาพร่างกายของคุณยังไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่น่ะค่ะ ก็เลยให้ดิฉันเอารถมารับ แต่ถ้าคุณสรีตยาคิดว่าพอจะเดินไหวก็จะเดินไปก็ได้นะคะ"

             สรีตยาโบกมือช้าๆพร้อมกับหัวเราะ  ขยับร่างเพรียวบางจะลงจากเตียง

             "ฉันล้อคุณพยาบาลเล่นน่ะค่ะ ถ้าคุณหมอเห็นว่าต้องนั่งรถเข็นก็นั่งค่ะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ในชีวิตนึงจะมีโอกาสได้นั่งรถเข็นซักกี่ครั้งกันเนอะ"

             พยาบาลสาวยิ้มให้คนไข้ขี้เล่นอย่างชอบพอ  พร้อมกับช่วยพยุงร่างนั้นให้ขึ้นนั่งบนรถเข็นอย่างช้าๆ

             "อ้อ นี่คุณ 'ตายด้าน' คุณจะไม่ช่วยคุณพยาบาลพยุงฉันขึ้นรถเข็นเลยใช่มั้ยเนี่ย? ยืนมองเฉยเลย"

             พูดไปหล่อนก็หันหน้าไปทางด้านที่ร่างลึกลับนั้นยืนเหม่ออยู่  โดยที่หล่อนเองถือวิสาสะตั้งชื่อประชดประชันให้เสียเลย  แต่ร่างนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่มีอาการสะดุ้งหรือสะทกสะท้านใดๆเลย

             "ผมมันคงตายด้านอย่างที่คุณว่าจริงๆแหละ"

             "ใช่! ทั้งด้านทั้งบ้องตื้ออีกต่างหาก ไปกันเถอะค่ะคุณพยาบาล"

             คุณพยาบาลยืนงง หัวคิ้วขมวดกันเป็นโบว์ มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบกับบุคคลที่สามนอกจากตัวเธอกับหล่อน

             "คุณสรีตยา..พูดกับใครคะ?"

             "ก็พูดกับหมอนี่ไง....."

             พูดพลางหล่อนก็หันไปจะชี้หน้า คนตายด้าน (อย่างที่หล่อนว่า) แต่ก็ปรากฏว่าร่างนั้นได้อันตรธานหายไปกับสายลมอีกแล้ว

             "เอ๊ะ! หมอนี่ หายไปไหนอีกแล้วนะ เป็นผีรึไงกัน  คุณพยาบาลคะช่วยก้มดูใต้เตียงให้หน่อยซิคะว่ามี คนตายด้าน ไปนอนแอบอยู่รึเปล่า?"

             พยาบาลสาวพาเซ่อทำท่าจะก้มลงไปดูตามที่หล่อนสั่ง แต่สรีตยาก็เหนี่ยวไหล่ห้ามไว้พร้อมกับหัวเราะเบาๆ

             "ฉันล้อเล่นน่ะค่ะคุณพยาบาล  ช่างเถอะค่ะหมอนี่น่ะผลุบๆโผล่ๆอย่างนี้เป็นประจำน่ะแหล่ะค่ะ  เราไปกันเถอะ ฉันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเต็มทีแล้ว"

       

             รถเข็นคนไข้พาร่างเพรียวบางของสรีตยาออกจากโลกที่อุดอู้ของหล่อนด้วยล้อใหญ่ๆกับอีกสองล้อเล็กๆ  คุณพยาบาลสาวยืนอยู่ด้านหลังของรถทำหน้าที่เป็นคนเข็น เมื่อเลี้ยวออกจากห้องได้เพียงสองเมตรสรีตยาและคุณพยาบาลก็สวนกับหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งจนเกือบจะชนกัน  หล่อนหยุดวิ่งพร้อมกับปราดเข้ามาจับที่ต้นแขนของคุณพยาบาลพลางเขย่าถี่ๆ

             "คุณพยาบาลคะ ช่วยตามคุณหมอปิยพงษ์ให้หน่อยซิคะ แฟนของดิฉันเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆชีพจรก็อ่อนลงฮวบฮาบเลยค่ะ"

             คุณพยาบาลถอดสีหน้าทันที ก้มหน้าไปบอกความกับสรีตยาเบาๆ

             "คุณสรีตยาคะ รอดิฉันที่นี่ซักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบมา"

             "ค่ะ"

             เธอว่าง่ายจนหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนั้นหันมายิ้มให้ทั้งที่น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาใสๆทั้งสอง  หลังจากนั้นคุณพยาบาลสาวก็โกยอ้าวสุดกำลังที่หล่อนมีวิ่งไปที่เคาน์เตอร์หน้าลิฟท์อย่างรวดเร็ว

             "ใจเย็นๆนะคะ แฟนของคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ"

             สรีตยาพูดปลอบโยนหญิงสาวผมสั้นคนนั้นพร้อมกับกุมมืออย่างถือสนิทในฐานะผู้หญิงด้วยกัน

             "ขอบคุณค่ะ  เมื่อวานยังดีๆอยู่เลยไหงวันนี้เป็นยังงี้แล้วก็ไม่รู้"

             พูดไปหล่อนก็ทำท่าจะร้องไห้อีก ยกมือขึ้นปิดปากน้ำใสๆค่อยๆไหลออกจากตาหยดลงผ่านแก้มขาวนวลที่ซีดเซียว

             "เข้าไปรอคุณหมอในห้องก่อนเถอะค่ะ  เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้วล่ะ"

             "ค่ะ"

             "คุณ...."

             "พิชัญญา ค่ะ  เรียกว่า 'ปีใหม่'ก็ได้ค่ะ ชื่อเล่นของฉันเอง"

             "ค่ะ..ยินดีที่รู้จักค่ะ ดิฉันชื่อ สรีตยาค่ะ เรียกว่า 'รถเมล์' ก็ได้ค่ะชื่อเล่นของฉันเหมือนกัน อยู่ห้องข้างๆคุณนี่เอง"

             พิชัญญายิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มทั้งสอง

             "จะรังเกียจมั้ยคะ  ถ้าฉันจะขอเข้าไปดูอาการของแฟนคุณด้วยในห้องน่ะค่ะ"

             "อ้อ..ไม่เลยค่ะ  เชิญเลยค่ะ"

             พูดพลางสองสาวก็พากันเข้าห้องหมายเลข 323 ไป โดยหญิงสาวผมสั้นเป็นผู้เข็นรถพาเพื่อนใหม่เข้าไป

             "ชื่อคุณแปลกจังเลยนะคะ"

             หญิงสาวผมสั้นชวนคุยขณะที่พาร่างของเพื่อนใหม่เข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของคนเจ็บ  ร่างของคนที่นอนปากซีดหน้าซีดอยู่บนเตียงตรงหน้าของสรีตยายามนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณน่าจะรุ่นๆหล่อน นอนหายใจอ่อนระทวยอย่างน่าสงสารริมฝีปากแห้งผากจนเกิดรอยแตกชนิดที่เห็นได้ชัด

             "ค่ะ..แฟนของคุณปีใหม่เป็นอะไรล่ะคะ ถึงต้องเข้าโรงพยาบาล?"

             ผู้ถูกถามเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของเตียง  เอื้อมไปกุมมือของคนเจ็บบนเตียงอย่างแผ่วเบายืนจ้องวงหน้าที่เรียวยาวนั้นด้วยน้ำตาคลอ  ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยประโยคใดออกไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยความแรงของผู้ผลักออก พร้อมกับร่างของคุณหมอหนุ่มกับพยาบาลสาว

             "คุณหมอคะ ช่วยดูด้วยเถอะค่ะ จู่ๆเค้าก็หน้าซีดปากซีดเฉยๆขึ้นมาอย่างนั้นแหละค่ะ พอดิฉันลองตรวจจับดูที่ข้อมือ ชีพจรของเค้าก็เต้นอ่อนมากๆเลยล่ะค่ะ"

             บุรุษในเสื้อกาวน์สีขาวบริสุทธิ์ผู้เป็นดั่งความหวังของพิชัญญา ตรวจจับและดูอาการของคนเจ็บอย่างละเอียด ด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านความคิดถูก

             "อิ๋ว! คุณไปเตรียมรถเข็นมาด่วนเลย  ผมจะนำคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน"

             พิชัญญาแทบจะลมจับ รีบเข้าไปดักหน้าของคุณหมอหนุ่มทันที

             "ถึงกับต้องเข้าห้องI.C.U.เลยเหรอคะคุณหมอ"

             ผู้เป็นความหวังเดียวของพิชัญญายิ้มให้อย่างอบอุ่นพูดเชิงปลอบใจ พร้อมกับเอื้อมมือที่อ่อนนุ่มมากุมที่ไหล่ของเธอแผ่วเบา

             "ไม่มีอะไรต้องห่วงมากหรอกครับ  หมอจะพยายามอย่างเต็มที่ แฟนของคุณพ้นขีดอันตรายมาแล้ว แค่อาการอาฟเตอร์ช็อคแค่นี้ เค้าต้องผ่านไปได้อยู่แล้วล่ะครับ"

             พลันคุณหมอหนุ่มรูปหล่อก็หันไปทางสรีตยาผู้นั่งมองอยู่บนรถเข็น

             "คุณสรีตยาครับ  ผมคงต้องเลื่อนการพูดคุยของเราไปเป็นตอนค่ำนะครับ"

             "ค่ะ  ฉันเองก็ไม่รีบร้อนอะไรมากอยู่แล้วล่ะค่ะ  ยังไงชีวิตของคนย่อมสำคัญกว่าค่ะ"

             ทั้งคุณหมอและพิชัญญาหันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทางพิชัญญาเธอเองรู้สึกรักใคร่ชอบพอสรีตยาเยี่ยงมิตรเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

             ครู่เดียวร่างของคนเจ็บก็ถูกลำเลียงไปยังห้องฉุกเฉินชนิดแข่งกับเวลา

       

     

             ร่างเพรียวบางของสรีตยาบนรถเข็นเอื้อมมือไปกุมมือของพิชัญญา ที่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย พร้อมกับส่งสายตาที่เป็นประกายแห่งความเป็นมิตรมาให้อย่างอบอุ่น

             "นั่งก่อนก็ได้จ้ะ เดินไปเดินมามันก็ไม่ช่วยอะไรมากนักหรอก เดี๋ยวก็เวียนหัวเป็นลมเป็นแล้งไปซะอีกคน มันจะยุ่ง"

             น้ำเสียงหวานๆที่ปลุกปลอบโยนระคนหยอกเบาๆ ช่วยให้พิชัญญาหยุดเดินจงกลมหน้าห้องฉุกเฉินลงได้  เธอส่งมืออีกข้างมากุมตอบสรีตยาเช่นกัน สีหน้าที่ยุ่งและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวลใจ ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย  ยิ้มจางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางๆคู่นั้น

             "ฉันร้อนใจมากเลย  ไม่รู้ว่าปอนด์จะเป็นยังไงบ้าง.."

             "ใจเย็นๆก่อนเถอะจ้ะ  คุณหมอเองก็รับปากแถมยังยืนยันด้วยว่าแฟนของปีใหม่จะไม่เป็นอะไรมาก  เชื่อมือเค้าเถอะ ยังไงเค้าก็เคยช่วยแฟนของปีใหม่มาแล้วหนนึงไม่ใช่เหรอจ๊ะ.."

             "ฉันขอบใจเธอมากเลยนะ ที่ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นน่ะ"

             สรีตยายิ้มกว้างๆให้อีกครั้งจนเห็นฟันขาวราวกับเปลือกหอยที่เรียงเป็นระเบียบราวกับกำแพงเมืองจีนทั้งสามสิบสองซี่อย่างจริงใจและเปิดเผย  เขย่ามือที่กุมไว้แรงๆ

             "เลิกเรียก 'ฉัน' เรียก 'เธอ' ได้แล้ว  เรียกชื่อเลยก็ได้  แบบรถเมล์ไง..รถเมล์ยังเรียกปีใหม่ว่าปีใหม่เลย  จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้น..หนิดหนมๆ"

             พิชัญญาอดหัวเราะไม่ได้ทั้งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้  เธอชอบในความเป็นมิตรและความอารมณ์ดีของเพื่อนใหม่คนนี้ ชนิดที่ลึกๆในใจคิดจะคบหาจริงจังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เลยทีเดียว

             "จ้ะ"

             แล้วพิชัญญาหรือปีใหม่ก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องแทนที่จะเดินวนไปวกมาเหมือนเมื่อครู่  ขณะที่สรีตยาก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ๆ ขยับจะลุกลงจากรถ พิชัญญาจึงรี่เข้ามาช่วยพยุง

             "ไม่ต้องพยุงหรอกจ้ะ รถเมล์ไม่ได้เป็นอัมพาตหรือขาแข้งหักซะหน่อย เดินได้จ้ะ..เดินได้"

             แต่ก็ยังไม่วาย พิชัญญาก็ยังช่วยประคองร่างเพรียวบางนั้นเข้ามานั่งข้างๆกัน 

             "แล้วเธอเอ้ย!รถเมล์เป็นอะไรล่ะจ๊ะ ถึงต้องมาเข้าโรงพยาบาล?"

             "รถเมล์เองก็ยังไม่รู้เลยล่ะ"

             "อ้าว!"

             พิชัญญาเลิกคิ้วร้องเสียงสูง มองหน้าเพื่อนใหม่อย่างฉงน

             "รถเมล์จำอะไรไม่ได้เลยล่ะ  แม้กระทั่งพ่อกับแม่"

             "หือ..ความจำเสื่อมงั้นเหรอ?"

             "ก็ยังไม่แน่เหมือนกันแหละ  วันนี้คุณหมอเค้านัดจะคุยพร้อมกับผลตรวจแต่เผอิญต้องปลีกตัวมาดูแฟนของปีใหม่ก่อน  ก็เลยยังไม่รู้อะไรแน่ชัดน่ะ"

             พิชัญญากุมมือ พูดเสียงอ่อย

             "ปีใหม่ขอโทษนะที่แซงคิวรถเมล์น่ะ"

             "โอ๊ย!ช่างเถอะจ้ะ  เล็กน้อยๆชีวิตคนทั้งคนสำคัญกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยหรอกจ้ะ"

             หล่อนพูดพลางโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้ายิ้มให้อย่างมิตร

             "จ้ะ..แต่ปีใหม่ว่ารถเมล์คงไม่ถึงกับความจำเสื่อมหรอก  อาจแค่สมองกระทบกระเทือนนิดหน่อย  พอรื้อฟื้นหน่อยก็น่าจะจำอะไรได้แล้วล่ะ"

             "จ้า..รถเมล์ก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน  ว่าแต่แฟนของปีใหม่ล่ะ ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะจ๊ะ"

             พิชัญญาคลายมือที่กุมไว้ออก เสยผมสีน้ำตาลขึ้น ถอนใจเฮือกใหญ่  เหม่อมองไปยังผนังกำแพงสีขาวที่ว่างเปล่า ค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ  ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มแฉะไปด้วยน้ำใสๆที่เรียกว่า 'น้ำตา'


            

             ขอบคุณทุกๆความเห็นที่ส่งเข้ามานะครับ..ช่วยติดตามอ่านตอนต่อๆไปด้วยนะครับ  เพราะรับรองว่ามีอะไรให้แปลกใจอยู่เสมอแน่ๆ  โดยเฉพาะตอนจบ(ซึ่งคงยังอีกนาน)
             จะรีบปั่นมาลงให้เร็วๆที่สุดนะครับ คาดว่าสิ้นเดือนหน้าจบแน่นอน...ขอบคุณอีกครั้งครับ..
            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×