ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อุบัติเหตุบนถนนสายที่24

    ลำดับตอนที่ #1 : ความทรงจำที่สาบสูญ

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 49


    อุบัติเหตุบนถนนสายที่ยี่สิบสี่
    (MIRACLR OF LOVE ON STREET24th)

    บทที่หนึ่ง
    ความทรงจำที่สาบสูญ


             สรีตยาลืมตาขึ้นมาจากโลกที่มืดมิดไปนานเท่าไรไม่ทราบได้  แต่ภาพแรกที่จักษุประสาทของเธอตอบสนองก็คือภาพของหญิงชายวัยกลางคนคู่หนึ่งที่ยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ พลางเขย่ามือไม้ของเธอราวกับจะไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้า  อีกข้างของเตียงปรากฏร่างของชายหนุ่มในเสื้อกาวน์สีขาวขนาบข้างด้วยพยาบาลสาวหน้าตาจิ้มลิ้มสองคนซ้ายขวา อิริยาบถของชายผู้นั้นเมื่อเห็นหล่อนลืมตาขึ้นมาก็มีสีหน้าแช่มชื่นไม่แพ้คนคู่นั้นเช่นกัน

             "เป็นยังไงบ้างลูก หิวมั้ย?เดี๋ยวแม่จะไปหาอะไรมาให้กิน"

             'ลูก' 'แม่'....โสตประสาทการรับรู้ทางเสียงของหล่อนกำลังตีความหมายของสองคำนี้อย่างใคร่ครวญ

             "คุณนี่ อย่าเพิ่งจัดแจงอะไรเองได้มั้ยเนี่ย..ถามคุณหมอดูก่อนซิ ว่าให้ทานอะไรได้รึยัง?"

             เสียงของชายวัยกลางคนที่ยืนคู่กันเอ็ดมาเบาๆแต่สีหน้าปิ่มล้นไปด้วยความสุข

             "เชิญครับ...ทานได้ตามสบายเลย เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเอาสายน้ำเกลือออก แต่ผมขอตรวจอีกซักหน่อยก็แล้วกันนะครับ"

             เสียงนุ่มๆที่พึ่งจะพูดออกมาเป็นครั้งแรกของบุคคลที่ทุกคนเรียกกันว่า 'หมอ' ตอบมาอย่างสุภาพน้ำเสียงฟังดูอบอุ่นและเป็นกันเอง

             "ครับๆ...เอาเลย"

             มือที่อุ่นและอ่อนนุ่มของหมอหนุ่มเอื้อมมาตรวจจับชีพจร ตรวจฟังเสียงเต้นของหัวใจ ปากก็พลางถามอาการไปเรื่อย

             "เป็นยังไงบ้างครับ มึนหัวมั้ย?"

             สรีตยาได้แต่นอนยิ้มพลางส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ

             "หน้ามืดมั้ย?แล้วปวดบริเวณไหนบ้างหรือเปล่า..."

             หล่อนก็ยังคงได้แต่ยิ้มแห้งๆเช่นเดิม

             "อืม...สภาพร่างกายตอนนี้ปกติดี แต่รู้สึกว่าคนไข้จะเป็นใบ้ไปซะแล้วนะครับ เพราะหมอถามอะไรก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเดียวเลย"

             คำหยอกเบาๆของหมอเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวคนไข้ที่ถูกแซวก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาพูดพลางก็ถอดหูฟังของเครื่องตรวจออกมือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ ส่งสายตาเป็นมิตรมายังคนไข้แสนสวย

             "แล้วเรื่องที่เรากลัวกันล่ะครับหมอ?"

             "ก็ต้องลองพิสูจน์กันดูก่อนล่ะครับ แต่เห็นจะยากเพราะอย่างที่บอกแล้วว่าคนไข้เราเป็นใบ้ไปซะแล้ว.....ใช่มั้ยจ๊ะ?"

             ประโยคหลังหมอหนุ่มหันมาทางคนไข้ที่นอนมองการสนทนาของสองฝ่ายข้ามหัวไปมาอยู่ แต่ก็อดยิ้มรับกับคำแซวน่ารักๆอีกครั้งของเขาไม่ได้

             "ใครว่าล่ะคะ...ฉันพูดได้ เปล่าเป็นใบ้ซะหน่อย"

             ประโยคแรกที่คนไข้สาวสวยพูดขึ้นแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยินแต่ก็พอจับความได้ ทำเอาทั้งห้องยิ้มกันร่า หล่อนยังคงน่ารักอารมณ์ดีเสมอแม้ร่างกายจะนอนซมอยู่บนเตียงก็ตาม

             "อ้าวเหรอครับ?ก็เห็นนอนฟังอยู่อย่างเดียวหมอก็นึกว่าเป็นใบ้ซะแล้วซิ"

             "คุณหมอคะ...ดิฉันเป็นอะไรคะเนี่ย ทำไมถึงต้องมานอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ด้วยคะ?"

            คำถามเรียบๆแต่สะกดทุกคนในห้องให้นิ่งสนิทนั้น เหมือนสะกิดหัวใจของพวกเขาให้หยุดเต้นไปชั่วขณะ ริ้วรอยแห่งความวิตกเริ่มปรากฎบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อแม่

             "คุณจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยเหรอครับ?"

             น้ำเสียงของหมอหนุ่มคราวนี้จริงจังแต่วางสีหน้าเป็นปกติ

             "ค่ะ...นึกอะไรไม่ออกเลย มันมืดไปหมด"

             พูดพลางหล่อนก็หลับตาพลาง มือทั้งสองข้างก็กุมขมับส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนระโหย คุณหมอเอื้อมมือไปดึงมือของคนไข้สาวออกอย่างนุ่มนวล พูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นเคย

             "ไม่เป็นไรครับ...นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ว่าแต่..คุณจำพ่อกับแม่ของคุณได้มั้ย?"

             สรีตยานิ่งงัน หันหน้าไปทางผู้ที่เรียกตัวเองว่าพ่อกับแม่ กราดสายตาที่คมสวยไปมายังคนทั้งสองอย่างพินิจใคร่ครวญอยู่ไปมาหลายครั้งและหลายนาที จนกระทั่งหล่อนรู้สึกปวดหัวและปวดตาจึงปิดเปลือกตาลงอย่างหงุดหงิดใจ

             "ไม่น่ะค่ะ...แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่ คุณหมอคะดิฉันชักจะปวดหัวขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ ขอนอนพักหน่อยนะคะ"

             หมอหนุ่มรูปหล่อมองหน้าผู้เป็นพ่อกับแม่ของสาวเจ้าอย่างเห็นใจเพราะบัดนี้สีหน้าของคนทั้งสองซีดเผือด ผู้เป็นแม่น้ำตาคลอหยิบยาดมขึ้นมาสูดเอื้อมมือไปเหนี่ยวไหล่ของผู้เป็นพ่ออย่างอ่อนแรง

             "ได้ครับคุณสรีตยา แดงสว่างวงศ์"

             หญิงสาวลืมตาขึ้นมาทันที สายตาส่งคำถามมามากมายยังคุณหมอ

             "ชื่อของคุณไงครับ จำไม่ได้เหรอ?"

             หล่อนไม่ตอบแต่พยักหน้าช้าๆ ทันใดนั้นร่างของหญิงวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่า 'แม่' ก็เป็นลมล้มหงายลงไปกับพื้นชนิดที่ผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆก็ประคองไว้ไม่ทัน หมอหนุ่มสั่งพยาบาลสาวทั้งสองให้พาคนเป็นลมไปปฐมพยาบาล ก่อนจะหันกลับมายังคนไข้สาวที่นอนเบิกตาโพลงอยู่

             "ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แม่ของคุณแค่เป็นลมน่ะ..ซักพักเดี๋ยวก็หาย  ผมจะจัดยาให้คุณนะคุณกินยาแล้วนอนพักให้เต็มตื่นเลย  เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาคุยกันยกใหญ่เลยนะครับ  พักผ่อนเถอะครับผมไม่กวนแล้ว"

             เขาพยักหน้านิดๆให้กับผู้เป็นพ่อของหญิงสาวที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆคนไข้  กำลังจะเดินจากไปแต่ก็มีเสียงแหบๆของหล่อนทักขึ้น

             "แล้ว.... 'แม่' ของฉันจะไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ"

             เขายิ้มหวานๆที่อบอุ่นยิ่งให้กับคนไข้ของเขา

             "ครับ เดี๋ยวก็หายแล้ว ว่าแต่คุณเองเถอะ...ถ้ารู้สึกปวดหัวหรือเจ็บหน้าอกยังไงก็กดกริ่งเรียกพยาบาลได้เลยนะครับตลอด24ชั่วโมง กริ่งอยู่บนหัวนอนของคุณน่ะครับ"

             หล่อนพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนเพลีย  ได้ยินแต่เสียงรองเท้าสองสามคู่เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงปิดประตูเบาๆ


        ขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับนั้น สายลมเย็นยะเยือกก็กระทบกับผิวหนังที่บอบบางของเธอราวกับมีมือของใครบางคนมาจับกุมเอาไว้ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอหนุ่มเดินเข้ามายังเตียงของเธอพร้อมกับพยาบาลสาวหนึ่งคนที่มากับยาหนึ่งชุด


        ขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับนั้น สายลมเย็นยะเยือกก็กระทบกับผิวหนังที่บอบบางของเธอราวกับมีมือของใครบางคนมาจับกุมเอาไว้ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอหนุ่มเดินเข้ามายังเตียงของเธอพร้อมกับพยาบาลสาวหนึ่งคนที่มากับยาหนึ่งชุด


       

                   "ทานยาก่อนนะครับ แล้วพอตื่นขึ้นมาคุณหมอจะอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณให้ฟังอย่างละเอียดเลย"

             หล่อนพยักหน้าว่าง่าย เอื้อมมือไปรับยามากรอกใส่ปากพร้อมน้ำสะอาดกลั้วคอตามเอนกายลงกับเตียงยิ้มให้คุณหมอนิดนึงพลางอ้าปากให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนยาเอาไว้ใต้ลิ้น คุณหมอหนุ่มหัวเราะแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่นเช่นทุกครั้ง

             "ถึงคุณจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย แต่คุณก็ยังคงจำอารมณ์ขันของคุณได้ดีเสมอนะ"

             พูดจบคุณหมอก็เดินออกจากห้องไป สรีตยามองตามจนลับสายตาพลางนอนหันข้างไปทางขวามือของตัวเอง ก็สะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่ามีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาในห้อง

             

             "คุณเป็นใครน่ะ?"

             สรีตยาตะโกนถามไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง

             ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากร่างที่ยังคงนอนเหยียดยาวแน่นิ่งอยู่ที่โซฟาตามเดิม มีนิตยสารเล่มหนึ่งวางปิดใบหน้าเอาไว้

             "นี่!คุณ ที่ฉันถามน่ะไม่ได้ยินหรือไง?"

             ร่างนั้นเริ่มเคลื่อนไหว เขาแง้มนิตยสารที่อยู่บนหน้าออกนิดนึง โผล่มาแค่ดวงตาคมเข้มมองมายังร่างของหญิงสาวที่นอนตะแคงหันหน้าจ้องเขม็งมาที่เขา

             "คุณพูดกับผมเหรอ?"

             สุรเสียงแรกของชายลึกลับนั้นเย็นเยียบ นุ่มลึกฟังดูอบอุ่นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความซ่อนเร้นชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

             "ก็ใช่น่ะซิ ในห้องนี้ก็มีแต่ฉันกับคุณเท่านั้นถ้าไม่พูดกับคุณ จะให้ฉันพูดกับผีที่ไหนล่ะ?"

             ร่างของชายลึกลับนั้นเปลี่ยนอิริยาบถจากนอนยาวเหยียดเป็นลุกนั่งหลังตรงอย่างรวดเร็วโยนนิตยสารในมือทิ้ง พลางบิดร่างกายไปมา ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆจนเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆที่มุมปาก

             "อ้อ..นั่นซินะ ถ้าคุณไม่พูดกับผมจะพูดกับผีที่ไหนล่ะเนอะ  ว่าแต่คุณเองเถอะรู้สึกเป็นยังไงบ้างปวดหัวหรือเจ็บที่หน้าอกบ้างมั้ย?"

             "นี่ คุณยังไม่ตอบฉันเลยนะว่าคุณเป็นใครแล้วจู่ๆมานั่งในห้องฉันได้ยังไง?"

             ร่างลึกลับนั้นเดินตรงรี่เข้ามายืนกอดอกตรงหน้าเธอ ห่างเพียงแค่ปลายจมูกจนหล่อนต้องขยับถอย

             "ผมเป็นใครก็ช่างเถอะ เพราะถึงบอกไปยังไงคุณก็จำผมหรือจำใครๆไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?"

             "แต่อย่างน้อยๆคุณก็ควรจะบอกฉันว่าคุณเป็นใคร เผื่อฉันจะจำคุณได้"

             ชายหนุ่มนิรนามนั้นยืนนิ่งอยู่ครู่ แววตาแฝงแววเศร้าไว้ลึกๆแต่ก็ยังไม่ละสายตาจากร่างของหญิงสาว

             "คุณไม่รู้จักผมหรอก"

             "อ้าว!แล้วกัน แล้วคุณถือวิสาสะอะไรไม่ทราบ จู่ๆมานอนเหยียดยาวอ่านหนังสือในห้องของฉันเนี่ย ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน"

             "ก็ผมนึกว่าคุณมองไม่เห็นผม"

             สรีตยาหัวเราะแบบฉิวๆ พลางจ้องหน้าร่างนั้นไม่ละสายตา

             "ตัวคุณออกตั้งเบ้อเร่อ ถ้ามองไม่เห็นก็บ้าแล้ว"

             ชายหนุ่มหัวเราะหึๆเบือนหน้าจากสายตาที่จ้องเขม็งของหล่อนเดินอย่างเชื่องช้าไปที่ปลายเตียง มือยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้นปากของเขาสั่นน้อยๆ

             "นี่คุณสรีตยา แดงสว่างวงศ์ครับ ช่วยหรี่แอร์คอนดิชั่นเนอร์หน่อยซิครับผมหนาวจะตายอยู่แล้ว"

             "จะบ้าเหรอ ไม่ได้เปิดแอร์ซะหน่อยหนาวเหนอวที่ไหนกัน ออกจะอ้าวด้วยซ้ำ"

             ชายคนนั้นยังคงปากสั่นอยู่เช่นนั้น เดินตรงเข้าไปที่แจกันข้างเตียง

             "ดอกคาร์เนชั่นสีขาว...."

             เขาพึมพำ หญิงสาวพลิกร่างกลับมาพร้อมกับเอียงคอมองหน้าที่นิ่งเฉยราวกับซากศพของชายลึกลับ

             "คุณจำได้มั้ยว่าคุณชอบมัน?"

             "ก็.......ไม่แน่ใจนะ แต่ก็สวยดี"

             เธอพูดพร้อมกับพยุงตัวเองขึ้นมาครึ่งนั่นครึ่งนอน มือก็พลางหยิบดอกคาร์เนชั่นสีขาวในแจกันขึ้นมาดอกนึง

             "คลับคล้ายคลับคลานะ....เหมือนเคยมีอะไรพิเศษกับดอกนี้เหมือนกัน"

             "ซักวันคุณเองก็จะรู้ หรืออาจจะไม่มีวันรู้เลยก็ได้"

             ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้ยินหรือสนใจกับคำพูดของเขา ก้มหน้าก้มตาสูดดมชื่นชมกับดอกไม้ในมืออย่างมีความสุข

             "เออ!นี่คุณยังไม่ได้นอกฉันเลยนะว่าคุณเป็นใครน่ะ?คุณ..."

             เมื่อสรีตยาละสายตาจากดอกไม้ในมือมายังที่ที่ชายลึกลับคนนั้นเคยยืนอยู่เมื่อครู่ บัดนี้หล่อนพบว่าว่างเปล่า

             ชายลึกลับที่จู่ๆก็โผล่มานอนเหยียดยาวในห้อง เมื่อครู่ยังยืนคุยกับหล่อนอยู่ข้างๆเตียงตอนนี้หายไปเสียแล้ว หล่อนเหลียวซ้ายแลขวามองหากวาดสายตาในห้องเล็กๆนี้ก็ไม่พบ เขาออกจากห้องไปตอนไหนเมื่อไหร่ และทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงปิดประตูหรือเสียงเดินของเขาเลย

             "คนอะไร นึกจะโผล่ก็โผล่นึกจะไปก็ไปทำตัวยังกะผี  เฮ้อ......"

             แล้วหล่อนก็เอนกายลงกับที่นอนสีขาวของโรงพยาบาลก่อนจะม่อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีร่างของคนที่เธอว่าเป็น 'ผี' ยืนมองดูเธออยู่ที่ข้างเตียงด้วยสายตาที่อ่อนโยน

             "เธอจะหายมั้ยคะหมอ?"

             "ผมคงต้องรอดูผลเอ็กซ์เรย์อีกทีนึงน่ะครับ แต่เรื่องร่างกายโดยรวมของเธอนั้นปกติเรียบร้อยดีทุกอย่างครับโดยเฉพาะหัวใจที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากคุณพ่อคุณแม่วางใจได้ครับ"

             "แล้วเราจะผ่าตัดให้ลูกสาวผมได้เมื่อไหร่ล่ะครับคุณหมอ?"

             วงสนทนายุติลงแค่นั้น เมื่อคุณหมอหันมาพบว่าคนไข้สาวของเขานอนลืมตาฟังการพูดคุยอยู่มานานเท่าไหร่ไม่ทราบได้

             "ผ่าตัดอะไรคะ?"

             "คุณตื่นนานแล้วเหรอครับ?"

             หมอหนุ่มไม่ตอบแต่กลับโยนคำถามไปให้เธอ พร้อมกับลุกเดินจากโซฟาตรงมาที่เตียงของเธอ

             "ก็ซักพักแล้วล่ะค่ะ..คุณหมอยังไม่ตอบฉันเลยนะคะว่าผ่าตัดอะไรกัน?"

             "หลับสบายมั้ยครับเมื่อคืน?"

             หมอหนุ่มพูดพลางตรวจจับชีพจรที่ข้อมือขาวๆของเธอ

             "คุณหมอคะ.."

             "คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังไงคุณก็ต้องได้รู้แน่ว่าเราจะผ่าตัดอะไรคุณ  อิ๋ว!คุณไปเตรียมอาหารเช้ามาให้คนไข้เร็ว"

             ประโยคหลังหมอหนุ่มหันไปสั่งงานพยาบาลสาวทั้งๆที่ยังง่วนอยู่กับการตรวจร่างกายของคนไข้ขี้สงสัยแต่แสนสวย

             "เป็นยังไงบ้างลูก พอจะจำอะไรได้บ้างหรือยังลูก?"

             เสียงของหญิงวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่า 'แม่' พูดคุยกับเธอเป็นประโยคแรกด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แฝงความกังวลไว้ในดวงตา

             "ยังเลยค่ะ......แม่..."

             เธอค่อยๆเอ่ยคำง่ายๆแต่มากด้วยความหมายอย่างแช่มช้า เหมือนยังไม่ค่อยกล้านัก

             "จ้ะ แม่..แม่เอง ไม่ต้องกระดากหรอกลูก แม่เองแม่จริงๆ"

             เธอพูดพลางจะร้องไห้ เสียงเริ่มสั่นเครือดวงตาเริ่มใสและแฉะคลอไปด้วยน้ำตา

             "เอาน่าคุณ ให้เวลาแกหน่อยเดี๋ยวพอร่างกายแกสมบูรณ์เต็มที่คงจะจำอะไรๆได้ง่ายขึ้นแหละ"

             ผู้เป็นพ่อพูดปลอบใจพลางโอบหัวไหล่เอาไว้ สรีตยานอนมองคนทั้งสองด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายถูก

             "เอาล่ะ เดี๋ยวพอคุณทานอาหารเช้าเสร็จ พยาบาลจะพาคุณไปพบกับผมที่ห้องนะ แล้วคุณจะได้รู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณรวมไปถึงเรื่องผ่าตัดด้วย"

             พูดจบคุณหมอหนุ่มก็เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์เดินออกจากห้องไปด้วยบุคลิกที่สง่างาม

             "พ่อกับแม่ไปรอลูกที่ห้องเลยนะ มีเรื่องจะปรึกษากับคุณหมอเค้านิดหน่อย"

             คนเป็นพ่อเอ่ยพร้อมกับฉุดแขนของหญิงวัยกลางคนนั้นไปด้วย เธอขัดขืนนิดหน่อยด้วยความที่อยากอยู่ป้อนข้าวลูกสาว แต่ชายคนนั้นก็แอบกระซิบที่ข้างหูอยู่ครู่หล่อนจึงยินยอมไปด้วยดี

             "คุณพยาบาลไปพักก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันทานเสร็จแล้วจะกดกริ่งเรียกค่ะ"

             พยาบาลสาวว่าง่ายๆ  เมื่อร่างของเธอลับสายตาไปสรีตยาก็เอนกายลงกับเตียงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

             "ง่วงนอนมากหรือไงคุณสรีตยา..ข้าวปลาถึงไม่ยอมกิน"

             หล่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงนุ่มๆแต่เย็นเยียบดังขึ้นมาจากบริเวณหัวเตียงของหล่อน เธอรีบลุกขึ้นหันไปหาที่มาของเสียงทันที

             "กู๊ดสะมอร์นิ่ง อรุณสวัสดิ์ยามสายครับเลดี้"

             ร่างลึกลับของชายนิรนามคนเมื่อวานปรากฏอยู่ที่โต๊ะวางแจกัน มือกอดอกปากสั่นน้อยๆแต่ก็ยังพูดทักทายด้วยวาจากวนๆเมื่อเธอหันมาสบสายตากับเขา

                 


           (เกิดอะไรขึ้นกับสรีตยา? ทำไมเธอถึงจำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอเองไม่ได้เลย? และชายลึกลับที่ทำตัวราวกับผีคนนั้นเป็นใครกัน? รวมไปถึงการผ่าตัดอะไรนั่นด้วย ช่วยติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับจะแวะมาอัพเดทในสัปดาห์หน้าต่อ  ติเตียนเนื้อหาได้นะครับวิจารณ์กันได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×