ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #3 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH3 : ความปรารถนาจากหัวใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 219
      1
      22 พ.ค. 56

    Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH3 : ความปรารถนาจากหัวใจ

    ค่ำคืนต่อมา คืนต่อมา และคืนต่อๆ มา ผมก็ยังคงไม่กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขา

    ผมไม่กล้ามองหน้าเขา ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ไม่กล้าพูดด้วย สุดท้ายนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเกลียดหน้าที่นี้ขึ้นมา

    หน้าที่ที่ต้องคอยอยู่ข้างๆ เขา

    ในวันนี้เขาจะออกไปเที่ยวกับเด็กสาวเธอขอให้เขาช่วยเลือกของขวัญวันเกิดสำหรับบิดาของตน เธอว่าเออากทำเครื่องสลักให้ แต่เธอมีฝีมือ จึงคิดว่าจะซื้อของที่บิดาสามารถใช้งานได้แทน แต่เอไม่รุ้ว่าผู้ชายชอบอะไร เอจึงมาขอร้องเขา และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มย่อมยอมรับคำขอร้องอย่างยินดี

    ผมคิดว่าวันนี้จะอยู่ที่บ้าน แล้วปล่อยให้เขาไปเดินกับเด็กสาวสองคน แต่แล้ว..เมื่อเขาเดินห่างออกไปจนถึงช่วงระยะหนึ่ง ผมก็รู้สึกเหมือนกับถูกกระชากให้ตามไป

    ร่างกายของผมล้มลงกับพื้น ก่อนค่อยๆ ครูดไปกับพื้นหินสากโดยไม่มีใครมองเห็นนอกจากฝุ่นดินที่ตลบขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ผมรู้สึกราวกับมีเชือกมัดไว้กับตัว พร้อมกับดึงลากผมไปตามเส้นทางที่เด็กหนุ่มเดินไป

    ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอยู่เคียงข้างเขาผมจึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนอกจากความต้องการของผมเองแล้ว ยังมีพลังบางอย่างบังคับให้ผมอยู่ใกล้ๆ กับเขาด้วย

    หากเป็นเวลาปรกติ ผมคงยินยอมจะรีบวิ่งไปยืนอยู่ข้างเขา แต่ตอนี้ผมไม่ต้องการทำเช่นนั้น ผมจึงพยายามฝืนเชือกที่มองไม่เห็นซึ่งลากผมให้ครูดไปกับพื้น ทว่าไม่ว่าผมจะล้มลงกับพื้นซักกี่ครั้ง ฝืนแรงนั้นซักกี่คราว ผมก็ถูกลากให้ต้องตามร่างที่เดินนำหน้าไปอยู่ดี

    สุดท้าย..เมื่อร่างกายสะบักสะบอมจนเกือบไร้เรี่ยวแรง ผมก็เหนื่อยที่จะขัดขืน และเดินตามร่างของเขาไปในที่สุด

    ที่นี่คนพลุกพล่าน เพราะเป็นตลาดกลางของทุกหมู่บ้านในแถบนี้ เด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินดูเครื่องประดับ อาวุธ และสินค้ามากมายในตลาด โดยไม่ได้มองสินค้าใดจริงจังมากมายนัก ราวกับแท้จริงทั้งสองเพียงต้องการมาเดินเที่ยวด้วยกันไม่ใช่เพื่อหาซื้อของขวัญให้บิดาของเด็กสาวเช่นที่ปากว่า

    ผมเดินตามทั้งสองคนไป รักษาระยะห่างเท่าที่เขาจะไม่เห็นผม ผมจะไม่เห็นเขา และเชือกที่ดึงรั้งผมไม่กระชากผมจนล้มลงครูดกับพื้นอีกครั้ง

    แม้ว่าผมจะพยายามไม่มองไปที่พวกเขาทั้งสองคน ทว่าความเคยชินก็มักบังคับให้ผมมองตามเขาไป แล้วทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้นทุกครั้งที่ผมเห็นทั้งสองคนหัวเราะให้กัน ก้อนหินไร้ที่มาจะพลันร่วงหล่นลงในทรวงอกของผม ถ่วงจนรู้สึกราวกับหัวใจจะร่วงลงไปดับดิ้นบนพื้นดิน

    ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้งหลังจากที่มันแห้งไปหลายวัน มือของผมบีบแขนตัวเองจนราวกับจะจิกเข้าไปในเนื้อเพราะผมคิดว่าหากร่างกายเจ็บจนแทบกรีดร้อง บางทีความเจ็บปวดที่หัวใจดวงนี้มันคงจะชาวูบหายไปเอง

    แต่เปล่าเลย

    แม้ว่าผมจะจิกเล็บลงบนแขนเลือดไหลหรือกัดริมฝีปากจนปวดระบม มันก็กลบความปวดร้าวในใจไม่ได้เลย

    กลายเป็นความเจ็บปวดที่ร่างกายชาจนไม่รู้สึกอะไร..และเป็นหัวใจเสียเองที่ทรมานราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง

    +++++++++++++++++

    หลังจากนั้น ดูเหมือนทั้งสองคนจะออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยขึ้น และแม้ผมจะไม่อยากออกไปด้วย แต่หากไม่ทำเช่นนั้น เชือกที่มองไม่เห็นก็จะกระชากผมออกไปอยู่ดี

    ในวันนั้น เขาพาเด็กสาวไปยังสถานที่ซึ่งอยู่อีกฟากของป่า เป็นเนินที่ที่สูงที่สุดของหมู่บ้าน เป็นสถานที่ซึ่งเขาเคยพูดกับตัวเองว่าที่นี่เป็นที่ลับ..เป็นความลับของเขาเท่านั้น

    ทว่าบัดนี้เขาบอกเด็กสาวว่านี่เป็นความลับของพวกเขาสองคน

    ความลับที่ไม่ได้มีผมร่วมให้คำสัญญาทว่ายืนอยู่ที่นั่น..ตรงนั้นอย่างไร้ค่า..

    .

    .

    .

    ดั่งว่าเป็นอากาศธาตุ

    .

    .

    .

    พวกเขานั่งเล่นกันอยู่ที่นั่น ร้องเพลง ทำมงกุฏดอกไม้ นอนเล่น กระทั่งย่ำบ่ายจึงเดินข้ามป่าสั้นๆ เดินลงมายังถนนของหมู่บ้าน ซึ่งบัดนี้ครึกครื้นและเต็มไปด้วยผู้คน

    ผมเดินห่างจากพวกเขาอย่างที่ช่วงนี้ทำ ดวงตามองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังเดินนำหน้า ในใจรู้สึกชาวาบคล้ายจะไร้เรี่ยวแรง..แม้กระทั่งขาที่เดินไปก็ดูราวจะไม่รู้สึก

    สมองของผมว่างเปล่า อะไรบางอย่างคอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดและสลัดไม่หลุด ทว่าก็ราวกับมีหมอกขมุกขมัวบดบังราวกับไม่ต้องการให้รู้ว่า [อะไรบางอย่าง] นั้นคืออะไร

    และแล้วด้วยความเคยชินอันเก่าแก่ ด้วยความหวาดกลัวที่ปราศหายไปครู่หนึ่งเมื่อความคิดอันว่างเปล่าเข้าครอบงำ ร่างกายของผมก็เดินเข้าไปในระยะห่างเดิมที่ผมมักจะทำเมื่อนานมาแล้ว คือระยะห่างที่เขาไม่เห็นผม แต่ผมสามารถเห็นเขาได้ถนัดตา

    และนั่นทำให้ผมเห็นในสิ่งที่ผมไม่คิดจะได้เห็นเป็นสิ่งที่ผมหนีมันตลอดมานับแต่เขาพบกับเด็กสาว

    เด็กหนุ่มที่เดินตรงหน้าผม….ใช่เขาคนนั้นที่ผมเฝ้ามองมาตลอดนับสิบๆ ปีหรือ?

    ใช่เขาคนนั้นที่ผมรู้จักงั้นหรือ..

    ดวงตาของเขาเป็นประกาย..มันเป็นประกายงดงามยิ่งกว่าครั้งไหน..ทว่านั่นเป็นประกายตาที่มีไว้มองใคร?

    รอยยิ้มของเขาสวยกว่าทุกวันที่ผมเคยเห็น เป็นรอยยิ้มที่ผมอยากให้มันมอบให้ผม ..ทว่าบัดนี้รอยยิ้มนั้นถูกมอบให้ใคร?

    เสียงพูดคุยที่เปล่งออกมาวันนี้ดูน่าฟังยิ่งกว่าทุกวัน เสียงที่ผมหลงใหลมาตลอด.. ทว่าเสียงนั้นกำลังพูดคุยกับใคร?

    เสียงหัวเราะของเขากังวานยิ่งกว่าวันใด ใบหน้าของเขาสดชื่นยิ่งกว่าหนไหน..ทว่านั่นเกิดขึ้นเพราะใคร..?

    แม้ไม่รู้คำตอบก็เฉลยอย่างแน่ชัด แม้โง่เง่าเพียงใดก็ต้องเข้าใจ

    ต่อให้หลอกลวงตัวเองแค่ไหนความจริงก็คือความจริง

    อิจฉา..ผมอิจฉาเธอคนนั้น

    ทว่าไม่ใช่ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงอิจฉาล่ะ? เพียงเพราะเธอได้ในสิ่งที่ผมต้องการหรือ ทั้งที่แท้จริงแล้วเขามอบมันให้คนทุกคนที่เขาพวกหรือ?

    ไม่ใช่

    แต่เป็นเพราะเธอคนนั้นสำคัญกับเขาต่างหาก….ใช่แล้ว….

    ตำแหน่งที่เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ คือตำแหน่งที่ผมต้องการ คือจุดที่ผมอยากไปยืนอยู่ตรงนั้น

    ทุกสิ่งที่ผมต้องการได้รับ รอยยิ้ม คำพูด เสียงหัวเราะ สิ่งที่ผมอยากได้เมื่อถึง [เวลานั้น] เด็กสาวล้วนได้มันไปหมดแล้วทั้งสิ้น!!

    มือของผมกำแน่นจนราวกับเล็บจะจิกลงในมือ มันสั่นระริกจนผมรู้สึกได้ ขอบตาของผมร้อนผ่าวทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาเมื่อหมอกและกำแพงที่กั้นความรับรู้สูญหายไป

    ผมเคยบอกตัวเองว่าซักวันจะกอดเขา ซักวันจะให้ภาพของผมสะท้อนในดวงตาของเขา..ทว่า เมื่อไหร่ล่ะ

    เมื่อไหร่ที่เวลานั้นจะมาถึง

    ผมจะต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ มีตัวตนแต่เป็นอากาศธาตุสำหรับเขาไปถึงเมื่อไหร่

    ผมจะต้องเป็นคนที่เขาไม่คิดใส่ใจ ไม่คิดอยากเห็นเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่

    จะต้องอยู่นอกสายตาของเขาเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่…….?

    ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกของผมก็ถูกกลั่นกรอง พร้อมเปล่งออกมาจากริมฝีปากก่อนที่จะรู้ตัว

    .

    .

    มองผมที…’

    .

    .

    เสียงของผมที่หลุดออกไปนั้นสั่นเครือ เกือบจะคล้ายเสียงสะอื้นไห้  มันเศร้าสร้อยและเว้าวอน ทว่าแผ่วเบาจนคล้ายเสียงของสายลม

     ผมคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ทว่าเขากลับหันมามองต้นเสียง ผมจึงรีบหลบเข้าไปในฝูงชน ใช้ร่างของคนที่เดินไปมาบดบังตัวตนของผมที่มีเพียงเขาที่มองเห็น เฝ้ามองเขาที่ตามหาต้นเสียง ก่อนที่เด็กหนุ่มของผมจะเดินจากไปพร้อมเด็กสาวข้างกาย..ทว่าภาพนั้นพร่าเลือนไร้ความชัดเจน

    รู้สึกตัวอีกมี ของเหลวอุ่นๆ ก็ไหลอาบแก้ม แล้วผมถึงได้รู้ตอนนั้นเองว่ามันพร่าเลือนเพราะน้ำตาของผม

    ผมยกมือขึ้นปิดปากแน่น..กลัวว่าคำพูดมากมายที่เก็บไว้ตลอดมาจะหลุดออกไปให้เขาได้ยิน กลัวว่าจะเผลอร้องเรียกเขาจนทำผิดข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของตน ร่างกายของผมสั่นเทา มันชาและไร้เรี่ยวแรงจนทำให้ล้มทรุดกับพื้น….โชคดีที่พวกเขาไม่ได้เดินห่างไปไหน ไม่เช่นนั้นผมคงไม่มีแรงแม้แต่จะเดินตามเขาและได้แต่ต้องถูกลากไปตามเชือกที่มองไม่เห็น

     มือผมปิดแน่นที่ปาก ทั่วทั้งร่างสั่นเทา แม้แต่น้ำตาเองก็ยังคงหลั่งรินออกมาเหมือนกับว่าจะไม่ยอมหยุด

    คำพูดที่ดังอู้อี้ในลำคอ..คำพูดที่ไม่อาจเปล่งออกไปได้นั้น กังวานในใจจนคล้ายกับเสียงกรีดร้อง

    มองผมที ยิ้มให้ผมที หัวเราะให้ผมที ให้ผมได้สะท้อนในดวงตาของคุณ ให้ผมได้เดินไปข้างคุณ ให้ผมได้ยิ้มให้คุณ ให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณ ได้พูดคุย ได้เห็นรอยยิ้มของคุณที่มอบให้กับผมแค่คนเดียว….ได้โปรด…..ได้โปรดให้ผมเป็นสิ่งสำคัญของคุณ เฉกเช่นที่คุณแสนสำคัญสำหรับผม

    ความรู้สึกนั้นกลั่นตัว..กลายเป็นคำคำหนึ่งซึ่งผมรู้จักความหมาย ทว่าเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของมันในวันนี้

    ผมรักคุณ….’

     ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ อยากอยู่ข้างๆ คุณ ดังนั้นรักผมที ได้โปรดมองผมที ได้โปรดรู้สึกเสียที..ว่าผมต่างหากที่อยู่ข้างคุณตลอดมา ผมต่างหากที่ควรจะยืนอยุ่ที่จุดนั้นข้างกายคุณ ผมต่างหากที่ควรจะได้รับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำเสียงที่พิเศษยิ่งกว่าที่คุณมอบให้ใครๆ

    แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นมากแค่ไหน ผมก็ทำได้แค่ร้องไห้โดยไม่เปล่งเสียงออกมา ได้แต่กรีดร้องคำพูดเหล่านั้นอยู่ในใจ ได้แต่มองแผ่นหลังของเขาที่ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจ

    เสียงสะอื้นไห้ที่ไร้เสียงดังแผ่วในลำคอโดยไม่มีใครได้ยิน ตัวตนเปราะบางสั่นสะท้านสะอื้นไห้ดังจะแตกหักโดยไม่มีใครล่วงรู้

    .

    .

    และได้แต่โศกเศร้าอยู่เช่นนั้นโดยไร้ผู้ปลอบโยน….

    +++++++++++++++++++++

    โครม!

    ร่างของผมล้มลงกับพื้นอีกครั้งเมื่อระยะห่างระหว่างผมและเขาห่างกันเกินไป ดวงตาของผมเบิกขึ้น ความเจ็บปวดและแสบร้อนที่ดวงตาทำให้ผมรู้ว่าผมคงร้องไห้มากเกินไป ความเจ็บปวดในใจเลือนรางไปแล้วทว่าเพียงถูกกลบทับ ในขณะที่ร่างของผมเริ่มถูกกระชากไปตามเชือกที่มองไม่เห็นให้ก้าวต่อไป แม้ว่าจะแทบสิ้นเรี่ยวแรงแล้วก็ตามที

    ผมล้มและลุกครั้งแล้วครั้งเล่าจนร่างกายเต็มไปด้วยรอยถลอก  กระทั่งถึงบ้านเขาในที่สุด

    ทันทีที่เป็นเช่นนั้น ผมก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องของเขา ไปยังมุมห้องที่เขาจะมองไม่เห็นผม ไปยังสถานที่ที่จะไม่ถูกเชือกกระชากเพราะระยะห่างที่มากเกินไป

    ผมนั่งลงไปตรงนั้นอย่างอ่อนแรง ลมหายใจพร่างพรู ความปวดร้าวในใจเอ่อล้นออกมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังลงมาจากเบื้องล่าง

    ผมใช้มือทั้งสอข้งางของตนเองปิดหู หวังไม่ให้รับรู้อะไรอีกต่อไป

    ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องเข้าใจ

    หวังให้ตัวเองไร้หัวใจ….และทำตามหน้าที่..แค่อยู่ข้างๆ เขาต่อไป จนกว่าจะถึง ..[เวลานั้น]

    [เวลานั้น]…ซึ่งบัดนี้ผมรู้สึกกลัวมันเสียแล้ว

    กลัวที่จะต้องปรากฏตัวต่อหน้าเขา และพบกับสายตาที่มองมาอย่างคนไม่รู้จักกัน

    .

    .

    .

    กลัวเหลือเกิน

    ++++++++++++++++++++

    ผมเอาแต่พูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาเช่นนั้นกระทั่งเวลาผ่านเลยไป และยามราตรีเข้าเยี่ยมเยือน

    ความเงียบสงบที่ลอยอ้อยอิ้งเข้าสู่โสตประสาททำให้ผมลืมตาขึ้นหลังจากที่ตกลงสู่ห้วงภวังค์ของตน และพบว่าบัดนี้บนท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างนั้นประดับดวงจันทร์เสี้ยวสีเงินนวลเสียแล้ว

    ดวงตาของผมเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนมองไปที่เตียงซึ่งบัดนี้มีเขานอนหลับใหลอยู่ แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมเดินไปที่หน้าต่างซึ่งบัดนี้เปิดโล่งให้สายลมเย็นพัดกรูเข้ามาจนผ้าม่านโบกสะบัด

    อือ..’เสียงครางฮือดังแผ่วเบาจนผมสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่ม และชะงักไปเมื่อไม่ได้มองใบหน้ายามหลับใหลของเด็กหนุ่มมานานนับสัปดาห์

    ..ชั่วพริบตาเดียวที่ผมได้เห็นใบหน้าของเขา จิตใจของผมก็สงบลงอย่างน่าประหลาด ความสงบที่ผมไม่ได้พบมานานนับสัปดาห์หลังจากที่เด็กสาวคนนั้นเข้าในในชีวิตของเขา

    ใบหน้าของเขายามหลับใหลยังคงทำให้ผมรู้สึกดีอยู่เสมอ แม้ว่าจะเป็นในยามนี้ที่ผมทรมาน แต่ถึงกระนั้น กลับมีบางอย่างเปลี่ยนไป

    ใบหน้ายามหลับใหลของเขาในตอนนี้ดูประหลาด..มันบิดเบี้ยว ไร้ความสงบและรอยยิ้มเช่นเคย คิ้วเรียวเข้มของเขาขมวดมุ่น พร้อมริมฝีปากที่ขบเม้มเกร็งแน่นคล้ายจะเครียด แม้กระทั่งลมหายใจเองก็คล้ายจะติดขัดอย่างประหลาด ผมเฝ้ามองสีหน้านั้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะนึกได้ว่าบางทีเขาอาจฝันร้าย..

    ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงของตนออกมากลำคอ

    ไม่เป็นไรนะ..ไม่เป็นไรก็แค่ฝัน...’

    น่าประหลาด..

    ทั้งที่ก่อนหน้านี้เสียงของผมถูกเปล่งออกมาอย่างสั่นเครือ เปราะบาง เสียงที่คล้ายกับคลื่นทะเลกราดเกรี้ยวที่โหมซัดกระหน่ำ ทว่าบัดนี้กลับอ่อนโยนและกลับมาสงบเช่นเดิมเพียงเพราะสีหน้ายามหลับใหลและคำพูดของตนเอง

    ผมชะงักมือที่กำลังจะยกขึ้นลูบที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะเอ่ยเอื้อนคำพดของตนต่อไป

    ไม่เป็นไร..ทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา..ผมผมอยู่ตรงนี้..ข้างๆ นาย..นะ?

    ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรบ้าง แต่ทุกครั้งที่เสียงของผมเปล่งออกมา ใบหน้าที่บิดบี้ยวของเขาจะเริ่มกลับเป็นปรกติ ลมหายใจจะเริ่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และแล้ว..รอยยิ้มในยามหลับใหลของเขาก็กลับมาเป็นเช่นเดิม พร้อมหัวใจที่สงบลงของผม

                ความเจ็บปวด ความทรมานที่กัดกินรุมเร้ามานานนับสัปดาห์จนระเบิดออกไปนั้น ปราศนาการหายไปชั่วพริบตา

    +++++++++++++++++++++++

    เช้าวันถัดมา เขาตื่นมาด้วยท่าทางแจ่มใสพร้อมลงไปหาบิดามารดาของตน เขากล่าวว่าเมื่อคืนนี้เขาหลับเต็มตา หลังจากที่ฝันร้ายมานานนับสัปดาห์โดยไม่รู้สาเหตุ และแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เมื่อคืนนี้ความฝันเหล่านั้นถึงหายไป แต่เขาก็รู้สึกดีที่ได้กลับมานอนหลับโดยไม่มีฝันร้ายอีกครั้ง

    คำพูดของเขาทำให้ผมครุ่นคิด..

    หนึ่งอาทิตย์ ช่วงเวลาเดียวกับที่ผมไม่ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์เขา

    เขาฝันร้ายเพราะผมไม่ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาอย่างนั้นหรือ..?

    เรื่องนั้นทำให้หัวใจของผมอิ่มเอิบอย่างแปลกประหลาด..มันหมายความว่าผมยังมีความสำคัญกับเขารึเปล่า..?

    อย่างน้อยคำพูดของผมในยามค่ำคืนที่เขาหลับใหล...ก็ทำให้เขาหลับฝันดีหรือเปล่านะ?

    บางทีมันคงเป็นแค่ความบังเอิญ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากจะหลอกตัวเองว่าเป็นเช่นนั้น และมันก็ทำให้ผมดีใจ..ดีใจมากมายเหลือเกิน

    ดีใจ..เพราะอย่างน้อย ผมก็ยังมีประโยชน์ต่อเขา อย่างน้อยก็ยังทำให้เขาหลับฝันดี

    ถ้าอย่างนั้นช่างมันเถอะ..

    ทั้งเรื่องที่อยากให้มองมา ทั้งเรื่องที่อยากให้รับรู้ตัวตน เรื่องพรรค์นั้นช่างมันเถอะ

    ในเมื่อสุดท้ายเจ็บปวดไปก็ไร้ค่า ร้องไห้ไปก็ทรมาน ถ้าอย่างนั้นช่างมันเถอะ

     ไม่ต้องรักแล้ว ไม่ต้องรู้สึกถึงผมแล้ว

    ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างกันแบบนี้ก็พอ ขอให้ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาทุกวัน..ขอให้เขาหลับฝันดีเพราะเสียงของผม

    ..แค่นั้นก็พอแล้ว

    .

    .

    .

    เพียงพอแล้ว

    ++++++++++++++++++++++

     

    ท่ามกลางกิจวัตรประจำวันที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับใครหลายคนเวลาก็ผ่านไป และสุดท้ายเด็กหนุ่มก็กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัว

    เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มที่น่าหลงใหล โครงใบหน้าของเขาเรียวยาว เสียงทุ้มต่ำนั้นมีเสน่ห์และมักพาให้ผู้คนหลงใหล ดวงตาของเขาเรียวเล็กลง ทว่ายังเต็มไปด้วยประกายแห่งความอ่อนโยน เช่นเดียวกับรอยยิ้มของเขา

    เขายังคง..อยู่กับเด็กสาวซึ่งบัดนี้เติบโตเป็นหญิงสาวผู้แสนอ่อนโยน หญิงสาวซึ่งบัดนี้มีฐานะเป็นคนรักของเขา เรื่องนี้ยังคงทำให้ผมทรมานอยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้น..กาลเวลาและค่ำคืนที่ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาก็ช่วยปลอบประโลมผม เพราะฉะนั้นแม้จะเจ็บปวดกับความคิดเดิมๆ แต่ก็ไม่มากพอให้ผมบ้าคลั่งดังเช่นวันนั้นแล้ว

    ชายหนุ่มผู้แสนสำคัญของผมเป็นช่างแกะสลักเช่นเดียวกับพ่อของเขา และสืบทอดหน้าที่นั้นต่อไปท่ามกลางความเห็นชอบของญาติและคนรอบข้าง เขาเป็นคนละเอียดอ่อนและใจเย็น งานทุกชิ้นของเขาจึงงดงามและประณีต ซึ่งทำให้ผู้คนมากมายรักงานของเขา เช่นเดียวกับที่รักในตัวตนของเขา

    หลังจากนั้น เขาก็คุยกับคนรักว่าคงถึงเวลาที่ต้องแต่งงานกันเสียที หลังจากที่คบหามานานปี และตอนนี้พ่อแม่ของเขาก็อยากเห็นหน้าหลานเสียแล้วด้วย

     เขาบอกว่าตนไม่มีเงิน..คงจัดงานใหญ่โตให้ไม่ได้ คงไม่มีแหวนเลอค่ามากราคาให้ แต่เขาจะแกะสลักแหวนที่สวยที่สุดในโลกให้..เป็นแหวนที่สวยยิ่งกว่าแหวนเพชรล้ำค่าใดในโลกนี้ และจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดี และอยู่ด้วยกันตราบจนกว่าจะตายจากกันไป

    หญิงสาวตอบรับคำกล่าวนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะบอกเช่นกันว่าตนไม่ใช่หญิงสาวที่งดงาม และบางทีอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุดสำหรับเขาแต่เธอก็รักเขาที่สุด..รักเท่าที่หญิงสาวคนหนึ่งจะรักได้

    สายตาของพวกเขามองกันและกันอย่างมีความหมาย ท่ามกลางความเงียบที่มีบรรยากาศของความอบอุ่นและความรักโรยตัวลงมา

    เมื่อเห็นภาพเช่นนั้น ความทรมานเดียวกับในกาลก่อนก็เข้ารุมเร้าอีกครั้ง ทว่าบางเบากว่า ล้ำลึกกว่า เพราะตอนนี้ผมรู้จักความทรมานนี้แล้ว และมีสติมากพอจะกดมันลงไปในใจ ให้เหลือเพียงความทรมานที่ทำให้รอยยิ้มกลายเป็นยิ้มที่ขมขื่น เหลือเพียงความโศกเศร้าที่กระตุ้นเร้าหัวใจให้ทรมานและเจ็บหน่วง

    ผมรีบเดินออกมาจากกระท่อมที่พวกเขามักอยู่ด้วยกัน พิงหลังกับกำแพงแล้วพรูลมหายใจ พร้อมปล่อยให้น้ำตาร่วงพรูลงมาจากดวงตา

    ทั้งที่เห็นภาพแบบนั้นมาตลอดหลายปี ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ์ได้รับความรัก ความใส่ใจ รอยยิ้ม หรือภาพสะท้อนในดวงตา กระนั้นความรู้สึกนี้ก็เป็นสิ่งที่โกหกกันไม่ได้

    โกหกไม่ได้..ว่ากระทั่งบัดนี้ผมก็ยังปรารถนาจะมีตัวตนในสายตาของเขา

    ก็แค่..เฝ้าบอกตัวเองว่าทำได้แค่เฝ้ามอง เป็นได้แค่สิ่งไร้ตัวตน

    แต่ถึงอย่างนั้นความทรมานก็ยังคงดำรงอยู่ และทางเดียวที่จะทำให้มันเจือจางลง..ก็คือการขับมันออกมาผ่านดวงตาของผมเอง

    +++++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×