ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #9 : Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 2 : ความเจ็บปวดที่ยังเหลืออยู่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 152
      1
      3 มี.ค. 57

    ทำไมกันนะ..ตอนที่กำลังจะเดินออกไป ข้าถึงรู้สึกว่าไม่อาจจากตัวตนนั้นไปได้

    ทำไมกันนะ..เมื่อเห็นน้ำตาที่พร่างพรูลงมาคู่นั้น

    ความเศร้าของข้าถึงบรรเทาลง..แทนที่ด้วยความรู้สึกอื่นที่บางทีคงไม่ดีไปกว่าเดิม

    ถึงกระนั้น..

    สิ่งนั้นก็ทำให้ข้าลดฝีเท้าลง และวิ่งกลับไปที่กระท่อมที่ตนจากมา

     


    Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 2 : ความเจ็บปวดที่ยังเหลืออยู่

     

    ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

    ผมไม่แน่ใจว่าสายฝนที่กระหน่ำลงมานั้นหนาหนักขึ้นหรือเบาบางลง..เพราะสิ่งที่ผมรับรู้มีเพียงสายฝนกับม่านน้ำตา

    ผมไม่แน่ใจว่าแม้กระทั่งว่าเขาเดินจากไปแล้วหรือยังยืนนิ่งตรงนั้น..เพราะเสียงสายฝนที่ร่วงหล่นลงมากลบเสียงฝีเท้าจนหมดสิ้น

    แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาไม่ได้เดินห่างจากผมไปไกลนัก..เพราะโซ่ที่มองไม่เห็นซึ่งพันธนาการผมไว้ไม่ได้กระชากผมให้ก้าวตามไป

    ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น..ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปอีก ไม่ได้ก้าวต่อไปเพื่อรั้งเขาไว้ ผมเพียงยืนอยู่ตรงนั้น..ยืนโดยปล่อยให้น้ำตาพร่างพรูลงมาเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะปาดออกและไม่คิดจะทำให้มันหยุด

    ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป..เพราะผมไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไร

    ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป..เขาจึงจะยอมมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่เพื่อให้ผมได้เฝ้ามองเขาต่อไป

    ให้ผมได้มองรอยยิ้มของเขา ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา สัมผัสถึงสายลมอ่อนโยนที่โอบอุ้มเขา

    ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้เขาอยากมีชีวิตอยู่

    ผมรู้ดีว่าต่อจากนี้ทุกอย่างมันจะลำบาก ผมรู้ดีว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างโศกเศร้า และรอยยิ้มเดิมๆ คงจากหายไป ผมรู้ดีว่าเขาจะต้องทรมานทุกครั้งที่เห็นครอบครัวหัวเราะเคียงข้างกัน ผมรู้ดีว่าเขาจะต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นคู่รักชายหญิงยืนเคียงกัน ..ผมรู้เพราะผมเข้าใจเขาดีกว่าใครๆ ผมรู้เพราะอยู่เคียงข้างเขามาตลอดทั้งชีวิต แต่เพราะผมไม่ใช่ตัวเขา..ผมจึงไม่เข้าใจว่าความรู้สึกปวดร้าวที่มากพอจะทำให้คนเราอยากตายนั้นมันมากมายเพียงใด

    และเพราะไม่รู้ความเห็นแก่ตัวของผมถึงบอกว่าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้ว่าบัดนี้..ผมจะไม่รู้ว่าควรทำอะไรเพื่อให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ตาม

                น้ำตายังคงไหลรินออกมาเช่นนั้นจนเหมือนดวงตาจะมืดบอดไป ผมไม่อาจรับรู้สิ่งที่อยู่รอบข้างได้เลยแม้แต่น้อย  จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา

                รู้สึกตัวอีกที มือของใครบางคนก็ใกล้เข้ามาที่ใบหน้าของผม สิ่งนั้นทำให้ผมชะงัก และก้าวเท้าถอยหลังหลบออกมาด้วยความตกใจ

                มือนั้นเป็นมือของชายหนุ่ม

    เขายืนอยู่ตรงนั้น มือที่ยื่นเข้าหาก็ยังคงค้างอยู่เช่นนั้น ดวงตาสีฟ้าแสนสวยของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย กำลังตกใจด้วยเหตุผลที่ผมไม่อาจรับรู้

    น้ำตาของผมยังคงไหลออกมาโดยไร้เสียงสะอื้นไห้ มันเพียงไหลรินออกมาจากความเจ็บปวดในใจของผม เป็นความเจ็บปวดอันชาเยียบที่ผมไม่อาจห้ามมันได้

    ดวงตาของผมยังคงจดจ้องไปที่ตัวตนของเขา ..ภาพๆ เดียวที่ไม่เลือนรางไปท่ามกลางม่านน้ำตา

    ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งตรงนั้น ร่างที่เปียกปอนไปด้วยสายฝนบอกว่าเขาวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนแล้วครั้งหนึ่งและมือของเขาที่ยืนมาหาผมก็ยังคงค้างนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนที่มันจะร่วงลงข้างกายของเขา

     ทั้งผมและเขาต่างเงียบ ไร้เสียงพูดคุยใดนอกจากเสียงสายฝนที่ยังคงกระหน่ำซัด

    เวลาผ่านไป ผ่านไป และในที่สุด เสียงของเขาก็ดังขึ้น

    กังวานท่ามกลางสรรพเสียงทั้งปวงที่ผมได้ยิน

    ข้าขอโทษ….ที่พูดแรงเกินไป จนทำให้เจ้าร้องไห้ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ ทั้งๆ ที่เจ้าหวังดีแท้ๆ

    ผมที่ได้ยินแบบนั้นสะดุ้ง ก่อนส่ายหัวไปมา ทว่าไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไป เพราะเมื่อจะเปล่งเสียง ก้อนสะอื้นที่คิดว่าไม่มีอยู่กลับแล่นขึ้นมาจุกในลำคอ

    ชายหนุ่มมองมาที่ผม นัยน์ตาของเขาทั้งอ่อนล้าและเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาในกระท่อม เดินไปยังกระเป๋าย่ามที่เขาวางทิ้งเอาไว้

    ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของผมมองตามเขา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาหาพร้อมผ้าสะอาดผืนนึง

    เช็ดหน้าเช็ดตาเสียชายหนุ่มเอ่ยและทำท่าจะยัดมันลงมือผม ทว่าผมชะงักและลดมือออก ทำให้เขาหยุดชะงักตาม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นปล่อยมันลงบนมือของผม เจ้าไม่ชอบให้ใครแตะตัวหรือ?

    เขาถามขึ้น ดังนั้นผมจึงหยักหน้ารับเงียบๆ แม้ว่าความจริงจะมีอะไรมากกว่านั้นก็ตาม

    ชายหนุ่มถือว่าการพยักหน้าของผมเป็นการตอบรับ เมื่อเห็นว่าผ้าอยู่ในมือผมแล้วเขาก็ละออกไป  ผมเงยหน้ามองเขา ก่อนจะเห็นเขาเดินไปยังกึ่งกลางของกระท่อม นำกองฟางแห้งๆ ออกมาจุดไฟขึ้นกองหนึ่ง ถอดเสื้อออกผึ่งให้แห้ง แล้วจึงเดินไปที่มุมหนึ่งของกระท่อม

    ผมหยิบผ้าสะอาดผืนนั้นขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วในตอนที่เขาเดินมาหา รู้สึกได้ว่าดวงตาบวมขึ้นจนรู้สึกแสบเพราะการร้องไห้ ผมหันไปหาเขา ก่อนจะเปล่งเสียงตอบโต้ออกไป

    ‘..ขอบคุณ..สำหรับผ้านะครับ

    ชายหนุ่มหันมาทางผม มุมริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยตอบรับ ก่อนที่เขาจะเงียบไป และหันไปมองสายฝนที่ยังคงกระหน่ำซ้ำลงมา

    คราวนี้ความเงียบดูจะดำเนินไปยาวนานกว่าที่คิด ผมซึ่งไม่รู้จะทำลายความเงียบเช่นนี้อย่างไรจึงนั่งลง พิงตัวลงบนกระท่อมมุมตรงข้ามกับเขา และมองไปที่ชายหนุ่มของผม

    มือทั้งสองของผมวางประสานบนตักของตัวเอง ได้ยินเสียงประทุของเปลวเพลิงประสานกับเสียงสายฝน ดวงตามองไปที่เขาซึ่งนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน และพร้อมกันนั้น ผมก็กลับเข้าสู่ความเคยชินเดิมๆ ของตนอีกครั้ง

    ความเคยชินที่จะเฝ้ามองเขา….

    เวลาผ่านไป ผ่านไป ผมไม่ทราบว่านานเพียงไร ความเงียบครอบคลุมทุกหนแห่ง สายฝนที่กระหน่ำซาซัดยิ่งแผ่วเบาลง แม้แต่เสียงของเปลวเพลิงก็ดูคล้ายจะดับหายไปท่ามกลางความเงียบสงัด

    รู้สึกตัวอีกที….เสียงของสายฝนก็เลือนหายไป และยามราตรีก็คลี่คลุมผืนนภา

    รู้สึกตัวอีกที….สติที่หลุดลอยหายไปก็ร่วงหล่นลงมาบนตัวผม

    และชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกมุมของห้องก็หลับไปซะแล้ว

     

    ++++++++++++++++++++++

     

                ผมลุกขึ้น เดินไปที่ร่างของเขาซึ่งพิงหลับอยู่กับกองฟาง ลมหายใจสม่ำเสมอดังแผ่วเบาจากร่างของเขา เสี้ยวใบหน้าที่สะท้อนแสงจันทร์ดูคล้ายจะสงบลงแล้ว และสิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

                ผมแย้มรอยยิ้มขึ้นบางๆ ขณะที่จ้องมองเขา แล้วหยิบผ้าผืนหยาบที่วางไว้ในกระท่อมขึ้นสะบัดแล้วยกขึ้นคลุมร่างเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะรีบก้าวถอยออกมา ก่อนที่ผมจะเผลอสัมผัสเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

                ผมเดินไปที่กองฟืนซึ่งตั้งเรียงรายขึ้น ฟืนบางท่อนดูเหมือนจะชื้นเล็กน้อยเพราะไอฝนที่เล็ดรอดเข้ามา ทว่าฟืนที่ยังแห้งก็มีมาก ผมจึงหยิบมันสุมเข้าไปในกองไฟที่ใกล้ดับมอด จนกระทั่งลุกไหม้ดี ผมจึงลุกขึ้น ก้าวขาจะเดินกลับไปยังมุมเดิมของตน

                ทว่าก่อนที่ผมจะได้กลับไปนั่งที่เดิม เสียงครางเบาของเขาก็ดังขึ้น

                เสียงครางนั้นดังติดขัดอย่างทรมาน ร่างกายที่เลือนรางในแสงจันทร์สั่นเทา ผมรีบเดินเข้าไปหาเขา มองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของชายหนุ่มด้วยความร้อนรน

                ชายหนุ่มขยำมือลงบนผ้าแน่น ริมฝีปากขบแน่นจนขาวซีด ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นระริกพร้อมเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก

                ‘คุณ…..’ ผมเอ่ยเสียงเรียกเขา ทว่ากลับไปไม่ถึงห้วงความคิดของร่างที่สั่นเทา ชายหนุ่มยิ่งกอดตัวเองแน่นขึ้น พร้อมชื่อหนึงที่กระซิบพร่าแผ่วผ่านริมฝีปากออกมา

                เฟเล…..’

    ผมชะงักเมื่อได้ยินชื่อนั้น หัวใจปวดแปลบขึ้นอีกระลอก แต่ก็ต้องรีบระงับมันลงไปให้ลึกที่สุดก่อนจะย่อกายลงนั่ง ในขณะที่เขาเริ่มหลุดคำพูดสั่นเครือออกมา

    เฟเลเจ้าจะไปไหนหรือ..ข้ากลับมาแล้วกลับมาแต่งงานกับเจ้าเฟเล…..’ชายหนุ่มเพ้อเสียงเครือ คำพูดอีกมากมายพร่างพรูพร่ำเพ้อไม่เป็นภาษาหลุดผ่านออกจากริมฝีปากของชายหนุ่มพร้อมร่างที่สั่นเทา ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษทุกคน..ข้าควรจะกลับมาเร็วกว่านี้จะแค้นข้าก็ไม่เป็นไร….ข้าขอโทษ..’

     หลังจากนั้น คำขอโทษและคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์อีกมากมายก็หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของเขา ดูเหมือนเขาจะฝันร้ายถึงสิ่งที่เพิ่งเผชิญหน้ามา ผมนั่งนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก มองใบหน้าอันทรมานของเขา หัวใจนึกอยากจะกอดปลอบประโลม นึกอยากจะแตะมือลงบนเส้นผมของเขาให้ใจเย็นลง

    ทว่าผมทำไม่ได้ เพราะผมไม่ได้รับอนุญาติให้แตะต้องเขา

    ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้……..ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้..แต่แค่ทำให้เขาหยุดฝันร้ายผมยังทำไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ!

    ผมกัดริมฝีปาก ขอบตาร้อนผ่าวจนเหมือนมีของเหลวใสไหลรินออกมา  ทว่าในที่สุด ผมก็นึกถึงสิ่งที่ผมทำได้ขึ้นมา

    จริงสิ

    อย่างน้อยผมก็พูดกับเขาได้ไม่ใช่หรือ..

    ผมมองใบหน้าที่ทรมานของเขา หัวใจที่เต้นรัวปวดร้าวเริ่มสงบลง ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจลึก  แล้วกล่าวออกมาที่สุด

     ‘….มันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้นล่ะครับ

    ผมพูดพร้อมกับกระชับผ้าห่มให้กับเขาด้วยมืออันสั่นเทา..พยายามฝืนคำห้ามนั้นอย่างสุดกำลัง

    มันเป็นแค่ฝันร้าย….’ ถึงแม้สิ่งที่อยู่ในนั้นจะเป็นความจริง..  ‘ไม่มีทางที่ทุกคนจะเคียดแค้นคุณหรอกนะครับไม่มีทางเลย เพราะว่าทุกๆ คนรักคุณเฟเล รักคุณ เธอเป็นคนดีและอ่อนโยน เธอต้องปรารถนาจะให้คุณมีชีวิตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแน่นอน..ดังนั้น..ไม่เป็นไรนะครับ ถึงจะตัวคนเดียวก็ไม่เป็นไร

    ….เพราะผมจะอยู่ข้างๆคุณเอง

    ถึงแม้มันจะไม่มีค่าอะไรกับคุณเลยก็ตาม..

    พูดจบ ผมก็ยิ้มขมกับคำพูดอันหลอกลวงและเห็นแก่ตัวของตนเอง ทว่าน่าแปลก เพราะทันทีที่ผมเงยหน้ามองเขา

    สีหน้าทรมานบนใบหน้าของชายหนุ่มก็หายไปเสียแล้ว

    ผมเบิกตาอย่างประหลาดใจ ใบหน้าผ่อนคลายของชายหนุ่มทำให้หัวใจของผมพองโตจนน่าหัวเราะ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของชายหนุ่มดังแผ่วเบา ประสานกับเสียงหัวใจของผมที่เริ่มสงบลง

    ผมหัวเราะเบาๆ กับความสบายใจนี้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยระวังไม่ให้เขาตื่น และไม่ลืมกล่าวคำพูดที่ผมกล่าวกับเขาทุกค่ำคืน

    ราตรีสวัสดิ์ครับ

    แล้วจากนั้น ผมก็กลับไปยังมุมของตัวเองและปล่อยจิตให้ล่องลอยไปอีกครั้ง

    ++++++++++

    เช้าวันถัดมา ฝนที่ตกหนักมาตลอดก็หยุดลง

    ฟากฟ้ายังคงครึ้มด้วยมวลเมฆ ทว่าไร้เม็ดฝนพร่างพรมตกลงมา

    เขาตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้า สีหน้าดูไม่ดีนักแต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนวาน ชายหนุ่มพับผ้าห่มเก็บแล้วลุกขึ้นมาก่อกองไฟ ก่อนจะเดินไปค้นอาหารที่พอจะมีติดบ้างในกระท่อมเก่าๆ ที่อาศัยพักพิง

    ผมมองตามเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเคยชิน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อชายหนุ่มหันมามองผม และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ‘..อรุณสวัสดิ์

    ทีแรก ผมยังคงนิ่งอยู่ด้วยคิดว่าเขาไม่ได้คุยกับผม แต่เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ผมก็นึกได้ขึ้นมาว่าเขามองเห็นผมแล้ว

    อรุณสวัสดิ์ครับ ผมทักทายกลับไปหาเขา หัวใจเต้นรัวขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับมันนิดหน่อย และไม่พูดอะไรต่อ

     ความเงียบยังคงดำเนินไประหว่างเรา..เมื่อเขาไม่พูด ผมก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไป ผมไม่เคยชินกับการพูดคุย จริงอยู่..เมื่อคืนนี้ผมอาจพูดอะไรออกไปมากมาย ทว่านั่นก็เพราะความรู้สึกที่ผลักดันให้ผมพูดมันออกไป

    ทว่าในตอนนี้ที่ทุกสิ่งดูสงบจนน่าแปลก ผมก็กลับเป็นตัวผมเช่นเดิม

    ตัวผมที่นั่งเฝ้ามองเขาเงียบๆ

    ชายหนุ่มนำอาหารที่หยิบออกมาโยนลงในหม้อที่ตั้งเตรียมเอาไว้แต่แล้ว แล้วตักน้ำที่รองไว้เมื่อคืนในบ่อข้างกระท่อมมาต้มอาหาร เสียงเดือดปุดของน้ำดังอย่างชัดเจนในความเงียบ ก่อนที่เขาจะตักอาหารซึ่งสุกดีแล้วใส่ในถ้วยเล็กๆ ซึ่งผมจำได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาถือติดตัวมา

    ผมจ้องมองการกระทำของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายยื่นถ้วยที่ขึ้นไอร้อนให้กับตน

    กินเสียสิ เมื่อคืนนี้ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้อง เจ้าคงหิว

    เอ่อ..ผม…’

    ที่จริงแล้วผมไม่จำเป็นต้องทานอาหารผมก็ดำรงอยู่ได้..ผมเป็นตัวตนซึ่งมิใช่มนุษย์แม้ไม่ทราบว่าตนเป็นสิ่งใด แต่ความจริงที่ว่าผมมิใช่มนุษย์ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเขายื่นมันให้ผมเช่นนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนตนจะปฏิเสธไม่ได้

    ขอบคุณครับ….’ ผมกล่าวบอกเขา พยายามรับถ้วยซุปมาโดยไม่ให้แตะต้องถูกผิวของเขา ก่อนจะยกขึ้นดื่มอย่างไม่คุ้นเคย อร่อย….’

    ก็แค่ของแห้งต้มซุปเท่านั้น…..แต่เจ้าหิวถึงขนาดนั้น บางทีคงรู้สึกอร่อยเขาเอ่ย ก่อนจะตักของตนมากินบ้าง ในขณะที่ผมลอบยิ้มกับถ้วยซุปอันอบอุ่นที่เขาตักให้ ไม่ได้บอกออกไปว่าเหตุใดจึงคิดว่ามันอร่อย

    จะไม่ให้รู้สึกว่าอร่อยได้อย่างไร..ในเมื่อนี่เป็นอาหารชามแรกที่ผมได้ทาน..เป็นซุปชามแรกที่ผมได้ดื่มและเป็นความอบอุ่นแรกที่ผมได้จากเขา

    แม้รู้ดีว่าไม่ควรดีใจ..ผมกลับรู้สึกดีใจ และแม้รู้ว่าบัดนี้ความเศร้ายังครอบคลุมเขา

    ผมก็อดยินดีไม่ได้ที่ตัวตนของผมส่องสะท้อนในแววตาและโลกของเขาแล้ว

    ++++++++++++++++++

    หลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว เขาก็ออกไปข้างนอก

    ทีแรกเขาไม่ชอบใจนักที่ผมเดินตามเขามา ช่ายหนุ่มเอ่ยห้ามเสียงแข็งพร้อมดวงตากร้าวที่ไม่ปรากฏ แต่เพราะผมโกหกไปว่าอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกไม่ดี แววตาคู่นั้นก็อ่อนแสงลง ก่อนจะยอมให้ผมติดตามเขาไปแต่โดยดี

    ชายหนุ่มเดินไปลงไปในตัวหมู่บ้าน ผ่านหลุมศพซึ่งตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบมากมายโดยพยายามไม่มองความจริงที่บ่งบอกว่าเขาสูญเสียสิ่งใดไป ก่อนจะไปยังกระท่อมของชายชราที่ตนไปหาเมื่อวาน

    เมื่อชายชราเปิดประตูออกมา ชายหนุ่มก็โค้งกายลงกล่าวขอโทษ เขาบอกว่าตนรู้สึกตกใจจนทำเรื่องเสียมารยาทลงไปและขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เป็นห่วง

    ชายชราที่เห็นเขาเช่นนั้นบอกว่าไม่เป็นไรเพราะตนเข้าใจ เข้าใจว่าการเสียสิ่งที่รักไปเป็นเช่นไร เพราะฉะนั้นอย่าได้กังวลไป และอย่าได้คิดแก้แค้น เพราะเราไม่มีกำลังพอจะทำเช่นนั้น และแน่นอนว่าอย่าได้คิดตาย เพราะเฟเลย่อมปรารถนาให้เขาคงอยู่

    ชายหนุ่มที่ได้ยินเช่นนั้นยิ้มขื่น เขาผงกหัวรับคำของชายชรา แต่ผมรู้ดีว่าเขาทำเพียงให้ชายชราสบายใจ

    เมื่อได้พูดสิ่งที่ตนกังวลมาตลอดออกไปแล้ว ชายชราก็เริ่มถามไถ่เรื่องอื่น เช่นว่าจากนี้ไปชายหนุ่มจะทำเช่นไร เพราะตนนั้นคงไม่คิดจากหมู่บ้านไปเพราะก็ใกล้สิ้นอายุขัยเสียแล้ว ทว่าชายหนุ่มยังอ่อนเยาว์ ยังมีชีวิตได้อีกหลายปี ไม่ควรจะจมปลักกับอดีตเช่นนี้

    ชายหนุ่มยังไม่ได้ตอบอะไรออกไปชัดเจนนัก เขาเพียงบอกว่าตนยังไม่ทราบจะไปที่ใด บางทีคงอยู่ที่นี่ซักพักใหญ่ และบางที..คงอยู่ไว้อาลัยให้เฟเลเสียก่อน

    ชายชราที่ได้ยินเช่นนั้นหลุบตาลง ก่อนยกมือของชายหนุ่มขึ้นกุมเพื่อให้ดำลังใจ และบอกว่าให้มีชีวิตอยุ่ต่อไปให้อยู่ต่อไป

    ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาเพียงบีบมือของชายชราคืน และบอกลาอีกฝ่ายพร้อมเดินจากออกมา

    ผมไม่ทราบว่าตอนนี้เขายังคิดตายอยู่หรื่อไม่ และคำกล่าวของชายชราจะได้ผลหรือไม่

    แต่ผมก็หวังเพียงว่าเขาพูดของคนที่เขารู้จักจะทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    ได้แต่หวัง

    ++++++++++++++++++

    เขาเดินไปที่เนินเตี้ยๆในความทรงจำของเขา ก้าวไปที่หลุมศพของหญิงสาวผู้เป็นที่รักและวางดอกไม้ที่ตนเด็ดติดมือมาด้วยลงไป ชายหนุ่มใช้ผ้าที่หยิบติดมือมาด้วยทำความสะอาดหินป้ายหลุมศพ กระทั่งมันกลับมางดงามเฉกเช่นกับเมื่อครั้งเพิ่งทำใหม่เหมือนเดิม

    ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยด้วยความพอใจ ก่อนที่ความเศร้าจะโรยร่วงลงในแววเนตรของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งลงตรงหน้าหลุมศพของเฟเล ก่อนที่จะยกมือลูบหินป้ายหลุมศพอย่างโหยไห้

    เขาไล้นิ้วไปตามรอยสลักชื่อของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการซึมซับตัวตนของคนรักที่จากเขาไปเสียแล้วให้มากที่สุด

    ผมมองเขาอยู่เช่นนั้น หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทว่าไม่คิดใส่ใจ แต่แล้วครู่หนึ่ง เสียงของเขาก็พึมพำขึ้นมา..กล่าวราวกำลังพูดกับตัวเอง

                ‘เหตุใด…’เสียงนั้นหยุดไปครู่หนึ่ง เหตุใดจึงไม่ปรารถนาจะให้ข้าตาย

                ทีแรก ผมนั่งนิ่งด้วยคิดว่าเขาไม่ได้พูดกับผม แต่อาจจะรำพึงกับตัวเองหรือกล่าวกับเฟเล แต่เมื่อเขาไม่กล่าวอะไรต่อ และดวงตาของเขาเริ่มกลอกมาทางผม ผมก็ทราบในที่สุดว่าคำพูดนั้นคือคำพูดที่คำกล่าวกับผม

                ‘….ผม….’ ผมเปล่งเสียงออกไป รู้สึกแปลกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของตัวเอง รู้สึกแปลกทุกครั้งที่สามารถเปล่งเสียงของตนออกไปได้……เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ผมจะเคยกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขา แม้จะเคยตะโกนบอกรักเขา นั่นก็เป็นเพียงการเปล่งเสียงออกไป ไม่ใช่การสนธนาผม….ที่ไม่อยากให้คุณตาย…’

    เหตุผลที่ไม่อยากให้ตาย

    เรื่องนั้นน่ะ

    ที่ไม่อยากให้คุณตาย….ก็เพราะ..’

    ….เพราะผมรักคุณ ..เพราะไม่ปรารถนาจะเสียคุณไป เพราะยังปรารถนาจะเห็นรอยยิ้มของคุณ ยังอยากได้ยินเสียงหัวเราะของคุณ ยังอยากจะให้คุณมีชีวิตต่อไปเพื่อความสุขต่อจากนี้

    นั่นเป็นเหตุผลที่แท้จริง เหตุผลที่ผมอยากตะโกนบอกเขา แต่ผมก็ทำไม่ได้

    ผมหลุบตาลง กลืนคำพูดแห่งความจริงแท้อันแสนข่มขื่นลงไปไป และแสร้งยิ้มพร้อมตัดสินใจโกหกเขา มีใครในโลกนี้ปรารถนาจะเห็นความตายบ้างล่ะครับ ผมไม่อยากให้เห็นคุณตาย ก็เท่านั้น…’

                ชายหนุ่มจ้องมองผม ดวงตาหลุบคล้ายกับผิดหวัง ก่อนที่เขาจะหันไปมองหลุมศพของหญิงคนรัก และเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หากเหตุผลของเจ้ามีเพียงเท่านั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป….’

                ว่าจบ ชายหนุ่มก็นิ่งไป และไม่หันมามองผมอีกเลย

    เขานั่งนิ่งเงียบอยู่หน้าหลุมศพของหญิงสาวเช่นนั้น..กระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน

    ++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×