ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic.DaomuBiji/บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน] รวมฟิค/DmbjDaily

    ลำดับตอนที่ #1 : สิ่งสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิต [ผิงเสีย]

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 57


    Title : สิ่งสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิต

    Author : Sinnerdarker

    Paring : เมินโหยวผิง x อู๋เสีย

    Rating : ไม่บอก...:P

     

    ไม่ได้เขียนเรทนาน ไม่หวามไม่โอเค ต้องขออภัย

     

    ซินรู้สึกซินโคตรทำคาแรกเตอร์เสี่ยวเกอพังเลย แง!!! ;c;

     



    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                เขาลืมตาขึ้นในความว่างเปล่า

    สิ่งที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าคือความมืดมิด ไร้สรรพสิ่ง เป็นเพียงเวิ้งอนธกาล

    เขาทดลองหยั่งเท้าลงหาพื้นดิน ทว่าความรู้สึกใต้เท้ากลับไร้ที่หยัดยืน

    มันว่างเปล่า

    ทั้งอย่างนั้น เขากลับไม่ไม่ได้ร่วงหล่นลงไป ร่างกายดูราวกับลอยเคว้งอยู่ในอากาศ

    ครู่หนึ่ง แสงสว่างก็ถูกจุดขึ้น

    แสงสว่างนั้นแต่เดิมวูบไหวเพียงเปลว ก่อนจะลุกโชติช่วงสว่างวาบขึ้น พร้อมทัศนียภาพที่ปรากฏกลืนกินความมืดในพริบตา

    รู้สึกตัวอีกที จางฉี่หลิงก็ยืนอยู่บนถนนกลางเมืองเสียแล้ว

    ชายหนุ่มเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ตื่นตระหนก เขาขยับมือขึ้นสัมผัสร่างของคนที่เดินผ่านมา คิดว่าจะถามถึงสถานการณ์ที่ตนพบอยู่ตอนนี้

    แต่คนคนั้นกลับเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจ

    จางฉี่หลิงยืนนิ่ง เขายังไม่ได้คิดอะไรมากนัก ทว่าเมื่อเขาทดลองสัมผัสคนที่เดินผ่านไปมา ..คนแล้วคนเล่า กลับไม่มีใครสนใจเขาวักคน

    เขาสัมผัสคนเหล่านั้นได้ เปล่งเสียงเรียกคนเหล่านั้น ทว่าไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแม้แต่จะหันมามอง

    คนเหล่านั้นเดินผ่านเขาไปเหมือนกับอากาศธาตุ ราวกับไร้ตัวตน

    ..ราวกับเขาถูกโลกใบนี้ปฏิเสธ

    จางฉี่หลิงสูดลมหายใจลึก หลับตาลง ก่อนจะก้มลงมองมือที่สั่นเล็กน้อยของตน

    เขาหรี่ตาลง กำมือแน่น ข่มความตระหนกอันน้อยนิดที่ผุดขึ้นมาจากภายใน

    ฉับพลัน เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินผ่านไป

    ร่างนั้นเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย เส้นผมตัดสั้น เป็นชายหนุ่มผู้มีท่าทางคล้ายคุณชายผู้ดี กำลังแย้มรอยยิ้มพร้อมกับเดินผ่านเขาไป

    เขารู้ดีว่าคนคนนั้นคือใคร

    ไวกว่าความคิด ฝ่ามือของจางฉี่หลิงก็คว้าหมับที่ไหล่ของอีกฝ่าย และเปล่งชื่อเรียกของเจ้าตัวออกไป

    “อู๋เสีย”

    เจ้าของนามชะงัก หันมามองเขา

    ทว่าแทนที่จะแย้มยิ้มให้ เลิกคิ้วสงสัยที่พบเขา หรือทำสีหน้าตกใจที่จู่ๆ เขาก็โผล่มา อู๋เสียกลับทำสีหน้างุนงงใส่เขา จดจ้องด้วยดวงตาของคนไม่รู้จักกัน

    และเอ่ยคำที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินจากร่างตรงหน้า

    .

    .

    .

    “นายเป็นใคร”

    .

    .

    .

    สิ้นสุดคำนั้น ทัศนียภาพรอบข้างก็แตกสลายราวกระจกร้าว

    และเขาก็ดำดิ่งลงไปในเวิ้งมืดมิดอันว่างเปล่าอีกครั้ง

    .

    .

    .

    เฮือก!

    เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา สิ่งที่ไหลเข้ามาในคลองสายตาเป็นอย่างแรกคือเพดานสีขาวสะอาดสะอ้านทรงสี่เหลี่ยม

    เมินโหยวผิง..จางฉี่หลิงลุกพรวดขึ้นจากเตียง เหงื่อเย็นๆ ไหลผ่านขมับของเขา หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวืต

    ความฝัน?

    เขารำพึงกับตัวเอง ยกมือสั่นระริกขึ้นกุมหน้าอกของตน ความหวาดกลัวเพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นยังคงตกตะกอนอยู่ภายในใจของเขา

    เมินโหยวผิงพรูลมหายใจ ฝ่ามือหนายกขึ้นเสยเส้นผมชื่นเหงื่อของตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและกลอกดวงตามองไปรอบห้องที่ตนอยู่ ณ ขณะนี้

    ห้องนี้เป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมขนาดที่พอจะอยู่คนเดียวได้ ภายในห้องไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากนักนอกจากเตียงที่เขานอนอยู่ ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับผู้หญิง เป็นเครื่องตกแต่งมาตรฐานสำหรับห้องพักทั่วไป

    ที่นี่เป็นห้องหนึ่งในบ้านของอู๋เสียเขาจำได้

    เมินโหยวผิงลุกขึ้นจากเตียง รูสึกมึนเล็กน้อยเนื่องจากเพิ่งจะตื่นนอน เขาสาวเท้าไปที่ประตูห้อง ก่อนจะบิดลูกประตู และเดินออกไปภายนอกห้อง

    แอ๊ด

    ชายหนุ่มปิดประตูอย่างเบามือ เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดสายตามองระเบียงที่ทอดยาวออกไป

    เขาได้ยินเสียงสรวลเฮฮาจากเรือนเคียงและเสียงรถราที่แล่นอยู่ภายนอก ทว่าสำหรับเขาตอนนี้เสียงนั้นกลับเบา..เบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจและเสียงฝีเท้าของเขา

    ..ราวกับบนโลกนี้มีเพียงเขา มีเพียงเมินโหยวผิงเพียงผู้เดียว

    เขาก้าวเท้าเดินไปตามความยาวของระเบียงไม้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังแผ่วเบาแช่มช้าตามจังหวะการเดิน ก่อนที่ชายหนุ่มจะเจอกับประตูอีกบาน

    ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะลูกบิดประตู ก่อนจะบิดหมุน เปิดเข้าไปภายในด้วยเสียงที่เบาที่สุด

    เบื้องหลังประตูบานนั้น เขาพบแผ่นหลังที่คุ้นเคยของคนคนหนึ่ง กำลังนั่งจ้องหน้าจอแลปท็อปอยู่อย่างเคร่งเครียด

    อู๋เสีย”

    เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไป น้ำเสียงแผ่วเบา ลังเล และสั่นอย่างน่าสมเพช พร้อมกับกลั้นใจรอปฏิกิริยาของคนที่นั่งหันหลังให้

    เจ้าของชื่อชะงักปลายนิ้วที่พรมลงบนแลปท็อป ก่อนจะหันมาด้วยสีหน้าเดียวกับที่เขาเห็นในฝัน

    สีหน้างุนงง สงสัย

    แต่ก่อนที่ชายหนุ่มร่างเพรียวบางจะเอ่ยพูดด้วยประโยคเดียวกับในความฝัน คำคำอื่นกลับหลุดออกมา

    “เสี่ยวเกอ?”

    เพียงแค่ได้ยินชื่อเรียกอีกหนึ่งของเขาดังออกมาจากปากของร่างตรงหน้า หัวใจหนักอึ้งที่เขาอุ้มมาตลอดทางก็ผ่อนคลายลงทันที

    “ตื่นแล้วเหรอ? หลับพอไหม? นายอ้วนเพิ่งโทรมาบอกว่าจะมาบ้าน เดี๋ยวคงได้คุยอะไรกัน” อู๋เสียกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ กดสลีปแลปท็อปและปิดหน้าจอพับลงไป ร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะของตน ก่อนจะเดินมาหาเมินโหยวผิงที่ยืนอยู่ตรงประตูห้อง และเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน “เสี่ยวเกอ นายเป็นอะ…”

    หมับ!

    พูดไม่ทันขาดคำ ร่างที่แข็งแรงกว่าก็ดึงเขาเข้าไปในอ้อมแขน โอบกอดไว้อย่างแนบแน่น

    ใบหน้าของอู๋เสียเห่อร้อนขึ้นมา เกือบจะอ้าปากด่าคนที่จู่ๆ ก็ดึงเขาเข้าไปกอด “เสี่ยวเกอ! นาย…!”

    “เรียกชื่อของฉัน” เมินโหยวผิงกระซิบแผ่วเบา

    ….? ชื่อ ก็เรียกอยู่ไง เสี่ยวเกอ?”อู๋เสียเอ่ยปากตอบด้วยความงุนงง “หรือนายหมายถึงชื่อเมินโหยวผิง?  อ้อ แต่ชื่อจริงนายคือจางฉี่หลิงนี่นะ”

    “จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น” เมินโหยวผิงพึมพำ อ้อมแขนยิ่งโอบกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นทุกขณะ ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสลวยซุกลงที่ไหล่ของร่างที่บอบบางกว่า ก่อนจะเอ่ยพึมพำอีกครั้ง “….แค่..เรียกชื่อฉัน

    ………”อู๋เสียยังไม่ได้ตอบอะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ดังนั้นร่างที่บางกว่าจึงยกแขนขึ้นโอบกอดแผ่นหลังของอีกฝ่าย และเรียกชื่อของชายหนุ่มร่างสูงตามที่ต้องการ “จางฉี่หลิง”

    “อีกครั้ง”

    “จางฉี่หลิง”

    อีกรอบ

    “เมินโหยวผิง เสี่ยวเกอ จางฉี่หลิง! นายกลัวฉันจำชื่อนายไม่ได้หรือไง!”อู๋เสียตวาดลั่น ทั้งฉิวทั้งขำ ทว่าร่างที่โอบกอดเขาไว้กลับชะงักเกร็งไปราวกับถูกจี้ใจดำ

    เสี่ยวเกอ นาโอเคไหม? มีอะไรหรือเปล่า?”อู๋เสียผลักร่างที่โอบกอดตนออกเล็กน้อย ก่อนจะเงยมองใบหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าตน

    หากเขามองไม่ผิด ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมีร่องรอยของความหวั่นไหว

    แค่ฝัน….”เมินโหยวผิงพึมพำ ยกหลังมือขึ้นเกลี่ยพวงแก้มของร่างตรงหน้า “ฝันว่าอยู่ในโลกที่ไม่มีใครมองเห็นฉัน ถูกปฏิเสธออกมา แล้วนายก็จำฉันไม่ได้

    “แค่นั้นเหร…..”อู๋เสียพูดได้แค่นั้นก็เงียบไป เขาจดจ้องดวงตาสีดำสนิทที่มองลงมา ความหวาดกลัวฉายชัดเจนบนดวงตาคู่นั้น

    ความเงียบเริ่มทำให้เขาอึดอัด อู๋เสียจึงกลั้วหัวเราะแห้งๆ และว่าต่อ “มันก็แค่ความฝัน..แค่ฉันลืมนา….”

    มันไม่ใช่แค่ อู๋เสียเมินโหยวผิงขึ้นเสียงชัด ฝ่ามือเลื่อนกุมมือของชายหนุ่มร่างเพรียวบางไว้ ดวงตาหลุบมองพื้นพร้อมคำพูดที่พร่างพรูออกมามากมายอย่างผิดวิสัย ฉันไม่มีความทรงจำ ไม่มีส่วนเชื่อมโยงอะไรบนโลกนี้นายเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันผูกพันด้วย เป็นสิ่งเชื่อมโยงเดียวที่ฉันหลงเหลืออยู่

    ชั่วพริบตาที่อู๋เสียบอกว่านายเป็ใครเขารู้สึกเหมือนโลกล่มสลาย

    ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นอย่างไร..เขาไม่มีความทรงจำหลงเหลืออยู่ บางสิ่งบางอย่างกลับคืนมา เป็นความรู้ เป็นสัญชาตญาณ แต่สิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขา..กลับไม่หลงเหลือในความทรงจำแม้แต่อย่างเดียว

    สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้ว่าเขายังเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้คือคนตรงหน้า ตัวตนของอู๋เสีย

    หากแม้แต่ตัวตนของคนตรงหน้า..เขายังต้องสูญเสียไป หากว่าอีกฝ่ายเองยังไม่อาจจดจำเขาได้

    เขาไม่แน่ใจว่าตนจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่

    อู๋เสียมองใบหน้าที่ก้มต่ำลงของเมิงโหยวผิง นึกรู้ว่าบัดนี้เจ้าตัวตกลงในห้วงภวังค์ ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าจูบแก้มของอีกฝ่ายแผ่วเบา แล้วละออกมา มองใบหน้าประหลาดใจของชายหนุ่มร่างสูง

    “ฉันไม่ลืมนายง่ายๆ หรอก ฉันสัญญา” อู๋เสียกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชัดเจน และสีหน้าจริงจัง “ฉันเคยบอกนายไปแล้ว บางทีนายอาจจะจำไม่ได้ใช่ไหม?”

    อู๋เสียเว้นจังหวะไปเล็กน้อย มองใบหน้าของคนตรงหน้าที่จดจ้องเขาด้วยสายตางุนงงค้นหา ก่อนจะพรูลมหายใจและเอ่ยขึ้น

    ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้” เขายกคำพูดที่เคยบอกเมินโหยวผิงไปเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา เขารู้ว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้แต่กับแค่พูดอีกซักครั้งจะเป็นอะไรไป

    เขายินดีพูดคำนี้อีกกี่ครั้งก็ได้ ตราบที่จะต้องไม่สูญเสียคนตรงหน้าไป ตราบที่เขาจะยังเห็นใบหน้าของคนคนคนนี้สายตา

    ตราบที่ยังมีคนคนนี้อยู่ข้างกาย

     “..และฉันจะตามหานายสุดขอบหล้า ต่อให้นายจำไม่ได้ ฉันจะจำนายได้ จะไม่มีวันลืมนาย และต่อให้นายที่จำฉันไม่ได้ จะผลักไสไล่ส่งฉัน เห็นว่าฉันน่ารำคาญ ฉันก็ตามตอแยนาย เสี่ยวเกอ นายเตรียมใจไว้แล้วกัน!

    ว่าจบ อู๋เสียก็ชกอกของเมินโหยวผิงเบาๆ และยกมุมริมฝีปากขึ้น “ดังนั้นนายก็เลิกกังวลกับฝันนั้นได้แล้ว”

    ….อืมเมินโหยวผิงไม่ได้พูดอะไร หากแต่ผงกหัวเบาๆ ก่อนจะรั้งร่างของอู๋เสียเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง คราวนี้ไม่เพียงกอดเปล่า จมูกโด่งเริ่มดุนซุกลงที่ลำคอของเขา ทำเอาคนถูกรุกรานต้องรีบแย้งขึ้นทันที “เดี๋ยวเหอะเสี่ยวเกอ! นี่คิดจะทำอะไร!?”

    “ทำให้แน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน” เสี่ยวเกอกล่าวห้วนสั้น ฝ่ามือหนาเริ่มซุกไซร้เข้ามาในร่มผ้า สัมผัสผิวเนียนเปลือยเปล่าของชายหนุ่มร่างเพรียวบาง



    ที่เหลือเลื่อนหาในนี้นะคะ--> https://docs.google.com/document/d/1GPoN_Gr8ZxR2axoiMK5BekwtwTDA_f8I96lKaAzTb3s/edit


    ถ้าโดนแบนรับผิดชอบร่วมกันน่อ 555



     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×