ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #6 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH6 : เสื่อมสลาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 176
      2
      23 ส.ค. 56

    Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH6 : เสื่อมสลาย

             

    เขาวิ่ง

    เขาเริ่มวิ่งหลังจากที่ยืนนิ่งไร้ความรู้สึกราวกับต้องพิษ วิ่งหลังจากที่ร่างกายสั่นระริกเกร็งจนเหมือนบ้า วิ่งและวิ่งไปตามพื้นที่ว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างที่ถูกเผาไหม้ วิ่งผ่านบ้านเรือนที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน วิ่งผ่านถนนกว้างที่บัดนี้ไม่มีร่องรอยของเค้าเดิม วิ่งผ่านหลุมศพไร้ชื่อมากมายที่ทอดยาวออกไป วิ่งผ่านภาพอันโหดร้ายที่ต้องการให้เป็นเพียงภาพลวงตา

    ผมรีบวิ่งตามเขาไป วิ่งด้วยความเร็วที่เกือบจะไล่ทันเขา วิ่งโดยที่สายตามองไปรอบข้างด้วยความเจ็บปวดและทรมาน วิ่งเพราะหากหยุดวิ่งร่างกายจะทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ..วิ่งด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีก้อนสะอื้นเลื่อนขึ้นมาจุกที่ลำคอจนอยากกรีดร้องออกมา

    บ้านเรือนที่เรียงรายกันบัดนี้เหลือเพียงเศษซากตอตะโกสีดำ ตลาดที่คลาคล่ำด้วยผู้คนบัดนี้ว่างเปล่าไร้เค้าเดิม แม้แต่ผู้คนมากมายที่อาศัยในหมู่บ้านก็ยังสูญหายไปจนหมดสิ้น

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

    เกิดบ้าอะไรขึ้นกับสถานที่แห่งนี้!!

      

    ผมและเขาวิ่งไปทั่วหมู่บ้าน ก้าวย่างไปทุกสถานที่ที่พอจะเหลือเค้าเดิมในความทรงจำ วิ่งหาความหวังที่อาจหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้าน ทว่าไม่ว่าจะวิ่งผ่านไปยังแห่งหนใดก็ไร้ผู้คน ไม่ว่าวิ่งผ่านที่ไหนก็มีเพียงเศษซากของการทำลาย

    ไร้ซึ่งเศษเสี้ยวความหวังที่ต้องการ

    เมื่อวิ่งไปจนทั่วพื้นที่ว่างเปล่า ร่างที่วิ่งนำหน้าผมมาตลอดก็หยุดยืน ร่างกายของเขาสะท้านด้วยความเจ็บปวด เสียงหอบหายใจดังแผ่วเบาสั่นไหวคล้ายเสียงสะอื้น มือกร้านของเขากำหมัดแน่นจนสั่นระริก ขณะขาที่ย่างก้าวไปข้างหน้าเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ราวกับถูกฉุดยื้อไว้ กระทั่งล้มลงอย่างโรยแรงกลางพื้นดินสกปรกสีดำเมื่อมที่เกิดจากขี้เถ้าของการทำลาย

    ไม่จริง…’

    เสียงของเขาที่เปล่งออกมาแผ่วเครือสั่นไหว เป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยปล่อยให้หลุดออกมาจากริมฝีปากของตัว เป็นความอ่อนแอที่เขาไม่เคยแสดงออกมาแม้ยามที่ต้องอยู่คนเดียว..แม้ยามที่มีเพียงผมที่จ้องมองเขา

    ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างหลังเขา มือของผมกำแน่นบนเสื้อคลุมของตัวเอง ดวงตาของผมมองภาพรอบกายให้เต็มตา  ก่อนหลุบลงอย่างปวดร้าวเมื่อเห็นความจริงอันโหดร้ายที่แสดงออกอย่างไร้ความปราณี

    ไม้กางเขนที่ทำขึ้นง่ายๆ จากไม้ปักลงบนพื้นทอดยาวออกไปท่ามกลางพื้นที่กว้างที่เคยเป็นทุ่งนา..และบัดนี้เป็นสุสานอันกว้างใหญ่ที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อของศพแต่ละศพที่ทอดร่างอยู่ใต้ดิน..

    ทำไม..นี่มันเกิดอะไรขึ้น….ทำไมกัน…!!!! ทำไมถึงเป็นแบบนี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!’

    เสียงที่เคยเปล่งออกมาอ่อนโยนบัดนี้ตะโกนเกรี้ยวกราดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน เกร็งด้วยความปวดร้าว มือกร้านหยาบจิกลงในดินราวกับจะต้องการระบายความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้น แผ่นหลังที่สั่นเทาของเขาตอนนี้ดูเปราะบางจนผมไม่เชื่อสายตาตัวเอง ..ใบหน้าของเขาก้มมองพื้นจนผมมองไม่เห็น ทว่าก็รู้ว่าบัดนี้เขารู้สึกเช่นไรรู้ว่าเขาเจ็บปวดเพียงไร

                ขาของผมก้าวย่าง มือที่เคยกำแน่นที่เสื้อของตนยื่นไปข้างหน้าปรารถนาจะโอบกอดเขาเอาไว้อยากจะบอกว่าไม่เป็นไร ว่าผมยังอยู่ตรงนี้..อยากบอกว่าอย่าร้องไห้อย่าเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เพราะว่าเขายังมีผมอยู่..ผมที่อยู่ข้างเขาตลอดมา

    แต่แล้ว..มือที่ยื่นออกไปของผมก็ชะงัก เมื่อคำห้ามอันเก่าแก่ที่สุดของผมพลันดังสะท้อนกังวานขึ้นมา คำห้ามที่บอกไม่ให้ผมแตะต้องเขาจนกว่าจะถึงเวลานั้น

    แล้วเมื่อไหร่ล่ะ..เมื่อไหร่กัน

    จนกว่าถึงเวลานั้น แม้ว่าผมต้องการจะปลอบโยนเขา ก็ยังทำไม่ได้เลยเหรอ..?

    ผมได้แต่ยืนมองเขาแบบนี้..ได้แต่ยืนมองเขาทรมานโดยที่ตนไม่อาจช่วยอะไรได้อย่างนั้นหรือ

    ผมต้องการปลอบโยน แค่ต้องการให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่านี้เท่านั้นเอง..

    แต่ถึงแม้จะคิดแบบนั้น เสียงของผมก็ยังติดค้างในลำคอ  และแม้หวังจะเปล่งออกมาให้เขาได้ยิน..ทว่าก็ไม่ได้หลุดออกมาแม้เพียงเสียงที่แผ่วเบา

    คำห้ามที่ได้รับตั้งแต่แรกพบกันนั้น….ดูเหมือนจะฝังรากหยั่งลึกในสำนึกของผมมากกว่าที่คิดไว้..ลึกถึงขั้นปิดกั้นความปรารถนาของตัวเอง

    ผมพยายามพูด พยายามเปล่งเสียงที่มักเปล่งออกมาทุกค่ำคืนของตน ทว่ามันกลับไม่หลุดออกมา ทว่ากลับติดในคอราวกับผมไม่รู้จักการเปล่งเสียง

    ราวกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ                                   

    ผมกัดริมฝีปากของตนแน่น เจ็บแค้นความขี้ขลาดของตน ก่นด่าคำสั่งที่ได้รับมา ก่อนมือที่เอื้อมเกือบจะถึงเขาซึ่งชะงักไปจะถูกดึงกลับ แล้วร่วงหล่นลงข้างร่างกาอย่างไร้เรี่ยวแรง

    ร่างกายของผมสั่นสะท้าน ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความเศร้า ก่อนไหล่รินร่วงลงมาจากดวงตา แต่ถึงกระนั้นดวงตาของผมก็ยังทอดมองที่แผ่นหลังที่สั่นสะท้านของเขาและบอกตัวเองว่าห้ามละสายตาไป

    ห้ามละสายตาไปเด็ดขาด..แม้ว่าจะแสนปวดร้าวก็ตามที

    เพราะว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้

    แค่เฝ้ามอง..

     

    ผมยืนอยู่เช่นนั้น เขานั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่เช่นนั้น ก่อนเสียงของชิ้นหนึ่งหล่นกระทบพื้นดินจะดังขึ้น เรียกสายตาทั้งของผมและเขาให้หันมอง

    กึก..

    ผมเบิกตาเล็กน้อยมองสิ่งที่ร่วงลงพื้นดิน..กล่องใส่แหวนที่เขาเตรียมจะมอบให้หญิงสาว

    ไม่ต่างกับเขาที่สังเกตมันแทบจะพร้อมๆ กับผม

    เฟเล..’

    คำคำหนึ่งหลุดออกมาจากปากเขา แผ่วเบาคล้ายจะถูกกลืนไปกับเสียงของสายลม  ทว่าเรียกสติและความหวังอันแผ่วปลายให้ผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม

    มันเป็นชื่อของหญิงสาว

    ผมยังคงจ้องมองเขา มองเขาที่เขากำกล่องใส่แหวนไว้แน่นราวกับจะใช้เป็นหลักยึดให้ตนมีพลัง ก่อนที่เขาจะฝืนลุกขึ้น แล้วออกวิ่งอีกครั้ง

    ผมรู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร รู้ว่าตอนนี้สิ่งใดที่เป็นความหวังของเขาและสิ่งนั้นก็ทำให้ความเจ็บปวดดั้งเดิมที่เคยคุ้นแล่นพล่านเข้ามาในใจของผมอีกครั้ง กระแทกผสานกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผมกัดริมฝีปากแน่นขึ้นจนรู้สึกถึงรสเลือด แล้วรีบปาดน้ำตาออก ก่อนพยายามพาร่างให้วิ่งตามไป แต่ก็ต้องล้มโครมลงกับพื้นดินจนสกปรกเมื่อชายหนุ่มวิ่งห่างจากผมไปเกินระยะของ [เชือกที่มองไม่เห็น] ด้วยความร้อนรน

    ผมรีบลุกขึ้นมาทันทีที่ล้มลงไป ฝืนพาร่างไร้เรี่ยวแรงให้รีบวิ่งไปตามร่างของคนที่แสนสำคัญ

    .

    .

    .

    ผมเกลียดหญิงสาว เกลียดเธอผู้แย่งเขาไปจากผม เกลียดเธอผู้แสนพิเศษต่อชายหนุ่มที่ผมรักยิ่ง

    แต่บัดนี้..แม้ทรมานจนแทบคลั่ง แม้จะเจ็บปวดและยังคงหวาดกลัว

    แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมปรารถนาจากใจจริงให้เขาได้พบกับหญิงคนรักของตน

    .

    .

    เพราะสิ่งที่ผมเกลียดยิ่งกว่าความพิเศษที่เขามอบให้หญิงสาว

    คือใบหน้าที่เต็มไปด้วยทรมานของเขา

    +++++++++++++

    เขาเริ่มออกวิ่งอีกครั้งวิ่งไปทั่วหมู่บ้านที่เหลือเพียงเถ้าถ่านและสุสาน วิ่งผ่านทุกเส้นทางด้วยความหวังที่เปี่ยมล้นหัวใจ เขาวิ่งไปยั่งส่วนนอกของหมู่บ้าน สถานที่ซึ่งผมจำได้ว่าเป็นบ้านของหญิงที่เขารักและบิดาของเธอ ทว่าเมื่อเปิดเข้าไปในบ้าน สิ่งที่พบกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของร่างเจ้าของดวงใจของเขาดังเช่นเคย

    และนั่นทำให้เขายิ่งร้อนรน

    ชายหนุ่มและผมเริ่มวิ่งอีกครั้ง วิ่งซ้ำรอยเดิมในหมู่บ้านที่วิ่งผ่านไปไม่รู้กี่รอบ และสุดท้ายก็ได้พบกับชายชราคนหนึ่ง

    ชายชราคนนั้นเป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของหมู่บ้าน ครั้นเมื่อเขาได้พบก็รีบวิ่งไปหาด้วยความยินดี ถามไถ่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและความเป็นไปของชายชรา ในทีแรก ชายชราจำไม่ได้ว่าชายหนุ่มเป็นใคร แต่เมื่อเห็นหน้าชัดขึ้นจึงจำได้ ว่าชายหนุ่มเป็นคนในหมู่บ้านของตน.เป็นชายซึ่งในตอนนั้นเกือบจะได้เป็นเจ้าบ่าวในงานแต่งงานอันรื่นเริง

    เมื่อชายชราเริ่มรำลึกได้ถึงตัวตนของเขา ชายชราก็บีบไหล่ของเขาแน่นด้วยความยินดีที่ได้พบอีกครั้ง พร้อมถามไถ่ความเป็นไปของชายหนุ่ม เป็นเช่นไรบ้าง สงครามจบไปนานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดพึ่งกลับมาป่านนี้และอีกมากมายที่ชายหนุ่มจำต้องเอ่ยตอบ ทั้งที่ตนมีคำถามอัดแน่นภายใน

    ผมยืนมองทั้งสองคนพูดคุยด้วยความร้อนรนไม่แพ้เขา ทว่าเมื่อพวกเขาพูดจากันไปได้ครู่หนึ่งไหล่ของชายชราก็สั่นเทิ้ม น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาฝ้าฟาง พร้อมเสียงสั่นพร่าที่เอ่ยซ้ำไปซ้ำมา

    รอดมาก็ดีแล้ว….ดีแล้ว..’

    คำพูดประหลาดนั่นทำให้ชายหนุ่มชะงัก และไม่ได้ถามอะไรต่อจากนั้น พร้อมกับนิ่งเงียบมองชายชราซึ่งหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ

    ++++++++++++++

    หลังจากนั้นไม่นานนัก เมื่อร่างอันสั่นเทาของชายชราสงบลง เขาก็เชิญชายหนุ่มไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง

    ชายชรากล่าวว่ากระท่อมนี้แต่เดิมเป็นกระท่อมเก็บฟืนของชาวนาคนหนึ่งในหมู่บ้าน ทว่าบัดนี้เป็นที่พักชั่วคราวของผู้รอดชีวิต และยามนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวที่หมู่บ้านเนื่องด้วยคนอื่นต่างออกเดินทางไปออกเดินทางไปโดยไม่คิดกลับมาอีก เหลือเพียงชายชราซึ่งคิดว่าจะตายลงบนผืนดินที่ตนอยู่

    ผมได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนรนกังวลใจ ไม่ต่างกับชายหนุ่มตรงหน้าผมที่ร่างชะงักเกร็งด้วยความกลัว ริมฝีปากหนาอ้าเปิดปรารถนาจะเอื้อนเอ่ยคำถามที่เอ่อล้นในใจหัวใจ ทว่าไร้คำพูดใดใดที่หลุดออกจากริมฝีปาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้..ผมก็เข้าใจ ว่าเขาอยากจะพูดอะไรออกมา

    ทำไมหมู่บ้านจึงถูกเผา? ผู้คนเป็นเช่นไรบ้าง? บิดามารดาของเขาปอลดภัยหรือไม่? เพื่อนฝูงของข้าเล่า? แล้วตัวท่านเองเล่า?

    แล้วคนรักของข้าเล่า? เฟเลเล่า

    ความคิดที่เผลอคาดเดาไปเองทำให้ผมทรมานใจ แต่ผมก็รู้จักเขามากเกินไปจนรู้ว่าสิ่งใดที่เขาอยากจะถาม สิ่งใดที่เขาคิดตอนนี้ แต่กระนั้น….คำถามที่หลุดออกมาก็เป็นคำถามสั้นๆ ง่ายๆ ที่ครอบคลุมความสงสัยทั้งหมดทั้งปวง

    เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ….’

    เสียงที่เอ่ยออกมาเป็นเสียงดั้งเดิมของชายหนุ่ม ทว่าน้ำเสียงนั้นแผ่วเบา เปราะบาง..ไร้ความสดใสเช่นเคย

    อันที่จริง..เกือบจะฉาบย้อมไปด้วยความหวาดกลัว

    ชายชรานิ่งเงียบ ยังไม่ตอบสิ่งใดกลับมา มือเหี่ยวย่นรินชาลงในถ้วยกระเบื้องสีน้ำตาลแดงแล้วส่งให้ชายหนุ่ม ก่อนจะรินให้ตัวเองดื่มด้วย

    ไอร้อนของชาที่กรุ่นขึ้นทำให้จิตใจของร่างสองร่างในกระท่อมสงบลง เปลวเพลิงตรงกลางวูบไหวเต้นเร่าในดวงตาสองคู่ ก่อนริมฝีปากแห้งผากของชายชราจะเอ่ยขึ้นสั่นพร่าสิ้นไร้เรี่ยวแรง

    สงคราม….ไม่สิ…..ราชา

    ราชา..กษัตริย์ของเราน่ะ…….

    …………….’

    คำพูดที่เอ่ยต่อจากนั้นทำให้ผมยืนแข็งทื่อ ทำให้เขาเบิกดวงตากว้าง พร้อมคำกระซิบแผ่วสั่นไหวที่บ่งบอกถึงความเศร้าและความสิ้นหวัง

    ทำไมกันเพียงเพราะเรื่องแค่นั้น น้ำเสียงของเขาสั่นระริก มือที่เปื้อนฝุ่นขี้เถ้าจิกลงบนหัวเข่าทั้งองข้างด้วยคาวมเจ็บปวด  เพียงเพราะเรื่องนั้นถึงกับต้อง….’

     

    สิ่งที่ราชาต้องการคือเลือดสำหรับพิธีกรรมหนึ่ง

    ชายชรากล่าวว่าราชาต้องการเลือด เลือดของผู้คนจำนวนมหาศาล แต่เดิมราชาต้องการสิ่งนั้นจากสงครามจึงเปิดสงครามกับประเทศข้างเคียงทั้งที่รู้ว่าต้องแพ้ ทว่าการสงครามนั้นวุ่นวายเกินไป สิ่งนั้นทำให้ความตั้งใจที่จะเก็บเลือดของมนุษย์นับร้อยไปทำพิธีกรรมไม่สำเร็จผล ราชาจึงเริ่มเปลี่ยนวิถีทาง วิธีที่อาจยุ่งยากกว่า ทว่าง่ายกว่า และเร็วกว่า

    ..เผาหมู่บ้านเล็กๆ ซักแห่งที่ไร้ความสำคัญ และรีดเลือดจากร่างของชาวบ้านทุกคนในนั้น         

    สิ่งที่ได้ยินทำให้ร่างกายของผมชาวาบถึงปลายเท้า ความรู้สึกรังเกียจพุ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ ริมฝีปากผมสั่นระริกจนต้องเม้มแน่น หยาดน้ำตารื้นขึ้นในขอบตาจนร้อนผ่าว

    ชายชรากล่าวว่าแต่แรกตนไม่ทราบเรื่องนั้น เพียงรู้ว่ามีโจรบุกปล้นหมู่บ้าน ทว่าบังเอิญได้ยินเหล่าโจรที่บุกมาพูดคุยกัน จึงรู้ว่าเรื่องทั้งหมดแท้จริงเป็นเช่นไร

    สถานการณ์ในตอนนั้นเลวร้าย..ชายชราเอ่ย แววตาที่วูบไหวด้วยเปลวเพลิงทอประกายโศก ไม่มีใครมาช่วยเหลือ.. เหล่าหนุ่มฉกรรจ์ก็ล้วนมิได้อยู่ในหมู่บ้าน จึงไม่มีใครปกป้องหมู่บ้านไว้ได้ พวกที่ทำทีเป็นโจรป่าเผาหมู่บ้านไม่เหลือซาก  ทรัพย์สินใดใดที่มีค่าล้วนถูกนำไปหมดสิ้น พวกมันฆ่าทุกคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือเด็ก คนที่เหลือรอดอยู่ตรงนี้มีเพียงคนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านวันนั้น ส่วนชายชรารอดมาได้เพราะในวันนั้นเข้าป่าไปเก็บฟืน และกลับมาทันเห็นภาพเปลวเพลิงที่กลืนกินหมู่บ้านให้สาบสูญไปในพริบตา….

    น้ำเสียงของชายชรายามเล่าถึงเรื่องราวนั้นยิ่งนานยิ่งสั่นเครือ ยิ่งนานยิ่งแผ่วเบา ราวกับถูกโถมทับด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดเหลือประมาณ

    และแม้กระนั้น ชายชราก็ยังกล่าวต่อไป ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและแผ่วเบาลงทุกที

    ชายชราบอกว่าตนยังจำได้ดี..จำได้ราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อค่ำคืน ทั้งกลิ่นคาวเลือด กลิ่นน้ำมันและเปลวเพลิงที่ลุกโหม เสียงกรีดร้องของผู้คนมากมายที่ได้พบกันทุกวัน ทว่าเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากช่วยฝังศพที่เหลืออยู่ของทุกคนที่ถูกฆ่าทิ้งไป

    สิ่งที่ได้ยินทำให้ร่างกายของผมชาวาบถึงปลายเท้า ความรู้สึกรังเกียจพุ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ ริมฝีปากผมสั่นระริกจนต้องเม้มแน่น หยาดน้ำตารื้นขึ้นในขอบตาจนร้อนผ่าว

    ชายหนุ่มคนสำคัญของผมนั่งฟังนิ่ง ร่างกายของเขาสั่นเทา ทว่าใบหน้าก้มลงมองพื้นจนมองไม่เห็นห้วงอามณ์ นั่นเองชายชราจึงหยุดชะงัก และเอ่ยไถ่ถามชายหนุ่มว่าเป็นอะไรไปหรือไม่ และบอกว่าอย่าได้โกรธเคืองราชาเพราะแม้ว่าแค้นไปก็ไม่อาจเรียกสิ่งใดกลับมาได้

    ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นไม่ใช่คำพูดที่ขุ่นแค้น ไม่ใช่ความโศกเศร้าเหลือนับคณา

    ทว่าเป็นประโยคอันเปี่ยมล้นด้วยความห่วงใยประโยคที่เอ่ยด้วยความหวังแผ่วปล่ายที่เหลืออยู่เพียงเส้ยด้ายที่เหนี่ยวรั้งตัวตน

    เฟเลล่ะขอรับ..’เสียงกระซิบนั้นแผ่วเบาเว้าวอน เฟเลเล่าขอรับ นางปลอดภัยหรือไม่...ข้าเข้าไปยังส่วนนอกของหมู่บ้านและพบว่าบ้านของนางยังไม่ถูกเผา แต่แต่ข้าไม่พบนาง ไม่พบท่านลุงด้วย นางกับท่านลุงยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมขอรับ?

    ชายชรามองใบหน้าของชายหนุ่ม จ้องไปยังประกายตาแห่งความหวัง แววตาเศร้าวูบขึ้นบนดวงตาฝ้าฟางของชายชราอีกครั้ง ก่อนประโยคหนึ่งจะหลุดออกจากจากริมฝีปาก ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแห้งผาก

    สั่นพร่าด้วยความว่างเปล่าและความสงสาร

    .

    .

    .

    นางตายแล้ว

    .

    .

    .

     

    ประโยคสั้นๆ..ประโยคที่มีความหมายเพียงความหมายเดียว

    ทว่าเป็นประโยคที่ทำให้ร่างของผมชาวาบ ประโยคที่ทำให้เขายืนนิ่ง

    ประโยค..ที่ทำให้โลกทั้งโลกของเขาพังทลายลงในพริบตา.

    .

    .

    .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×