คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : โซ่สัมพันธ์ที่สาม : หุบเขาเงาจันทรา
โซ่สัมพันธ์ที่สาม : หุบเขาเงาจันทรา
หุบเขาเงาจันทรา
หุบเขาแห่งเงามืด..
ที่ซึ่งสุริยันไม่อาจเฉิดฉายเข้าไปได้
อาณาจักรต้องห้ามของเหล่าภูติแสงสว่าง
แต่กระนั้น.....
สุริยาเฉิดฉายสาดส่องเข้ามายังร้านตีดาบขนาดย่อม พระเนตรของเจ้าชายพระองค์น้อยเบิกขึ้น ฉลองพระองค์ที่สวมใส่ยังคงเป็นตัวเดิมกับเมื่อยามราตรีที่ผันผ่านมา ดวงตาสีนิลกาฬมองไปยังประตูที่อยู่ด้านตรงข้ามของเตียงนุ่มในห้องนอนอีกห้องของร้านตีดาบที่เขามาอาศัยชั่วคราว ก่อนจะพระขนงจะขมวดมุ่นเมื่อพบร่างขององครักษ์สาวนั่งหลับอยู่ที่ข้างประตู
..นั่นมันผู้หญิงแน่รึ..
ปรารรภขึ้นในใจ สงสัยเป็นหนักหนาในความแกร่งของสตรีคนตรงหน้า แต่ก็มิได้ใส่ใจอันใด เจ้าชายน้อยแห่งนิศากาลบิดวรกายเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปยังด้านนอกห้องนอน
พระบาทที่เปลือยเปล่าพากายตรงไปยังที่ซึ่งเสียงตีดาบดังแว่วมา พระหัตถ์เล็กแต่กร้านเพราะจับดาบบ่อยเปิดประตูบานหนา ก่อนที่ใบหน้าของจัสต์เมนท์นักตีดาบจะหันมอง
“อรุณสวัสดิ์พะย่ะค่ะ เมื่อคืนกว่าจะพักผ่อนก็ตั้งสองยาม ท่านควรจะบรรทมต่อ”เอ่ยพร้อมหันไปตีดาบต่อ องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรรัตติกาลไม่ได้ตอบคำทักทายนั้น และเดินออกมาอย่างแสนปกติธรรมดา ก่อนจะไปที่ลานกว้างซึ่งแสงอรุโณทัยกำลังสาดส่องพาให้แสบตา
เด็กชายหยิบดาบที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมา ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันบิ่นและทำท่าจะหัก
ไม่หักสิแปลก ดาบของแม่องครักษ์จอมถึกแข็งยังกับอะไรดี..
แต่น่าแปลกที่ดาบจากร้านเล็กๆกลับทานความแข็งแกร่งของดาบสีขาวเล่มนั้นได้... คำร่ำลือถึงความเก่งกาจไม่ใช่แค่ข่าวลือ
เด็กชายเจ้าของเรือนผมสีนิลกาฬควงดาบทดสอบหวดลมชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเดินออกไปยังลานกว้างที่แสงแดดสาดอ่อนๆ
จิตสัมผัสถึงสิ่งที่ใกล้เข้ามา
ดวงตาปิดลง เปิดสัมผัสส่วนอื่นให้กว้างขึ้น
ได้ยินเสียงของใบไม้ ผิวสัมผัสถึงสายลม กลิ่นอ่อนบางหอมหวานของไพร
วิ้ว...
ขวับ..!
สายลมพัดโบกให้ใบไม้หลายใบพัดตกลงมา เด็กชายกระชับดาบ ก่อนจะก้าวขาตามจังหวะที่ถูกเสี้ยมสอน คมดาบตวัดถูกใบไม้ใบแล้วใบเล่าด้วยความเร็ว กระทั่งสายลมที่พัดโบกนั่นคลายพลังลง....
เด็กชายลืมเนตรขึ้น จ้องมองจำนวนใบไม้อย่างไม่พอใจ
ในจำนวนใบไม้ที่ถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยง มีอยู่สามใบที่ยังมีสภาพดังเดิม
“ชิ...พลาดไปสาม”พึมพำ ก่อนจะเบิกดวงตาเล็กน้อยเมื่อพบว่าร่างของหญิงสาววิ่งออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว
“รีฟ นั่นเจ้าคิดจะไปไหน”
น้ำเสียงดังกังวานราบเรียบเรียกให้หญิงสาวหันมองร่างของนายเหนือหัวที่ยืนอยู่ตรงลานกว้าง ก่อนจะย่อกายลงคำนับอย่างนอบน้อมและเงยหน้าขึ้น
“อรุณสวัสดิ์เพคะ...ส่วนเรื่องที่ถาม..ในปราสาทอนธกาลเกิดเรื่องขึ้นเพคะ ทหารสองนายในพระราชวังฝ่ายในถูกสังหารอย่างไร้ร่องรอย คนร้ายหายตัวไป ทางปราสาทได้ส่งจดหมายมนตรามาถึงว่าให้ข้าไปตรวจสอบ....... จัสต์ ข้าฝากฝ่าบาทไว้ได้ไหม!!”
วิ่งไปถามคนที่นั่งอยู่ในห้องตีดาบ คนถูกทักสะดุ้ง ก่อนจะยืนขึ้น ละจากงานที่ทำแล้วจึงหันมองหญิงสาว “อะไรของเจ้า?”
“ข้าจะกลับปราสาท..ฝากฝ่าบาทยูไว้ที่นี่ได้ไหม?”เอ่ยคล้ายจะวิงวอน ดวงตาสีแซฟไฟร์จ้องลึกในดวงตาสองสีที่งดงาม ก่อนชายหนุ่มจะพยักหน้าอย่างง่ายดาย“ตามใจเจ้า”
“นั่นมันปราสาทข้า ข้าจะไปดูความเรียบร้อยด้วย!”โอรสแห่งรัตติตรัสขึ้น ความโกรธปะทุ พระราชวังฝ่ายในใช่จะเข้าไปกันได้โดยง่าย การเกิดเรื่องเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องธรรมดา
แต่กระนั้น ราชองครักษ์ผู้แข็งแกร่งกลับไม่ยินยอม... ร่างเพรียวสูงหันขวับจ้องร่างที่เยาว์กว่าตน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“ฝ่าบาท คนร้ายเข้าไปถึงปราสาท ที่นั่นไม่ใช่ที่ปลอดภัยในตอนนี้ เวลานี้ ชั่วขณะนี้ ร้านตีดาบที่กระหม่อมกางเขตแดนไว้เข้มแข็งที่สุด”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยหา!?”
“หน้าที่ของข้าคือการปกป้องพระองค์!!”
“และเรื่องนั้นมันทำให้เจ้ามีสิทธิ์สั่งข้าหรือไงเล่า!!? รีฟ!!”เสียงกังวานขององค์รับทายาทหนุ่มน้อยทำให้หญิงสาวนิ่งงัน
“หากหน้าที่ของเจ้าคือการปกป้องข้า ก็จงให้ข้าตามเจ้าไปด้วยและปกป้องข้า หรือว่าเจ้าไม่มีปัญญาปกป้องกระทั่งเด็กแค่คนเดียว?”
เอ่ยพลางแสยะยิ้มหยัน จ้องมองหญิงสาวที่ยืนนิ่งไป... รีฟถอนหายใจเฮือก มองดวงตาขวางขององค์ชายผู้เป็นนายเหนือหัว ก่อนจะกลอกตาเหนื่อยหน่ายแล้วย่อกายลงถวายความเคารพ
“ตามแต่พระองค์จะต้องการ แต่บอกไว้ก่อนว่าพระองค์ห้ามอยู่ห่างจากหม่อมฉัน”
“ข้าปกป้องตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใครหน้าไหน แม้แต่เจ้าก็ตาม”
“แล้วหน้าที่ข้าล่ะเพคะ? จะให้ท่านเจ้าลงโทษข้ารึไร”
“ช่างหัวเจ้า ไม่ใช่เรื่องของข้า”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่ คร้านที่จะเถียงต่อ ก่อนจะตะโกนลั่นสุดเสียง
“เด็กน้อยที่ข้าเคยดูแลหายไปไหนเนี่ย!!”
ครั้นแล้วจึงลุกขึ้นพร้อมหัวเราะในลำคอ โดยไม่ลืมสังเกตใบหน้าแสนขุ่นเคืองของนายเหนือหัวแห่งตน นิ้วมือเรียวดีดเป็นจังหวะบางเบา พลันสายลมจากทั่วทิศทางก็โอบล้อมร่างของหญิงสาวและรัชทายาทพระองค์น้อยเป็นวงกลม
“ถ้าเช่นนั้น หากดาบเรียบร้อยแล้วช่วยเอาไปส่งที่ปราสาทด้วยนะ จัสต์”
เอ่ยกับช่างตีดาบหนุ่ม และได้รับคำตอบเป็นการขยิบตาให้อย่างต้องการกวนประสาทองครักษ์แห่งราตรี ก่อนที่สายลมจะโอบล้อมห่อหุ้ม และสลายหายไปในอากาศธาตุที่หมุนวน...
......................
........
“อเลน นั่นเจ้าทำอะไรอยู่”
เฮือก!
“ทะ...ท่านทิกี้ มีอะไรรึขอรับ?”เอ่ยพร้อมหันพักตร์หวานไปทางวรกายสูงที่ย่างก้าวเข้ามาในตำหนักจันทรา พระเนตรสีม่วงใสมองไปรอบห้องสว่างขาวด้วยสงสัย ก่อนจะตรัสขึ้น “หรือเจ้ายังขบคิด..เรื่องที่ว่ามนุษย์จะรักกับเทพได้หรือไม่อยู่?”
“ขะ..ข้ามิได้!!”
“อย่าโกหกข้าเลย..เด็กน้อยเอ๋ย ข้ารู้ว่าเจ้ายังพะวงมิหาย..เทพจันทรา..”ตรัสพลางมองเทพองค์น้อยที่พลันชะงักไป ก่อนจะถอนพระปัสสาสะ แล้วก้าวเดินเข้าไปหา “ข้าดูแลเจ้ามาแต่เล็กแต่น้อย แล้วเหตุอันใดจึงจะไม่รู้ความคิดเจ้า”
เทพองค์น้อยชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาหลุบมองพื้นหินอ่อนสีขาวของพระตำหนักจันทรา พระโอษฐ์ขบเม้มแน่น รู้สึกราวถูกสะกิดตะกอนขุ่นขลักในพระหทัยที่เพิ่งก่อตัวไปไม่นานนัก
“ท่านเทพราตรีขอรับ..ข้า..รู้สึก..สนใจ..คนผู้นั้นจริงๆนะขอรับ..”
ราตรี..ที่งดงามและน่าลุ่มหลงยิ่งกว่าราตรี..
ยิ่งกว่าความมืดที่ข้าคงอยู่..
ดวงตาคมกริบนั่น..ราวจะจับตัวเอาไว้...
..พระเนตรสีม่วงใสมองวรกายบางที่ก้มพักตร์มองพื้นดิน หัตถ์น้อยๆกำชายเสื้อสีขาวของเจ้าตัวไว้แน่น พระวรกายสูงจึงเดินมานั่งเคียงข้าง วางหัตถ์หนาลงขยี้เกศานุ่มสีเงินของเทพจันทรา ก่อนจะถอนหายใจแล้วตรัสขึ้น
“บางทีความรักมักก่อตัวขึ้นโดยที่เราไม่อาจรู้..มันเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้...ข้าเข้าใจ..”
พระเนตรสีเงินกระจ่างใสขึ้น
“...หากแต่ บางคราความรักก็ไม่สมปรารถนา อุปสรรคมันมีมากกว่าที่จะฝ่าฟันไป โดยเฉพาะการที่เจ้ารักมนุษย์..และที่สำคัญ..
มนุษย์ผู้นั้นอาจมิได้รักเจ้า....”
พระเนตรสีม่วงใสทอแสงหม่นหมอง ก่อนจะพลันนึกถึงใครบางคน
..ใช่..ไม่มีวันสมหวัง..
ไม่มีวัน..
“ดังนั้นก่อนจะถลำลึก เจ้าควรเลิกเสียเถิด..ตัดใจตอนนี้ยังทัน
.จันทรา..”
“โซ่ที่พันธนาการเจ้าไว้ไม่ใช่โซ่ที่จะหลุดออกง่ายๆหรอกนะ...”
ตรัสจบสิ้นก็ลุกขึ้น เดินออกจากพระตำหนักโดยไม่เหลียวแลมอง
..ตัดใจหรือ..
มือเรียวกำเสื้อสีขาวแน่น
นั่นมันยากมิใช่หรือ..มนุษย์เองยามสูญสิ้นความรักยังทำตัวราวกับคนบ้า..
..หรือจะบอกว่าเทพมิใช่นะ..
พระเนตรใสหม่นหมองพลันมองไปยังกระจกน้ำราบเรียบ ก่อนจะแตะลงพลางพึมพำมนตรา ก่อเกิดเป็นรูปของปราสาทอนธกาลแห่งนิศานคร
พระเนตรเสาระหา ก่อนจะพบร่างของเด็กชายเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลที่ยืนนิ่งอยู่ในพระราชวังฝ่ายในแห่งปราสาทอนธกาล
พระโอษฐ์แดงสดแย้มยิ้มเศร้า
..อย่างไรเสีย..ขอซักครั้งเถิด..
..ขอมีความสุขกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ..ก่อนจะต้องตัดใจจากมันเถิด..
......................
........
สายลมพัดโบกวนในพระราชวังฝ่ายในแห่งนิศานคร หญิงสาวเจ้าของผิวขาวซีดรีบหันหน้ามองไปยังกลุ่มสายลมนั่นทันที กระทั่งปรากฏร่างของบุคคลทั้งสองแล้วจึงวิ่งเข้าหาอย่างเร่งรีบเร็ว
“มาแล้วรึเจ้าคะ ท่านหญิง!!”
“แอนนิต้า เป็นอย่างไรบ้าง มีข้อมูลอะไรไหม?”
“ทหารของเราถูกฆ่าเมื่อประมาณก่อนสองทุ่ม ช่วงเวลาเดียวกับที่ฝ่าบาทยูหายตัวไป คนร้ายรวดเร็วจนน่าตกใจ ทั้งลอบมาในราชวังฝ่ายในโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว..ซักคนเดียว”เอ่ยเน้นวลีหลัง พาให้หญิงสาวเจ้าของตำแหน่งราชองครักษ์รู้สึกเครียดขึ้นถนัดตา
เล็ดรอดไปได้หรือ
ปราสาทอนธกาลมิได้หละหลวมถึงเพียงนั้น
ผู้ใดกัน ที่เก่งกาจบังอาจถึงเพียงนี้!!
ดวงตาประกายเนตรสีน้ำเงินเปล่งประกายกร้าว สมองเริ่มประมวลผลหาเหตุและจำกัดวงของผู้ที่ก่อคดี
“มีใครรู้หรือพบเห็นผู้ต้องสงสัยหรือเปล่า แอนนิต้า”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ทหารรักษาวังหน้าบอกว่าผู้ที่เดินผ่านเข้านอกออกในนั้นมีเพียงท่านเจ้ากรมหลวงกับท่านเสนาบดีกรมพระคลัง”เอ่ยพลางยื่นเอกสารที่ตนจัดเรียบร้อยให้หญิงสาวเข้าของเกศาสีเงิน มือเรียวบางพลิกเอกสารและไล่สายตาอย่างรวดเร็ว
“ราชวังฝ่ายในว่าอย่างไรบ้าง”
“นางสนองพระโอษฐ์บอกว่าไม่พบผู้น่าสงสัย บุคคลที่เข้าออกมีเพียงสตรีที่เป็นเหล่านางกำนัล และอันที่จริง ในช่วงเกิดเหตุแทบไม่มีใครเข้าใกล้บริเวณที่ทหารทั้งสองคนถูกฆ่าเลยเจ้าค่ะ”เอ่ยฉะฉาน“ข้าเตรียมเอกสารไว้ที่ห้องแล้วเจ้าค่ะ อันที่จริงนอกจากคดีเร่งด่วนแล้วยังมีอีกหลายคดีที่ท่านต้องสะสาง ระหว่างรอข่าวสาวรเพิ่มเติมช่วยจัดการให้หมดก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่ใช่ว่าข้าสะสางหมดแล้วรึ?”
“คดีฉ้อราษฏหลวงยังไม่จบเจ้าค่ะ”
“อา..ข้าจะนั่งดูให้ให้แล้วกัน”หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะก้าวเดินปังห้องทำงาน โดยไม่ลืมสั่งสั่งงานไว้อย่างเค่งครัด “หากพบข่าวสาวรใดรีบไปบอกข้า เอาล่ะ ฝ่าบาท ไปกับหม่อมฉัน”
หันบอกองค์รัชทายาท ก่อนจะก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปที่ห้องทำงาน มือเรียวเปิดประตูเข้าไป เผยให้เห็นห้องขนาดเล้กที่เต็มไปด้วยเอกสาร ก่อนหญิงสาวจะก้าวเดินเข้าไปหยิบเอกสารกองหนึ่งเข้ามาและเริ่มอ่านพร้อมจับปากกาขึ้นขีดเขียน ในขณะที่เด็กชายยังงุนงงกับห้องที่ดูน่ากลัวพิกล
“อ่านสำนวนคดีแก้เบ่อก็ได้นะเพคะ”
“สำนวนคดี?”
“นู่นไงเพคะ”ชี้ไปที่กแงเอกสารตังยักษ์ให้พระเนตรสีรัตติกาลกระพริบปริบ ก่อนจะถอนพระปัสสาสะ แล้วหยิบสำนวนคดีชั้นบนสุดลงมาอ่าน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งยามสนธยาย่ำกราย..
ปัง!
“ได้ข่าวสารเพิ่มเติมแล้วเจ้าค่ะ!!”
“ช้า”
เสียงที่สองนั้นได้จากรัชทายาทองค์น้อยที่กำลังนั่งตาขวางหงุดหงิด หญิงสาวเจ้าของเนตรสีน้ำเงินปราดมองปรามแม้จะไร้ผล ก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ได้ข่าวสารใดเพิ่มเติมมาล่ะ แอนนิต้า”
“เอ่อ....”สูดลมหายใจลึก เตรียมบอกข่าวสารอีกหนึ่งที่น่าตระหนกใจ ก่อนจะพลันเหลือบมองเห็นนายเหนือหัวที่ยืนอยู่ข้างผู้บังคับบัญชาของตน “อะ..เจ้าชาย...ทรงไปเล่นที่อื่นก่อนได้ไหมเพคะ?”
“ข้ารับฟังไม่ได้รึไง”เอ่ยพลางยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง หญิงสาวผิวซีดทำท่าเหลอหลา ก่อนจะพึมพำขึ้น “เอ่อ.นี่เป็นเรื่องภายในด้วย ข้าเลย..”
“ข้ามีสิทธิที่จะรับรู้เรื่องภายใน หรือเจ้าจะบอกว่าไม่? ..ข้าเป็นใครถึงจะรับรู้ไม่ได้”เอ่ยกังวานฟังชัด แล้วจึงตรัสต่อ “อย่ามาทำยโสโอหังตัดสินว่าสิ่งใดข้าควรรู้.. สิ่งใดข้าไม่ควรรู้ นั่นมันหน้าที่ข้าที่ข้าจะต้องตัดสินเอง ไม่ใช่ให้เจ้ามาแส่!!!”เอ่ยยาวเหยียด มองหญิงสาวด้วยสายตาคมกริบเย้ยหยันจนแอนนิต้าสะดุ้งเฮือก ก่อนเด็กชายจะถูกหยิกพระกรรณด้วยฝีมือขององครักษ์หญิงประจำกายที่อุตส่าห์เดินจากโต๊ะมา
“เจ้าทำบ้าอะไร!!”
“ฝ่าบาทไปเรียนคำพวกนั้นมาจากไหน”เอ่ยถาม แต่สิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นดำรัสโต้เถียง
“แล้วยายแก่คนไหนพูดแบบนี้ให้ข้าฟังทุกครั้งที่ข้าทำไม่ถูกใจล่ะ”
“ถ้าข้าเป็นยายแก่.. แล้วท่านเสนาบดีกรมมหาดเล็กจะเรียกว่าอะไรรึเพคะ?”
“ทวด”
“อยากจะมาประลองต่อที่นี่ไหมล่ะเพคะ ?”
“ถ้าอยากท้าข้าก็ยินดีจะรับ”
แต่ก่อนที่การประลองระหว่างนายกับบ่าวจะเริ่มขึ้น แอนนิต้าก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“ข้าว่าเราควรพูดเรื่องนี้ให้ได้ผลลัพธ์โดยเร็วนะเจ้าคะ ว่าแต่..จะให้เจ้าชายทรงรับรู้ด้วยจริงๆนะรึเจ้าคะ?”เอ่ยถามไม่แน่ใจ มองผู้บังคับบัญชาของตน
รีฟมองใบหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยตอบตามสัตย์จริง“พระองค์อยู่ในวัยที่ควรเรียนรู้การทำงานแล้ว..พูดมาเถอะ แอนนิต้า”
“....ข้าได้ยินเสียงข่าวสารจาก[สายลม]ว่าพบกลิ่นหอมประหลาด”
กึก!
หญิงสาวนิ่งงันไปทันที ก่อนจะขมวดคิ้วเคร่งเครียด “เป็นกลิ่นหอมแบบใดรึ?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่[สายลม]บอกว่า..เป็นกลิ่นหอมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่ใช่ทั้งของรัตติกาลและวายุหลเจ้าค่ะ”แอนนิต้าเอ่ย มองผู้บังคับบัญชาที่นิ่งไป แล้วจึงก้มมองพระพักตร์ของเจ้าชายองค์น้อยที่อยู่ในภาวะครุ่นคิดไม่แพ้กัน
..กลิ่นหอมเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงชนเผ่า..
..กลิ่นหอมที่ไม่ใช่ของทั้งสองอาณาจักรที่คงเหลืออยู่..
..หรือจะเป็น..
“..ประกายเหมันต์..”
..ชนเผ่าที่สาบสูญไปแต่โบราณกาล..
เสียงทุ้มของเด็กชายเอ่ยขึ้นข้างกาย หญิงสาวหันมองดวงตาคมกริบของเจ้าชายพระองค์น้อยที่มองตอบขึ้นมาอย่างเย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ประกายเหมันต์สูญสิ้นไปนานแล้ว ฝ่าบาท”
“ก็ใช่ว่าจะไม่เหลืออยู่”
“ทรงรู้จักชาวประกายเหมันต์มากนักรึไงเพคะ?”
“อย่างกับเจ้ารู้จักดี?”
“อย่างน้อยก็ดีกว่าพระองค์”
“อะ..เอ่อ..ทั้งสองท่านจะทะเลาะกันไปถึงไหนรึเจ้าคะ!!”
“อย่ามายุ่ง!!”
ตวาดกกลับกันทั้งนายทั้งบ่าวจนหญิงสาวสะดุ้งเฮือก หนึ่งรัชทายาทหนึ่งราชองครักษ์ถึงได้เริ่มรู้สึกตัว
“...ขอโทษนะแอนนิต้า เอาล่ะ..”สูดลมหายใจเข้า แล้วเริ่มเข้าสู่เนื้องานอีกครา “[สายลม]บอกเจ้ารึเปล่าว่ากลิ่นนั้นมุ่งตรงไปทางใด”
“ไปทางทิศตะวันออกของปราสาทเจ้าค่ะ”
..ทิศตะวันออก..
รัชทายาทพระองค์น้อยฉุกคิด ก่อนจะหันพักตร์ไปยังทิศทางที่ถูกกล่าวถึง พระเนตรสีรัตติกาลปราดมองสถานที่ซึ่งอยู่ในใจมานาน และได้รับการกระตุ้นโดยคำกล่าวของสตรีผู้เป็นหนึ่งในเงารัตติกาล
ดินแดนแห่งความมืดที่ลึกล้ำกว่าความมืดอันใดบนโลก ดินแดนแห่งความมืดที่แสงสว่างมิอาจเยื้องกราย..
หรือจะเป็นที่นั่น..?
เมื่อความคิดพลันหวนชะงักจบสิ้น พระวรกายก็เดินจากไปโดยไม่รั้งรอราชองครักษ์ข้างกาย
..สู่หุบเขาเงาจันทรา..
..หุบเขางันจันทรา..
ดินแดนทางทิศตะวันออกของรัตติกาลนคร..แม้ไม่ได้น่ากลัวมากมายนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นที่ที่ไม่อยากก้าวเข้าไป โจรป่าส่วนมากซ่องสุมอยู่ที่นั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนักโทษที่ถูกขุมขัง
สถานที่ที่อันตรายและน่าหวาดสะพรึง
“จะปล่อยไปดีไหมเจ้าคะ..”เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล ทราบดีตั้งแต่แรกว่าเป็นหุบเขาอันตรายที่แม้แต่คนของราตรีก็ไม่อยากย่ำกรายเข้าไป
“...อา..”เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา มือเรียวเสยเรือนผมสีขาวขึ้นอย่างอ่อนล้า “ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร..รอฝ่าบาทกลับมาก่อนกีกว่า ช่วงนี้ก็พยายามตรวจตราให้เข้มงวดก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะกางอาณาเขตไว้เอง แล้วก็ให้พวกทหารเฝ้าระวังด้วย”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง”
“เอาล่ะ งั้นเรากลับไปรับดาบเถิดเพคะ..ฝ่า........”
หัวใจจมดิ่งสู่ผืนปฐพีทันใดที่ไร้พระวรกายขององค์เหนือหัวอยู่ข้างกาย ร่างเพรียวสูงแทบทรุดฮวบลงกับพื้นหากไม่ค้ำขอบเก้าอี้เอาไว้ สัญชาตญาณการปกป้องแผ่ขยายกว้างจับสัญญาณขององค์รัชทายาทแห่งห้วงนิศากาลทันที
“.แย่แล้ว....”
“เกิดอะไรขึ้นรึเข้าคะ?? ท่านหญิง?”
“จัดเตรียมทหารให้พร้อม!! คัดเฉพาะพวกที่พอจะไปลุยที่หุบเขาได้!!”เอ่ยดสียงดังลั่น มือเรียวบางกระชับดาบสีขาวพิสุทธิ์ที่ห้อยอยู่ข้างเอว ก่อนจะก้าวเดินจากไปและหยดชะงักเมื่อหญิงสาวเอ่ยตะโกนถามมา
“เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะรอให้ฝ่าพระบาทกลับมานี่เจ้าคะ!?”
“ข้าคิดแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้...”เอ่ยเสียงแห้งผาก
“ฝ่าบาทยูตรงไปที่หุบเขาเงาจันทราแล้ว!!”
..................
............
....
หุบเขาเงาจันทรา...
พระเนตรสีเงินใสของเทพจันทราผุ้เฝ้าดูเหตุการณ์จากในพระตำหนักร้อนรนขึ้นมาทันใด หุบเขานั่นแม่แต่ทวยเทพยังเป็นที่ต้องห้าม ไม่ใช่ใครจะอยากเข้าไปหากไร้เหตุจำเป็น
แต่หากคนผู้นั้นเป็นอะไรไปล่ะ..หากราตรีได้รับบาดเจ็บล่ะ...
ความเป็นห่วงถาโถม คำสาบานที่ว่าจะไม่ไปโลกมนุษย์อีกแล้วมันค้ำคอไว้.. กระนั้นก็ยังอยากลงไปหา อยากจะลงไปช่วย
แค่ครั้งเดียว..ครั้งเดียวเท่านั้น..
..โปรดอภัยให้ข้าด้วย..
ตระบัดสัตย์เป็นคราที่สอง แล้วจึงย่างกรายออกจากตำหนักจันทราอย่างเร่งรีบ วิ่งตรงไปสู่จันทราทวารซึ่งจักพาสู่นคราของชนเผ่าแห่งราตรี...
..หุบเขาเงาจันทรา..สินะ..
พึมพำในใจ แล้วจึงวิ่งตรงไปอย่างไม่รีรอ....
หุบเขาเงาจันทรา...
ที่ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย
ที่ซึ่งมืดมิดนักในยามทิวาครอบครอง
แต่กระนั้น...
..
...
...
..แสงจันทรานวลลออ..
..กลับสาดส่องแทรกผ่านใบไม้หนาเข้ามาได้ในยามราตรี..
++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น