คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH5 : กลับบ้าน
Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH5 : กลับบ้าน
การปล่อยตัวนั้นเป็นไปอย่างฉุกละหุก พวกเขาถูกกวาดต้อนให้ขึ้นเกวียนหลายสิบคันไป เดินทางข้ามผ่านหุบเขาและป่าไม้ กระทั่งถูกปล่อยตัวยังสถานที่แห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนั้นเป็น…เขตชายแดนของพวกเขาเอง
ทหารผู้คุมที่สนิทกันซึ่งนั่งในรถคันเดียวกับผมและชายหนุ่มบอกว่า ทางประเทศของเราได้มอบสิ่งที่พึงใจให้แล้วจึงไม่มีเหตุผลจะต้องกักขังทหารเชลยอีกต่อไป พวกเขาจึงลำเลียงทหารเชลยขึ้นเกวียน แล้วพามาส่งที่เขตชายแดนของประเทศของเรา
ตอนนั้นเอง ผมยังคงยืนอยู่รอบนอกเหมือนที่เคยทำ ทว่าผมก็รู้สึกยินดีไปกับพวกเขา..
ไม่ใช่เพราะในที่สุดก็ถึงประเทศของพวกเรา ไม่ใช่เพราะที่สุดก็หลุดออกจากการเป็นทหารเชลย
แต่ผมได้สิ่งสำคัญที่สุดของตนกลับมาแล้ว หลังจากที่สูญเสียมันไปในช่วงเวลาสงคราม หลังจากที่ต้องเฝ้าเจ็บปวดใจเพราะต้องสูญเสียมันไปโดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย
รอยยิ้ม…ของเขา
รอยยิ้ม…ที่แสนสดใส งดงาม อ่อนโยน และพาให้คนรอบกายหลงใหล
รอยยิ้ม…ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาแฝงไปด้วยความเศร้า ความทรมาน ความอ่อนล้า
บัดนี้..ได้คลี่ออกจนสุด เป็นรอยยิ้มสดใสอย่างเดิมที่ผมเคยเห็น
ไม่รู้เพราะอะไร น้ำตาของผมถึงไหลออกมา มันก่อขึ้นบนขอบตา ร้อนผ่าวและอบอุ่นอย่างที่ผมไม่รู้จัก ก่อนหลั่งรินผ่านใบหน้า อาบลงบนซีกแก้มทั้งสองของผม
ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าการร้องไห้..ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่เราเศร้าเสียใจเท่านั้น
แต่เกิดในช่วงเวลาแห่งความยินดีด้วยเช่นกัน
+++++++++++++++++
เหล่าทหารเชลยเริ่มร่ำลากัน
การจากลานี้เรียบง่ายและเจือด้วยความเศร้า เพราะบัดนี้พวกเขาต่างผูกพันกันยิ่งกว่าเพื่อนสนิทชิดใกล้คนใดที่อยู่ด้วยกันมา แต่ถึงอย่างไร ครอบครัวก็คือสิ่งสำคัญ ดังนั้นแม้ไม่อยากจากลา ทว่าก็ต้องแยกย้ายไปตามทางของตน
ทหารหลายคนในนั้นขอบคุณชายหนุ่มคนสำคัญของผม บอกว่าเพราะเขาตนจึงอยู่รอดมาถึงบัดนี้ได้ บางคนเดินเข้าไปโอบบ่าแล้วดึงเข้ามากอดแรงๆ ก่อนหัวเราะแล้วบอกว่าจะไม่ลืมกัน
บรรยากาศเล็กๆ อันครึกครื้นเริ่มต้นขึ้น ก่อนแต่ละคนจะค่อยๆ ทยอยเดินจากไปตามทางของตน ชายหนุ่มคนสำคัญของผมเองก็เริ่มออกเดินทาง เขาไม่ได้รีบร้อนเพราะมีสิ่งหนึ่งต้องทำ..
…แหวนแต่งงานของหญิงสาว
บางที..คงเพราะสงครามมันนานเกินไป เขาจึงอยากกลับไปพร้อมกับแหวนที่สัญญาไว้ให้กับหญิงสาว อยากแต่งงานทันทีที่พบกัน อยากจะทำให้หญิงสาวดีใจเมื่อตนเดินทางกลับไปถึง นอกจากนี้หมู่บ้านเขาก็อยู่ใกล้ชายแดน เดินทางไม่กี่วันก็ถึง ดังนั้นเขาจึงเดินทางอยางไม่เร่งร้อน และเสาะแสวงหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดเพื่อหลอมแหวนให้หญิงสาวผู้จะเป็นภรรยาของตน และในที่สุดก็ได้พบโลหะประหลาดซึ่งมีสีชมพูเมื่อต้องกับอุณหภูมิผิวของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะยืมกำลังของช่างโลหะที่บังเอิญพบเจอช่วยหลอมมันให้ทันที
ผมไม่รู้กระบวนการของมันมากนัก และเกือบจะเรียกได้ว่าไม่เข้าใจ ทั้งอันที่จริงผมไม่เดินไปเข้าใกล้สถานที่ที่ทำการหลอมแหวน ทว่าผมก็รู้ว่ามันต้องผ่านไฟหลอมที่ร้อนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ดัดรูปหลายครั้งหลายคราวให้ได้รูปแบบตามที่ต้องการ
นั่นทำให้ผมรับรู้ถึงความตั้งใจจริงของเขา รู้ซึ้งถึงความรักต่อหญิงสาวผู้แสนสำคัญที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จารลึกในใจของเขา ทำให้รู้ว่าเพื่อเธอคนนั้น..ต่อให้ต้องอดทนมากเพียงใดเขาก็ยอม
และนั่นทำให้ผมรู้สึกปวดร้าวอีกครั้ง…กับความรู้สึกที่แสนไร้ค่าของตน
ผมรู้ดีเสมอมาว่าจะไม่มีวันได้รับความรัก เข้าใจและยอมรับได้มาตลอดว่าต่อให้ความรู้สึกนี้มากมายมากศาลเพียงใดสิ่งที่ตอบกลับมาจะมีเพียงความว่างเปล่า รู้ดีว่าถึงรักไปก็เปล่าประโยชน์ รู้ดีว่าความรู้สึกนี้มีแต่จะสลายหายไปในอากาศธาตุ
แต่บางที…คงเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ ต่อให้ปากบอกว่ายอมรับ ต่อให้สมองเข้าใจ …หัวใจและความรู้สึกจริงๆ ก็โกหกกันไม่ได้
ผมปรารถนาจะได้รับความรักจากเขา ปรารถนาจะเป็นเจ้าของเขา ปรารถนาให้รอยยิ้ม ดวงตา น้ำเสียงนั้น เป็นของผมแค่คนเดียว
แต่ก็เหมือนที่ผ่านมา ความคิดนั้นมันไร้ค่า และเป็นความปรารถนาที่ไม่มีวันเป็นจริง
และแล้ว…น้ำตาของผมไหลรินอีกครั้ง เอ่อล้นพร่างพรูลงมาจากดวงตาอย่างเงียบงัน
+++++++++++++
ใช้เวลาไม่กี่วัน สิ่งที่เขาต้องการก็เสร็จสมบูรณ์
ผมยืนมองชายหนุ่มที่มองแหวนในมือของตนอย่างภาคภูมิใจ นิ้วมือกร้านหยาบของเขาไล้ไปตามแนวร่องสลักลวดลายบนแหวนอย่างทนุถนอม ผมเห็นไม่ชัดนักว่าลวดลายบนนั้นเป็นเช่นไร แต่จากคำบอกเล่าของชายหนุ่มแล้ว เขาทำมันเป็นเถาไม้ชนิดหนึ่ง.และสลักลวดลายของกลีบกุหลาบอันงดงามลงไปในนั้นอย่างประณีตด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีของตน
เป็นผลงานที่ทำขึ้นอย่างประณีตที่สุด งดงามที่สุด ตั้งใจที่สุด ..เพื่อมอบให้คนที่รักที่สุด
ชายหนุ่มเก็บแหวนลงในกล่องขนาดเล็กที่เตรียมไว้ ก่อนกล่าวขอบคุณช่างโลหะผู้หลอมแหวน และถามไถ่ถึงค่าแรงจากการหลอมแหวน ช่างโลหะผู้หลอมแหวนได้ยินก็หัวเราะ กล่าวว่าไม่จำเป็นหรอก โลหะที่ชายหนุ่มพบและมอบให้เขานี้มีค่ามากเพียงพอแล้ว ชายหนุ่มเสียอีก นำโลหะพิเศษที่ค้นพบกลับไปแค่แหวนวงเดียวเช่นนี้จะดีหรือ
ชายหนุ่มได้ยินจึงยิ้ม..กล่าวว่าตนหลอมโลหะไม่เป็น เป็นเพียงช่างแกะสลัก แม้ได้โลหะไปก็ไร้ค่า เขาต้องการเพียงแหวนวงนี้สำหรับคนรัก ส่วนโลหะส่วนที่เหลือจะนำไปทำเช่นไรก็แล้วแต่ช่างหลอมโลหะ
ได้ยินเช่นนี้ ช่างหลอมโลหะก็ยิ้มแยกเขี้ยว แซวชายหนุ่มว่าช่างสรรหาของขวัญให้หญิงคนรักเหลือเกิน…เห็นทีจะรักนางอย่างมาก อย่าได้ปล่อยให้หลุดมือเลยเชียว
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดง กระแอมเบาๆ ทว่าไม่กล่าวแย้งความคิดของช่างหลอมผู้อาวุโสกว่าตน และเอ่ยว่าวันรุ่งขึ้นจะออกเดินทาง พร้อมอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา
ผมนั่งมองการสนทนานั้นจากที่ไกลๆ มองเห็นเพียงแสงไฟที่วูบไหวในเตาผิงและเงาร่างของคนสองคน ..แท้จริงแล้วผมไม่คิดอยากได้ยินเสียงพูดคุยเหล่านั้น ทว่ากลับลอยเข้าหูราวกับจงใจ ถ้อยคำแห่งความสุขยามนี้ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขไปด้วยเลยแม้เพียงนิด …ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทำให้ในอกของผมรู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
..ผมกลัว
ยิ่งเวลาที่จะได้กลับหมู่บ้านใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น
กลัวที่จะต้องเห็นภาพเดิมๆ ที่ตนเคยคิดว่าชินชา กลัวที่จะต้องยอมรับอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่ของผม
ไม่ใช่ของผมที่รักเขาตลอดมา..แต่เป็นของหญิงสาวคนนั้นที่เขามอบความรักให้
ความจริงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นับต่ายหนุ่มได้รับการปดปล่อยจากสิ่งที่เรียกว่า [สงคราม]
ใช่…ตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามทำให้ผมลืมไปหมดสิ้นถึงความรู้สึกอันน่ารังเกียจที่ทับถมในใจ ลืมวิธีการที่จะทำให้มันสูญหายไปกับความคิดของตน..ลืมวิธีจัดการกับความรู้สึกอันทรมานที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผมกลายเป็นเหมือนคนบ้าไร้แก่นสาร
ความรู้สึกอิจฉา..ริษยา
คำเรียกที่น่าอายเหลือเกินสำหรับผม ทว่าเป็นความรู้สึกซื่อตรงที่เกิดขึ้นยามทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน..ครั้งหนึ่งผมเคยรับมือกับมันได้…รับมือได้ตลอดมา
แต่ในเวลานี้ที่ผมห่างเหินกับความเจ็บปวดแบบนั้นมานานเหลือเกิน..ผมไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถมองทั้งสองคนโดยไม่เจ็บปวดได้หรือเปล่า? จะสามารถกล่าวราตรีสวัสดิ์ให้เขาด้วยใจที่สงบได้ไหม? หรือบางที…อาจจะกลับไปเป็นผมคนที่ร้องไห้และกรีดร้องอย่างน่ารังเกียจเมื่อครั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ผมจึงกลัว กลัวที่จะกลับหมู่บ้าน กลัวที่จะเห็นงานแต่งงานของพวกเขา กลัวที่จะต้องร้องไห้และเศร้าโศกท่ามกลางความสุขของคนทั้งหมู่บ้าน…เหนือสิ่งอื่นใด ผมกลัวว่าหัวใจที่ผุพังอยู่แล้วของตัวเองจะแหลกสลายหายไป
..หรือบางที ปล่อยให้มันสูญหายไปอาจจะดีกว่ากระมัง
เช่นนั้นแล้ว ผมจะได้ทำอย่างที่ควรทำ อยู่เคียงข้างเขาไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรู้สึกอะไร
ใช่แล้ว…ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันพังไปเลยดีกว่า ทำร้ายจนมันสลาย กรีดลึกลงไปจนไม่อาจรู้จักความเจ็บปวดได้อีก ทำร้ายหัวใจของตนเองจนชินชา…จนลืมว่าการมีความรู้สึกเป็นเช่นไร ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันคงดีขึ้นกว่านี้
คงจะดีกว่าที่รู้สึกและเจ็บปวดอยู่ตอนนี้
++++++++++++++++++
เช้าวันถัดมาเขาก็ออกเดินทาง
เขากล่าวขอบคุณช่างโลหะอีกครั้ง บนดวงหน้าประดับรอยยิ้มซื่อแสนสุขเพราะจะได้กลับไปหาสิ่งสำคัญของตนเสียที ชายหนุ่มคนสำคัญของผมกระชับย่ามและผ้าคลุมเดินทางที่ได้รับมา ก่อนจะออกเดินทางไปตามถนนที่แสนคุ้นเคยซึ่งทอดไปสู่หมู่บ้านของตน
ผมก้าวเดินตามเขา โชคดีที่ธรรมชาติบางอย่างของผมทำให้เขาไม่ทันสังเกตผมที่ก้าวเดินตามในระยะใกล้ บุคคลที่บอกความหมายแห่งชีวิตของผมเคยบอกว่า..ผมเป็นตัวตนที่แม้เขาจะเห็นได้ทว่าหากไม่สังเกตจะไม่สนใจ ดังนั้นหากไม่ทักออกไปหรือปรากฏตัวตรงหน้า เขาก็จะไม่รู้สึกถึงตัวตนของผม
และนั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมอยู่ข้างเขามาตลอดโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว
วันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยประดับก้อนเมฆล่องลอยซ้อนทับ สายลมเย็นๆ พัดผ่านราวกับจะอวยพรให้ผู้คนพบพานความสุข ชายหนุ่มคนสำคัญของผมพึมพำว่าอากาศดี มือกำกล่องแหวนที่ตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งนำไปมอบให้หญิงสาวทันทีที่ถึง
ผมเดินตามร่างของเขาไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าที่สดใสดูพร่ามัวเหลือเกินเมื่อดวงตาคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำตา ทว่าผมก็รีบเช็ดมันออกไปทุกครั้ง แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเอ่อล้นออกมาอีกก็ตาม
ผมมองไปที่ร่างตรงหน้าซึ่งกำลังเดินกึ่งวิ่ง ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นยินดีที่ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน เสียงฮัมเพลงเบาๆด้วยความสุขและดวงตาเป็นประกายยามคิดถึงใครบางคนนั้นทำให้ผมยิ้มขื่นหน่อยๆ รู้สึกอยากหยุดพักทำใจซักครู่ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง
แต่ถึงผมจะคิดอย่างนั้น ผมก็ตะโกนหยุดเขาที่กำลังเร่งรีบไม่ได้ หยุดพักเองโดยพลการไม่ได้..เพราะสุดท้ายเชือกล่องหนที่มองไม่เห็นก็จะลากผมให้ตามเขาไป
ยังจะต้องทำใจอะไรอีกนะ..
ในเมื่อผมตั้งใจจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด แล้วทำให้มันชินชาแล้วไม่ใช่หรือ?
ผมแค่นหัวเราะความคิดของตัวเองแผ่วเบา ขาก้าวตามร่างที่เดินกึ่งวิ่งไปบนถนนดินอย่างอ่อนล้า ในหัวพยายามครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นที่จะไม่มีทำให้ผมรู้สึกเศร้ากว่านี้
หมู่บ้านอย่างนั้นหรือ
..ตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้างนะ บ้านที่เรียงรายกันไปจะยังคงเป็นเช่นเดิมหรือเปล่า ผู้คนมากมายที่นั่นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่..ตอนนี้เองเข้าฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว บางทีตอนที่เราไปถึงพวกเขาอาจจะกำลังอยู่ในทุ่งข้าวสีทองที่พลิ้วไหวตามสายลมก็ได้
จริงอยู่…แม้ผมไม่ผูกพันกับใครคนไหนเพราะพวกเขามองไม่เห็นผม แต่ผมก็มองเห็นพวกเขามาตลอด ดังนั้นแม้จะน่าประหลาดใจเสียหน่อย แต่ดูเหมือนก็จะคิดถึงพวกเขาเหมือนกัน
คิดถึงหมู่บ้านอันเงียบสงบ ตลาดที่คลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงหัวเราะของเหล่าสหายของชายหนุ่ม ….และ
ค่ำคืนอันแสนสงบที่ผมได้กล่าวราตรีสวัสดิ์ในห้องนอนของเขา..
คิดถึงเหลือเกิน..คิดถึงความเรียบง่ายเหล่านั้นเหลือเกิน
ผมคิดไปพลาง ยิ้มไปพลาง เดินตามรอยเท้าของคนที่นำหน้าไปพลาง รู้สึกเหมือนเริ่มจะมีความรู้สึกที่อยากกลับหมู่บ้านเพิ่มขึ้นทีละนิด ก่อนที่ผมจะชะงักกึกหยุดลงเมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าหยุดเดิน
ตอนแรกผมยืนนิ่งเช่นนั้น รอคอยให้ชายหนุ่มก้าวเดิน เพราะคิดว่าเขาอาจจะเจออะไรข้างทางแล้วเก็บมาเหมือนปรกติ แต่ครู่หนึ่งผมก็สังเกตได้ว่าจุดที่ผมและเขายืนอยู่ใกล้จะถึงหมู่บ้านแล้ว..ถ้าเช่นนั้นแล้วจะรออะไร?
ทำไมเขาถึงไม่วิ่งตรงไป...หาผู้เป็นที่รักอย่างที่ใจปรารถนา?
ผมยืนรอ..รออยู่เช่นนั้น จนเมื่อเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอย่างผิดสังเกต ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้นแล้วรีบมองผ่านไหล่เขาไปยังภาพที่สะท้อนในสายตาของชายหนุ่มคนสำคัญ
….และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ทั่วทั้งร่างผมชาวาบ..รู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างกายหมดสิ้นความรู้สึกไปครู่หนึ่ง
พร้อมความเจ็บปวดแปลบประหลาดที่ทรมานยิ่งกว่าครั้งใดใดที่ผ่านมาซึ่งพุ่งเข้ามาอย่างจัง
.
.
.
ผมเคยคิด..คิดเช่นเดียวกับเขา
ว่าเมื่อถึงหมู่บ้าน คงจะได้เห็นหลังคาที่เรียงรายกันไป เห็นผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาและยิ้มให้กัน
คงจะได้หัวเราะและเข้าไปในวงล้อมของผู้คนมากมายเช่นการณ์ก่อน
จริงอยู่..ผมเกลียดช่วงเวลาที่เขาอยู่ข้างหญิงสาว ทว่ารักรอยยิ้มยามเมื่อมิตรสหายยืนเคียงข้างเขา
รักมากเหลือเกิน…และหวัง…
..หวังโดยไม่คิดอะไรมากว่าเมื่อกลับมาจะได้พบพานกับความสุขอันเรียบง่ายเช่นเดิม..
.
.
.
ทว่าสุดท้ายเมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน..สิ่งที่พบกลับเป็นเพียงเศษซากปรักหักพัง
และหลุมศพที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา
ความคิดเห็น