คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : โซ่สัมพันธ์ที่สอง : จันทร์เสี้ยวนิลกาฬ
โซ่สัมพันธ์ที่สอง : จันทร์เสี้ยวนิลกาฬ
จันทร์เสี้ยวเว้าแหว่งที่คล้ายจักไร้ความงดงาม
แท้จริงเป็นดั่งอาวุธแหลมคมที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่งให้หายไปในพริบตา
แข็งแกร่ง คมกริบ ความมืดมิดดุจจักไร้จุดสิ้นสุด อันนำพาให้ไพรีแห่งท่านตกลงยังวังวนแห่งความหวาดกลัว
..นั่นเป็นที่มาของจันทร์เสี้ยวนิลกาฬกระไรเล่า..องค์ชาย
“ข้าไม่นึกว่าพระองค์จะมาที่นี่ได้?”
นั่นเป็นคำพูดของชายหนุ่มหลังจากพบว่ารัชทายาทแห่งราตรีกาลที่มายืนอยู่เบื้องหน้าตน..ในยามวิกาล..
ชายเจ้าของเรือนผมสีเงินสวยที่ถูกรวบไว้อย่างง่ายๆจ้องมองเชิงงุนงง.. ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อคอเต่าสีขาวด้านในพร้อมโค้ดดำแขนยาว กางเกงสีขาวยาวที่คาดสายผ้าสีดำไว้..การแต่งกายดูไม่เหมือนช่างตีดาบแต่ความสามารถนั้นเป็นหนึ่งในรัตติกาล.. ดวงตาสองสีของชายหนุ่มมองไปที่ราชองครักษ์สาวที่ยืนนิ่ง สบตากันเพียงชั่วครู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะหลบตาไป ก่อนร่างสูงโปร่งจะก้มมององค์ชายพระองค์น้อยที่ยืนอยู่หน้าหญิงสาว
“ตามสัญญาแล้ว เจ้าต้องตีดาบให้ข้า จัสด์เมนท์”เอ่ยอย่างมีชัย มองใบหน้าของนักตีดาบผู้เลื่องชื่อในอาณาเขตรัตติที่แผ่ไพศาล เจ้าของนามกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเชิญร่างของเจ้าชายน้อยเข้าไปในร้านของตน
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว...โปรดเข้าไปนั่งรอข้างในก่อนเถิดพะย่ะค่ะ อาจจะร้อนซักนิด ทรงทนเสียหน่อยก็แล้วกัน”เอ่ยจบประโยค วรกายของพระโอรสแห่งรัตติกาลก็เดินกึ่งวิ่งเข้าไป พร้อมร่างเพรียวบางของหญิงสาวผมขาว
ภายในร้านดูแล้วสะอาดสะอ้านเหมือนไม่ใช่ร้านตีดาบ สิ่งที่บ่งบอกได้มีเพียงไอระอุของเปลวเพลิงจากห้องตีดาบเท่านั้น วรกายเล็กทิ้งกายลงกับเก้าอี้ตัวยาว พร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ท่านแน่ใจรึพะย่ะค่ะว่าจะตีดาบ?.. บิดาของท่านจะยอมหรือ?”เอ่ยพลางจัดเตรียมเหล้กเข้าไปในห้องตีดาบ และหันมององค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับร่างของตนที่ยืนอยู่
“มันเป็นเรื่องของข้ามิใช่หรือ จัสด์ ข้าอยากแข็งแกร่งแล้วมันผิดหรือไร? ตอนนี้ดาบทุกเล่มหักทุกครั้ง....ที่ข้าสู้กับยัยถึกนี่”ว่าพลางเหล่พระเนตรมองราชองครักษ์สาวที่ไม่มีทีท่าโกรธอะไร ก่อนจะตรัสต่อไป “ข้าอยากได้ดาบที่มันทนกว่านี้..ก็เท่านั้น”
ช่างตีดาบหนุ่มเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “กระหม่อมจะตีดาบให้ตามที่พระองค์ต้องการ...แต่ตอนนี้ช่วยไปหยิบวัสดุมาให้ทีเถิดพะย่ะค่ะ อยู่ในห้องด้านซ้ายถัดเข้าไป”
“ทำไมข้าต้องทำตามคำสั่งของเจ้า?”
“จะทรงเอาดาบไหมล่ะพ่ะเจ้าค่ะ”
เด็กชายขมวดคิ้วมุ่นขัดใจ ก่อนจะเดินจากไปอย่างแข็งกร้าว เข้าสู่ห้องที่อยุ่อีกด้านของห้องตีดาบที่ไอร้อนคุกรุ่น ดวงตาสองสีมองหญิงสาว ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปหาพร้อมเอ่ยน้ำเสียงกร้าว
“พาฝ่าบาทมาที่นี่ทำไม? เจ้าก็รู้ว่าองค์กษัตริย์ท่านไม่อยากให้ฝ่าบาทใช้ดาบตอนนี้..”กระซิบกับเพื่อนสาว ก่อนจะเอ่ยตอบ “อีกอย่างคนผู้นั้นไม่ชอบหน้าข้า”
“....แต่จัสด์...ระหว่างเรียร์กับยู คนที่ข้าขัดใจไม่ได้น่ะมันคนลูก....”เอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ ก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่าง ข้าสัญญากับฝ่าบาทไปว่าจะพาเที่ยว...ขืนข้าผิดสัญญาก็โดนหนักน่ะสิ”
“ก็เลยพามาเที่ยวร้านของข้ายามวิกาล ทั้งที่จำได้ว่า.....”
“...เจ้าสัญญาไว้ว่าหากพระองค์หลบมาเที่ยวที่ร้านเจ้าตอนกลางคืนได้ จะตีดาบให้..”
“สมองเจ้าไม่ได้ผิดปรกตินี่? เซสึนะ จำได้แต่ไม่ช่วยเหลือกันซักนิด”เอ่ยประชดประชัน ชวนให้เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยตอกกลับไป
“สมองข้ายังดีอยู่ มิคาล ไม่เหมือนเจ้าหรอก..ลืมฐานะตัวเองได้อย่างเก่งกาจเหลือเกิน”
“ใครบอกว่าข้าลืม เจ้าต่างหากล่ะที่...”
“รีฟ!!”
สุรเสียงขององค์ชายตัวน้อยดังมาจากข้างใน ก่อนวรกายของเด็กชายจะวิ่งออกมาพร้อมดาบสองเล่มจากประตูด้านซ้ายของร้านขายดาบ หัถต์ข้างหนึ่งโยนดาบให้หญิงสาวด้วยแรงเท่าที่มี
หมับ!
มือเรียวรับดาบ ดวงตาสีแซฟไฟร์มองนายเหนือหัวของตน ก่อนจะเปล่งเสียงงุนงง “อะไรรึเพคะ?”
“ตีดาบมันใช้เวลาเยอะไม่ใช่หรือ? ระหว่างนี้คงจะน่าเบื่อแย่...มาประลองดาบกับข้าซะ!!”
แคร้ง!!
พูดจบก็วิ่งเข้าปะทะทันทีด้วยความเร็ว หญิงสาวรีบยกดาบขึ้นรับทันท่วงที หวิดทีจะเสียเลือด.. ในขณะที่นักตีดาบหนุ่มเบี่ยงกายหลบ ก่อนจะมองตามสองร่าทงี่เริ่มตวัดดาบปะทะกัน
“อย่ามาทำบ้านข้าพังล่ะ ไม่งั้นเวลาซ่อมขึ้นมามันเสียเงินเยอะ.. ไปสู้กันที่ลานว่างเสีย..ส่วนดาบ ยามสนธยาวันพรุ่งนั่นล่ะจึงจะเสร็จ”เอ่ยบอกสองนายบ่าวที่เริ่มเข้าฟากฟันกันอย่างจริงจัง ..และดูเหกมือนจะแทบไม่เข้าหูด้วยซ้ำ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องที่แสนร้อนระอุ
..เหลือทิ้งเพียงสองนายบ่าวที่ร่วมบรรเลงเพลงดาบในนิศากาล..
หญิงสาวหันมองตามร่างที่หายไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางของการเลื่อนไหว แล้วก้าวไปยังลานก้างในบ้านหลังใหญ่ของนักตีดาบหนุ่ม
“ถ้าคราวนี้แพ้ควรจะยอมรับเสียทีว่าพระองค์ฝีมือไม่ถึง”เอ่ยพลางแย้มยิ้มหยันเย้ยยอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำกับองค์รัชทายาทแห่งห้วงนิศา องค์ชายตัวน้อยแย้มพระโอษฐ์เหี้ยมอย่างที่เด็กไม่ควรมี ก่อนจะลั่นวาจาเสียงดังกังวาน
“หนวกหู วันนี้ข้าจะต้องชนะเจ้า!! รีฟ!!”
เคร้ง!
...เบื้องบนสูงเสียดฟ้าในนิศากาล
หมู่มวลดาราเริ่มชุมนุม...
ราตรีประดับดาราสกาว
ล้วนหมู่ดาวเมื่อยลเห็นพาสุขสันต์
ต่างร้องเรียกเหล่าผองเพื่อนมาโดยครัน
มานั่งพลันราวพบเห็นสิ่งงามกาล
มาเร็วเถิดผองเพื่อนเอ๋ยเริ่มกันแล้ว!
หากพลาดแล้วคงไม่แคล้วไร้สุขสันต์
นั่งไงเล่าสองนายบ่าวประมือกัน
เนิ่นนานวันจึงได้เห็นจากนภา
หนึ่งราตรีองอาจแพรวแก่กล้า
เยาว์นักหนาแต่ยังเลิศประเสริฐศรี
ดั่งบัวแก้วผุดแพ้วกลางนที
ไม่นานปีจักเติบใหญ่ได้เกรียงไกร
อีกหนึ่งนั้นคู่ประลองพิสมัย
หญิงสาวในองค์ราชันย์ท่านเลือกสรรค์
ผู้พิทักษ์กษัตริย์นามเงาดวงจันทร์
ดารานั้นล้วนเรียกเงานิศากาล
มาเถิดเร็ว!เรื่องสุขสันต์ยังไม่หยุด
หรือจะผลุดลุกกลับถิ่นตามใจเจ้า
แต่สิ่งนี้ไม่ได้มีมาทุกเพลา
หากอยากเศร้าเพราะพลาดสุขก็ตามใจ
++++++++++++++
เลิศล้ำภควันต์ล้วนอุษา
เทพเทวาสถิตดังแดนสุขสรรค์
หิมะขาวดาวสกาวล้วนครบครัน
ที่แห่งนั้นนามแดนสุขาวดี
.
.
.
..แดนสุขาวดี..
..แดนสววรค์ ที่พำนักแห่งองค์เทพไท้ผู้สูงศักดิ์ทั้งปวง ดินแดนอันอุดมไปด้วยกลิ่นหอมหวานแห่งบุปผาหลากพันธุ์ กลีบผกาหลายสีเบ่งบานส่งกลิ่นหอมลอยมาพร้อมกับสายลม แสงใสสีฟ้าสว่างไสวทั่วดินแดนสีขาวอันตระการตา คฤหาสน์หลังใหญ่วิจิตล้วนเป็นที่อยู่ของทวยเทพ
ยามนิศากาลเบิกม่าน ทุกสิ่งล้วนสกาวด้วยดวงดารา หิมะขาวโปรยปรายอยู่เป็นเนือง
แต่กระนั้น..เพียงไม่กี่องค์ ที่อาศัยในดินแดนแห่งราตรีอนธกาล ดินแดนแห่งเทพเทวาที่ไร้ซึ่งแสงสุริยาสาดส่อง
หนึ่งในผู้อาศัยนั้นคือเทพแห่งจันทรา และเทพแห่งห้วงรัตติกาล
เทพองค์น้อยที่เพิ่งรับตำแหน่งเพียงไม่กี่ปีนั่งอยู่ข้างกระจกน้ำใสบานใหญ่อันตั้งอยู่ในห้องสีขาวของตน ภายนอกหน้าต่างที่อยู่ถัดไปคือฟากฟ้าที่ประดับด้วยดวงดาราสุกใส.. หากกระนั้นพระเนตรสุกสกาวนั้นหาได้มองความงดงามแห่งราตรีไม่.. หากแต่กำลังก้มมองเด็กชายในกระจกที่กำลังฟาดฟันต่อสู้กับหญิงสาวอย่างสนุกสนาน ใบหน้าคมอ่อนวัยนั้นประดับด้วยรอยแสยะยิ้มแห่งความสุขสันตื เหงื่อไคลมากมายไหลรินลงจนเสื้อผ้าสีดำที่สวมใส่ชื้นแฉะ ในขณะที่หญิงสาวกลับยิ้มบางและคอยรับเพลงดาบอย่างชาญฉลาด
เธอผู้นั้นมีวัยวุฒิมาก...และเก่งกาจในการต่อสู้
ดวงตาของเทพนั้นต่างจากมนุษย์ เด็กชายจึงมองเห็นความแปลกประหลาดบางอย่างในร่างของหญิงสาว แม้จะไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ตามที..
แต่ก็พอจะเดาได้กระมัง..
เพราะสาเหตุที่ทำให้เทพองค์น้อยมายังกระจกเวทย์นั้นมิใช่เพราะใครที่ไหน แต่เป็นดวงดาราน้อยประกายพราวที่พากันส่งต่อคำพูดถึงกันทั่วอัมพร
หนึ่งในความสนุกสนานของดวงดาราตัวจ้อยที่เบื่อหน่ายการส่องแสงพราว
..การประลองแห่งเงาและราตรี..
เคร้ง!
เสียงของดาบที่กระทบกันดังก้อง ร่างของเด็กชายไล่ตวัดดาบใส่หญิงสาว ขณะที่ร่างเพรียวเพียงก้าวถอยหลังหลบคมดาบเท่านั้น กระทั่งสุดขอบลานกว้าง เจ้าของเรือนผมสีขาวจึงโดดตีลังกาขึ้นสู่ห้วงอากาศ ก่อนจะพากายลงที่ด้านหลังของเด็กชายเจ้าของเรือนผมสีดำ ดวงตาสีนิลกาฬเปล่งประกายกร้าวหงุดหงิดที่แฝงความสนุกสนาน แต่ดูเหมือนอย่างแรกจะครอบงำทันทีที่เห็นรอยยิ้มหยันของราชองครักษ์ของตน
“ข้าจะชนะเจ้าให้ได้!!”
“ทำได้ก็ลองดูสิท่าน?”
คำเอ่ยของหญิงสาวดูจะไร้ความกระตือรือร้น กระนั้นกลับแฝงการท้าทายไว้ในคำพูดอย่างเต็มเปี่ยม
ดาบยาวในมือถูกตวัดส่งน้ำหนัก ก่อนจะฟันเข้าทีสีข้างของหญิงสาว กระนั้นดูเหมือนสัญชาตญาณของร่างเพรียวบางจะแรงกว่า เท้าที่สวมรองเท้าหนังกระโดส่งตัวขึ้นด้านบน ตีลังกาไปด้านหลังขององค์รัชทายาท เด็กชายรีบหันกายมาประจัหน้า แล้วตวัดดาบขึ้นเตรียมแทงทันที
หญิงสาวเบิกตากว้างตกใจ ดาบที่คิดจะลงตวัดฟันกลับกลายเป็นรับคมดาบ และด้วยแรงของเด็กทำหเด็กชายกระเด็นไปแต่ก็ยังยันไว้ได้ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วบุกมาอีกครรลอง
เทพองค์น้อยเฝ้าดูสิ่งเหล่านั้นด้วยความอิ่มเอิบสนุกสนาน เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเหล่าดาราดวงน้อยจึงชอบการชมสิ่งตรงหน้านักหนา..
เทพหลายองค์นั้นเยือกเย็นไร้ความเร่าร้อน ...การเป็นเทพทำให้อารมณ์บางส่วนขาดหายไป ความใจร้อน ความกระหายในการต่อสู้..และรอยยิ้ม..
แม้รอยยิ้มจะมีในทวยเทพ แต่มันช่างเย็นเยียบจนชวนให้หนาวเหน็บเหลือเกิน
แล้วนี่เล่า รอยยิ้มของรัตติกาล
ดวงตาสีรัตติกาลลึกล้ำไร้ดารา..หาได้พราวระริกดังดวงตาสีม่วงขององค์เทพราตรี
ดวงตาสีเงินเปล่งประกาย จ้องมองเจ้าของร่างสีดำที่แสนสง่างาม
“ท่านอเลน”
เฮือก!
มือเรียวเล็กกวาดเหนือกระจกบานหนาให้ภาพเบื้องหน้าหายไปด้วยใจเสียดาย ก่อนจะหันไปหาผู้ร้องเรียกตน
“มีอะไรรึขอรับ ท่านเทพแห่งกาลเวลา”เอ่ยทักทายหญิงสาวเบื้องน้าด้วยอารามโล่งอก ดวงตาสีเงินมองใบหน้าซูบขององค์เทพผู้ครอบครองห้วงมิติเวลา ก่อนที่ร่างภายใต้อาภรณ์สีดำสลับขาวจะเดินเข้ามาในห้อง
โครม!!
ไม่ทันไร วรกายขององค์เทพสาวก็สะดุดล้มเสียกลางคันทั้งที่ไม่มีสิ่งใด องค์เทพตัวน้อยสะดังตกใจ ก่อนจะรีบพากายวิ่งไปหาเทพสาวทันที
“เอ่อ..ท่านเทพแห่งกาลเวลาเป็นอะไรไหมขอรับ...”
พระหัตถ์บางยื่นเข้าช่วยเหลือเทพสาว วรกายแบบบางซูบผอมลุกขึ้นยืนและประทับลงบนเก้าอี้ไม้สลักสีขาว หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะตรัสสุรเสียงแสนเศร้า..
“เรียกมิรันด้าอย่างเก่าเถิดท่านอเลน อา..คนอย่างข้าน่ะเป็นเทพผู้ครองเวลาไม่ได้หรอก ซุ่มซ่ามขนาดนี้จักต้องทำห้วงมิติปั่นป่วนเป็นแน่ ไม่ได้กาลแล้ว ข้าจะไปขอถอนตำแหน่ง!!!”
“เดี๋ยวสิขอรับ ท่านมิรันด้า!”รั้งชายกระโปรงเทพสาวจนวรกายเยาว์วัยล้มลงกองกับพื้นพรมนุ่ม มิรันด้าหันมองก่อนจะรีบทรุดตัวลงพยุงกายของเทพจันทรา
“ขอโทษนะ ท่านอเลน เป็นอะไรไหม?”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ แต่ว่า ท่านเทพแห่งกาลเวลาขอรับ หากท่านได้หน้าที่มาแสดงว่าท่านต้องมีความสามารถสิขอรับ ท่านจอมเทพเองก็คงจะเห็นสิ่งนั้น....จึงได้ให้ท่านมายังที่นี่”เอ่ยยาวเหยียดปลอบโยนเทพสาว ก่อนจะเอ่ยต่อ “หรือว่า..ท่านเกลียดดินแดนแห่งนี้รึขอรับ”
“มะ...ไม่ได้เกลียดเลย แต่ข้าไม่แน่ใจว่าตนจะทำได้ไหมเท่านั้นเอง...แล้วก็...แล้วก็....”หลังจากนั้นความกังวลสารพัดก็หลุดออกมาอย่างที่ทำให้เทพแห่งศศิธรองค์น้อยถึงกับเหงื่อตก ความขี้กังวลของเทสาวผู้นี้ดูจะไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว.. เด็กชายเองก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากออกโอษฐ์ปลอบไปตามความจริง
หญิงสาวมีความสามารถด้านนี้อยู่แล้ว หากแต่เจ้าตัวกลับกลัวความผิดพลาดสมัยก่อนที่ตามมาหลอกหลอนจนถึงปัจจุบัน
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าคิดว่าท่านน่าจะลองดูก่อนนะขอรับ...”เอ่ยแน่วแน่ มองหญิงสาวที่น้ำพระเนตรหยุดไหลแล้ว ก่อนที่พระโอษฐ์บางซีดของวรกายผอมจะเอ่ยถาม
“จริงหรือ..ท่านอเลน”
“ขอรับ!!”
เอ่ยพลางยิ้มน่ารัก ก่อนที่เทพสาวจะก้มหัวลงอย่างละอายใจ
“..ขอโทษนะ ท่านอเลน ข้าเองก็อาวุโสกว่าท่านตั้งมาก กลับมาร้องไห้ฟูมฟายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง.... ข้าจะลองสู้แล้วกัน!! ขอบคุณมากนะที่ทำข้าสบายใจ! หากมีโอกาสจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน!!”
จบคำพูดที่แสนมุ่งมั่น เทพสาวก็ออกจากตำหนักจันทรา เตรียมเสด็จกลับตำหนักแห่งตน
เด็กชายมองวรกายสีดำที่เดินไปไกลลิบ ก่อนจะรีบวิ่งมายังกระจกมายา
หากแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร..ก็ไม่มีอะไรขึ้นมา
กระจกนี่เชื่อมต่อกับจักษุแห่งดารา พึดง่ายๆคือมันเป็นสิ่งที่มองผ่านเนตรแห่งดวงดาว การที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้..
เด็กชายถอนหายใจ
..ดวงดาราต่างหลับใหลแล้วหรือนี่..
พึมพำในใจ มองกระจกมายาอย่างแสนเสียดาย
เช่นนั้น คงมองราตรีผู้นั้นผ่านกระจกมายามิได้แล้วสินะ..
วันพรุ่งก็มิรู้จักได้พบพานอีกไหมเสียด้วย
ครั้นแล้ว
..เทพองค์น้อยจึงได้แต่เดินไปยังแท่นบรรทมอย่างผิดหวัง..
+++++++++++
“ดาบนั่นต้องตีนานเพียงใดจึงจะเสร็จ”เอ่ยถามขึ้นหลังพ่ายแพ้อีกครั้ง หากแต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์อืนใดนอกจากโกรธและหงุดหงิดในความอ่อนแอของตน หญิงสาวที่เดินตามเข้ามานิ่งชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ราวสองถึงสามวันเพคะ..แต่ระดับจัสด์เมนท์น่าจะหนึ่ง”
“ชักช้าชะมัด.... ยุ่งยากจนน่ารำคาญจริงๆ”
กายเพรียวบางมองสีหน้าเบื่อหน่ายของนายเหนือหัว ก่อนจะเอ่ยขัดขึ้นขณะเก็บดาบเข้าฝัก“ท่านรู้รึยังว่าเขาจะตีดาบอะไรให้”
“ไม่รู้”ตรัสชัดเจน ก่อนจะหันพระเนตรรัตติกาลมอง“ใครจะไปเหมือนเจ้านี่ ตรัสรู้ไปทุกเรื่อง อย่างกับปิศาจ”
หญิงสาวยิ้มรับคำตรัสประชด ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงกังวานล
“....จันทร์เสี้ยวนิลกาฬเพคะ”
“จันทร์เสี้ยวนิลกาฬ?”ทวนคำพลางขมวดคิ้ว “เป็นชื่อที่แปลกพิลึก จัสด์จะตีอะไรมาให้ข้ากันแน่?”
“อย่าไปดูถูกมันก่อนสิเพคะ..........”
ขมวดคิ้วคล้ายขัน ก่อนจะเอ่ยต่อไป
“..จันทร์เสี้ยวเว้าแหว่งที่คล้ายจักไร้ความงดงาม
แท้จริงเป็นดั่งอาวุธแหลมคมที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่งให้หายไปในพริบตา
แข็งแกร่ง คมกริบ ความมืดมิดดุจจักไร้จุดสิ้นสุด อันนำพาให้ไพรีแห่งท่านตกลงยังวังวนแห่งความหวาดกลัว
..นั่นเป็นที่มาของจันทร์เสี้ยวนิลกาฬกระไรเล่า...องค์ชาย”
“....หม่อมฉันว่ารีบหาที่บรรทมเถอะ ตอนนี้เลยสองยามแล้ว”เอ่ยจบก็ยิ้มก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงร่างของเจ้าชายพระองค์น้อยแห่งรัตติกาล
พระเนตรสีนิลเงยมองดวงจันทรา..
หุบเขาเงาจันทรา
อันตรายล้อมกาย หากแต่คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยง..
หากได้ดาบมา...ก็คงก็จะป้องกันตัวได้บ้าง..
หากข้าไปที่นั่น จะได้พบไหม
หรือนั่นจะเป็นเพียงมายา?
หากกระนั้น บาดแผลที่หายไปทั้งหมดคือความจริง
เด็กชายกำหมัดแน่น
.
.
..ข้าจะได้พบเจ้าอีกหรือไม่นะ จันทรา..
TBc...
ความคิดเห็น