คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ความทรงจำที่สาบสูญ
อุบัติเหตุบนถนนสายที่ยี่สิบสี่
(MIRACLR OF LOVE ON STREET24th)
บทที่หนึ่ง
ความทรงจำที่สาบสูญ
สรีตยาลืมตาขึ้นมาจากโลกที่มืดมิดไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ แต่ภาพแรกที่จักษุประสาทของเธอตอบสนองก็คือภาพของหญิงชายวัยกลางคนคู่หนึ่งที่ยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ พลางเขย่ามือไม้ของเธอราวกับจะไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้า อีกข้างของเตียงปรากฏร่างของชายหนุ่มในเสื้อกาวน์สีขาวขนาบข้างด้วยพยาบาลสาวหน้าตาจิ้มลิ้มสองคนซ้ายขวา อิริยาบถของชายผู้นั้นเมื่อเห็นหล่อนลืมตาขึ้นมาก็มีสีหน้าแช่มชื่นไม่แพ้คนคู่นั้นเช่นกัน
"เป็นยังไงบ้างลูก หิวมั้ย?เดี๋ยวแม่จะไปหาอะไรมาให้กิน"
'ลูก' 'แม่'....โสตประสาทการรับรู้ทางเสียงของหล่อนกำลังตีความหมายของสองคำนี้อย่างใคร่ครวญ
"คุณนี่ อย่าเพิ่งจัดแจงอะไรเองได้มั้ยเนี่ย..ถามคุณหมอดูก่อนซิ ว่าให้ทานอะไรได้รึยัง?"
เสียงของชายวัยกลางคนที่ยืนคู่กันเอ็ดมาเบาๆแต่สีหน้าปิ่มล้นไปด้วยความสุข
"เชิญครับ...ทานได้ตามสบายเลย เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเอาสายน้ำเกลือออก แต่ผมขอตรวจอีกซักหน่อยก็แล้วกันนะครับ"
เสียงนุ่มๆที่พึ่งจะพูดออกมาเป็นครั้งแรกของบุคคลที่ทุกคนเรียกกันว่า 'หมอ' ตอบมาอย่างสุภาพน้ำเสียงฟังดูอบอุ่นและเป็นกันเอง
"ครับๆ...เอาเลย"
มือที่อุ่นและอ่อนนุ่มของหมอหนุ่มเอื้อมมาตรวจจับชีพจร ตรวจฟังเสียงเต้นของหัวใจ ปากก็พลางถามอาการไปเรื่อย
"เป็นยังไงบ้างครับ มึนหัวมั้ย?"
สรีตยาได้แต่นอนยิ้มพลางส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ
"หน้ามืดมั้ย?แล้วปวดบริเวณไหนบ้างหรือเปล่า..."
หล่อนก็ยังคงได้แต่ยิ้มแห้งๆเช่นเดิม
"อืม...สภาพร่างกายตอนนี้ปกติดี แต่รู้สึกว่าคนไข้จะเป็นใบ้ไปซะแล้วนะครับ เพราะหมอถามอะไรก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเดียวเลย"
คำหยอกเบาๆของหมอเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวคนไข้ที่ถูกแซวก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาพูดพลางก็ถอดหูฟังของเครื่องตรวจออกมือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ ส่งสายตาเป็นมิตรมายังคนไข้แสนสวย
"แล้วเรื่องที่เรากลัวกันล่ะครับหมอ?"
"ก็ต้องลองพิสูจน์กันดูก่อนล่ะครับ แต่เห็นจะยากเพราะอย่างที่บอกแล้วว่าคนไข้เราเป็นใบ้ไปซะแล้ว.....ใช่มั้ยจ๊ะ?"
ประโยคหลังหมอหนุ่มหันมาทางคนไข้ที่นอนมองการสนทนาของสองฝ่ายข้ามหัวไปมาอยู่ แต่ก็อดยิ้มรับกับคำแซวน่ารักๆอีกครั้งของเขาไม่ได้
"ใครว่าล่ะคะ...ฉันพูดได้ เปล่าเป็นใบ้ซะหน่อย"
ประโยคแรกที่คนไข้สาวสวยพูดขึ้นแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยินแต่ก็พอจับความได้ ทำเอาทั้งห้องยิ้มกันร่า หล่อนยังคงน่ารักอารมณ์ดีเสมอแม้ร่างกายจะนอนซมอยู่บนเตียงก็ตาม
"อ้าวเหรอครับ?ก็เห็นนอนฟังอยู่อย่างเดียวหมอก็นึกว่าเป็นใบ้ซะแล้วซิ"
"คุณหมอคะ...ดิฉันเป็นอะไรคะเนี่ย ทำไมถึงต้องมานอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ด้วยคะ?"
คำถามเรียบๆแต่สะกดทุกคนในห้องให้นิ่งสนิทนั้น เหมือนสะกิดหัวใจของพวกเขาให้หยุดเต้นไปชั่วขณะ ริ้วรอยแห่งความวิตกเริ่มปรากฎบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อแม่
"คุณจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยเหรอครับ?"
น้ำเสียงของหมอหนุ่มคราวนี้จริงจังแต่วางสีหน้าเป็นปกติ
"ค่ะ...นึกอะไรไม่ออกเลย มันมืดไปหมด"
พูดพลางหล่อนก็หลับตาพลาง มือทั้งสองข้างก็กุมขมับส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนระโหย คุณหมอเอื้อมมือไปดึงมือของคนไข้สาวออกอย่างนุ่มนวล พูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นเคย
"ไม่เป็นไรครับ...นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ว่าแต่..คุณจำพ่อกับแม่ของคุณได้มั้ย?"
สรีตยานิ่งงัน หันหน้าไปทางผู้ที่เรียกตัวเองว่าพ่อกับแม่ กราดสายตาที่คมสวยไปมายังคนทั้งสองอย่างพินิจใคร่ครวญอยู่ไปมาหลายครั้งและหลายนาที จนกระทั่งหล่อนรู้สึกปวดหัวและปวดตาจึงปิดเปลือกตาลงอย่างหงุดหงิดใจ
"ไม่น่ะค่ะ...แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่ คุณหมอคะดิฉันชักจะปวดหัวขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ ขอนอนพักหน่อยนะคะ"
หมอหนุ่มรูปหล่อมองหน้าผู้เป็นพ่อกับแม่ของสาวเจ้าอย่างเห็นใจเพราะบัดนี้สีหน้าของคนทั้งสองซีดเผือด ผู้เป็นแม่น้ำตาคลอหยิบยาดมขึ้นมาสูดเอื้อมมือไปเหนี่ยวไหล่ของผู้เป็นพ่ออย่างอ่อนแรง
"ได้ครับคุณ
หญิงสาวลืมตาขึ้นมาทันที สายตาส่งคำถามมามากมายยังคุณหมอ
"ชื่อของคุณ
หล่อนไม่ตอบแต่พยักหน้าช้าๆ ทันใดนั้นร่างของหญิงวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่า 'แม่' ก็เป็นลมล้มหงายลงไปกับพื้นชนิดที่ผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆก็ประคองไว้ไม่ทัน หมอหนุ่มสั่งพยาบาลสาวทั้งสองให้พาคนเป็นลมไปปฐมพยาบาล ก่อนจะหันกลับมายังคนไข้สาวที่นอนเบิกตาโพลงอยู่
"ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แม่ของคุณแค่เป็นลมน่ะ..ซักพักเดี๋ยวก็หาย ผมจะจัดยาให้คุณนะคุณกินยาแล้วนอนพักให้เต็มตื่นเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาคุยกันยกใหญ่เลยนะครับ พักผ่อนเถอะครับผมไม่กวนแล้ว"
เขาพยักหน้านิดๆให้กับผู้เป็นพ่อของหญิงสาวที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆคนไข้ กำลังจะเดินจากไปแต่ก็มีเสียงแหบๆของหล่อนทักขึ้น
"แล้ว.... 'แม่' ของฉันจะไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ"
เขายิ้มหวานๆที่อบอุ่นยิ่งให้กับคนไข้ของเขา
"ครับ เดี๋ยวก็หายแล้ว ว่าแต่คุณเองเถอะ...ถ้ารู้สึกปวดหัวหรือเจ็บหน้าอกยังไงก็กดกริ่งเรียกพยาบาลได้เลยนะครับตลอด24ชั่วโมง กริ่งอยู่บนหัวนอนของคุณน่ะครับ"
หล่อนพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนเพลีย ได้ยินแต่เสียงรองเท้าสองสามคู่เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงปิดประตูเบาๆ
ขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับนั้น สายลมเย็นยะเยือกก็กระทบกับผิวหนังที่บอบบางของเธอราวกับมีมือของใครบางคนมาจับกุมเอาไว้ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอหนุ่มเดินเข้ามายังเตียงของเธอพร้อมกับพยาบาลสาวหนึ่งคนที่มากับยาหนึ่งชุด
ขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับนั้น สายลมเย็นยะเยือกก็กระทบกับผิวหนังที่บอบบางของเธอราวกับมีมือของใครบางคนมาจับกุมเอาไว้ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอหนุ่มเดินเข้ามายังเตียงของเธอพร้อมกับพยาบาลสาวหนึ่งคนที่มากับยาหนึ่งชุด
หล่อนพยักหน้าว่าง่าย เอื้อมมือไปรับยามากรอกใส่ปากพร้อมน้ำสะอาดกลั้วคอตามเอนกายลงกับเตียงยิ้มให้คุณหมอนิดนึงพลางอ้าปากให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนยาเอาไว้ใต้ลิ้น คุณหมอหนุ่มหัวเราะแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่นเช่นทุกครั้ง
"ถึงคุณจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย แต่คุณก็ยังคงจำอารมณ์ขันของคุณได้ดีเสมอนะ"
พูดจบคุณหมอก็เดินออกจากห้องไป สรีตยามองตามจนลับสายตาพลางนอนหันข้างไปทางขวามือของตัวเอง ก็สะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่ามีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาในห้อง
"คุณเป็นใครน่ะ?"
สรีตยาตะโกนถามไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากร่างที่ยังคงนอนเหยียดยาวแน่นิ่งอยู่ที่โซฟาตามเดิม มีนิตยสารเล่มหนึ่งวางปิดใบหน้าเอาไว้
"นี่!คุณ ที่ฉันถามน่ะไม่ได้ยินหรือไง?"
ร่างนั้นเริ่มเคลื่อนไหว เขาแง้มนิตยสารที่อยู่บนหน้าออกนิดนึง โผล่มาแค่ดวงตาคมเข้มมองมายังร่างของหญิงสาวที่นอนตะแคงหันหน้าจ้องเขม็งมาที่เขา
"คุณพูดกับผมเหรอ?"
สุรเสียงแรกของชายลึกลับนั้นเย็นเยียบ นุ่มลึกฟังดูอบอุ่นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความซ่อนเร้นชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
"ก็ใช่น่ะซิ ในห้องนี้ก็มีแต่ฉันกับคุณเท่านั้นถ้าไม่พูดกับคุณ จะให้ฉันพูดกับผีที่ไหนล่ะ?"
ร่างของชายลึกลับนั้นเปลี่ยนอิริยาบถจากนอนยาวเหยียดเป็นลุกนั่งหลังตรงอย่างรวดเร็วโยนนิตยสารในมือทิ้ง พลางบิดร่างกายไปมา ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆจนเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆที่มุมปาก
"อ้อ..นั่นซินะ ถ้าคุณไม่พูดกับผมจะพูดกับผีที่ไหนล่ะเนอะ ว่าแต่คุณเองเถอะรู้สึกเป็นยังไงบ้างปวดหัวหรือเจ็บที่หน้าอกบ้างมั้ย?"
"นี่ คุณยังไม่ตอบฉันเลยนะว่าคุณเป็นใครแล้วจู่ๆมานั่งในห้องฉันได้ยังไง?"
ร่างลึกลับนั้นเดินตรงรี่เข้ามายืนกอดอกตรงหน้าเธอ ห่างเพียงแค่ปลายจมูกจนหล่อนต้องขยับถอย
"ผมเป็นใครก็ช่างเถอะ เพราะถึงบอกไปยังไงคุณก็จำผมหรือจำใครๆไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?"
"แต่อย่างน้อยๆคุณก็ควรจะบอกฉันว่าคุณเป็นใคร เผื่อฉันจะจำคุณได้"
ชายหนุ่มนิรนามนั้นยืนนิ่งอยู่ครู่ แววตาแฝงแววเศร้าไว้ลึกๆแต่ก็ยังไม่ละสายตาจากร่างของหญิงสาว
"คุณไม่รู้จักผมหรอก"
"อ้าว!แล้วกัน แล้วคุณถือวิสาสะอะไรไม่ทราบ จู่ๆมานอนเหยียดยาวอ่านหนังสือในห้องของฉันเนี่ย ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน"
"ก็ผมนึกว่าคุณมองไม่เห็นผม"
สรีตยาหัวเราะแบบฉิวๆ พลางจ้องหน้าร่างนั้นไม่ละสายตา
"ตัวคุณออกตั้งเบ้อเร่อ ถ้ามองไม่เห็นก็บ้าแล้ว"
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆเบือนหน้าจากสายตาที่จ้องเขม็งของหล่อนเดินอย่างเชื่องช้าไปที่ปลายเตียง มือยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้นปากของเขาสั่นน้อยๆ
"นี่คุณ
"จะบ้าเหรอ ไม่ได้เปิดแอร์ซะหน่อยหนาวเหนอวที่ไหนกัน ออกจะอ้าวด้วยซ้ำ"
ชายคนนั้นยังคงปากสั่นอยู่เช่นนั้น เดินตรงเข้าไปที่แจกันข้างเตียง
"ดอกคาร์เนชั่นสีขาว...."
เขาพึมพำ หญิงสาวพลิกร่างกลับมาพร้อมกับเอียงคอมองหน้าที่นิ่งเฉยราวกับซากศพของชายลึกลับ
"คุณจำได้มั้ยว่าคุณชอบมัน?"
"ก็.......ไม่แน่ใจนะ แต่ก็สวยดี"
เธอพูดพร้อมกับพยุงตัวเองขึ้นมาครึ่งนั่นครึ่งนอน มือก็พลางหยิบดอกคาร์เนชั่นสีขาวในแจกันขึ้นมาดอกนึง
"คลับคล้ายคลับคลานะ....เหมือนเคยมีอะไรพิเศษกับดอกนี้เหมือนกัน"
"ซักวันคุณเองก็จะรู้ หรืออาจจะไม่มีวันรู้เลยก็ได้"
ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้ยินหรือสนใจกับคำพูดของเขา ก้มหน้าก้มตาสูดดมชื่นชมกับดอกไม้ในมืออย่างมีความสุข
"เออ!นี่คุณยังไม่ได้นอกฉันเลยนะว่าคุณเป็นใครน่ะ?คุณ..."
เมื่อสรีตยาละสายตาจากดอกไม้ในมือมายังที่ที่ชายลึกลับคนนั้นเคยยืนอยู่เมื่อครู่ บัดนี้หล่อนพบว่าว่างเปล่า
ชายลึกลับที่จู่ๆก็โผล่มานอนเหยียดยาวในห้อง เมื่อครู่ยังยืนคุยกับหล่อนอยู่ข้างๆเตียงตอนนี้หายไปเสียแล้ว หล่อนเหลียวซ้ายแลขวามองหากวาดสายตาในห้องเล็กๆนี้ก็ไม่พบ เขาออกจากห้องไปตอนไหนเมื่อไหร่ และทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงปิดประตูหรือเสียงเดินของเขาเลย
"คนอะไร นึกจะโผล่ก็โผล่นึกจะไปก็ไปทำตัวยังกะผี เฮ้อ......"
แล้วหล่อนก็เอนกายลงกับที่นอนสีขาวของโรงพยาบาลก่อนจะม่อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีร่างของคนที่เธอว่าเป็น 'ผี' ยืนมองดูเธออยู่ที่ข้างเตียงด้วยสายตาที่อ่อนโยน
"เธอจะหายมั้ยคะหมอ?"
"ผมคงต้องรอดูผลเอ็กซ์เรย์อีกทีนึงน่ะครับ แต่เรื่องร่างกายโดยรวมของเธอนั้นปกติเรียบร้อยดีทุกอย่างครับโดยเฉพาะหัวใจที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากคุณพ่อคุณแม่วางใจได้ครับ"
"แล้วเราจะผ่าตัดให้ลูกสาวผมได้เมื่อไหร่ล่ะครับคุณหมอ?"
วงสนทนายุติลงแค่นั้น เมื่อคุณหมอหันมาพบว่าคนไข้สาวของเขานอนลืมตาฟังการพูดคุยอยู่มานานเท่าไหร่ไม่ทราบได้
"ผ่าตัดอะไรคะ?"
"คุณตื่นนานแล้วเหรอครับ?"
หมอหนุ่มไม่ตอบแต่กลับโยนคำถามไปให้เธอ พร้อมกับลุกเดินจากโซฟาตรงมาที่เตียงของเธอ
"ก็ซักพักแล้วล่ะค่ะ..คุณหมอยังไม่ตอบฉันเลยนะคะว่าผ่าตัดอะไรกัน?"
"หลับสบายมั้ยครับเมื่อคืน?"
หมอหนุ่มพูดพลางตรวจจับชีพจรที่ข้อมือขาวๆของเธอ
"คุณหมอคะ.."
"คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังไงคุณก็ต้องได้รู้แน่ว่าเราจะผ่าตัดอะไรคุณ อิ๋ว!คุณไปเตรียมอาหารเช้ามาให้คนไข้เร็ว"
ประโยคหลังหมอหนุ่มหันไปสั่งงานพยาบาลสาวทั้งๆที่ยังง่วนอยู่กับการตรวจร่างกายของคนไข้ขี้สงสัยแต่แสนสวย
"เป็นยังไงบ้างลูก พอจะจำอะไรได้บ้างหรือยังลูก?"
เสียงของหญิงวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่า 'แม่' พูดคุยกับเธอเป็นประโยคแรกด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แฝงความกังวลไว้ในดวงตา
"ยังเลยค่ะ......แม่..."
เธอค่อยๆเอ่ยคำง่ายๆแต่มากด้วยความหมายอย่างแช่มช้า เหมือนยังไม่ค่อยกล้านัก
"จ้ะ แม่..แม่เอง ไม่ต้องกระดากหรอกลูก แม่เองแม่จริงๆ"
เธอพูดพลางจะร้องไห้ เสียงเริ่มสั่นเครือดวงตาเริ่มใสและแฉะคลอไปด้วยน้ำตา
"เอาน่าคุณ ให้เวลาแกหน่อยเดี๋ยวพอร่างกายแกสมบูรณ์เต็มที่คงจะจำอะไรๆได้ง่ายขึ้นแหละ"
ผู้เป็นพ่อพูดปลอบใจพลางโอบหัวไหล่เอาไว้ สรีตยานอนมองคนทั้งสองด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายถูก
"เอาล่ะ เดี๋ยวพอคุณทานอาหารเช้าเสร็จ พยาบาลจะพาคุณไปพบกับผมที่ห้องนะ แล้วคุณจะได้รู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณรวมไปถึงเรื่องผ่าตัดด้วย"
พูดจบคุณหมอหนุ่มก็เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์เดินออกจากห้องไปด้วยบุคลิกที่สง่างาม
"พ่อกับแม่ไปรอลูกที่ห้องเลยนะ มีเรื่องจะปรึกษากับคุณหมอเค้านิดหน่อย"
คนเป็นพ่อเอ่ยพร้อมกับฉุดแขนของหญิงวัยกลางคนนั้นไปด้วย เธอขัดขืนนิดหน่อยด้วยความที่อยากอยู่ป้อนข้าวลูกสาว แต่ชายคนนั้นก็แอบกระซิบที่ข้างหูอยู่ครู่หล่อนจึงยินยอมไปด้วยดี
"คุณพยาบาลไปพักก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันทานเสร็จแล้วจะกดกริ่งเรียกค่ะ"
พยาบาลสาวว่าง่ายๆ เมื่อร่างของเธอลับสายตาไปสรีตยาก็เอนกายลงกับเตียงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
"ง่วงนอนมากหรือไงคุณสรีตยา..ข้าวปลาถึงไม่ยอมกิน"
หล่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงนุ่มๆแต่เย็นเยียบดังขึ้นมาจากบริเวณหัวเตียงของหล่อน เธอรีบลุกขึ้นหันไปหาที่มาของเสียงทันที
"กู๊ดสะมอร์นิ่ง อรุณสวัสดิ์ยามสายครับเลดี้"
ร่างลึกลับของชายนิรนามคนเมื่อวานปรากฏอยู่ที่โต๊ะวางแจกัน มือกอดอกปากสั่นน้อยๆแต่ก็ยังพูดทักทายด้วยวาจากวนๆเมื่อเธอหันมาสบสายตากับเขา
(เกิดอะไรขึ้นกับสรีตยา? ทำไมเธอถึงจำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอเองไม่ได้เลย? และชายลึกลับที่ทำตัวราวกับผีคนนั้นเป็นใครกัน? รวมไปถึงการผ่าตัดอะไรนั่นด้วย ช่วยติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับจะแวะมาอัพเดทในสัปดาห์หน้าต่อ ติเตียนเนื้อหาได้นะครับวิจารณ์กันได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ)
ความคิดเห็น