ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #11 : Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 4 : จังหวะที่แปร่งไป[100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 134
      1
      15 มี.ค. 57

    กราบ...

    ไม่ขอแก้ตัวใดใดทั้งสิ้นค่ะ ตันเอง ดองเอง คือมีสอบมีงานก็จริงแต่รู้สึกอ้างไม่ได้ orz

    ขอบคุณทีย่ังติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ ต่อจากตอนนี้น่าจะไม่ปวดตับแล้ว ;v;! 

    ปล. Part II จะมีเป็นคำโปรยไว้ก่อนเข้าแต่ละตอนนะคะ แต่ดูเหมือนตอนก่อนจะลืมโปรยไว้ แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่ะ ^v^

    ++++++++++++++++

    คนผู้นั้นบอกว่ารักข้า

    และบอกว่านั่นคือเหตุผลที่ไม่อยากให้ข้าตาย

    ข้ารับฟังคำตอบนั้น  และไม่รู้ด้วยเหตุใด

    ข้ากลับรู้สึกว่านั่นคือเหตุผล..เหตุผลที่แท้จริง

    เหตุผลที่ข้ารู้สึกว่ามันควรเป็นไป

    .

    .

    .

    และหลังจากนั้น บางสิ่งก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป

    เปลี่ยนแปลงไปอย่างเนิบช้า

    Part II : ผู้ร่วมทาง : CH4 : จังหวะที่แปร่งไป

             

              หลังจากนั้นช่วงเวลาแห่งความซ้ำซากก็หวนคืนกลับมา

                เขายังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันดังเช่นที่เป็นมา และผมเองก็ติดตามเขาเช่นที่เป็นไป ชายหนุ่มไม่ได้ไล่ผมอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจสนทนากับผมเช่นกัน

                พวกเรากลับไปยังจุดเดิมอีกครั้ง ช่วงเวลาซึ่งเราอยู่ด้วยกัน ทว่ามิได้พูดคุยกัน

    ผมและเขา..ไม่มีใครพูดถึงเรื่องในวันนั้นอีก เขาไม่ได้ถามผมว่าเหตุใดถึงพูดออกมาเช่นนั้น และผมไม่ได้ถามเขาว่าทำไมถึงไม่ถาม เราเพียงดำเนินชีวิตต่อไปอย่างจำเจและบิดเบี้ยว ทำราวกับเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง

    เป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีค่าให้จดจำ

    ความจริงแล้วผมรู้สึกสงสัย….เขาไม่ตกใจบ้างหรือ ไม่แปลกใจเลยหรือไรที่คนแปลกหน้าเช่นผมบอกว่ารัก คนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน คนที่บัดนี้แม้อยู่ข้างเคียงกันก็แทบไม่ได้ถามชื่อ ไม่ได้พูดคุย แล้วทำไมเขาถึงไม่สงสัย ไม่รังเกียจคำพูดของผม ไม่มีปฏิกิริยาใดใดที่เผยออกมาให้ผมรู้สึก ..ไม่มีอะไรทั้งนั้น เงียบสงบจนผมรู้สึกกลัว จนผมอยากจะถาม..

    แต่เพราะความกล้าของผมได้เลือนหายไปกับการบอกรักในครั้งนั้นแล้ว ผมจึงกลัวที่จะถาม กลัวที่จะรู้คำตอบ และได้แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างนั้น

    ปล่อยให้ห้วงแห่งนาฬิกาหมุนวนดำเนินต่อไป

    .

    .

    .

    ทว่า....ในที่สุดแล้ว

    นาฬิกาที่หมุนวนซ้ำ

    ก็เริ่มเดินในจังหวะที่แปร่งไป

    .

    .

    .

    .

    อย่างที่ผมคาดไม่ถึง

    .

    .

    .

    .

    .

    +++++++++++++++++++++++++

    อากาศดีนะ..’

    ชายหนุ่มของผมพูดขึ้นมาลอยๆ เช่นนั้น ในวันที่สายลมอันอบอุ่นหอบกลิ่นอันหอมหวานของป่าลึกมาให้

    ผมไม่ทราบว่าเขาพูดคุยกับใคร บางทีอาจจะเพียงเอ่ยกับตัวเอง หรือแม้แต่คุยกับเฟลาผู้ซึ่งยังคงอยู่ในใจเขา และเพราะคิดเช่นนั้นผมจึงไม่ได้ตอบอะไรไป ผมเพียงมองแผ่นหลังเขา และคิดเช่นเดียวกับเขาว่าเป็นวันที่อากาศดี

    แต่แล้วเขาก็หันหลังกลับมา มองตรงมาที่ผม

    ผมสะดุ้งเกร็งเล็กน้อย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่คุ้นชินกับภาพของตนที่ส่องสะท้อนในแววตาของเขา ชายหนุ่มจ้องมองผม อ้าปากคล้ายจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าก็เงียบไป

    ผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป จึงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จ้องมองไปที่เขาเฉกเช่นที่เขาจ้องมองมาที่ผม

    ชายหนุ่มอึกอีกอยู่ครู่ใหญ่ ทำสีหน้าลำบากใจ เขาลูบหลังคอตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะพรูลมหายใจออก และตัดสินใจที่จะไม่สนใจผมอีกครั้ง

    นั่นเป็นสัญญาณแรก

    .

    .

    ข้าจะไปเก็บของป่า

    ชายหนุ่มโพล่งขึ้นมาเช่นนั้นในรุ่งเช้า หลังจากที่เราทานอาหารเช้ากับเรียบร้อยแล้ว

    ผมนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังพูดกับผมหรือเปล่า

    สายตาของเราประสานกัน ไม่มีคำพูดใดใดหลังจากนั้น เขาถอนสายตาออกไปจากผม ก่อนจะเดินไปที่ประตูกระท่อมและเปิดออกไปเบื้องนอกเช่นเดียวกับทุกวัน

    ผมคิดว่าเขาคงจะเดินออกไปและปิดประตูตามหลังเช่นที่ผ่านมา ทว่าวันนี้เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ชายหนุ่มหยุดมือที่กำลังจะผลักบานประตูออกไป ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันมามองผมและเอ่ยขึ้น  ‘..เจ้า..ไปด้วยอยู่แล้วใช่ไหม?

    ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ว่าผงกหัวให้กับเขา ชายหนุ่มจึงเดินออกไปจากกระท่อม แล้วจากนั้นซักพัก ผมจึงเดินตามออกไป

    ป่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ชายหนุ่มเอ่ยในขณะที่กำลังเก็บเห็ดและสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ในป่า เจ้าเองก็คิดแบบนั้น..ใช่ไหม?

    ผมนิ่งไปซักพัก ลังเลที่จะเอ่ยตอบ กลัวว่าเขาไม่ได้กำลังพูดกับผม แต่สุดท้ายก็พึมพพตอบรับออกไป ครับ..’

    ความจริง….ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ดวงตาแสดงออกถึงความโหยหา พ่อข้าเคยเล่าให้ฟังผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเลือกที่นี่เป็นถิ่นฐานเพราะใกล้ป่า ใกล้แหล่งน้ำ ไม่ต้องกลัวว่าจะขัดสน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย

    ..แต่ก็ไม่เหลือหมู่บ้านแล้ว

    ชายหนุ่มหยุดบทสนทนาลงตรงนั้น และผมเองไม่มีความสามารถที่จะเอ่ยอะไรออกไป เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือความเงียบ ..สำหรับความเจ็บปวดที่เป็นเพียงขี้เถ้าอันลอยคลุ้งขึ้นมา

    การพูดคุยของเราจึงจบลงเช่นนั้น

    .

    .

    .

    .

    เจ้าเคยเห็นฝูงนกย้ายถื่นหรือเปล่า?

    วันต่อมา ในระหว่างที่นั่งอยู่บนเนินหลุมศพของเฟเล ชายหนุ่มก็โพล่งขึ้นมาเช่นนั้น

    ผมซึ่งนั่งเหม่ออยู่ตื่นจากภวังค์ หันไปมองเขาซึ่งเงยมองไปบนท้องฟ้าสีคราม

    เคยไหม?

    เมื่อเห็นผมไม่ตอบ คำก็ถามซ้ำอีกครั้ง

    เคย..ครับ ผมตอนไปเช่นนั้น แย้มรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อหวนคิดถึงอดีต เพราะครั้งหนึ่งชายหนุ่มผู้ในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กชายผู้ร่าเริงได้วิ่งตามฝูงนกย้ายถิ่นจนล้มคว่ำไปกับบ่อโคลน ทว่ายังคงวิ่งไล่ตามไปโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเอง ผมยังจำได้ดี ว่าตอนนั้นผมก็วิ่งตามเขาไปอย่างทุลักทุเลและเปื้อนโคลนเช่นเดียวกัน ย่ำเย็นเมื่อเขากลับมาบ้าน ดูเหมือนว่าจะถูกมารดาเอ็ดเป็นการใหญ่ทีเดียว

    ‘..งั้นหรือชายหนุ่มพึมพำ ทว่ายังไม่มองมาทางผม ถ้าได้เห็นอีกก็คงดี

    และบทสนทนาก็จบลงอีกครั้ง

    .

    .

    แต่หลังจากนั้น….วันต่อมา และวันต่อมา เขาก็ยังพูดคุยกับผม

    บทสนทนาไม่ได้ต่อเนื่องเท่าไรนัก เขาเอ่ยอะไรออกมาสองสามคำ และผมก็เอ่ยตอบรับเขาเพียงในคอ พวกเราคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยคก็มักเงียบกันไป เราพูดคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ พูดถึงต้นไม้ในป่า พูดถึงนกหรือสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ผ่านสายตาเข้ามา มีอยู่บางครั้งที่เขาเหมือนจะเล่าเรื่องให้ฟังมากกว่าชวนคุย ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับหมู่บ้านที่เขาเคยอาศัย เรื่องเพื่อน เรื่องสิ่งที่ชอบ เรื่องชีวิตที่ผ่านมา  ..มันเป็นบทสนทนาที่ดูไม่มีความสำคัญใดใด

    ถึงกระนั้น..ผมก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง

    ก่อนหน้านี้ผมพูดคุยกับเขาก็จริง แต่นั่นเป็นบทสนทนาผิวเผิน เป็นบทสนทนาแห้งผากที่กล้ำกลืนฝืนทน ..นอกเหนือจากนั้นก็มีเพียงบทสนทนาที่เป็นการตะโกนเกรี้ยวกราดใส่กัน เป็นเพียงการทะเลาะที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดนอกจากความเจ็บปวดทรมาน

    นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันจริงๆ

    เป็นครั้งแรกที่คุยกันอย่างไร้สาระ ไม่มีเนื้อหาสำคัญอะไร เพียงคุยกันเรื่อยเปื่อย ทว่ากลับทำให้สบายใจ ทำให้รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างเริ่มเชื่อมโยงระหว่างเรา

    ผมรู้สึกว่าหัวใจของตนเบาขึ้น ทว่าซีกหนึ่งในหัวใจที่เจ็บปวดมานับร้อยนับพันครั้งก็ตะโกนรั้งเอาไว้..อย่าหวังให้มาก...อย่าปล่อยใจจนเกินไป อย่าไว้ใจความสุขจนเผลอไผล ...บางทีอาจจะแค่บังเอิญ บางทีอาจจะเป็ความสุขเพียงครู่หนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไป ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มมองเมินผมอาจจะกลับมาอีกครั้ง

    แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงเวลานี้ก็แสนวิเศษ ทำให้ผมสัมผัสความสุขใจที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ผมไม่เคยต่อบทสทนาได้ยาวนานซักครั้ง การพูดคุยเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับคนที่ไม่ได้พูดคุยกับใครมานับสิบปี หากไม่มีความรู้สึกใดใดผลักดันผมก็ไม่สามารถพูดอย่างน้ำไหลไฟดับได้ ..เหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะกับเขาด้วยความเจ็บปวด ด้วยความเกรี้ยวกราด

    ผมรู้ว่าตัวเองเงอะงะ และซักวันเขาอาจจะรำคาญที่ผมสนทนากับเขาได้ย่ำแย่เหลือเกิน

    ผมจึงปรารถนาจะเก็บช่วงเวลาอันล้ำค่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด

    .

    .

    .

    ++++++++++++++++++++++++++++++

    .

    .

    .

    ‘….เจ้าชื่ออะไร?

    เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น ดังฝ่าท่ามกลางท่วงทำนองของเปลวไฟ สิ่งนั้นทำให้ผมหันไปมองเขา คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อยด้วยความฉงน

    เพราะว่าช่วงนี้เราพูดคุยกันมากขึ้น ผมจึงไม่สะดุ้งทุกครั้งที่เขาทักทายอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็แทบไม่เคย คุยเล่นในกระท่อมเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อย

    ดูเหมือนชายหนุ่มจะเห็นสีหน้าของผม เขาจึงกระตุกยิ้มนิดๆ ก่อนจะว่าต่อไป เราอยู่เช่นนี้มานานเกือบปี ช่วงนี้ก็เริ่มคุยกันแล้ว ทว่าข้ากลับไม่เคยรู้ชื่อเจ้า เจ้าเองก็ไม่เคยเป็นฝ่ายบอกชื่อตัวเอง พิลึกเหลือเกิน…’  

    เขาหัวเราะในคอแผ่วเบา ดวงตาจ้องมองเปลวเพลิงที่ถูกจุดไว้กลางกระท่อม ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่ามันไม่พิลึกหรอก.. ในสถานการณ์ที่เขาสูญเสียทุกสิ่งไป ในสถานการณ์ที่จิตใจมั่นคง ผมทราบดีว่าเขาทรมานเพียงใดกว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ ลำบากเพียงใดกว่าจะมาถึงจุดที่เราสามารถคุยเล่นกับแบบนี้ บางทีต่อให้ผมบอกชื่อไป เขาอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ

    ผมรุ้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย หัวใจเต้นรัวแผ่วเบา ผมปรารถนาจะตอบคำถามของเขาดังเช่านที่ทำมาตลอดหลายวันนี้ ดังนั้นผมจึงอ้าปากขึ้น เปล่งเสียงของตนออกมา ผม……’

    ไม่ทันที่จะกล่าวสิ่งใดต่อไป ผมก็ชะงักไป ไม่อาจพูดสิ่งใดต่อไปได้

    ชายหนุ่มจดจ้องมาที่ผม ดูเหมือนจะเฝ้ารอให้ผมบอกชื่อเสียงเรียงนามของตน และเมื่อผมเงียบไปนาน เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งบอกไม่ได้หรือ? หรือว่าเจ้ากำลังหลบหนีมีประกาศจับ จึงไม่อาจบอกชื่อได้? เจ้าเป็นใครกันแน่นักโทษหรือ?

    ชายหนุ่มคาดเดาตัวตนของผม  บางทีเขาคงคิดว่าผมมีเหตุให้ไม่สามารถบอกชื่อให้ผู้อื่นทราบได้ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น

    ไม่ใช่

    ผม…..’

    ไม่ใช่แบบนั้น….

    ผมผมชื่อ…..’

    ผมขยับมือขึ้นกุมหลังคอของตน ความรู้สึกเย็นวาบลามจากปลาวเท้าขึ้นมาถึงปลายเส้นผม ในตอนนั้น ผมก็ได้รู้สึกถึงความจริงบางอย่าง ความจริงที่ตลอดมาผมไม่เคยสนใจ ไม่คิดใส่ใจ และไม่เคยให้ความสำคัญ

    ผมชื่ออะไร…      

     ‘ผม….ผมเป็น….’

    ผมเป็นใคร..?

    ผมเป็น อะไร กันแน่..?

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนี้ ไม่เคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้ เพราะไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ว่าตัวเองชื่ออะไร ผมมีชีวิตอยู่เพื่อเขา เคียงข้างเขา ดังนั้นผมจึงไม่เคยใส่ใจตัวเอง ไม่คิดถามว่าตัวเองคือใครคืออะไร

    ….ทว่าบัดนี้สิ่งนั้นกลับร่วงหล่นลงทับบนตัวผม หนักอึ้งจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

    ..จริงๆ แล้วผมเป็นใครกัน..?

    สิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเอง..รู้มาตั้งแต่วันที่ลืมตาตื่นขึ้น คือเรื่องที่ผมเกิดมาเพื่อชายหนุ่มตรงหน้า เพื่อเขา เป็นสิ่งที่อยู่เคียงคู่เขาตลอดมาทั้งชีวิต เป็นคนคนหนึ่งที่รักเขาสุดหัวใจ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ผมคือใครกันแน่..?

    เป็นตัวอะไรกันแน่?

    ร่างกายของผมสั่นสะท้าน รู้สึกถึงความว่างเปล่าของตัวเอง รู้สึกถึงความแปลกแยกและความแปลกประหลาดของตนตระหนักรู้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

    ผมเป็นตัวอะไรกัน.. ผมรู้ดีว่าตนไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องหลับใหล ขับถ่าย และพักผ่อน ไม่มีมนุษย์คนใดถูกพันธนาการไว้กับใครอีกคน ไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่มีใครเห็น

    ไม่มีมนุษย์คนใดถูกห้ามไม่ให้สัมผัสไม่ให้รับความรักจากใครอีกคน

    ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดถูกละเลยจากกระแสของโลกใบนี้..เหมือนผม

    ความตระหนักรู้นั้นทำให้ร่างของผมชาวาบ รู้สึกราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ ความกังวลอันหนักอึ้งหล่นทับลงมาในหัวใจเรื่อยๆ อากาศรอบข้างหนาวสั่นเสียดแทงทั้งที่เปลวเพลิงกำลังเต้นเร่าอยู่ใกล้ๆ หัวใจของผมเต้นรัวจนปวดหนึบ ทรมานจนแทบหายใจไม่ออก ผมขยับแขนกอดร่างของตัวเองไว้..เป็นครั้งแรกที่ปวดร้าวด้วยความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวของกับเขา

    ความรู้สึกกลัวต้นกำเนิดของตัวเอง ความรู้สึกที่คล้ายกับไร้ที่หยัดยืน

    ผมเกือบจะหลุดบอกความจริงกับเขาออกไป บอกไปว่าผมไม่มีชื่อ ไม่มีอะไรเลย..ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นสิ่งไหน..เป็นตัวอะไร

    ทว่าผมกลับไม่กล้าพูดออกไป ไม่กล้าบอกความจริงอันแปลกประหลาดของตน อันที่จริง ริมฝีปากของผมกำลังสั่นเทิ้ม..พร้อมกับก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอ

    ร่างที่ชาจนแทบไร้ความรู้สึกของผมเริ่มสั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้ามได้ หัวใจของผมคล้ายถูกอะไรบางอย่างบีบรัด ความหนาวที่ราวกับถูกพัดผ่านด้วยสายลมกระโชกทำให้ผมยกแขนขึ้นดอบกอดตัวเองเอาไว้

    เจ้าเป็นอะไร?ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น สีหน้าคล้ายกังวลใจ เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินเข้ามาหาผม ทำท่าจะแตะลงมาบนตัวของผม

    ชั่วแวบหนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งพรวดขึ้นมา รวดเร็วจนผมแทบจะกดลงไปไม่ทัน

    อย่าแตะผมนะ!!’

    ผมตวาดเสียงกร้าว เกร็งแขนที่เกือบจะขยับคว้าเขาเอาไว้ พร้อมกับถดหลังหนีจนแผ่นหลังชนกองฟาง ใบหน้าของผมที่สะท้อนในแววตาเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวซีดเผือดไร้สีเลือด

    ผมเกร็งแขนไว้ข้างตัว  สายตามองลงไปยังพื้นที่แผ่กองไว้ด้วยเส้นฟาง ร่างกายยังคงสั่นสะท้าน ก่อนสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงไอร้อนของร่างกายมนุษย์ที่ขยับเข้ามาหา

    เจ้าเป็นอะไรกันแน่ รังเกียจที่จะสัมผัสกับคนหรือ? แล้วที่ผ่านมาเจ้าใช้ชีวิตมาอย่างไรกัน

    ผมไม่ได้รังเกียจที่จะสัมผัสผู้คน และผมไม่รังเกียจคุณผมรักคุณ..มากมายยิ่งกว่าที่ใครจะรู้

    ชั่วพริบตาที่เขาขยับเข้ามาหา ผมเกือบจะเอื้อมแขนคว้าร่างของเขาไว้กอดไว้ให้แน่น กอดให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่ไม่เคยรู้จัก ถึงเสียงหัวใจที่เคยได้แต่คิดถึง ถึงสัมผัสอ่อนนุ่มของผิวมนุษย์ที่เคยได้แต่ฝันหา เพื่อที่ผมจะรู้สึกว่าตนไม่ว่างเปล่า เพื่อที่ผมจะรู้สึกว่าตนอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ไม่ได้ไร้ตัวตน ให้รู้สึกถึงชีวิตถึงความสบายใจ

    ..แต่ผมทำไม่ได้

    สัญชาตญาณในตัวผมเต้นเร่า บอกผมอย่างเกรี้ยวกราด ตะโกนบอกผมว่าแม้บัดนี้พูดคุยกับเขาได้ ทว่าไม่อาจสัมผัส..ไม่อาจแตะต้องตัวเขาได้ แม้ใจผมปรารถนาจะกอดเขา ทว่าบางสิ่งกลับไม่อนุญาติ ร้องเตือนผมทั้งที่ใจผมโลดแล่นไปหาเขา ดังนั้นยิ่งเขาเข้ามาใกล้ผม รู้สึกถึงอุณหภูมิและกลิ่นอายของเขา ผมก็ยิ่งทรมาน…..

    เพราะแม้ปรารถนาเพียงใด ผมก็ไม่อาจโผหาอ้อมกอดเขาได้ตามใจหวัง

    “อย่าเข้ามาผมขอร้อง..’ น้ำเสียงของผมที่เปล่งออกไปพลันแปรเปลี่ยนเป็นสั่นเครือ แผ่วเบาและเปราะบางยิ่งกว่าครั้งใดที่ผมได้ยินเสียงตัวเอง ผมชันเข่าแล้วกอดมันเอาไว้ ซุกใบหน้าลงระหว่างหัวเข่าด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น

    ความรู้สึกที่ผมไม่เข้าใจเกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าแตกต่างจากครั้งแรกแตกต่างจากครั้งที่รู้สึกตัวว่าหลงรักเขา

    มันไม่ได้ทรมานมากกว่าหรือน้อยกว่า เป็นความทรมานที่ต่างกัน….สิ่งที่ผมอธิบายไม่ได้

    ดังนั้น..ผมจึงทำได้เพียงพยายาม พยายามให้ตนสงบ ให้ความรู้สึกนั้นถูกฝังลงไป เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่หลงรักเขา

    สิ่งที่บัดนี้ล้ำลึกดื่มด่ำเป็นเนื้อเดียวกับห้วงอารมณ์

    ข้าเพียงถามชื่อเจ้า เหตุใดจึงสั่นกลัวถึงเพียงนั้น ชายหนุ่มเอ่ยถามผม ตระหนกในปฏิกิริยาของผม ทว่าผมไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาออกไปอย่างไรจะให้บอกไปตามตรงว่าไม่มีชื่ออย่างนั้นหรือ

    ‘..ไม่มีอะไรผมแค่…’

    เจ้าไปถูกใครทำอะไรมา ถึงหวาดกลัวถึงเพียงนี้เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นห่างไปไม่ไกลนัก เสียงแกรกกรากของผิวดินที่ถูกย่ำทำให้ผมเกร็งร่าง ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้มากเท่าไร ผมก็ยิ่งสั่นเทิ้มมากขึ้นเท่านั้น

    เปล่าครับ..ผมไม่ได้…’ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงพร่า เกือบคล้ายเสียงสะอื้น ไม่มีอะไรจริงๆ….’

    ชายหนุ่มนิ่งไป เสียงฝีเท้าหรือเสียงเนื้อผ้าที่ขยับไหวเองก็หายไป

    เหลือเพียงเสียงของกองไฟที่ปะทุอย่างเยือกเย็น

    ….xx

    เสียงของเขาดังฝ่าขึ้นมาในความเงียบ

    “เอ๋….?” ผมอุทานแผ่วเบา เผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ

    “ข้าจะเรียกเจ้าว่า….’ เขาเอ่ยคำบางอย่างออกมา ผมจำความหมายของมันไม่ได้ ทว่าคล้ายเคยได้ยินมาครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตที่อยู่เคียงข้างเขา ต่อจากนี้จะเป็นชื่อของเจ้า หากไม่บอกก็ไม่เป็นไร ข้าจะเรียกเจ้าด้วยชื่อนี้ และข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้าอีกแล้ว อย่าได้หวาดกลัวไป นอนเสีย….’

    เขาพูดแบบนั้นพร้อมกับเดินไปนั่งที่อีกฝั่งของกระท่อม ดวงตาของเขาจดจ้องมาที่ผมซึ่งยังคงสั่นกลัว ก่อนที่ชายหนุ่มร้องเพลง..เพลงที่เขาเคยขับร้องกล่อมขวัญใครซักคน เพลงที่ผมจำได้ว่าเคยได้ยินมันครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เป็นเพลงที่สงบและอ่อนหวาน

    ….รู้สึกตัวอีกที ผมก็หลับใหลไปแล้ว

    นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต..ที่ผมรู้จักการหลับใหล

    และอาจเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่ผมค้นพบว่าหลงรักเขา….ที่ได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง

    ++++++++++++++++++++++++++++++++

                เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกปลอดโปร่งอันน่าประหลาด

    ผมรู้สึกว่าศีรษะเบาโหวง สดชื่น ผ่อนคลาย รู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ปวดเมื่อยร่างกายเล็กน้อยเนื่องจากนอนคุดคู้อยู่บนกองฟางมาทั้งคืน ดวงตาของผมจ้องมองไปยังทิศที่ชายหนุ่มมักจะหลับใหล ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อไม่พบชายหนุ่มนอนหลับอยู่ในที่ที่ควรเป็น แต่ไม่ทันจะลุกพรวดค้นหา เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้น

    ตื่นแล้วหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง

    น้ำเสียงราบเรียบนั้นทำให้ผมสงบลง สายตาของผมกรอกมองไปยังต้นเสียง จึงพบกับร่างของชายหนุ่มที่กำลังต้มอาหารเช้าอยู่ด้วยหม้อใบเดิม

                ก็เป็นภาพเดิมกับที่เห็นทุกครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านเลยมา..

    ‘..อะอรุณสวัสดิ์ครับ..’ ผมเปล่งเสียงออกไป จ้องมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความไม่คุ้นชิน เพราะปกติแล้วผมไม่เคยหลับใหล ดังนั้นจึงมักเห็นเขาตื่นขึ้นมา และทำกิจวัตรในยามเช้าเสมอ แต่เพราะเมื่อคืนผมหลับใหลไป นี่จึงเป็นครั้งแรก..ที่ผมตื่นขึ้นมาและเห็นเขาทำอาหารอยู่

    ..เป็นความรู้สึกที่แปลกพิลึกจริงๆ

    เป็นครั้งแรกที่ข้าเป็นฝ่ายตื่นก่อนเจ้า เมื่อคืนคงเพลียสินะ ชายหนุ่มเอ่ยทั้งที่ไม่ได้มองใบหน้าผม สายตาของเขามองไปยังหม้อใบเล็กที่กำลังเดือดปุดและส่งกลิ่นหอม ผมค่อยๆ ไล่เรียงลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน รู้สึกกระดากอายเล็กน้อยกับเรื่องที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้บอกออกไปอย่างที่ใจคิด และเพียงตอบออกไปให้เขาสบายใจ ‘..ผม..ไม่เป็นไรแล้วครับ

     ‘…ก็ดีแล้ว…’ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ คนทัพพีในมือรอบหนึ่ง ก่อนจะตักอาหารมาให้ผม เอ้า รับไปสิ

    ขอบคุณครับผมพึมพำขอบคุณและรับถ้วยอาหารมาจากเขา ดูเหมือนที่ความรู้สึกรุนแรงที่ปรารถนาจะสัมผัสเขาได้หายไปแล้ว ดังนั้นแม้เข้าใกล้เขา ผมจึงไม่จำเป็นต้องขืนตนไว้แต่อย่างใด

    น่าแปลก ความทรมานเมื่อค่ำคืนที่ผ่านไปหายไปในเวลาชั่ววูบเดียว เพียงแค่เพลงกล่อมของเขา เพียงแค่การได้หลับใหล..เพียงแค่การได้ร้องไห้ ทั้งที่ที่ผ่านมา ความเจ็บปวดเหล่านั้นเลือนหายไปได้ยากเย็นเหลือเกิน ทั้งยังฝังแน่นจนผมเจ็บปวดหัวใจ

    ผมกลอกดวงตาลอบมองเขา ภาพของชายหนุ่มที่ผมมองผ่านไอร้อนของถ้วยซุปไม่ได้ดูแปลกตา และพวกเราก็ยังทานอาหารกันท่ามกลางความเงียบเช่นเดิม ผมไม่ได้พูดอะไร และเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ..ก็เป็นเหมือนทุกวัน

    ทั้งอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกอึดอัด อันที่จริงแล้วผมรู้สึกว่าบรรยากาศช่างแสนผ่อนคลาย อ้อยอิ่ง สงบ ผมรู้สึกราวกับได้ยินเสียงของสายลมที่พัดผ่านกองฟาง ได้ยินเสียงนกร้องร่ำฮัมเพลง ได้ยินเสียงที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นทั้งที่ตลอดมาไม่เคยได้ยิน

    ทั้งที่เป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน ผมกลับรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง….ถึงบางสิ่งที่ดีขึ้น

    ถึงความสุขที่เคยได้แต่เพียงนึกถึง

    +++++++++++++++++++++++++

    ‘….xx…’

    เขาเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา เป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย ดังนั้นผมจึงไม่ได้สนใจ และนั่งอยู่นิ่งๆ รอคอยเวลาที่เขาจะออกไปหาเฟเล

    ‘…xx…..’

    เขาเอ่ยคำเดิมออกมาอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้สึกสะกิดใจว่าเหตุใดเขาถึงต้องเอ่ยมันออกมาถึงสองครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบสนองอะไรเขาไป ซักพักหนึ่ง ผมจึงได้ยินเสียงถอนหายใจ พร้อมกับที่เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ‘….xx…ข้าเรียกเจ้าอยู่นะ

    พอเขาทักขึ้นมาแบบนั้น ผมถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเรียก ชื่อ ของผมอยู่

    ผมกะพริบตาปริบๆ เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเหรอหรา ดูเหมือนเขาจะทราบว่าผมยังไม่คุ้นเคยกับชื่อที่เขาตั้งให้เมื่อวานจึงไม่ได้ว่าอะไรที่ผมไม่ตอบรับเขา ชายหนุ่มเพียงพรูลมหายใจเล็กน้อย และเอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ข้าจะเข้าป่าเสียหน่อย เจ้าก็มาด้วยกันสิ

    พูดจบ ชายหนุ่มก็เดินไปเปิดบานประตู เตรียมจะออกไปจากกระท่อมหลังนี้ ในขณะที่ผมนิ่งค้างไปด้วยความอึ้ง เพราะผ่านมาเขาไม่เคยเอ่ยชวนผมออกไปด้วยแม้แต่ครั้งเดียว

    หากไม่ทะเลาะกันเพราะผมดึงดันจะตามไป เขาก็จะทำเป็นมองไม่เห็นผมและเดินไปโดยไม่รอ และแม้กระทั่งเมื่อวาน เขาก็เพียงถามว่าผมจะไปด้วยกันกับเขาใช่ไหม ไม่ได้ชวนให้ไปด้วยกัน

    ความรู้สึกวาบหวามประหลาดผุดขึ้นในช่องอกของผม มันแผ่ซ่านอย่างเนิบช้าทว่าเด่นชัด ..เด่นชัดเสียจนผมรู้สึกว่าหัวใจของตนเริ่มเต้นรัว

    เร็วเข้า… xx!’ เขาตะโกนเรียก ชื่อของผมอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเงยมองไปหาต้นเสียง ผมถึงเห็นว่าประตูกระท่อมยังคงเปิดให้แสงส่องผ่านเข้ามาอยู่ และเขาก็ยืนรอผมอยู่ที่ตรงนั้น

    ผมยิ่งรู้สึกงุนงงหนักขึ้น ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้สึกตัวอีกทีผมก็เดินออกมาจากกระท่อม และได้ยินเสียงปิดประตูกระท่อมไล่หลังเสียแล้ว

    ไปกันได้แล้วชายหนุ่มเอ่ยหลังจากที่ปิดประตูกระท่อมเรียบร้อย เขามองมาที่ผมอย่างรอคำตอบ ดังนั้นผมจึงเพียงพยักหน้าและพึมพำในลำคอตอบรับเขาไป

    ชายหนุ่มท่าทางพอใจ ดังนั้นเขาจึงเริ่มออกเดิน โดยมีผมเดินตามหลังเขาไปด้วยเช่นทุกวัน

    ผมเดินตามเขาไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่ยังค้างในช่องอก ไม่เข้าใจการกระทำนับแต่ตื่นเช้ามาวันนี้ของชายหนุ่ม ทั้งเรียกชื่อผม ทักทายผม ชวนผมให้เดินออกมาด้วยกัน เปิดประตูรอผม ..จริงอยู่ การกระทำเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกดี ..สุกใจ แต่ความไม่คุ้นชินก็ทำเอาผมรู้สึกอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลเหมือนกัน

    ..เหมือนกับครั้งแรกที่สายตาของเราประสานกัน

     ‘นี่…’

    คะ..ครับ!? ผมสะดุ้งเฮือกตัวเกร็ง เผลอตอบรับด้วยเสียงที่ดังเกินไปจนแม้แต่ตนเองก็ทราบว่าผิดปรกติ ผมรู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเพราะความอาย ดังนั้นจึงก้มหน้างุดลงมองพื้นหลบทั้งสายตาและใบหน้าจากเขา ก่อนจะต้องกลอกดวงตาขึ้นมองชายหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหลุดออกมาแผ่วเบา

    เขายกรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทางจะอ่อนอกอ่อนใจกับท่าทีของผม ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาหา และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตกใจอะไรถึงเพียงนั้น ข้าไม่ได้จะว่าเจ้า..แค่อยากถามว่า..เจ้าชอบอะไร...’

    ชายหนุ่มเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ด้วยรอยยิ้มที่เกือบจะคล้ายกับเมื่อครั้งที่ผมได้เพียงเฝ้ามอง รอยยิ้มที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันให้เขามอบให้ผม

                ตัวตนของผมสะท้อนในแววตาของเขา ทว่าครั้งนี้ไร้ซึ่งความเจ็บร้าว ความโกรธเกรี้ยว หรือความเดียวดายที่แฝงอยู่ภายใน เป็นเพียงดวงตาที่อบอุ่นอ่อนโยนคล้ายคลึงกับอดีตที่ผ่านเลยมา

    ตอนนี้..ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ผม

    ตอนนี้ รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนนั้นมอบไว้ให้ผม

                น้ำเสียงคำถามที่มีไว้เพื่อผม……

    สิ่งที่ปรารถนาเสมอมา..

     ‘..เจ้าร้องไห้ทำไม?!’

    ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาทักขึ้นเช่นนั้นและมองมาทางผมด้วยสายตาร้อนรน ผมรีบยกมือขึ้นแตะแก้มของตน และรู้สึกถึงของเหลวแฉะที่อาบอยู่ข้างแก้มตน

    ..ผมร้องไห้อยู่หรอกหรือ..

    ผมรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออก น้ำตาไหลรินลงมาอีกครั้ง พร้อมความรู้สึกเอ่อท้นในหัวใจที่ดูปริ่มล้นจนคล้ายจะกระฉอกออกมา

     ผมประหลาดใจ ทุกครั้งที่น้ำตาของผมไหลรินออกมา จะเป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานแทบขาดใจไม่ใช่หรือ? แล่วเหตุใดครั้งนี้มันกลับไหลออกมาทั้งที่ผมรู้สึกยินดีรู้สึกสุขใจ

    หรือความจริงแล้ว น้ำตาก็สามารถไหลรินในยามที่มีความสุขเช่นกัน

    น้ำตาที่ไหลออกมาปาดออกไปเพียงไม่กี่ที่ก็หยุดไหลริน ไม่เหมือนกันทุกครั้งที่ผมร้องไห้เพราะความทรมาน ผมแย้มรอยยิ้มให้และมองเขา ก่อนจะส่ายหัวและบอกออกไปว่าไม่เป็นอะไร

    แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาบอกว่าวันนี้ให้ผมกลับไปพักที่กระท่อม ไม่ต้องเดินออกมาด้วยกัน แต่ผมทราบดีว่าตนทำเช่นนั้นไม่ได้จึงดึงดันที่จะตามไป แต่แน่นอนว่าครั้งนี้เขาเองก็ไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน เราต่อล้อต่อเถียงกันต่ออีกครู่ใหญ่ แต่น่าแปลกที่การทะเลาะกันครั้งนี้กลับทำให้ผมรู้สึกสุขใจ ไม่ทรมานและหน่วงหนักเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

    พวกเราต่อล้อต่อเถียงกันไป ตะโกนเสียงดังใส่กัน แต่ไม่รู้เหตุใดครั้งนี้มันถึงน่าสนุกนัก ผมรู้สึกว่าผมกำลังเถียงเขาอย่างไร้เหตุผล ไร้สาระ แค่อยากจะเถียงกับเขา ผมรู้สึกถึงมุมริมฝีปากของตัวเองที่กระตุกขึ้น เกือบจะขยับเป็นรอยยิ้ม และเมื่อมองไปยังเขาผู้เป็นที่รัก ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่

    ผ่านไปซักครู่ ทั้งผมและเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดังลั่นไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่าที่เรากำลังเดินไป

    ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ดูเหมือนจะยอมแพ้เรื่องที่จะให้ผมกลับไปที่กระท่อม ดังนั้นเขาจึงเอ่ยชวนผมให้มาเดินข้างๆ และก้าวเดินไปข้างหน้าโดยรอให้ผมก้าวเดินไปพร้อมกับเขา

    ผมรู้สึกเขินเล็กน้อยที่สายตาของตนไม่ได้มองแผ่นหลังของเขา แต่เมื่อชะลอฝีเท้าของตนให้ช้าลงเพื่อจะเดินอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม เจ้าตัวกลับชะงักฝีเท้าตามผม และรอให้ผมก้าวขึ้นมาเดินข้างๆ เขา

    ผมชะลอ เขาชะงัก และผมต้องเดินไปยืนข้าง และพอผมชะลอฝีเท้าอีก เขาก็หยุดยืนรอผมอีก

    เพราะฉะนั้น..ผมจึงต้องยอมเดินข้างๆ เขาไปโดยปริยาย

    .

    .

    .

     

                สัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงดำเนินอยู่เช่นนั้น พร้อมจังหวะแห่งห้วงนาฬิกาหมุนวนที่แปรเปลี่ยนไป

    บรรยากาศหม่นหมองซ้ำเดิมคล้ายสูญหาย แทนที่ด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยนกว่าเดิม เบาบางกว่าเดิม สบายกว่าเดิม

    จังหวะอันอ่อนหวาน….

    อา..รู้สึกตัวอีกที

    ก็เหมือนเจ้าห้วงนาฬิกาหมุนวนจะผุพังสลายไปเสียแล้ว

    ++++++++++++++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×