ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #10 : Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 3 : ห้วงแห่งนาฬิกาหมุนวน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 138
      1
      3 มี.ค. 57

    ข้าถามคนผู้นั้น..เหตุใดมิปรารถนาให้ข้าตาย

    และได้คำตอบที่เรียบง่ายกลับมา

    คำตอบที่ทำให้ข้าผิดหวังเพราะข้ารู้สึกถึงสิ่งที่ลึกกว่านั้น

    สิ่งที่ลึกกว่าเหตุผลอันเรียบง่ายเพียงว่าไม่อยากเห็นใครตาย

    ทว่าข้าไม่อาจมองเห็นได้

    ไม่อาจ มองเห็น….สิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปได้

     



    Part II : ผู้ร่วมทาง : CH 3 : ห้วงแห่งนาฬิกาหมุนวน

     

    เมื่อความมืดเข้าแทนที่ผืนนภาสีแสด เขาก็ลุกขึ้นยืน

    ชายหนุ่มลูบป้ายสุสานหินของหญิงสาว ดวงตาของเขาหลุบลงปวดร้าว..ความโหยหาอัดแน่นอยู่ในแววตาของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะละออกมา หันหลังเดินลงมาจากเนิน

    ผมก้าวเดินตามเขาไปอย่างเคยชิน ดวงตาของผมมองแผ่นหลังที่ห่างออกไป ระยะห่างของเราสม่ำเสมอ เกือบจะเท่ากับเมื่อครั้งที่ผมได้เพียงแต่เฝ้ามองเขา

    ผมยิ้มขื่นกับความคิดนั้น ทว่าไม่คิดจะถอยห่างออกไป หรือก้าวเข้าใกล้.. ผมเพียงแต่รักษามันไว้ ระยะห่างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอันนี้

     ระหว่างทางที่เราก้าวเดินไปไม่มีบทสนทนาใดใด ผมและเขาเพียงเดินกันไปเบื้องหน้า พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังประสานกัน

    เสียงสายลมแห้งผากพัดผ่านเศษซากของสิ่งที่เคยเรียกว่าหมู่บ้าน ..สิ่งที่ไม่ว่าเห็นเมื่อไรก็ได้แต่ย้ำเตือนถึงความสุขที่สูญเสียไป ตอกย้ำให้บาดแผลในใจยิ่งบาดลึกโดยไม่มีวันหายขาด

    หัวใจของผมปวดแปลบ ความปวดร้าวกรีดลึกอยู่ในช่องอกของผม แต่เพราะแบบนั้น..ผมถึงเข้าใจเขา เข้าใจว่าเขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน..และอาจจะทรมานกว่านี้มากนัก

    เพราะตัวผมเองได้เพียงเฝ้ามอง ในขณะที่เขาอยู่ในความสุขเหล่านั้น..ในความอบอุ่นเหล่านั้น

    เมฆหมอกบนท้องฟ้าเลือนหายไปแล้ว นภาสีนิลจึงเต็มไปด้วยดวงดาราพร่างพราย ผมเงยหน้ามองดวงดาวเหล่านั้น ก่อนจะหลุบตาลง อธิษฐานทั้งที่ไม่ได้พูดออกไป..ให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์โดยไว

    แม้ว่าจะยากเหลือเกินก็ตาม

    ผมและเขาก้าวเดินมาจนกระทั่งถึงกระท่อมที่ใช้พักพิง ชายหนุ่มจุดไฟจากกองฟางกลางกระท่อม จัดแจงทำอาหารมื้อค่ำอย่างง่ายๆ เช่นเดียวกับเมื่อคืนวาน เสบียงที่อยู่ในกระท่อมใกล้หมดแล้ว..ทว่าเขาก็ดูไม่ได้กังวลใจอะไร ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็หันมาทางผม อาจจะคิดว่าผมคงกังวลใจเรื่องอาหารที่เหลืออยู่น้อยนิด ดังนั้นเขาเลยบอกผมว่าไม่ต้องกังวล เพราะใกล้ๆ หมู่บ้านมีป่า พอจะเข้าไปหาอาหารมาทานได้

    ผมยิ้มขื่น ไม่กล้าบอกชายหนุ่มว่าตัวผมนั้นไม่จำเป็นต้องทานอาหาร ดังนั้นผมจึงพยักหน้าตอบรับคำพูดของเขา และนั่งลงบนกองฟาง เฝ้ามองเขาค้นอาหารแห้งที่เหลืออยู่ พร้อมกับจัดแบ่งใส่ชามสองชาม ของเขาและของผม

    ระหว่างเราไม่มีบทสนทนาเช่นเคย เพราะผมไม่คุ้นชินกับการพูดคุย และเขาเองคงไม่อยู่ในห้วงอารมณ์ที่จะพูดคุยกับใคร เสียงที่ดังอยู่ในกระท่อมที่เงียบงันจึงมีเพียงเสียงปะทุของเปลวเพลิงเท่านั้น

    กาลเวลาเคลื่อนผ่าน สุดท้ายกองเพลิงก็ถูกดับลง และเขาก็เข้าสู่นิทรา

    ผมนั่งอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของกระท่อม สายตามองออกไปในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ ผมรอดูจนแน่ใจว่าเขาหลับดีแล้ว ฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ดังคลอเสียงสายลมจากภายนอก ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปใกล้ๆ เขา กระชับผ้าห่มโดยระวังไม่ให้สัมผัสถูกร่างกายของชายหนุ่ม

    ผมขยับลงนั่งยองๆ กับพื้น ดวงตามองจ้องใบหน้าอิดโรยของชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของผม ความเศร้ายังคงแสดงออกจางๆ บนใบหน้าของเขา หรือไม่เช่นนั้น..แสงจันทร์ที่ส่องกระทบใบหน้าของเขาก็ทำให้ผมเห็นเป็นแบบนั้น

    ซักพักหนึ่ง ใบหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มบิดเบี้ยว ดูเหมือนเขาจะฝันร้ายอีกครั้ง..ความฝันที่ผู้คนที่เขารักกล่าวโทษเขาที่รอดกลับมา

    ดังนั้นผมจึงกล่าวประโยคเดิมที่กล่าวกับเขาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอีกครั้ง

    ไม่เป็นไรนะครับไม่เป็นไร..เป็นแค่ความฝันฝันร้ายเท่านั้นเอง

    ผมกล่าวบอกเขา น้ำเสียงที่หลุดออกไปทั้งอ่อนโยนและสงบ เสียงที่ทำให้ผมแปลกใจทุกครั้งที่เปล่งออกไป ..เสียงที่ราวกับไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงของใครคนอื่น

    ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดอยากจะใส่ใจมัน ขอเพียงแค่ให้สิ่งนั้นทำให้เขามีความสุข ผมก็พอใจมากเหลือเกินแล้ว

    ผมกล่าวอยู่เช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา ย้ำประโยคเดิมราวกับท่องจำจนขึ้นใจ กระทั่งเสียงหายใจสม่ำเสมอเริ่มเข้าแทนที่อาการพร่ำเพร้อ กระทั่งสีหน้าของชายหนุ่มก็ดูผ่อนคลายลงจนคล้ายคนที่หลับอย่างสงบ ตอนนั้นผมจึงพรูลมหายใจ พร้อมกับเอ่ยคำที่กล่าวกับเขาทุกค่ำคืนออกไป

    ราตรีสวัสดิ์นะครับขอให้ฝันดี

    ผมยกมุมริมฝีปากทั้งสองข้าง หลุบตาลงมองชายหนุ่มที่หลับใหลอย่างสงบ ก่อนที่ผมจะลุกขึ้น กลับไปนั่งยังมุมของตัวเองเช่นเดิม

    รอคอยช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะเฉิดฉายบนฟ้าอีกครั้ง

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไปสาม สี่ ห้าอาจจะครบสัปดาห์หรือเกินกว่านั้น..บางทีอาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังนั้น

    รวมทั้งตัวผมด้วย

    เขาตื่นแต่เช้าตรู่ เข้าป่าไปตัดฟืนมาเพิ่มในกระท่อม หาผลหมากรากไม้มาตุนเป็นอาหาร บางคราก็กลับช้าเพราะเข้าไปล่าสัตว์ถึงข้างใน

    ผมกังวลทุกครั้งที่เขาเดินเข้าไปในป่า หวาดกลัวว่าเขาจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย หรือยอมให้สัตว์ป่าฉีกกระชากร่างของตน คิดแม้แต่ว่าเขาอาจจะโดดลงเหวไปเพื่อทิ้งชีวิตของตนเอง

    จริงอยู่ว่าผมติดตามเขาไปทุกที่ ตามเชือกล่องหนที่ผูกผมไว้กับเขา ทว่าในเมื่อผมไม่อาจสัมผัสเขาได้ แล้วจะห้ามเขาไม่ให้ฆ่าตัวตายได้อย่างไร

    ..ผมทำได้เพียงเฝ้ามองเท่านั้น เฝ้ามอง และพูดคุย

    ถึงอย่างนั้น แม้ชายหนุ่มจะเหม่อมองไปยังฟากฟ้าไกล เขาก็ไม่มีทีท่าที่จะฆ่าตัวตาย

    และนั่นทำให้ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

    กิจวัตรประจำวันของเขาทั้งซ้ำซากและเรียบง่าย ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เขาทำอาหารเช้า กลางวัน เย็น และใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดไปกับการนั่งเหม่อบนเนินหลุมศพของหญิงคนรักของเขา

    ผมติดตามเขาไปด้วยทุกครั้ง..ด้วยหัวใจและสายโซ่ที่รั้งผมไว้กับเขา และทุกครั้ง..ชายหนุ่มจะไม่พอใจ ทว่าเมื่อทั้งตวาดผม ด่าทอผม ผมก็ยังคงยืนยันที่จะติดตามเขาไปทุกที่ ชายหนุ่มก็เหนื่อยที่จะห้ามผม และทำเป็นไม่สนใจแทน

    ชายหนุ่มไม่ได้แกะสลักสิ่งใดอีกแล้ว แม้แต่เศษฟืนที่วางกองอยู่ในกระท่อม บางที..ทุกครั้งที่คิดจะหยิบมีดขึ้นมาไส้ไม้ ทุกครั้งที่สัมผัสผิวที่ไม่สม่ำเสมอของท่อนไม้ ความทรงจำที่เคยได้อยู่เคียงผู้คนมากมายคงผุดขึ้นมา และทำให้เขาเจ็บปวดจนไม่อาจทำสิ่งใดต่อไปได้

    แต่ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้แกะสลักสิ่งเหล่านั้น เขาก็ยกไม้ขึ้นมามองเสมอ.. ผมรู้ว่าเขาอยากแตะต้องมัน งานแกะสลักเป็นงานที่เขารัก แต่เพราะรักมาก..ความทรงจำที่ไหลรินยามลงมือแกะสลักไม้ก็ยิ่งมากตาม สุดท้าย ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงวางไม้ลงกับพื้น ล้มเลิกความคิดที่จะทำสิ่งที่ตนรักเสมอลมหายใจ

    เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

    ครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มเคยเทอุปกรณ์แกะสลักของตนออกมา แล้วโยนมันเข้าไปในกองไฟ

    ตอนนั้นผมตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก เกือบที่จะยื่นมือเข้าไปหยิบของในกองไฟ แต่แล้วชายหนุ่มก็สาดน้ำลงมาบนกองไฟ ดับเปลวเพลงที่กำลังมอดไหม้ให้ดับหายไปอย่างรวดเร็ว

    เขามองเถ้าเปียกชื้นที่กรุ่นควันลอยขึ้นมา ก่อนจะนั่งลงกับพื้น หยิบอุปกรณ์ที่ตนโยนลงไปในกองไฟกับมือออกมาอย่างเงียบๆ

    ผมมองดวงตาที่คล้ายไร้อารมณ์ของเขา กระนั้นกลับรู้สึกราวกับมันขังไว้ด้วยหยาดน้ำตา..ด้วยความขมขื่นอันหนาหนักที่ผมรู้สึกได้..แต่ไม่อาจหยั่งลึกถึงที่สุดของมัน

    ชายหนุ่มหยิบอุปกรณ์เหล่านั้นออกมาทีละชิ้น ดวงตามองมันอย่างทนุถนอม ก่อนจะเก็บสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ในกระเป๋าตามเดิม

    ชายหนุ่มยังคงฝันร้าย..ฝันร้ายทุกค่ำคืน ความฝันแตกต่างกันไป บางครั้งเพียงฝันถึงหญิงคนรัก บางครั้งฝันถึงสนามรบ และบางครั้งก็ฝันเห็นกองไฟที่เผาผลาญหมู่บ้านอันเป็นที่รักของเขา..กองไฟซึ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้ร่วมรับรู้ด้วย

    ผมรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นจากคำพูดที่หลุดออกมาของเขา บางครั้งเขาก็เพียงฝันร้ายโดยมิได้หลุดละเมอออกมา บางครั้งก็หลุดปากพูดขอโทษผู้คนในความฝัน แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงอย่างเดียวกล่าวปลอบโยนเขา กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขา เฉกเช่นกับผมที่เคยทำตลอดมา

    และนั่นก็ทำให้เขาหลับอย่างสงบทุกครั้ง

    ชายชรามาหาชายหนุ่มหลายครั้ง ผมคิดว่าเขาคงเป็นห่วงว่าชายหนุ่มจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย ชายชราถามชายหนุ่มทุกครั้งว่าต้องการจะออกจากหมู่บ้านหรือเปล่า ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ตอบ

    ไม่มีคำตอบให้กับชายชรา

    ทุกครั้งที่ชายชรามา ผมจะหลบอยู่มุมใดมุมหนึ่งในกระท่อม ไม่ออกไปพบปะกับชายชรา เพราะผมไม่ต้องการให้ชายหนุ่มทราบว่าชายชราจะไม่มีวันมองเห็นผม

    ดูเหมือนชายหนุ่มจะสงสัยที่ผมไม่กล้าพบกับชายชรา แต่เขาก็ไม่ได้ถามไถ่หรือซักไซ้อะไรผม ผมไม่ทราบว่านั่นเป็นเพราะนิสัยอันอ่อนโยนของเขา เพราะเขาไม่อยากคุยกับผม ..หรือเพียงเพราะ..เขาไม่มีแรงจะสนใจโลกใบนี้อีกแล้ว

    ไม่มีแรงที่จะใช้ชีวิตบนโลกนี้อีกแล้ว

    +++++++++++++++++++++++++++

    กิจวัตรอันซ้ำซากยังดำเนินต่อไป ราวกับเข็มนาฬิกาที่วนรอบอยู่เช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาตอนเช้า ทำอาหาร เข้าป่า นั่งอยู่บนเนินหน้าหลุมศพของหญิงสาว และสุดท้ายก็กลับมานั่งทานอาหารเย็นในกระท่อม

    ระหว่างเราไร้เสียงสนทนาเช่นเคย เขาไม่ยอมพูดคุยกับผมมานานแล้ว อันที่จริงนอกจากอาหารที่ทำให้ เขาก็แทบทำเหมือนว่าผมไร้ตัวตน ไม่ได้อาศัยอยู่ในกระท่อมเดียวกัน

    หรืออันที่จริง..บางที ชายหนุ่มเองก็อาจไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังมีตัวตนอยู่

    ชายหนุ่มใช้ชีวิตราวกับเป็นตุ๊กตาไขลาน ..ตุ๊กตาไขลานซึ่งเคลื่อนไหวไปตามที่ช่างออกแบบเอาไว้ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความคิดแห่งตน

    มีเพียงแต่ลมหายใจ..ทว่าไร้วิญญาณ

    ชายหนุ่มเคยบอกผมว่าเขาไม่ต้องการแก้แค้น ไม่ต้องการหล่อเลี้ยงตนด้วยความรู้สึกอันเกรี้ยวกราด เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะใช้ชีวิตที่มีเพียงซากศพและวิญญาณ..ทว่าไร้ซึ่งหัวใจ

    แล้วตัวของชายหนุ่มตอนนี้ล่ะ?

    แม้แต่วิญญาณ..ก็ยังไม่มีเลย..ไม่ใช่หรือ?

    เป็นเพียงซากร่างที่เคลื่อนไหวและมีลมหายใจเท่านั้น

    ++++++++++++++++++++++++++

    ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเฝ้ามองเขานานเพียงไร ผมก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

    เขาใช้ชีวิตอย่างแห้งผาก ไร้จุดหมาย ไร้แก่นสาร ใช้ชีวิตเพียงเพื่อต่อลมหายใจ นับวัน..เขาก็ยิ่งชาลงทุกที นิ่งลงทุกที จนผมแทบจะจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นรอยยิ้มของเขา..มันเมื่อไหร่กัน

    คร้งสุดท้ายที่ผมได้ยินเสียงของเขามันเมื่อไหร่กันครั้งสุดท้ายที่เห็นดวงตาอันแสนสงบและอ่อนโยนของเขา..มันเมื่อไหร่กัน

    ผมจำไม่ได้เสียแล้ว

    ภาพแห่งรอยยิ้มของเขายังฝังในใจผม เสียงพูดที่แสนอ่อนโยนของเขายังดังติดใบหู ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรไปกว่าการได้เห็นชายหนุ่มยิ้มต่อหน้าผม... ได้ยินเสียงพูดที่เปล่งออกมาใกล้ๆ ผม

    ได้เห็นชายหนุ่มอันเป็นที่รักของผมใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข..สว่างไสว

    ผมเคยบอกตัวเองว่าเพียงอยากให้เขามีชีวิตอยู่ อยากเฝ้ามองเขาต่อไปทว่าผมไม่อาจทนมองได้อีกต่อไปแล้ว ตัวเขาที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มและหัวใจเช่นนี้

    แต่ผมจะทำอะไรได้

    แม้อยู่กันมากว่าแรมเดือน ผมก็ยังเป็นเหมือนตัวประหลาด เป็นสิ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา เป็นคนแปลกหน้าที่ชายหนุ่มต้องคอยเฝ้าดูแล กระทั่งยามนี้ผมก็ยังสงสัย ในสายตาของเขาตอนนี้ผมคืออะไร

    ผมเป็นอะไรสำหรับเขา

    ผมไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงไม่ไล่ผมไป เหตุใดจึงยังยอมให้ผมอยู่เคียงข้างเขา แต่เพราะผมปรารถนาจะอยู่กับเขา ผมจึงไม่เคยถามออกไป และเลือกที่จะกลบฝังความสงสัยนั้นลงไป

    แต่ถึงอย่างนั้น..ผมจะทนได้ไปถึงเมื่อไหร่กัน

    ทนเห็นสีหน้าว่างเปล่าของเขาไปได้ถึงเมื่อไหร่

    ……จะทนได้อีกนานเท่าไหร่กัน

    .

    .

    .

    เวลานั้น

    มาถึงเร็วอย่างที่ผมไม่คาดคิด

    ++++++++++++++++++++++++

               

     คุณจะทำแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ครับ

    ผมเอ่ยถามออกไปเช่นนี้ในค่ำคืนหนึ่งแห่งนาฬิกาอันหมุนวน ในวันที่ความอดทนของผมสิ้นสุดลงในที่สุด

    หรือบางที..อาจเป็นเพราะผมต้องปกป้องหัวใจของตน ปกป้องไว้ก่อนที่มันจะพังทลายลง

    พังทลายลงด้วยเหตุผลง่ายๆ.. พังทลายเพราะใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มของเขา

    ชายหนุ่มหันมามองผมด้วยสีหน้าว่างเปล่า ..สีหน้าที่ทำให้ผมเจ็บปวดใจ ชายหนุ่มหรี่ดวงตาลง ก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงแห้งผาก..เฉยชา เจ้าหมายถึงสิ่งใด

    คุณจะ..ใช้ชีวิตแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ครับผมกระซิบบอก น้ำเสียงอ่อนล้า แผ่วเบา ทว่าดังชัดเจนในกระท่อมอันเงียบสงัด จะทำแบบนี้ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปถึงเมื่อไหร่กัน

    ผมกล่าวออกไป จ้องมองใบหน้าอันว่างเปล่าของเขา ขายหนุ่มนิ่งไปราวกับกำลังซึมซาบคำถามของผม ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกยิ้มขมขื่น และหันไปมองทางอื่นโดยไม่คิดตอบคำถาม

    ได้โปรดตอบผมได้ไหมครับ คุณจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันจะใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้..’ หมู่บ้านที่เหลือเพียงซากแห่งความสุข ‘…จะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่กัน

    จะจมอยู่กับกองเศษซากแห่งอดีตไปถึงเมื่อไหร่

    จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่

    ..จะใช้เวลาของตนอย่างไร้ค่าไปถึงเมื่อไหร่

    จะทำให้ผมเจ็บปวดไปถึงเมื่อไหร่

    ยิ่งผมพูด..ยิ่งผมครวญคิด ความปวดร้าวที่ช่องอกก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ขอบตาของผมร้อนผ่าวจนเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา ห้วงอารมณ์เกรี้ยวกราดเริ่มก่อตัว ..ทว่ายังมิได้พุ่งพรวดขึ้นมา

    ‘…ตอบผมทีเถอะครับ…’ ผมกล่าวย้ำกับเขาอีกครั้ง มองดูใบหน้าของเขา ทว่าชายหนุ่มยังคงจ้องตอบผมด้วยสีหน้าว่างเปล่า ด้วยรอยยิ้มข่มเฝื่อนและดวงตาไร้แวว

    ทำไมกัน..ทำไมชายหนุ่มถึงยังคงจมกับความเศร้าถึงเพียงนี้

    ผมอยากจะเข้าใจเขา ปรารถนาจะรู้สึกถึงความเศร้าของเขา ผมรู้ว่าความรุ้สึกที่ต้องสูญเสียมันปวดร้าวเพียงใด รู้ว่ามันทำให้ชีวิตพังพินแค่ไหน

    แต่ผมไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว

    ไม่อาจทนมองใบหน้าที่ว่างเปล่าของเขาได้อีกต่อไปแล้ว

    คุณจะทำตัวไร้วิญญาณแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ครับ!!’ ผมตะโกนกราดเกรี้ยว ลุกขึ้นยืนมองเขา ความรู้สึกร้อนผ่าวพุ่งพล่านขึ้นมาจากหัวใจของผม ส่งผลให้ทั้งร่างสั่นอย่างมิอาจห้ามอยู่ คุณบอกผมว่าคุณไม่ต้องการแก้แค้น ไม่ต้องการใช้ชีวิตซึ่งมีเพียงวิญญาณทว่าไรหัวใจ แล้วตอนนี้ เวลานี้ คุณทำอะไรอยู่กันครับ ไม่ใช่ว่ากำลังใช้ชีวิตตายซากโดยที่แม้แต่วิญญาณก็ไม่มีหรือ!!’

    เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!’ เขาตอบกลับผมมา เกรี้ยวกราดไม่แพ้น้ำเสียงที่ผมตะโกนใส่เขา ดวงตาที่มองมาของเขาทั้งแตกร้าวและเจ็บปวดบาดลงในหัวใจของผมอย่างหนักหน่วง เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร!! ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว!! ข้าไม่มีทั้งเป้าหมายหรือคนรัก ข้าไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น! ทุกสิ่งที่ข้ามี..ครอบครัว..เพื่อน..พวกพ้อง..คนรัก หายไปจนหมดสิ้น!! เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร!! ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว!!

    เจ้าไม่อยากให้ข้าตายข้ารู้ดี….ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า มีชีวิตอยู่ตามที่เจ้าปรารถนาพอใจแล้วไม่ใช่หรือไง!’

    ไม่ใช่!!’ผมตวาดกลับเขา ดวงตาจดจ้องมองดวงหน้าของเขา ใบหน้าอันเกรี้ยวกราดของเขา ผมไม่ได้อยากให้คุณมีชีวิตต่อไปอย่างไร้วิญญาณ ไม่ได้อยากหคุณมีชีวิตราวกับซากศพอแบบนี้ ผมไม่..ต้องการ..’

    น้ำเสียงของผมสั่นเครือลงเรื่อยๆ ก้อนสะอื้นเลื่อนขึ้นมาจุกที่ลำคอจนไม่อาจเปล่งเสียงได้อีกต่อไป หยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ก่อนยิ่งเอ่อท้นขึ้นมา พร้อมความปวดหน่วงในหัวใจที่หนักหนาเสียยิ่งกว่าเก่า

    แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเบา ดวงตาที่จ้องมองผมหลุบลง..อ่อนล้า เจ้าบอกว่าไม่ต้องการใช้ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้..แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร..ข้าพยายามจะใช้ชีวิต..พยายามจะหาเป้าหมายของตัวเอง..ทว่าข้าทำไม่ได้!!

    ทุกครั้งที่ก้าวเดิน ความทรงจำของข้าเต็มไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ข้าเจ็บปวด..เจ้าเข้าใจไหมว่ามันเจ็บปวดเพียงไร ยามที่ต้องระลึกอยู่ทุกวินาทีว่าได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืน!!

    ไม่เข้าใจหรืออย่างไร…..’

                น้ำเสียงของชายหนุ่มแผ่วปลายลง ก่อนที่เขาจะทิ้งร่างลงไป ทรุดลงนั่งกับพื้นฟางอย่างหมดแรง ในขณะที่ตัวผมยังยืนอยู่เช่นนั้น พร้อมกับความเกรี้ยวกราดที่ยังคงอยู่ พร้อมกับน้ำตาที่ยังคงหลั่งริน ….พร้อมกับความคิดชั่ววูบที่แวบขึ้นมา

    ผมอยากให้เขาตาย

    ผมทรมานเหลือเกิน ปวดร้าว ทุกข์ทน..ผมไม่อยากมองใบหน้าที่ว่างเปล่าของเขาอีกแล้ว ไม่อยากเห็นเขาเจ็บปวดอีกแล้ว ไม่อยากเห็นเขาปวดร้าวจนชินชา อา….หากว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างทรมาน…..ก็สู้ให้ตายเสียไม่ดีกว่าหรือ?

    ตายเพื่อจะลืมความปวดร้าว ตายเพื่อที่เขาจะไม่ต้องทรมานอีกต่อไป

    อา….นั่นก็เป็นทางออกที่ดีไม่ใช่หรือ

    แต่ผมก็รักเขา..รักมากเกินไป บางทีห้วงเวลาที่ได้เฝ้ามองเขาอาจจะมากเกินไป บางทีผมคงทุ่มเททุกอย่างให้เขามากเกินไป เขาเป็นโลกทั้งใบของผม เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม….และผมไม่ปรารถนาจะเสียเขาไป..ไม่ปรารถนาจะเห็นเขาตาย

     ความรักที่เห็นแก่ตัว

    ผมยังอยากมองเห็นเขาในสายตา ยังอยากเฝ้ามองเขาแม้จะเห็นแก่ตัว..แม้จะอยากเห็นรอยยิ้มของเขา

    ดังนั้นอีกชั่วพริบตาหนึ่งต่อมา ความคิดของผมก็กลับมาเป็นเช่นเดิมปรารถนาให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป

    ความกราดเกรี้ยวในใจของผมเริ่มเบาบางลง กระทั่งเลือนหายไปอย่างเชื่องช้า ผมหอบหายใจแผ่วเบา น้ำตายังคงไหลอาบบนใบหน้า ดังนั้นผมจึงยกมือขึ้น เอาชายแขนเสื้อของตนเช็ดน้ำตาของตนออกไป แล้วก็สูดลมหายใจลึกและค่อยๆ พรูออกมา

                ได้โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเป็นสุขด้วยเถอะครับผมเอ่ยขึ้น ใบหน้าของผมหันไปมองเขา ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง ผมรีบปาดดวงตาของตนก่อนที่มันจะไหลออกมา ขยี้ด้วยชายเสื้อจนรู้สึกแสบร้อนที่ดวงตา และเริ่มพูดต่อไป

    มีชีวิตอยู่เถอะครับ ในส่วนที่เฟ…..’ ผมชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ว่าผมรู้ชื่อของหญิงสาว ผมจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไปในส่วนที่คนรักของคุณไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ มีความสุขในส่วนที่คนรักของคุณไม่มีโอกาสได้สัมผัส ไปยังสถานที่ที่เธอไม่เคยรู้จัก ผมรู้ดีว่าคุณทรมานทุกครั้งที่คิดถึงความทรงจำในอดีต แต่..ไม่ลองคิดดูบ้างล่ะครับ ใช้ชีวิตต่อไป เห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่เห็น จะ..นำสิ่งเหล่านั้นไปบอกเขาหลังคุณแก่ตาย..ก็ไม่สายนี่ครับ

    ผทกล่าวติดตลก แม้รุ้ว่าเขาไม่ได้ตลกไปด้วย แต่กระนั้นร่างของเขาก็ชะงักไป แม้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของผมจะยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองก็ตาม ผมคิดว่า..คนรักของคุณ  จะยังคงอยู่ในใจคุณ ….เหมือนที่คุณอยู่ในใจผม มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเธอเถอะนะครับ มันอาจดูเป็นข้ออ้างที่น่ารังเกียจ หรือสวยหรู แต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ…’

    ได้โปรด..มีชีวิตต่อไป ข้ามผ่านทิวาราตรีไปกับผม ข้ามผ่านความทรมานอันปวดร้าวนี้….แล้วยิ้มอย่างมีความสุขให้ผมอีกครั้ง

    ได้โปรดเห็นแก่ความต้องการอันเห็นแก่ตัวของผมด้วยเถอะ

    เมื่อผมพูดจบ ผมก็เงียบไป ส่วนตัวเขาเองก็ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

    เสียงของสายลมรายล้อมอยู่รอบข้างครู่หนึ่ง

    ทำไม…..’ ชายหนุ่มพึมพำกระซิบขึ้น และเงยมองผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ ทำไม..ถึงอยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ถึงเพียงนั้น

    เขากล่าวถามผม ดวงตาจดจ้องตรงมาอย่างต้องการคำตอบ เกือบจะวอนขอ เกือบจะสิ้นหนทาง

    ผมจ้องมองตอบดวงตาของเขา ทว่ายังไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป คำตอบนั้นติดอยู่ริมฝีปาก คำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่ผมปรารถนาให้เขามีชีวิตอยู่ คำตอบเดียวที่ผมไม่อาจพูดออกไปได้

    ผมยกมือทั้งสองขึ้นปิดปากของตน กลัวเหลือเกินว่าจะหลุดคำตอบที่ไม่สมควรนั้นออกไป แต่ถ้าอย่างนั้นผมควรจะตอบเขาว่าอะไร สาเหตุที่ผมปรารถนา..อยากให้เข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปถึงเพียงนี้

    คำตอบแรกที่คิดจะกล่าวออกไป..เป็นคำตอบเดียวกับเมื่อครั้งที่เขาถามผมครั้งแรก แต่ถ้าผมตอบออกไปแบบนั้น ตอบ..เพียงว่า ไม่อยากเห็นใครตาย ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

                เขาก็คงจะเห็นคำตอบนั้นเป็นเพียงสิ่งไร้แก่นสาร ไมควรค่าที่จะเป็นเหตุผลให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป

    แต่ถ้าผมตอบความจริงออกไป..อะไรจะเกิดขึ้นกัน เขาจะมองผมด้วยสายตาเช่นไร เขาจะคิดกับคำตอบนั้นเช่นไร เขาจะยึดมันไว้เป็นเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ หรือเห็นว่ามันเป็นอีกเหตุผลที่แสนไร้ค่า ไร้สาระ เป็นเหตุผลที่ไม่ควรค่าจะดำรงอยู่

    ผมกลัวเหลือเกิน

    ผมหลุบตาลง อยากจะหนีไปจากความจริงตอนนี้ แต่เมื่อมองดวงตาของเขาที่จ้องมาอย่างสิ้นหนทาง หัวใจของผมก็สั่นไหว

    ชายหนุ่มกำลังรอคำตอบของผม คาดหวังกับคำตอบของผม

    ผมรู้สึกเหมือนจะเข้าใจ..ว่าชายหนุ่มเองก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ แต่เขาไม่มีแรงจะก้าวเดิน ไม่มีเหตุผลที่มากมายพอให้เขาลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง และตอนนี้..หากว่าผมม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง เขาก็กำลังหวังจากผม หวังที่จะได้เหตุผลี่ดีพอ เหตุผลที่เขาจะดำรงอยู่ต่อไป

    ..ยังจะกลัวอะไรอีก

    ตลอดมา..ผมไม่เคยอยู่ในสายตาเขาไม่ใช่หรือ.. เจ็บปวดมาตลอดไม่ใช่หรือ….หากพูดออกไปแล้วเขาจะโกรธเกลียดผมก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ ก็แค่กลับไปเป็นเช่นเดิม กลับไปเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง..

    ผมยังคงเฝ้ามองเขาต่อไปได้ไม่ใช่หรือ?.. เฝ้าดูเขาดังเช่นที่ผ่านมา บางทีต่อจากนี้เขาอาจจะไม่มองหน้าผมแล้ว บางทีอาจจะมองเมิน รังเกียจ และไม่พูดคุยด้วยอีกต่อไป แต่หากสิ่งที่ผมปรารถนาจะพูดออกไปทำให้เขาปรารถนาที่จะมีชีวิตขึ้นมาซักนิด เป็นหลักยึดให้เขาได้ซักนิด ..ผมก็ยินดี

     ถ้าเพื่อเขา..ผมก็จะรับความเจ็บปวดนั้นไว้แต่โดยดี

    เพราะคิดแบบนั้น สุดท้าย ผมจึงคิดจะบอกสิ่งที่ผมเก็บเอาไว้ในใจออกมา

    สิ่งที่ครั้งหนึ่งผมตะโกนออกไปโดยไม่มีผู้ใดรับฟัง คำพูดที่ครั้งหนึ่งผมได้แต่เพียงกล่าวมันออกมา เพียงพร่ำเพ้อรำพันโดยไม่มีวันไปถึงที่หมาย สะอื้นไห้บอกตัวเองอย่างรวดร้าว คำพูดที่ผมเก็บมันเอาไว้ กลบฝังไว้ให้ลึกที่สุดในใจ ไม่ปรารถนาจะให้หลุดออกจากริมฝีปากของผมอีก

    คำคำนั้น

    .

    .

    .

    .

     ‘เพราะผมรักคุณครับ

    .

    .

    .

    .

    ผมตัดสินใจกล่าวออกไปในที่สุด น้ำสเยงของผมสั่นเครือ ทว่าชัดเจน จากนั้นผมก็แย้มรอยยิ้มให้เขา ..รอยยิ้มที่ผมรู้ว่ามันฝืดเฝื่อนอย่างบัดซบแค่ไหน แต่ผมก็ได้แต่ยิ้ม..ยิ้มกับสิ่งที่พูดออกไป ผมรักคุณรักรอยยิ้ม..รักน้ำเสียง..รักตัวตนของคุณ…’

    คำพูดมากมายพร่างพรูออกมา หลั่งรินเมื่อเขื่อนที่กั้นไว้พังทลาย ความรู้สึกที่ผมเก็บมานานไหลทะลักออกมา..กลั่นเป็นคำพูดที่ผมเองยังไม่ทราบว่าจะแทนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลได้หรือเปล่า

    ความรู้สึก..ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของผม

     ‘ผมรักคุณครับรักคุณมาก..คุณเป็นคนสำคัญของผม..เป็นชีวิตจิตใจ..เป็นโลกทั้งโลกผมปรารถนาที่จะเห็นรอยยิ้มของคุณ..ปรารถนาที่จะพูดคุย..ปรารถนาจะได้ยินเสียงหัวเราะ..และเฝ้ามอง..แค่นั้นเอง..

    ….ผมแค่รักคุณ..เท่านั้นเอง

    ผมกล่าวทุกสิ่งที่ตนรู้สึกออกไป ใบหน้าที่ไม่อาจทราบได้ว่าแสดงออกเช่นไรยังคงจดจ้องไปที่เขา

    ชายหนุ่มมองใบหน้าของผม เขาไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา ดวงตาอันสับสนไม่บ่งบอกว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ หรือรู้สึกอย่างไร และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมอ่านไม่ออกว่าเขารู้สึกเช่นไร

    ตกใจ? สับสน? รังเกียจ?

    ….ผมอ่านมันไม่ออก

    เจ้า…’ ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ดวงตาหลุบลงมองพื้น งั้นหรือ..อย่างนั้นเองหรือ..’

    และเขาก็เงียบไป

    บทสนทนานั้นจบลงอย่างค้างคา และถูกลืมไปราวกับเป็นเพียงความฝัน

    พร้อมเข็มนาฬิกาที่หมุนวนด้วยจังหวะเดิมอีกครั้งและอีกครั้ง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×