คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : End CH : เมื่อสายตาประสานกัน
Part I : ผู้เฝ้ามอง : End CH : เมื่อสายตาประสานกัน
.
.
.
‘นางตายไปนานแล้ว..ตายด้วยโรคร้าย ตายเสียก่อนที่หมู่บ้านจะถูกเผา ตายเสียก่อนที่ทุกสิ่งจะแย่ถึงเพียงนี้ บิดาของนางรับไม่ได้ที่บุตรสาวของตนตายจากไปจึงทิ้งบ้านนั้นให้ร้างแล้วออกเดินทางไป ….หากไม่เชื่อก็จงขึ้นไปยังเนินของหมู่บ้าน….ที่นั่น มีหลุมศพของนางอยู่’
.
.
.
หลังจากที่ได้ยินคำคำนั้น ชายหนุ่มก็รีบลุกขึ้น เขามองชายชราอย่างไม่เชื่อสายตา ริมฝีปากสั่นเทาปรารถนาจะตะโกนก้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง ..แต่สุดท้ายเมื่อสายตาที่มองมาไม่ได้เจือด้วยความขบขันหรือคำโกหก ..ชายหนุ่มจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดใดใดออกไป เขาเพียงเดินออกไปจากกระท่อม ก่อนจะเริ่มวิ่งอีกครั้ง
ผมมองตามหลังเขาไป ขาของผมขยับเตรียมจะวิ่งไล่ตามเขา ทว่าไม่ทันได้ทำเช่นนั้นสายตาก็กลับเลื่อนไปหาชายชรา..ผู้บัดนี้ก้มหน้าลงมองพื้น มือกร้านหยาบสองข้างประสานกันหลวมๆ อย่างอ่อนแรง..แผ่นหลังของชายชราสั่นเทา แต่ผมก็ไม่คิดจะเดาว่าเขารู้สึกอย่างไร
ตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว..นอกจากการไปอยู่เคียงข้างเขา
ผมละสายตาจากร่างของชายชรา ขาทั้งสองก้าววิ่งตามชายหนุ่มซึ่งนำไปก่อนแล้ว..แผ่นหลังที่เห็นอยู่ต่อหน้านั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความเศร้าที่เขาแบกรับ และความทรมานจากการสูญเสียความหวังซึ่งแหลกสลายไปในพริบตา
ผมรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไร..รู้ว่าเขาต้องการให้เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องหลอกลวง อยากให้เป็นแค่ฝันร้าย อยากให้ตนวิ่งขึ้นไปยังเนินแห่งคำสัญญาและพบว่าหญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ยืนพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่มอบให้เขาเสมอมา ยืนและหัวเราะเสียงใสพร้อมเข้ามาโอบกอดชายหนุ่มด้วยความรัก บอกว่ารักเหลือเกินและปรารถนาจะอยู่เคียงข้างกัน
ทว่าความจริงก็ยังเป็นความจริง….และความจริงก็ยังเป็นเช่นที่ใครหลายคนเคยพูดกัน
.
.
.
.…ความจริงโหดร้ายเสมอ
สิ่งที่เขาพบหลังจากที่วิ่งไปบนเนินคือหลุมศพ…
หลุมศพนั้นตั้งอยู่บนเนินเขา..ตั้งอยู่ในจุดที่เมื่อยืนแล้วจะเห็นทัศนียภาพอันกว้างไกล หลุมศพดังกล่าวงดงาม เป็นหลุมศพที่ประณีตและสร้างขึ้นอย่างถูกต้องตามประเพณีสำหรับคนตาย เป็นหลุมศพที่ปักกางเขนขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปร่างสวยงามละเอียดอ่อนอันบ่งบอกถึงฝีมือคนทำ เหนือสิ่งอื่นใดคือชื่อที่สลักอย่างงดงามบนนั้น..
ชื่อของหญิงสาว…ผู้เป็นคนรักของเขา
‘เฟเล…’
เสียงกระซิบแผ่วผิวผ่านออกจากริมฝีปาก ดวงตาเบิกกว้างวูบไหว ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน.. มือที่กำแหวนวงสำคัญเอาไว้คลายออกจนมันร่วงลงกับพื้น ก่อนที่จะร่างของชายหนุ่มทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
..สิโรราบต่อหน้าความโหดร้ายที่มีรูปลักษณ์อันชัดเจน
ผมที่วิ่งตามไปยืนอยู่ข้างหลังเขา มองเขาที่ทรุดลงนั่งต่อหน้าหลุมศพของหญิงสาว มองแหวนวงสำคัญที่ร่วงหล่นลงข้างกายเขา และมองเลยไปหลุมศพของหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
..ผมยกมือขึ้นแตะทีหน้าอกของตนเอง รู้สึกราวกับมีบางสิ่งบีบรัดหัวใจของตนไว้ ..ทรมานราวกับจะหายใจไม่ออก
ทันใดนั้น….สายฝนก็กระหน่ำลงมา
ราวกับว่า..รับรู้ความรู้สึกของผมและเขาในตอนนี้
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ไม่แน่ใจนัก ด้วยท้องฟ้ามืดครึ้มจนไม่อาจทราบได้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน
สายฝนยังคงกระหน่ำซัดลงมาอย่างบ้าคลั่งราวกับจะไม่มีวันหยุดลง และเขาก็ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้นราวกับไม่คิดจะลุกขึ้น
ราวกับว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจตามผู้เป็นที่รักไป…
และผมเอง..ก็ยังคงยืนอยู่เช่นนั้น ยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกมา ยืนอยู่เงียบๆ และเฝ้ามองเขาที่ยังคงนั่งโดยไม่ขยับเขยื้อน
ความเงียบดำเนินมานานเหลือเกินแล้ว…เพราะผมไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปได้ต่อให้ปรารถนา และเขา…บางทีคงจมกับความทรมานแสนสาหัสจนไม่อยากจะพูดอะไรออกมา
ความคิดนั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงเขา อยากจะรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นไร อยากจะเห็นว่าเขาทำใบหน้าเช่นไร ตอนนั้นเองที่ดวงตาของผมมองระยะห่างอันคุ้นเคยซึ่งผมมักจะเว้นว่างให้ห่างจากสายตาเขา ..เพื่อไม่ให้เขารู้สึกถึงตัวตนของผม
…แต่ทว่า….เวลานี้ฝนที่ตกกระหน่ำ บางทีมันอาจจะช่วยพรางร่างของผมได้บ้าง เพราะฉะนั้นบางที..ผมอาจจะเข้าใกล้เขาได้มากกว่านี้ ..เข้าใกล้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
คิดเช่นนั้น..ผมจึงก้าวขาออกไป ก้าวเข้าสู่ระยะห่างที่ใกล้เข้ามาอีกนิด..ระยะห่างที่น้อยครั้งผมจะเข้าใกล้ในยามที่เขาตื่น
ผมก้าวขาทีละนิด..กระทั่งถึงจุดที่ยืนอยู่ข้างเขา ผมยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ยืนนิ่งๆ อย่างลังเล ก่อนที่ก้มลงมองร่างของเขา…และใบหน้าของเขาที่ผมเห็นก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดใจจนพูดไม่ออก
ใบหน้าของเขาว่างเปล่า..ไร้ความเศร้า ไร้ความรู้สึกใดใด ดวงตาของเขาเลื่อนลอย…ประกายตาสดใสหม่นแสงลงจนราวกับจะดับไป รอยยิ้มที่มักประดับบนใบหน้าหายไปเหลือทิ้งแนวริมฝีปากที่หยัดตรง ...ไร้ห้วงอารมณ์
ชายหนุ่มว่างเปล่า ปิดกั้น ราวกับรับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ราวกับว่า..บัดนี้กำลังหนีความจริง
ตอนนั้นเอง ที่ความรู้สึกทรมานแล่นขึ้นมาในอกจนผมแทบจุก ลมหายใจติดขัดจนเหมือนกับมีใครมาบีบหัวใจเอาไว้ ผมยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกตัวเองอีกครั้ง บีบลงไปอย่างรุนแรงด้วยต้องการจะให้ความทรมานที่ถ่วงอยู่ในทรวงอกหายไป ขอบดวงตาของผมร้อนผ่าวราวกับว่าน้ำตาจะไหลออกมา..หรือบางที มันคงจะไหลรินออกมาแล้ว ทว่าผสมปนเปดับสายฝนจนเลือนหายไป
ดวงตาของผมพร่าเลือน อาจด้วยสายฝนหรืดหยาดน้ำตา มือเรียวสองข้างของผมยื่นออกไปอีกครั้งราวกับเป็นสัญชาตญาณ แต่แล้วผมก็ต้องชะงักค้างอยู่เช่นนั้น ก่อนฝืนดึงกลับมาหาตน.แล้วกอดตนเองไว้แน่น…แน่นเท่าที่จะทำได้
…เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น ผมคงย่อลงกอดเขา บอกเขาว่าไม่เป็นไร แล้วผมก็จะทำลายข้อห้ามนั้นในที่สุด
สายฝนยังคงร่วงหล่นกระหน่ำลงมา…และผมก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ดังฝ่าสายฝนขึ้นมา
เสียงของชายหนุ่ม
‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า…’
เสียงที่ได้ยินแหบแห้ง…ฉาบเคลือบด้วยความทรมาน ..และสั่นระริกอย่างเปราะบาง..ปราศจากซึ่งความมั่นคง
อันที่จริง..เป็นเสียงที่สั่นไหว…ราบกับจะสะอื้นไห้
‘เฟเล…เหตุใดเจ้าจึงจากข้าไปก่อนเช่นนี้เล่า…เจ้าสัญญาไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างข้ามิใช่หรือ? บอกว่ารักข้าที่สุดไม่ใช่หรือ..? เจ้า….บอกข้าเองไม่ใช่หรือว่ารักข้ายิ่งกว่าผู้ใด แล้วเหตุใดจึงมาจากกันไปเช่นนี้ เหตุใดกัน…’
คำพูดตัดพ้อหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่ม ดวงตาที่เลื่อนลอยของเขาเริ่มซึบซับความรู้สึกเข้ามา จากความเศร้าอันเบาบาง กลายเป็นความเศร้าอันล้ำลึก และเกือบกลายเป็นความรู้สึกเจ็บปวดอันรุนแรง
พร้อมคำพูดที่หลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ ราวกับเขื่อนความรู้สึกที่พังทลายออกมา
‘เฟเล..ทำไมหรือ? ทำไมจึงไม่รอข้าก่อน ทำไมจึงไม่รอให้ข้ากลับมาก่อน อย่างน้อยให้ข้าได้ทันเห็นหน้าเจ้าก่อนตายก็ยังดี’
เสียงพูดเงียบไป มือที่ตกอยู่ข้างกายแตะถูกแหวนที่ร่วงหล่นลงจากมือ ดวงตาของเขากลอกมองสิ่งนั้น ก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมามอง นิ้วมือไล้ไปตามแหวนที่สร้างขึ้นจากโลหะพิเศษซึ่งเขาค้นพบมา
วูบหนึ่ง ร่างของชายหนุ่มก็เกร็งขึ้น เขากำแหวนไว้แน่นแล้วตั้งท่าจะปาทิ้ง ทว่าสุดท้ายกลับต้องลดระดับมือลง…แล้วก้มมองแหวนในมือด้วยท่าทีทนุถนอม
‘เฟเล…ข้าทำแหวนวงนี้ให้เจ้า..แหวนพิเศาที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกนี้ แหวนของเจ้าเพียงคนเดียว..’ ชยหนุ่มพึมพำ ‘..แต่เจ้าจากข้าไปเช่นนี้แล้ว….แล้วแหวนนี้จะไปมีค่าอะไรอีก ในเมื่อเจ้าที่เป็นเจ้าของไม่อยู่แล้ว....
เฟเล…ต่อไปนี้ข้าจะอยู่อย่างไรกัน….ข้าจะอยู่อย่างไรเล่า.. ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว หมู่บ้านถูกเผาจนสิ้น แม้แต่เจ้าก็จากไปเช่นนี้ แล้วจะให้ข้าอยู่ต่อไปเช่นไร..’
คำพูดเหล่านั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว… และยิ่งเขาพูดออกมามากเท่าไหร่ หัวใจของผมก็ยิ่งถูกบีบรัดแน่นขึ้นเท่านั้น
เจ็บ…ทรมานจนแทบจะทนไม่ไหว
ชายหนุ่มนิ่งไป ดวงตาที่ราวกับจะแตกร้าวจดจ้องไปที่หลุมศพตรงหน้าเขา ชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนกาย ขยับเข้าใกล้หลุมศพตรงหน้าตน เขานิ่งมองหลุมศพอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแตะลงบนรอยสลักของชื่อ และไล้ไปตามร่องสลักแต่ละตัวอักษรอย่างเชื่องช้า..ทนุถนอม
‘…หลุมศพของเจ้างามนัก…บิดาของเจ้าคงเป็นผู้ทำให้’ ชายหนุ่มเอ่ย ดวงตามองรอยสลักนามของหญิงสาวอย่างรักใคร่ ‘แต่มันคงดีกว่านี้หากสิ่งที่บิดาเจ้าได้ทำให้มิใช่หลุมศพ…แต่เป็นสิ่งอื่น…เป็นอะไรก็ได้ที่มิใช่สิ่งนี้’
นิ้วมือหยาบกร้านที่ไล้ตามร่องสลักหยุดลง ก่อนละออกจากผิวกางเขนหินแล้วตกลงบนพื้นหญ้า ดวงตาของชายหนุ่มหลุบลง ริมฝีปากหยัดตรงเริ่มขบเม้มกลั้นเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นพร้อมร่างที่สั่นสะท้านกลางสายฝน
‘อา…’เสียงทุ้มกังวานขึ้น รอยยิ้มหยันผุดขั้นบนริมฝีปากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ‘แล้วข้าจะทำเช่นไรต่อไปดีนะ….’
เสียงหัวเราะขื่นดังขึ้นในลำอของชายหนุ่ม รอยยิ้มหยันยิ่งผุดกว้างกว่าเก่าราวกับสมเพชตัวเอง ‘หมู่บ้านไม่เหลืออะไรแล้ว..เจ้าเองก็ไม่อยู่เสียแล้ว เช่นนั้น….ข้าจะอยู่คนเดียงบนโลกนี้ได้อย่างไร..เช่นนั้น…ข้าจะอยู่บนโลกนี้ไปได้เช่นไร..
โลกที่ไม่เหลือใครที่ข้ารัก…และรักข้าแล้วเช่นนี้…
เฟเล…’
สิ้นสุดประโยคนั้น..เขาก็นิ่งไป มือของเขาเลื่อนไปยังกระเป๋าย่ามของตน หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา..พร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
‘เช่นนั้นแล้ว…
ข้าตามเจ้าไปเสีย..ไม่ดีกว่าหรือ…?’
หยุดนะ!!
เสียงที่อยากจะเปล่งออกไปดังอยู่ในลำคอ ดวงตาของผมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่างสิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือมีด..มีดซึ่งเขาพกติดตัวเพื่อใช้แกะสลัก..และบัดนี้ มันจ่ออยู่ที่ลำคอของเขา!!
ผมพยายามเอื้อมมือออกไปเพื่อห้ามเขา ทว่า ความรู้สึกโง่เขลาและคำห้ามที่ติดหัวกลับห้ามผมไว้ ผมพยายามยื่นนมือไปหาเขา..อยากจะคว้ามีดออกจากตัวเขา อยากจะพูดออกไปว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว..ไม่ได้เหลืออยู่เพียงคนเดียวในโลกนี้
คำพูดมากมายที่ค้างในลำคอ แขนที่คิดจะเคลื่อนไปสัมผัสยังคงค้างอยู่เช่นนั้น ผมกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจตัวเอง..แต่คราวนี้ผมจะไม่ยอมแพ้ จะไม่ยอมแพ้ความยึดติดงี่เง่าของตัวเอง
เพราะไม่เช่นนั้น..ผมจะสูญเสียเขาไปชั่วนิรันดร์
ในเสี้ยววินาทีที่ยาวนานนั้น ผมต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับคำกล่าวห้ามที่ฝังลึกในจิตใจของตน ในขณะที่มัดของเขาค่อยๆกดลึกลงบนลำคอ พร้อมโลหิตสีแดงที่หลั่งรินออกมา…
สิ่งนั้นทำให้ร่างกายผมชาวาบ ความกลัวแล่นขึ้นจุกในอกจนร่างกายสั่นระริก มือของผมกำแน่นจนสั่นระริก พร้อมดวงตาที่ปิดลงแน่นด้วยความเจ็บใจ
…หยุดนะ…อย่าทำแบบนั้น! คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวซะหน่อย คุณยังมีผมอยู่นะ....ยังมีผมอยู่ ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ไงล่ะ ผมที่อยู่เคียงข้างคุณมาตลอด…คุณยังมีผมอยู่..ยังมีผมอยู่ไม่ใช่หรือ…?
ทันใดนั้นเอง ก่อนที่มือจะเอื้อมไปถึง ก่อนที่มีดจะกดลึกลงในลำคอของเขามากกว่านั้น
เสียงของใครคนหนึ่งก็ถูกเปล่งออกมา
‘ผมอยู่ตรงนี้ไง…หันมามองผมทีสิ!
ผมอยู่ตรงนี้ มองผมสิ..มองมาทางผม
..คุณยังมี..ผมอยู่นะ..’
เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียงที่ผมรู้จัก…เป็นเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานแสนนานแล้วเหลือเกิน..น้ำเสียงนั้นสั่นไหว อ่อนโยน และทุ้มหวาน..น้ำเสียงนั้น
..เป็นของผมเอง…
ผมค่อยๆลืมตาขึ้น มองตรงไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นร่างของเขา ดวงตาของผมไล่ขึ้นไปจากขาของเขา..เอว แขน..มือที่ถือมีดอยู่ พร้อมถอนหายใจโล่งอกเมื่อมือที่ถือมัดอยู่บัดนี้ละออกจากลำคอของเขาแล้ว
ทว่าเป็นเช่นนั้นได้ไม่นานนัก ร่างกายของผมก็แข็งเกร็ง เมื่อเสียงของเขาดังกังวานขึ้นมา
‘เจ้า…..’
.
.
.
.
ในตอนนั้นเอง..ที่สายตาของเขาและผมประสานกัน
ตอนนั้นเอง ที่เขาเห็นผม และผมเห็นเขา
ตอนนั้นเอง…
ที่ตัวตนของผม..ส่องสะท้อนในดวงตาของเขา
.
.
.
ความปรารถนาชั่วชีวิตของผม..เป็นจริงในชั่วพริบตานั้นเอง
Part I : ผู้เฝ้ามอง
- End –
TBC..
Part II : ผู้ร่วมทาง
ความคิดเห็น