ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #5 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH5 : กลับบ้าน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 190
      2
      27 ก.ค. 56

    Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH5 : กลับบ้าน

     

    การปล่อยตัวนั้นเป็นไปอย่างฉุกละหุก พวกเขาถูกกวาดต้อนให้ขึ้นเกวียนหลายสิบคันไป เดินทางข้ามผ่านหุบเขาและป่าไม้ กระทั่งถูกปล่อยตัวยังสถานที่แห่งหนึ่ง

    สถานที่แห่งนั้นเป็นเขตชายแดนของพวกเขาเอง

    ทหารผู้คุมที่สนิทกันซึ่งนั่งในรถคันเดียวกับผมและชายหนุ่มบอกว่า ทางประเทศของเราได้มอบสิ่งที่พึงใจให้แล้วจึงไม่มีเหตุผลจะต้องกักขังทหารเชลยอีกต่อไป พวกเขาจึงลำเลียงทหารเชลยขึ้นเกวียน แล้วพามาส่งที่เขตชายแดนของประเทศของเรา

    ตอนนั้นเอง ผมยังคงยืนอยู่รอบนอกเหมือนที่เคยทำ ทว่าผมก็รู้สึกยินดีไปกับพวกเขา..

    ไม่ใช่เพราะในที่สุดก็ถึงประเทศของพวกเรา ไม่ใช่เพราะที่สุดก็หลุดออกจากการเป็นทหารเชลย

    แต่ผมได้สิ่งสำคัญที่สุดของตนกลับมาแล้ว หลังจากที่สูญเสียมันไปในช่วงเวลาสงคราม หลังจากที่ต้องเฝ้าเจ็บปวดใจเพราะต้องสูญเสียมันไปโดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย

    รอยยิ้มของเขา

    รอยยิ้มที่แสนสดใส งดงาม อ่อนโยน และพาให้คนรอบกายหลงใหล

    รอยยิ้มที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาแฝงไปด้วยความเศร้า ความทรมาน ความอ่อนล้า

    บัดนี้..ได้คลี่ออกจนสุด เป็นรอยยิ้มสดใสอย่างเดิมที่ผมเคยเห็น

    ไม่รู้เพราะอะไร น้ำตาของผมถึงไหลออกมา มันก่อขึ้นบนขอบตา ร้อนผ่าวและอบอุ่นอย่างที่ผมไม่รู้จัก ก่อนหลั่งรินผ่านใบหน้า อาบลงบนซีกแก้มทั้งสองของผม

    ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าการร้องไห้..ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่เราเศร้าเสียใจเท่านั้น

    แต่เกิดในช่วงเวลาแห่งความยินดีด้วยเช่นกัน

    +++++++++++++++++

    เหล่าทหารเชลยเริ่มร่ำลากัน

    การจากลานี้เรียบง่ายและเจือด้วยความเศร้า เพราะบัดนี้พวกเขาต่างผูกพันกันยิ่งกว่าเพื่อนสนิทชิดใกล้คนใดที่อยู่ด้วยกันมา แต่ถึงอย่างไร ครอบครัวก็คือสิ่งสำคัญ ดังนั้นแม้ไม่อยากจากลา ทว่าก็ต้องแยกย้ายไปตามทางของตน

    ทหารหลายคนในนั้นขอบคุณชายหนุ่มคนสำคัญของผม บอกว่าเพราะเขาตนจึงอยู่รอดมาถึงบัดนี้ได้ บางคนเดินเข้าไปโอบบ่าแล้วดึงเข้ามากอดแรงๆ ก่อนหัวเราะแล้วบอกว่าจะไม่ลืมกัน

    บรรยากาศเล็กๆ อันครึกครื้นเริ่มต้นขึ้น ก่อนแต่ละคนจะค่อยๆ ทยอยเดินจากไปตามทางของตน ชายหนุ่มคนสำคัญของผมเองก็เริ่มออกเดินทาง เขาไม่ได้รีบร้อนเพราะมีสิ่งหนึ่งต้องทำ..

    แหวนแต่งงานของหญิงสาว

    บางที..คงเพราะสงครามมันนานเกินไป เขาจึงอยากกลับไปพร้อมกับแหวนที่สัญญาไว้ให้กับหญิงสาว อยากแต่งงานทันทีที่พบกัน อยากจะทำให้หญิงสาวดีใจเมื่อตนเดินทางกลับไปถึง นอกจากนี้หมู่บ้านเขาก็อยู่ใกล้ชายแดน เดินทางไม่กี่วันก็ถึง ดังนั้นเขาจึงเดินทางอยางไม่เร่งร้อน และเสาะแสวงหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดเพื่อหลอมแหวนให้หญิงสาวผู้จะเป็นภรรยาของตน และในที่สุดก็ได้พบโลหะประหลาดซึ่งมีสีชมพูเมื่อต้องกับอุณหภูมิผิวของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะยืมกำลังของช่างโลหะที่บังเอิญพบเจอช่วยหลอมมันให้ทันที

    ผมไม่รู้กระบวนการของมันมากนัก และเกือบจะเรียกได้ว่าไม่เข้าใจ ทั้งอันที่จริงผมไม่เดินไปเข้าใกล้สถานที่ที่ทำการหลอมแหวน ทว่าผมก็รู้ว่ามันต้องผ่านไฟหลอมที่ร้อนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ดัดรูปหลายครั้งหลายคราวให้ได้รูปแบบตามที่ต้องการ

    นั่นทำให้ผมรับรู้ถึงความตั้งใจจริงของเขา รู้ซึ้งถึงความรักต่อหญิงสาวผู้แสนสำคัญที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จารลึกในใจของเขา ทำให้รู้ว่าเพื่อเธอคนนั้น..ต่อให้ต้องอดทนมากเพียงใดเขาก็ยอม

    และนั่นทำให้ผมรู้สึกปวดร้าวอีกครั้งกับความรู้สึกที่แสนไร้ค่าของตน

    ผมรู้ดีเสมอมาว่าจะไม่มีวันได้รับความรัก เข้าใจและยอมรับได้มาตลอดว่าต่อให้ความรู้สึกนี้มากมายมากศาลเพียงใดสิ่งที่ตอบกลับมาจะมีเพียงความว่างเปล่า รู้ดีว่าถึงรักไปก็เปล่าประโยชน์ รู้ดีว่าความรู้สึกนี้มีแต่จะสลายหายไปในอากาศธาตุ

    แต่บางทีคงเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ ต่อให้ปากบอกว่ายอมรับ ต่อให้สมองเข้าใจ หัวใจและความรู้สึกจริงๆ  ก็โกหกกันไม่ได้

    ผมปรารถนาจะได้รับความรักจากเขา ปรารถนาจะเป็นเจ้าของเขา ปรารถนาให้รอยยิ้ม ดวงตา น้ำเสียงนั้น เป็นของผมแค่คนเดียว

    แต่ก็เหมือนที่ผ่านมา ความคิดนั้นมันไร้ค่า และเป็นความปรารถนาที่ไม่มีวันเป็นจริง

    และแล้วน้ำตาของผมไหลรินอีกครั้ง เอ่อล้นพร่างพรูลงมาจากดวงตาอย่างเงียบงัน

    +++++++++++++

     ใช้เวลาไม่กี่วัน สิ่งที่เขาต้องการก็เสร็จสมบูรณ์

    ผมยืนมองชายหนุ่มที่มองแหวนในมือของตนอย่างภาคภูมิใจ นิ้วมือกร้านหยาบของเขาไล้ไปตามแนวร่องสลักลวดลายบนแหวนอย่างทนุถนอม ผมเห็นไม่ชัดนักว่าลวดลายบนนั้นเป็นเช่นไร แต่จากคำบอกเล่าของชายหนุ่มแล้ว เขาทำมันเป็นเถาไม้ชนิดหนึ่ง.และสลักลวดลายของกลีบกุหลาบอันงดงามลงไปในนั้นอย่างประณีตด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีของตน

    เป็นผลงานที่ทำขึ้นอย่างประณีตที่สุด งดงามที่สุด ตั้งใจที่สุด ..เพื่อมอบให้คนที่รักที่สุด

    ชายหนุ่มเก็บแหวนลงในกล่องขนาดเล็กที่เตรียมไว้ ก่อนกล่าวขอบคุณช่างโลหะผู้หลอมแหวน และถามไถ่ถึงค่าแรงจากการหลอมแหวน ช่างโลหะผู้หลอมแหวนได้ยินก็หัวเราะ กล่าวว่าไม่จำเป็นหรอก โลหะที่ชายหนุ่มพบและมอบให้เขานี้มีค่ามากเพียงพอแล้ว ชายหนุ่มเสียอีก นำโลหะพิเศษที่ค้นพบกลับไปแค่แหวนวงเดียวเช่นนี้จะดีหรือ

    ชายหนุ่มได้ยินจึงยิ้ม..กล่าวว่าตนหลอมโลหะไม่เป็น เป็นเพียงช่างแกะสลัก แม้ได้โลหะไปก็ไร้ค่า เขาต้องการเพียงแหวนวงนี้สำหรับคนรัก ส่วนโลหะส่วนที่เหลือจะนำไปทำเช่นไรก็แล้วแต่ช่างหลอมโลหะ

     ได้ยินเช่นนี้ ช่างหลอมโลหะก็ยิ้มแยกเขี้ยว แซวชายหนุ่มว่าช่างสรรหาของขวัญให้หญิงคนรักเหลือเกินเห็นทีจะรักนางอย่างมาก อย่าได้ปล่อยให้หลุดมือเลยเชียว

    ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดง กระแอมเบาๆ ทว่าไม่กล่าวแย้งความคิดของช่างหลอมผู้อาวุโสกว่าตน และเอ่ยว่าวันรุ่งขึ้นจะออกเดินทาง พร้อมอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา

    ผมนั่งมองการสนทนานั้นจากที่ไกลๆ มองเห็นเพียงแสงไฟที่วูบไหวในเตาผิงและเงาร่างของคนสองคน ..แท้จริงแล้วผมไม่คิดอยากได้ยินเสียงพูดคุยเหล่านั้น ทว่ากลับลอยเข้าหูราวกับจงใจ ถ้อยคำแห่งความสุขยามนี้ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขไปด้วยเลยแม้เพียงนิด ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทำให้ในอกของผมรู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

    ..ผมกลัว

    ยิ่งเวลาที่จะได้กลับหมู่บ้านใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น

    กลัวที่จะต้องเห็นภาพเดิมๆ ที่ตนเคยคิดว่าชินชา กลัวที่จะต้องยอมรับอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่ของผม

    ไม่ใช่ของผมที่รักเขาตลอดมา..แต่เป็นของหญิงสาวคนนั้นที่เขามอบความรักให้

                ความจริงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นับต่ายหนุ่มได้รับการปดปล่อยจากสิ่งที่เรียกว่า [สงคราม]

    ใช่ตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามทำให้ผมลืมไปหมดสิ้นถึงความรู้สึกอันน่ารังเกียจที่ทับถมในใจ ลืมวิธีการที่จะทำให้มันสูญหายไปกับความคิดของตน..ลืมวิธีจัดการกับความรู้สึกอันทรมานที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผมกลายเป็นเหมือนคนบ้าไร้แก่นสาร

    ความรู้สึกอิจฉา..ริษยา

    คำเรียกที่น่าอายเหลือเกินสำหรับผม ทว่าเป็นความรู้สึกซื่อตรงที่เกิดขึ้นยามทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน..ครั้งหนึ่งผมเคยรับมือกับมันได้รับมือได้ตลอดมา

    แต่ในเวลานี้ที่ผมห่างเหินกับความเจ็บปวดแบบนั้นมานานเหลือเกิน..ผมไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถมองทั้งสองคนโดยไม่เจ็บปวดได้หรือเปล่า? จะสามารถกล่าวราตรีสวัสดิ์ให้เขาด้วยใจที่สงบได้ไหม? หรือบางทีอาจจะกลับไปเป็นผมคนที่ร้องไห้และกรีดร้องอย่างน่ารังเกียจเมื่อครั้งนั้น

    ด้วยเหตุนี้ผมจึงกลัว กลัวที่จะกลับหมู่บ้าน กลัวที่จะเห็นงานแต่งงานของพวกเขา กลัวที่จะต้องร้องไห้และเศร้าโศกท่ามกลางความสุขของคนทั้งหมู่บ้านเหนือสิ่งอื่นใด ผมกลัวว่าหัวใจที่ผุพังอยู่แล้วของตัวเองจะแหลกสลายหายไป

    ..หรือบางที ปล่อยให้มันสูญหายไปอาจจะดีกว่ากระมัง

    เช่นนั้นแล้ว ผมจะได้ทำอย่างที่ควรทำ อยู่เคียงข้างเขาไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรู้สึกอะไร

    ใช่แล้วถ้าอย่างนั้นก็ให้มันพังไปเลยดีกว่า ทำร้ายจนมันสลาย กรีดลึกลงไปจนไม่อาจรู้จักความเจ็บปวดได้อีก ทำร้ายหัวใจของตนเองจนชินชาจนลืมว่าการมีความรู้สึกเป็นเช่นไร ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันคงดีขึ้นกว่านี้

    คงจะดีกว่าที่รู้สึกและเจ็บปวดอยู่ตอนนี้

     ++++++++++++++++++

    เช้าวันถัดมาเขาก็ออกเดินทาง

    เขากล่าวขอบคุณช่างโลหะอีกครั้ง บนดวงหน้าประดับรอยยิ้มซื่อแสนสุขเพราะจะได้กลับไปหาสิ่งสำคัญของตนเสียที ชายหนุ่มคนสำคัญของผมกระชับย่ามและผ้าคลุมเดินทางที่ได้รับมา ก่อนจะออกเดินทางไปตามถนนที่แสนคุ้นเคยซึ่งทอดไปสู่หมู่บ้านของตน

    ผมก้าวเดินตามเขา โชคดีที่ธรรมชาติบางอย่างของผมทำให้เขาไม่ทันสังเกตผมที่ก้าวเดินตามในระยะใกล้ บุคคลที่บอกความหมายแห่งชีวิตของผมเคยบอกว่า..ผมเป็นตัวตนที่แม้เขาจะเห็นได้ทว่าหากไม่สังเกตจะไม่สนใจ ดังนั้นหากไม่ทักออกไปหรือปรากฏตัวตรงหน้า เขาก็จะไม่รู้สึกถึงตัวตนของผม

    และนั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมอยู่ข้างเขามาตลอดโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว

    วันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยประดับก้อนเมฆล่องลอยซ้อนทับ สายลมเย็นๆ พัดผ่านราวกับจะอวยพรให้ผู้คนพบพานความสุข ชายหนุ่มคนสำคัญของผมพึมพำว่าอากาศดี มือกำกล่องแหวนที่ตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งนำไปมอบให้หญิงสาวทันทีที่ถึง

    ผมเดินตามร่างของเขาไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าที่สดใสดูพร่ามัวเหลือเกินเมื่อดวงตาคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำตา ทว่าผมก็รีบเช็ดมันออกไปทุกครั้ง แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเอ่อล้นออกมาอีกก็ตาม

    ผมมองไปที่ร่างตรงหน้าซึ่งกำลังเดินกึ่งวิ่ง ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นยินดีที่ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน เสียงฮัมเพลงเบาๆด้วยความสุขและดวงตาเป็นประกายยามคิดถึงใครบางคนนั้นทำให้ผมยิ้มขื่นหน่อยๆ  รู้สึกอยากหยุดพักทำใจซักครู่ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง

    แต่ถึงผมจะคิดอย่างนั้น ผมก็ตะโกนหยุดเขาที่กำลังเร่งรีบไม่ได้ หยุดพักเองโดยพลการไม่ได้..เพราะสุดท้ายเชือกล่องหนที่มองไม่เห็นก็จะลากผมให้ตามเขาไป

    ยังจะต้องทำใจอะไรอีกนะ..

    ในเมื่อผมตั้งใจจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด แล้วทำให้มันชินชาแล้วไม่ใช่หรือ?

    ผมแค่นหัวเราะความคิดของตัวเองแผ่วเบา ขาก้าวตามร่างที่เดินกึ่งวิ่งไปบนถนนดินอย่างอ่อนล้า ในหัวพยายามครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นที่จะไม่มีทำให้ผมรู้สึกเศร้ากว่านี้

    หมู่บ้านอย่างนั้นหรือ

    ..ตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้างนะ บ้านที่เรียงรายกันไปจะยังคงเป็นเช่นเดิมหรือเปล่า ผู้คนมากมายที่นั่นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่..ตอนนี้เองเข้าฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว บางทีตอนที่เราไปถึงพวกเขาอาจจะกำลังอยู่ในทุ่งข้าวสีทองที่พลิ้วไหวตามสายลมก็ได้

    จริงอยู่แม้ผมไม่ผูกพันกับใครคนไหนเพราะพวกเขามองไม่เห็นผม แต่ผมก็มองเห็นพวกเขามาตลอด  ดังนั้นแม้จะน่าประหลาดใจเสียหน่อย แต่ดูเหมือนก็จะคิดถึงพวกเขาเหมือนกัน

    คิดถึงหมู่บ้านอันเงียบสงบ ตลาดที่คลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงหัวเราะของเหล่าสหายของชายหนุ่ม ….และ

    ค่ำคืนอันแสนสงบที่ผมได้กล่าวราตรีสวัสดิ์ในห้องนอนของเขา..

    คิดถึงเหลือเกิน..คิดถึงความเรียบง่ายเหล่านั้นเหลือเกิน

    ผมคิดไปพลาง ยิ้มไปพลาง เดินตามรอยเท้าของคนที่นำหน้าไปพลาง รู้สึกเหมือนเริ่มจะมีความรู้สึกที่อยากกลับหมู่บ้านเพิ่มขึ้นทีละนิด ก่อนที่ผมจะชะงักกึกหยุดลงเมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าหยุดเดิน

    ตอนแรกผมยืนนิ่งเช่นนั้น รอคอยให้ชายหนุ่มก้าวเดิน เพราะคิดว่าเขาอาจจะเจออะไรข้างทางแล้วเก็บมาเหมือนปรกติ แต่ครู่หนึ่งผมก็สังเกตได้ว่าจุดที่ผมและเขายืนอยู่ใกล้จะถึงหมู่บ้านแล้ว..ถ้าเช่นนั้นแล้วจะรออะไร?

    ทำไมเขาถึงไม่วิ่งตรงไป...หาผู้เป็นที่รักอย่างที่ใจปรารถนา?

    ผมยืนรอ..รออยู่เช่นนั้น จนเมื่อเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอย่างผิดสังเกต ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้นแล้วรีบมองผ่านไหล่เขาไปยังภาพที่สะท้อนในสายตาของชายหนุ่มคนสำคัญ

    ….และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ทั่วทั้งร่างผมชาวาบ..รู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างกายหมดสิ้นความรู้สึกไปครู่หนึ่ง

    พร้อมความเจ็บปวดแปลบประหลาดที่ทรมานยิ่งกว่าครั้งใดใดที่ผ่านมาซึ่งพุ่งเข้ามาอย่างจัง

     

    .

    .

    .

    ผมเคยคิด..คิดเช่นเดียวกับเขา

    ว่าเมื่อถึงหมู่บ้าน คงจะได้เห็นหลังคาที่เรียงรายกันไป เห็นผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาและยิ้มให้กัน

    คงจะได้หัวเราะและเข้าไปในวงล้อมของผู้คนมากมายเช่นการณ์ก่อน

    จริงอยู่..ผมเกลียดช่วงเวลาที่เขาอยู่ข้างหญิงสาว ทว่ารักรอยยิ้มยามเมื่อมิตรสหายยืนเคียงข้างเขา

     รักมากเหลือเกินและหวัง

    ..หวังโดยไม่คิดอะไรมากว่าเมื่อกลับมาจะได้พบพานกับความสุขอันเรียบง่ายเช่นเดิม..

    .

    .

    .

    ทว่าสุดท้ายเมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน..สิ่งที่พบกลับเป็นเพียงเศษซากปรักหักพัง

    และหลุมศพที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×