คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 1 : ทำความรู้จัก
.
.
.
.
ในวันที่ชีวิตของข้าร่วงหล่น
ในวันที่ชีวิตของข้าไม่เหลือสิ่งใด
ในวันที่ข้าสูญสิ้นทุกสิ่งที่เป็นความหมายของชีวิตไป คนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
คนผู้นั้นไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามของตน ไม่ยอมเข้ามาพูดคุย
ไม่แม้กระทั่งบอกว่าตนเป็นใครหรือสิ่งใด และปรากฏตัวขึ้นได้เช่นไร
คนผู้นั้นทำให้ข้าโกรธขึ้ง คนผู้นั้นบอกว่าปรารถนามิให้ข้าตาย
และบอกว่าเห็นข้าสำคัญกว่าใครใคร...ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน
ข้าไม่สนใจคนผู้นั้น ไม่ปรารถนาจะสนใจใครอีกต่อไป
.
.
.
.
กระนั้น..เมื่อเวลาผ่านไป..และผ่านไป
ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มตะโกนบอกข้าว่านี่คือสิ่งสำคัญ
คือสมบัติล้ำค่าที่ข้าต้องปกป้องนับแต่นี้ไป
Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 1 : ทำความรู้จัก
ร่างกายของผมแข็งทื่อ ดวงตาที่สบมองซึ่งกันและกันร้อนผ่าว ความรู้สึกมากมายประดังเข้ามาจนผมไม่อาจทราบได้ว่าเป็นความรู้สึกใด
มือของผมที่ยื่นออกไปบัดนี้ร่วงหล่นลงข้างกาย สรรพเสียงเลือนหายท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย เวลาคล้ายถูกหยุดอยู่กับที่ ในขณะที่เสียงซึ่งผมเปล่งออกไปเมื่อครู่ดูคล้ายจะถูกกลืนหายไปอีกครั้ง
ร่างกายของผมเย็นเฉียบ ริมฝีปากสั่นระริก รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวจนราวจะล้ลงกองกับพื้น
หัวใจของผมเต้นรัว..เร็วยิ่งกว่าครั้งใดใดที่เคยผ่านมา เร็วยิ่งกว่ายามได้เห็นใบหน้ายามหลับใหลของเขา เร็วยิ่งกว่ายามเจ็บปวดใจเมื่อเห็นเขาอยู่กับหญิงสาว
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วจนเหมือนจะหลุดออกมา..เต้นอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ดวงตาของผมและเขาสบประสานกัน แววตาสีฟ้าครามชอกช้ำที่มองมาบัดนี้เริ่มแฝงด้วยความงุนงง ..มีดที่อยู่ในมือของเขาร่วงหล่นลงพื้นไปแล้ว ในขณะที่ชายหนุ่มเริ่มขยับปากเอื้อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
‘ เจ้า…..’
‘อะ…..! หวา..!’
ไม่ทันที่เขาจะพูดขาดคำ ร่างกายของผมก็ชะงักสะดุ้งราวกับถูกไฟช๊อต เสียงอุทานที่ดังออกไปฟังดูน่าขันจนผมอับอาย รู้สึกราวกับใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทั้งที่อยู่กลางสายฝน ร่างกายของผมยังคงสั่นระริกชาวาบ ทว่าไม่มากถึงขั้นร่วงลงกับพื้น ในขณะนั้นเอง ขาเจ้ากรรมของผมก็ก้าวถอยหลัง แล้วตัวผมเองก็รีบวิ่งหนีให้ห่างออกจากตัวเขา
‘เดี๋ยว..! หยุดก่อน!’
ผมไม่สนใจคำกล่าวห้ามที่ดังตามหลังมา ..อันที่จริงสิ่งนั้นทำให้ผมชะงักทว่าไม่มากพอให้หยุดยิ่ง ขาของผมเริ่มออกวิ่งเร็วขึ้น หัวใจของผมเต้นรัว ขอบตาร้อนผ่าวพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมา
ความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต เอ่อล้น ท่วมท้น และผลักดันในขอบตาร้อนผ่าวจนเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา
อะไรกัน..ผมปรารถนาให้เขามองเห็นผม ปรารถนาให้เขารู้สึกถึงตัวตนของผม ต้องการจะพูดคุยกับเขาไม่ใช่หรือ?..แล้วทำไมร่างกายของผมมันถึงไม่ฟังความรู้สึกของผม แล้วออกวิ่งมาแบบนี้เล่า!
ผมปรามาสตัวเองในใจ หัวสมองว่างเปล่าจนรู้สึกราวกับจะคิดอะไรไม่ออก ขณะที่ขาทั้งสองยังคงก้าวสับยังออกวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝน รองเท้าที่กระทบลงบนพื้นเจิ่งน้ำดังเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ คล้ายกับเสียงหัวใจของผมที่เต้นรัวอยู่ไม่ยอมหยุด
ผมยังคงออกวิ่งเช่นนั้นโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่ทราบว่าวิ่งอนู่นานเพียงไร ทว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกที เชือกอันมองไม่เห็นก็กระชากร่างของผม ส่งผลให้ผมล้มลงกระแทกพื้นจนรู้สึกเจ็บ
ผมครางเบาๆ ด้วยความเจ็บ ในขณะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
‘เจ้า…เป็นอะไรหรือเปล่า’
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง สิ่งนั้นส่งผลให้ผมเงยหน้าขึ้น หัวใจที่แต่เดิมก็เต้นรัวเร็วอยู่แล้วดูจะยิ่งเร็วกว่าเก่า..เร็วจนคล้ายกับจะกระเด้งกระดอนออกมา
‘..มะ…’ ผมพยายามค้นหาเสียงตัวเองที่หล่นหายไปไหนไม่ทราบขึ้นมา พลางยกมือขึ้นแตะที่ลำคอของตน ‘ มะ…ไม่เป็..ไร’
‘แน่ใจหรือ ข้าเห็นเจ้าล้มลงไปเช่นนั้น มีบาดแผลหรือเปล่า?’ เสียงทุ้มนุ่มดังฝ่าผ่านสายฝน ในขณะที่ร่างของเขาเริ่มเดินเข้ามาใกล้ด้วยแววตาห่วงใย ชายหนุ่มยื่นมือคล้ายจะแตะต้องผม และนั่นทำให้ผมสะดุ้งจนถึงกับใช้เท้าถีบตัวเองถอยหลังออกมาโดยไม่รู้ตัว
สิ่งนั่นทำให้เขาชะงัก ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าผมไม่ต้องการให้เขาสัมผัส ดังนั้นมือกร้านที่ยื่นมาใกล้จึงร่วงหล่นลงข้างกาย ในขณะที่เขานั่งลงยองๆ จดจ้องใบหน้าของผมด้วยแววตาสีฟ้าครามที่ผมใฝ่ฝัน
‘เจ้าเป็นใครหรือ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…. ข้าชื่อ…’เขาบอกชื่อของตน ‘แล้วเจ้าเล่า…มิใช่คนในหมู่บ้านสินะ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่เล่า’
‘ผม….’เสียงของผมหลุดออกไปเล็กน้อย ใบหน้าของผมที่ส่องสะท้อนในแววตาคู่นั้นดูแตกตื่นจนน่าขำ
ให้ตายสิ….ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้าไปแล้ว
+++++++++++++++
หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ เราก็เข้าไปหลบฝนในกระท่อมแห่งหนึ่ง
กระท่อมแห่งนั้นเป็นคนละหลังกับของชายชรา อยู่ห่างออกมาจากเนินเขาไม่มากนัก ดูเหมือนแต่เดิมจะเป็นที่เก็บกองฟางซึ่งอยู่ไกลออกมาจากหมู่บ้าน และบัดนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ทีซึ่งไม่ได้ถูกเพลิงเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านไป
สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าราวกับว่าจะไม่มีวันหยุด เสียงหยดน้ำที่กระทบลงพื้นยังคงดังไม่ขาดสาย ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดผมจึงรู้สึกว่าสายฝนในใจของตนหยุดชะงักลงไปเสียแล้ว
…หรืออันที่จริง ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยพายุหมุนปั่นป่วนเสียมากกว่า
ผมนั่งจิบชาที่เขาชงให้เงียบๆ ในขณะที่สายตาจ้องไปที่ร่างของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ตอนนี้ในกระท่อมมีแต่เพียงความเงียบงัน เมื่อผมเองก็เงียบ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน
ชายหนุ่มในตอนนี้ยังดูไม่ปรกตินัก ความเศร้าอันหนาหนักยังคงส่องสะท้อนในแววตาของเขา ทว่าก็สงบลงอย่างเห็นได้ชัด ..สงบเท่าที่หัวใจของชายหนุ่มจะอนุญาติให้พักผ่อนจากความเจ็บปวดได้
…ความเจ็บปวดจากการสูญเสียสิ่งสำคัญไป
หัวใจของผมบิดเกลียวอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น น้ำตาที่แห้งไปแล้วดูคล้ายกลับจะเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง ทว่าก่อนที่ผมจะจมลงไปในห้วงความคิดของตน เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘…ก่อนหน้านี้’
เสียงของเขาทำให้ผมสะดุ้ง เกือบจะทำถ้วยชาในมือลื่นหล่นลงกับพื้น ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองสายตาของเขาที่จ้องมองตรงมา ก่อนจะชะงักแข็งทื่อไปอีกครั้งเมื่อสบกับดวงตาที่มองมา
..ผมไม่ชินกับภาพตัวเองที่สะท้อนในดวงตาของเขาเลย
‘มะ…มีอะไรเหรอครับ?’ ผมเอ่ยถามออกไป นิ้วมือไล้ไปตามถ้วยชาเพื่อดับความตื่นเต้นของตน ผมพยายามหลบสายตาที่มองตรงมาทางผมด้วยความประหม่า ทว่าในที่สุดก็กลับหันไปสบกับดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง
..ดวงตาที่ผมปรารถนาให้มองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อก่อน…
‘ ก่อนหน้านี้…ที่เจ้าห้ามข้าไว้’ ชายหนุ่มกล่าวออกมาแล้วหยุดไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความเศร้ามองตรงมาที่ผม ‘หากไม่ได้เจ้าหยุดไว้ ข้าคงจะตายตามนางไปแล้ว...บางที…ข้าคงควรขอบคุณเจ้าสินะ’
‘…ถ้าคุณเห็นใครซักคนกำลังจะตาย ก็ต้องช่วยอยู่แล้วนี่ครับ?’ ผมเอ่ยพร้อมฝืนยิ้ม ไม่ชอบใจนักกับดวงตาเศร้าๆของเขา ผมยกชาขึ้นจิบ อยากจะเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านี้..อยากจะพูดให้เขาสบายใจ อยากจะพูดอะไรให้เขายิ้มออกมา แต่ถึงกระนั้น ผมก็คิดอะไรไม่ออก…
ผมไม่เคยพูดคุย ไม่เคยสนทนากับใคร ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี และได้แต่ปล่อยให้ความเงียบร่วงโรยลงมาระหว่างเราสองคน
‘…..แต่อันที่จริง เจ้าควรจะปล่อยให้ข้าตายไปเสีย’
กึก!
ผมสะดุ้ง ดวงตาเบิกขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะเงยมองไปทางชายหนุ่มซึ่งยังคงจดจ้องผมด้วยประกายตาแสนเศร้า ‘ นี่คุณหมายความว่าไงกันครับ!’
‘ข้าขอบคุณ…ขอบคุณอีกครั้งที่เจ้าช่วยชีวิตข้า แต่อันที่จริงเจ้าควรปล่อยให้ข้าตายไปเสีย เพราะชีวิตที่เจ้าช่วยมาช่างไร้ค่าเหลือเกิน’
‘ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ!’ ผมขึ้นเสียงสูง ความเจ็บปวดที่ผสานกับความรู้สึกรุนแรงซึ่งผมไม่รู้จักพุ่งพรวดขึ้นมา ส่งผมให้ผมลุกขึ้นยืนและกำหมัดแน่นโดยลืมไปว่าแก้วชาอยู่ในมือ
เสียงแก้วชาตกลงกับพื้นดังกระจาย น้ำในแก้วค่อยๆ ไหลรินออกมา แผ่ขยายวงกว้างอย่างเชื่องช้าและเงียบสงัด
‘เจ้าอาจจะไม่รู้ แต่ข้าเป็นคนของหมู่บ้านนี้..สิ่งสำคัญของข้าสูญหายไปแล้ว ทั้งคนรัก ทั้งเพื่อน ครอบครัว ญาติพี่น้อง สมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเคียง..ทั้งหมดสูญหายไปจนสิ้นแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดให้ข้าปกป้องอีกต่อไป แม้แต่บ้านของข้า แม้แต่หัวใจของข้า
…ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่มีเป้าหมายใดให้ข้ามีชีวิตต่อไปแล้ว..’ชายหนุ่มยิ้มขื่น ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองมาทางผมพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก ‘ เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วสินะ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว ต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้เจ้ามารับฟังเรื่องเช่นนี้’
เอ่ยจบเขาก็ทำท่าจะเดินไปทางประตูกระท่อม เห็นเช่นนั้นผมจึงรีบลุกขึ้น พริ้อมกับยืนมือออกไปหวังจะดีงรั้งร่างของเขาไว้ ทว่าผมกลับชะงักก่อนที่จะยื่นมือถึงเขา
สัญชาตญาณที่รุนแรงกว่าครั้งใดบอกผมว่าห้ามแตะต้องตัวเขา สัญชาตญาณที่ผมไม่กล้าขัด
ทั้งที่ผมอยากห้ามเขาใจจะขาด…
‘อย่า…อย่าไป…’
เสียงของผมสั่นเครือยิ่งกว่าครั้งใดใด ด้วยความจริงที่แจ่มชัดในหัวใจของผม
เขากำลังจะไปตาย…
ถึงไม่ได้พูดออกมาแต่ผมก็รู้ เพราะผมเข้าใจเขา รู้จักเขายิ่งกว่าใครใครในโลกนี้
เมื่อครู่ที่เขาวิ่งไล่ตามผมก็เพราะเป็นห่วงผม ที่เขายังไม่ฆ่าตัวเองให้ตายลงก็เพราะเห็นผม และแม้จะกำลังเศร้าเพียงใดเขาก็ยังเป็นเขา เป็นเขาที่อ่อนโยนยิ่งกว่าใครๆ อ่อนโยนจนลืมความตายของตนชั่วขณะเพราะเป็นห่วงผมที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา..
แต่เพราะความเศร้าก็คือความเศร้า เมื่อเห็นว่าผมปลอดภัยเขาจึงคิดจะตายอีกครั้ง…บางทีคงเคียงข้างหลุมศพของคนรัก
ผมไม่อยากให้เขาตาย…ผมไม่อยากให้เขาจากผมไป ผมไม่อยากสูญเสียเขาไป
มือของผมที่กำแน่นสั่นสะท้าน มองร่างเขาที่กำลังจะออกไปท่ามกลางสายฝน
สายฝน…
‘ฝนยังตก…’
คำพูดของผมทำให้เขาชะงัก ขาที่กำลังจะก้าวออกจากกระท่อมไปหยุดลง ชายหนุ่มหันมามองผม ก่อนที่ผมจะพูดต่อไป ‘ ฝนยังตก เดี๋ยวค่อยออกไป…ไม่ดีกว่าหรือ’
ชายหนุ่มฟังคำพูดของผมแล้วนิ่งไป ดวงตาหลุบลง ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา ‘ฝนจะตกหรือไม่..ก็ไม่เป็นไรหรอก’
‘เพราะคุณกำลังจะไปตายใช่ไหมครับ?’
คำพูดของผมทำให้เขาชะงักกึก ดวงตาจดจ้องมาทางผม ก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบออกมา ‘…ใช่’
‘ทำไมถึงคิดจะตายล่ะครับ’ ผมเอ่ยถามเขา มองสบดวงตาเขาโดยลืมความประหม่าทั้งหมดไป ‘ ทั้งที่อุตส่าห์มีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะครับ’
‘ข้าก็เพิ่งจะบอกเจ้าไปไม่ใช่หรือ ว่าข้า…’
‘มีคนมากมายที่สูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้วยังมีชีวิตอยู่นะครับ!’ ผมรีบตอบขัดคำเขา ดวงตาเริ่มร้อนผ่าว รู้สึกราวกับมีน้ำตาร่นขึ้นในขอบตา ‘ ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะดีใจหรอกนะครับ ถ้ารู้ว่าคุณตายตามพวกเขาไป..’
‘เรื่องนั้นข้ารู้…’ชายหนุ่มเอ่ยตอบ ใบหน้ายังคงนิ่งสงบราวกับตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึก ‘ แต่ข้าไม่เข้มแข็งพอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไร้จุดหมาย ข้ารู้ดีแก่ใจว่าพวกเขาจะต้องการให้ช้ามีชีวิตอยู่ต่อไป..แต่ข้าไม่มีพลังมากพอจะก้าวต่อไป…ข้าไม่มีความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว!’
‘แล้วคุณไม่คิดจะแก้แค้นเหรอครับ! แก้แค้นให้คนที่ทำร้ายสิ่งสำคัญของคุณ! แก้แค้นคนที่ฆ่าคนที่คุณรัก..ทำไมคุณถึงไม่คิดจะทำสิ่งเหล่านั้นแทนที่จะตายตามไปอย่างไรค่า!!’
‘แม้แก้แค้นไปก็ไม่ได้สิ่งใดกลับมา!!’ชายหนุ่มหันมาตะคอกผมบ้างจนผมสะดุ้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ทั่วทั้งร่างสั่นระริก ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดทั้งหมดที่มี ‘แม้แก้แค้นสิ่งที่ข้ารักก็จะไม่มีวันกลับมา! แม้ฆ่าคนเหล่านั้นให้สาแก่ใจข้าก็ไม่มีวันเป็นสุข ต่อให้ถูกความแค้นหล่อเลี้ยง…ข้าก็ไม่คิดว่าชีวิตเช่นนั้นจะดีไปกว่าซากศพที่มีเพียงวิญญาณแต่ไร้หัวใจ!!’
เขาพูดจนหอบตัวโยน ดวงตากร้าวยังคงเป็นประกายโชติช่วงอยู่เช่นนั้น ในขณะที่ผมซึ่งได้ยินคำพูดเหล่านั้นรู้สึกสะอึก..ไม่เคยรู้สึกเกลียดนิสัยของเขามากเท่าวันนี้มาก่อน
…ดีเกินไป ดีจนไม่คิดจะแก้แค้น ไม่คิดจะโยนความผิดให้ใคร…
…แต่ชายหนุ่มก็ไม่เข้มแข็งพอ ไม่เข้มแข็งพอจะมีชีวิตอยู่โดยลืมไปว่าเป้าหมายทั้งชีวิตของตนได้สูญสิ้นไปแล้ว
ผมยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกไปดี ในขณะที่เขาซึ่งระเบิดอารมณ์ใส่ผมเริ่มสงบสติ และกำลังจะเดินออกไปจากกระท่อมอีกครั้ง
‘ คุณยังมีผมอยู่นี่ครับ!! คุณไม่ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียหน่อย! ผมยังยืนอยู่ตรงนี้…ยืนอยู่ตรงนี้ยังไงล่ะ’
‘ ยังเหลือเจ้าอยู่….ตอนที่ข้าได้ยิน ข้านึกว่าเป็นเสียงของเพื่อนข้าที่เหลือรอด ข้าถึงได้วิ่งไล่ตามเจ้าไป แล้วจึงพบว่าไม่ใช่ ที่พูดออกมาเช่นนั้น..เจ้าหมายความว่าเช่นไร? ในเมื่อข้าไม่เคยพบเจ้า ไม่รู้จักเจ้า…..’
‘ผม…..’
‘ ข้าจำใบหน้าของคนในหมู่บ้านได้เกือบทุกคน พวกเพื่อนที่ร่วมรบแม้จำได้ไม่หมดก็มีคลับคล้ายคลับคลาบ้าง แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน…. ไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อนจริงๆ แล้วทำไมเจ้าถึงรู้จักข้าหรือ? ..เหตุใดจึงกล่าวว่าข้ายังมีเจ้าอยู่หรือ..? ทั้งที่เจ้าไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญของข้า ทั้งที่ข้าไม่รู้จักเจ้า ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันแท้ๆ!’
‘เรื่องนั้น…!’
เพราะว่าผมอยู่กับคุณมาตลอดทั้งชีวิตน่ะสิ!
เพราะว่าคุณคือสิ่งสำคัญของผม สมบัติล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวของผม และเพราะว่าคุณยังเหลือผมที่รักคุณมากกว่าใครๆ น่ะสิ!
ถึงจะคิดเช่นนั้นในใจ แต่ผมก็ไม่ได้กล่าวออกไป ยิ่งมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว กับแววตาที่ใช้มองคนแปลกหน้าซึ่งจดจ้องตรงมาที่ผม ผมก็ยิ่งพูดไม่ออก ..ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เขาสำคัญสำหรับผมมากมายเพียงใด ต่อให้ความจริงสำหรับผมแล้วเรารู้จักกันมานานมากมายเพียงใด ยามนี้ความจริงสำหรับเขาที่ปรากฏขึ้น..ก็คือผมเป็นเพียงคนแปลกหน้าของเขาอยู่ดี
..แค่คนไม่รู้จักกัน แค่คนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา
ขอบตาของผมร้อนผ่าว ความทรมานทำให้นิ้วมือของผมสั่นระริก ผมหลับตาลง ก่อนจะเบิกขึ้นอีกครั้ง
ผมควรจะพูดอะไรออกไปดี..
บอกว่าผมเป็นสิ่งสำคัญของเขาหรือ…บอกว่าผมอยู่กับเขามาตลอดหรือ..
ใครจะเชื่อกัน..?
ผมหัวเราะออกมาอย่างขมชื่น ดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาที่พร่างพรูออกมา ผมไม่รู้แม้แต่ว่าร่างของเขายังยืนอยู่กับที่หรือว่าได้เดินจากไปแล้ว…ผมรู้แค่ผมเจ็บปวด..ทรมานเหลือเกิน ทรมานยิ่งกว่าช่วงเวลาใดที่เคยผ่านพ้นมา
….ทำไมกันนะ…แม้ได้พบและพูดคุยกับเขาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดดีขึ้นเลย
ไม่แม้ซักอย่างเดียว
++++++++++++++++
TBC
ความคิดเห็น