คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ผนึกที่ 17 : ยามพายุสงบ
ผนึกที่ 17 : ยามพายุสงบ
รีท?
ชื่อนั้นดังขึ้นในห้วงความคิดเมื่อเด็กหนุ่มมองเห็นร่างของเพื่อนตัวยืนลังเลอยู่ที่หน้าประตู จากสิ่งที่อยู่ในมือแล้วทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าตัวจะมาทำแผลให้ตน.. เด็กหนุ่มลอบขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงรู้ว่าตนบาดเจ็บมา ก่อนชั่วครู่จะคลายออกเมื่อนึกได้ว่านี่คือคฤหาสน์เฟรริดส์..ทำไมเจ้าของบ้านจะไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้ว..และบาดเจ็บเลือดอาบไปทั้งตัวล่ะ
ต่อให้อิลเวสอยากจะปิดให้ตาย แต่เนลล่าคิดว่าคงปิดไม่มิดหรอก..
เจ้าของเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงมองร่างที่กำลังจะก้าวเข้ามา ดวงตาสีฟ้าครามแสดงถึงแววลังเลที่แฝงลึกถึงความห่วงใย เนลล่ายิ้มบาง ก่อนจะยิ้มกว้างเก่าสื่อสารแทนคำพูดที่บัดนี้มิอาจใช้ได้ไปชั่วคราว
รีเรทที่เห็นเด็กหนุ่มยิ้มถอนหายใจแผ่วโล่งอก ก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมอ่างแก้วใสที่พาดไว้ด้วยผ้าขนหนูผืนนุ่มสีขาวโพลน ที่ไหล่ของชายหนุ่มสะพายกระเป๋าใบหนึ่งไว้ซึ่งเมื่อดูสัญลักษณ์ก็รู้ว่าเป็นกระเป๋ายา เนลล่าเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน เกือบจะเอ่ยถามว่ามาด้วยเหตุใด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาพูดไม่ได้ จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่ก..หากแฝงแววอ่อนโยน
“เนลบาดเจ็บกลับมาน่ะครับ ตอนแรกผมบอกให้คุณอิลเวสพาเนลไปสถานพยาบาลของเมือง แต่เขาปฏิเสธผมเลยช่วยรักษาแล้วก็เย็บแผลให้แทน คงจะรู้สึกตึงผิวสินะครับ แต่วิธีรักษาแบบนั้นจะทำให้แผลหายเร็ว....อดทนหน่อยนะครับ”เอ่ยแล้วก็ยิ้มบาง บอกเด็กหนุ่มให้ถอดเสื้อออกเพื่อที่จะพันแผลให้ใหม่ เนลล่าที่ยังงุนงงอยู่ถอดเสื้อสีขาวล้วนตัวบางออกเผยผ่านอกที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลซึ่งบางจุดมีเลือดไหลซึมออกมา
มือเรียวจับผ้าพันแผลบนตัวของเด็กหนุ่มแล้วแก้ออก เลือดแห้งกรังบางจุดทำให้เนลล่าสะดุ้งด้วยสะกิดแผลให้เจ็บยามดึงแถบผ้าสีขาวเปรอะคราบเลือดออกมา รีเรทสะดุ้งหน่อยๆแล้วคลายผ้าพันแผลอย่างเบามือกว่าเดิม ดวงตาหรี่ลงยามเห็นบาดแผลที่ตนเป็นผู้เย็บปิดเองเมื่อคืนที่ชายหนุ่มร่างสูงอุ้มเด็กหนุ่มเข้ามาด้วยใบหน้าที่ราวกับจะตายแทน
ที่จริงแล้ว..รีเรทอยากให้ไปสถานพยาบาลมากกว่า แต่เพราะชายหนุ่มร่างสูงยืนยันหนักแน่นว่าจะพาไปที่นั่นไม่ได้ เขาที่ทนเห็นสภาพอาบเลือดของเพื่อนไม่ไหวจึงเสนอตัวว่าจะช่วยดูแลเอง ซึ่งอิลเวสก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด และยิ่งโล่งอกเมื่อพบว่าหลังการทำความสะอาดร่างกายและเย็บบาดแผลแล้ว สีเลือดดูจะค่อยๆแต่งแต้มขึ้นมาบนใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของเด็กหนุ่มร่างบาง
พูดถึงตรงนี้แล้ว รีเรทก็อดหวนคิดถึงความรู้สึกตอนเห็นเพื่อนเขากลับมาตอนใกล้ๆรุ่งสางไม่ได้ เขาคลาดกับเนลล่าได้ไม่กี่ชั่วโมงดีเจ้าตัวก็กลับมาพร้อมร่างที่เต็มไปด้วยเลือดเสียแล้ว เขายอมรับว่าตกใจ..หัวใจของเขาดิ่งลงถึงพื้นยามเห็นร่างของเพื่อนใหม่อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดง..ทั้งผิวขาวผ่อง ทั้งเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงแสนสวย..สิ่งเดียวที่แตกต่างคือใบหน้าที่ขาวซีดเพราะเสียเลือดมากของเด็กหนุ่มร่างบาง
ใบหน้าของคนใกล้ตาย
สิ่งที่ทำให้เขานึกถึงพี่อีวาน..........
เขายังจำตัวเองในตอนนั้นได้ ยังจำได้ว่า...ร่างกายเย็นเฉียบเพียงใดยามร่างไร้วิญญาณของพี่มาปรากฏตรงหน้าตน ดวงตาเบิกค้าง ความคิดหยุดทำงานไปชั่วขณะ.. เมื่อเห็นดวงตาไร้แววที่เหลือกมองขึ้นมาของพี่ทรมานเพียงใดยามรู้ว่าหลังจากนี้..เสียงทุ้มอ่อนโยนที่เคยเรียกชื่อตนอย่างเอ็นดูนั้นจะไมมี่วันดังให้ตนสบายใจอีกแล้ว
น้ำตาไหลรินไปเท่าไหร่ กรีดร้องไปมากเพียงไร กระทั่งบัดนี้..ก็ยังไม่อาจลืม
เพล้ง!!
เสียงวัตถุที่หล่นลงพื้นแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆดึงชายหนุ่มให้ฟื้นจากภวังค์ รีเรทรีบหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าแก้วน้ำตกลงไปบนพื้นเพราะความเหม่อลอยของตน เจ้าของเนตรสีฟ้าครามรีบหันมาสบดวงตาของเด็กหนุ่มร่างบาง และพบกับดวงตากลมโตที่จ้องมาด้วยความกังวล
เป็นอะไรรึเปล่า?
แม้ไม่มีคำพูด แต่ดวงตานั้นก็สื่อมาด้วยความห่วงใย...เหมือนกันเหลือเกิน
เหมือนกับพี่อีวาน
รีเรทยิ้ม รู้สึกถึงความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสและรู้สึกถึงมานาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างขอบคุณ “ผมเหม่อไปหน่อยนะครับ..แผล....อ๊ะ”
รีเรทมองบาดแผลของเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจระคนสงสัย บาดแผลย่ำแย่ที่ลึกถึงกระดูกเมื่อคืนก่อนนั้นบัดนี้เหลือเพียงรอยแผลจางๆเสียแล้ว กระทั่งไหมที่เย็บไว้ก็ยังดูชัดเจนกว่ารอยแผลที่ขึ้นเป็นรอยแดงจางๆเสียอีก ที่จริงเขาก็คิดไว้ว่าแผลคงหายเร็ว..รอยมีดสวยมากและอาวุธก็คมกริบ..แต่...นี่..มันเร็วเกินไป
แล้วความจริงอีกข้อที่เขายังไม่ได้พูดถึงคือกลิ่นดอกไม้จางๆที่ลอยมากับเลือดของเนลล่า
ที่แรกเขายังคิดว่ามันอาจเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ติดตัวมา แต่ยิ่งทำความสะอาดแผลและยิ่งได้กลิ่นโชยจากผ้าพันแผล ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้ชัดว่ามันมาจาดเลือดที่ติดอยู่บนแถบผ้าสีขาวซึ่งพันกาย
“ทำไม.......”ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากถาม แต่แล้วก็ชะงัก..ถ้าบางสิ่งสิ่งที่จะรู้นี่ทำให้เพื่อนเขาหายไปล่ะ..?
หากรู้ถึงบางสิ่งที่หลบซ่อน แล้วเขาจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญของตนไปอีกครั้งล่ะ
คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเงียบ เก็บซ่อนความสงสัยทั้งปวงลงไปในส่วนลึกของหัวใจตน โถมทับความจริงทั้งหมดด้วยความเห็นแก่ตัว..ที้เรียกว่าไม่อยากจะเสียบางสิ่งไป
เวลาผ่านไปไม่นานนัก รอยยิ้มกลับมาเกลื่อนบนใบหน้าของชายหนุ่มดังเดิม “...แผลหายเร็วจังครับ ดีแล้วล่ะ.. เดี๋ยวผมตัดไหมออกเลยก็แล้วกัน ไม่งั้นจะอยู่ให้เจ็บเปล่าๆ....”
ว่าจบก็ควานลงไปในกล่องอุปกรณ์ หยิบกรรไกรตัดไหมขึ้นมาแล้วไล่ตัดไหมบนร่างของเด็กหนุ่มผมขาวเหลือบม่วงอย่างเบามือ เนลล่าลอบถอนหายใจที่เจ้าตัวไม่ได้ถามเขาต่อเรื่องแผลหายเร็ว ทั้งลอบมองการกระทำของชายหนุ่มที่ดำเนินไปอย่างคล่องแคล่วและเบามือ..ในเวลานี้รีเรทช่างจริงจัง ต่างกับเวลาอื่นที่ดูล่อกแล่กไร้ความมั่นใจในตัวเองจริงๆ
ที่จริงเนลล่ามีเรื่องอยากคุยกับรีเรทอยู่เยอะเหมือนกัน อย่างน้อยแค่คุยเล่นก็ยังดี แต่บัดนี้เสียงของเขายังไม่กลับมา ครั้นจะสื่อสารทางจิตก็คงทำไม่ได้ เด็กหนุ่มร่างบางมองไปรอบกายหาสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดตน ก่อนจะไปสะดุดเข้าให้กับสมุดเล่มหนึ่งและปากกาสีน้ำเงินทรงสวยที่วางอยู่บนโต๊ะคางเตียงของตน
“......? เนลจะเอาอะไรเหรอครับ” เงยหน้าขึ้นมาระหว่างที่กำลังตัดไหมอย่างระมัดระวัง พร้อมกับมองไปตามสายตาของเด็กหนุ่มร่างบาง ก่อนจะเข้าใจถึงจุดประสงค์เมื่อเห็นสมุดงานของตนและปากกาที่วางไว้ในสายตาของเด็กหนุ่มร่างบาง มือเรียวบางชะงัก กำลังจะละจากงานที่ทำอยู่แต่ก็นึกได้ว่าถ้าตัดค้างไว้แล้วไหมผลุบเข้าไปอยู่ในร่างกายจะเป็นอันตราย เจ้าตัวก็เลยรีบตัดไหมให้เสร็จสิ้นพร้อมกับทำความวะอาดและพันผ้าพันแผลใหม่ ก่อนจะหยิบสมุดกับกระดาษมาให้เด็กหนุ่มร่างบาง “เชิญครับ”
เนลล่าพยักหน้าขอบคุณ ขีดเขียนตัวอักษรลงไปแล้วยกขึ้นให้อีกฝ่ายมอง
ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ
รีเรทมองตัวอักษรนั้น อ่านทวนสองรอบ มองรอยยิ้มของเพื่อน แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา “อะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ว่าแต่คุณอิลเวสกับคุณเพื่อนผมเขียวหายไปไหนเหรอครับ”
ไม่รู้สิ เขาลากกันออกไปข้างนอกสองคนแล้ว ทิ้งผมไว้นี่คนเดียวเฉยเลย
เนลล่าเขียนพลางทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย มองใบหน้าขบขันของรีเรทอย่างนึกชอบใจ ก่อนจะได้รับคำตอบรับตัวอักษรที่สื่อสารออกมาด้วยคำปลอบสบายๆ “น่า เอาเถอะครับ คุณเพิ่งหายจากอาการป่วยเขาก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว ที่ออกจากห้องไปคงเพราะไม่อยากรบกวนนั่นแหละ”
เนลล่าฟังก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับความจริง ก่อนจะต้องวางปากกาลงบนตักที่ปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนาแล้วรับเสื้อตัวใหม่มาสวมพร้อมผงกหัวขอบคุณ
เนลล่าคลี่เสื้อตัวใหม่ที่มีกลิ่นหอมของน้ำยาซักผ้าออก ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่ามันเป็นเสื้อแนบเนื้อแขนกุดสีดำกว้านคอลึกเห็นแผ่นอก..นี่รีทเอาเสื้ออะไรมาให้ผมใส่เหรอครับ!!
รีเรทที่เห็นหน้าของแขกคนสำคัญดูห่อเหี่ยวลงก็ชะงัก ถอนหายใจแล้วทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ก่อนจะดึงเสื้อตัวนั้นออกมาแล้วหยิบเสื้ออื่นให้แทน “เสื้อนั้นพี่เอลส์เตรียมไว้ให้น่ะครับ ..คือ เขามีรสนิยมไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่ เอาตัวนี้ไปแทนเถอะครับ”
เนลล่ารีบคืนเสื้อในมือให้แล้วรับตัวใหม่มาทันที...เสื้อสีขาวแขนสั้นเนื้อบาง ดีกว่าตัวเมื่อกี้เยอะเลย
คุณเอลส์นี่รสนิยมเหลือรับจริงๆนะครับ
เนลล่าอดพูด..หมายถึงอดเขียนลงไปไม่ได้ และดูเหมือนรีเรทก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“ผมก็สงสัยเหมือนกันครับว่าเขาไปเอารสนิยมแบบนั้นมาจากไหน แต่ว่า..มันก็เข้ากับเขาดีนี่ครับ?”รีเรทว่า ทำเอาเนลล่าต้องรีบคิดตาม..มันก็เข้ากับร่างเล็กๆแบบนั้นจริงๆนั่นล่ะ ถึงลักษณะนิสัยกับท่าทางจะทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม โดยเฉพาะเวลาใส่ชุดทำงาน ต้องยอมรับว่าดูดีจริงๆ..
แต่ก็นิสัยเหลือรับอยู่ดีนั่นล่ะครับ
เนลล่าเขียนหน้าตาย ทำเอารีเรทหลุดหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะต้องรีบแล้วเอ่ยต่อไปทันที “เก็บเป็นความลับอย่าให้รอดไปถึงหูพี่เขานะครับ ไม่งั้นผมต้องโดนโกรธแน่เลย”
ไม่บอกหรอก ผมก็ไม่เสี่ยงให้เขาฆ่าผมเหมือนกัน น่ากลัวน้อยซะเมื่อไหร่
เด็กหนุ่มยิ้มพลางหัวเราะ ถึงไม่มีเสียงแต่ก็ดูออกว่ากำลังสนุก เนลล่าอยู่กับอิลเวสมาตลอด ไม่มีเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเลยซักคน..แล้วอิลเวสก็อยู่มาห้าร้อยกว่าปี ยิ่งกว่าปู่ทวดเสียอีก
แต่ที่แน่ๆคือเด็กหนุ่มไม่เคยคิดอยากสนิทกับใคร เพราะเวลาที่ได้สนิทกัน ยามจากกันมันเจ็บปวด
แต่กับรีเรท เขารู้สึกว่าคุยด้วยสนุกเหลือเกิน..รู้สึกชอบอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนความรู้สึกที่ผลักไสตลอดมาค่อยๆแทรกซึมลงในหัวใจ
..จะเรียกว่าคุยได้รึเปล่า เนลล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ท่ามกลางความเบื่อหน่ายนี่....รีทเป็นเพื่อนคุยที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว
เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
.
.
นับจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว
ทั้งวาจาที่มักดุว่าอย่างไม่จริงจัง
ทั้งเสียงหัวเราะสดใสที่มีให้เขาเสมอมา
ทั้งรอยยิ้ม...ที่พร้อมจะมอบให้ยามรู้สึกเดียวดาย
จากนี้ต่อไป จะเหลือเพียง ภาพความทรงจำ
ที่จะหลอกหลอนเขาไปตลอดกาล
เสียงนั้น ความทรงจำนั้น ยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวันวาน..
‘อีวานนนน ช่วยไปส่งของให้ที่เขตบุปผาสะพรั่งทีสิ’ เสียงออดอ้อนของคนไม่เคยขอร้องใครดังขึ้น เรียกรอยยิ้มน้อยๆจากผู้ที่มีใบหน้าเหมือนเขาทุกประการ ชายหนุ่มร่างเล็กเช็ดมือที่เปื้อนน้ำยาฆ่าเชื้อลงกับผ้าสะอาดแล้วเดินมาทางฝาแฝดของตน มองของในมืออีกฝ่ายแล้วส่ายหัวอย่างเอือมระอา ‘ใช้ผมอีกอีกแล้วนะเอลส์’
‘น่า อีวาน ช่วยหน่อยนะ’ชายหนุ่มยังคงออดอ้อนต่อไป ไม่สนว่าใครจะช๊อคตายยามเห็นคนดื้อด้านนิสัยเสียอย่างเอลส์ทำหน้าเป็นเด็กๆไป ดวงตาสีฟ้าครามมองหน้าแฝดตนที่ถึงทำหน้าดุแค่ไหนเขาก็รู้..อีกไม่นานเจ้าตัวจะใจอ่อนแล้วยอมไปให้เขาเอง
อีวานถอนหายใจ รับห่อของในมือมา ..เขตบุปผาสะพรั่ง เพราะอายปากที่จะพูดว่าย่านค้าหญิงบริการ มันจึงกลายเป็นคำศัพท์ที่พวกเขาสองคนบัญญัติขึ้นมาให้เข้าใจกันสองคนไป
เอลส์ทำงานในปราสาท เป็นขุนนางคอยช่วยเหลืองานท่านผู้ครองเมือง ดังนั้นจึงมีบ้างที่ต้องเดินทางส่งสาร แต่เอลส์เกลียดย่านที่ไม่ให้ความเคารพเพศหญิงแบบนั้น เวลามีงานอะไรที่ต้องเข้าไปเขตนั่นถึงต้องโยนงานมาให้เขาทุกที
แต่แน่นอนว่าอีวานไม่ได้คิดรังเกียจอะไร
‘เข้าใจล่ะ ผมจะไปส่งให้ ..แล้วผมจะรีบกลับนะ’เอ่ยพลางยิ้ม ถอดเสื้อสีขาวโพลนออกพาดบ่นไหล่ของชายหนุ่มร่างบางที่มีส่วนสูงน้อยกว่าตน เอลส์ยิ้มสดใส ก่อนจะผงกหัวแล้วเอ่ยรับคำ
‘อืม’
ในวันนั้นเขากลับไปรออีวานที่บ้าน แต่ทว่า..รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่กลับมา..ไม่กลับมาทั้งอีวาน..ไม่กลับมาทั้งรีเรทที่ควรจะหมดเวรทำงานเสียตั้งนานแล้ว
ในวันนั้น..เขาได้แต่นั่งรอบนโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่าทั้งคืน
วันถัดมาเอลส์ก็ได้พบรีเรท ..ที่กลับมาบ้านด้วยดวงตาแดงช้ำราวกับผ่านร้องไห้มาอย่างหนัก..พร้อมดวงตาที่เลื่อนลอย
..และข่าวที่รู้วันนั้นทำให้เขารู้สึกชาเยียบไปถึงขั้วหัวใจ..
พี่อีวานตายแล้ว
เสียงแหบแห้งราวกับหมดแรงที่จะดำรงอยู่อีกต่อไปนั่นยังดังติดหูแม้กระทั่งตอนนี้
เรื่องราวผ่านมานานแล้ว..สองปี...สำหรับหลายคนคงนานเกินพอ
..แต่แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังเฝ้าโทษตัวเองเป็นร้อยครั้งพันครั้งว่าไม่ควรปล่อยอีวานให้เดินออกไป
แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคิดอยู่เสมอ หากเป็นเขาที่ไปที่นั่นแทนอีวาน บางทีฝาแฝดของเขาอาจไม่ต้องตาย..ไม่ต้องตายอย่างทารุณแบบนั้น
หากย้อนเวลาได้ เขาจะแก้ไขทุกอย่าง จะปกป้องอีวานด้วยชีวิต ด้วยสองมือที่ไร้กำลังเหลือเกินของตัวเองนี้
แต่เวลาไม่เคยย้อนกลับได้ ทุกสิ่งหมุนเวียนไปตามกระแสเวลา บัดนี้เขาจึงได้แต่คร่ำครวญ คร่ำครวญถึงช่วงเวลาที่จะไม่มีวันหวนกลับมาอีกชั่วนิรันดร์
อีวาน...
หากในตอนนั้นฉันจะรู้ซักนิดว่าต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ฉันคงตายแทนนายซะ ฉันคงจะไม่ขอร้องให้นายเป็นธุระไปที่แห่งนั้นแทนตัวเอง ..ฉันคงจะเป็นฝ่ายที่ไปเอง
หากเพียงเวลาจะหวนคืนย้อนกลับมาซักครั้ง ฉันจะขอตายแทนนาย
ตายแทนนาย.....
.
.
.
“คุณเอลส์!”
“อะ..หืม? ว่าไง มีอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยถาม สะดุ้งเฮือกหลุดออกจากภวังค์ของตน พร้อมเงยมองร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้มัศักดิ์เป็นลูกน้องของเขาอย่างสงสัย ก่อนจะเบิกตาอย่างเข้าใจเมื่อเห็นกองเอกสารในมือของชายหนุ่มร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้องของตน “วางไว้บนโต๊ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ว่าพลางโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายจากไป ใช้มือเสยบผมโดยไม่แมแต่จะมองหน้าผู้ที่เดินเข้ามา หากเป็นคนอื่นคงชักสีหน้าแล้วรี่จากไปด้วยความโกรธา แต่กับผู้ที่ทำงานกับเอลส์มานาน..กิริยาแค่นี้ไม่ได้กระตุ้นต่อมอารมณ์ของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณเอลส์ดูเหม่อลอยนะครับ ไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า! จะไปทำงานก็ไปเถอะ”ออกเสียงห้วน แล้วโบกมือไล่แรงกว่าเก่า ร่างสูงโปร่งเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองยืนลังเลซักครู่ ก่อนจะโค้งกายแล้วออกไปจากห้องแต่โดยดี
เอลส์ที่เห็นลูกน้องเดินออกไปแล้วถอนหายใจ ลูบใบหน้าของตนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ..ห่างจากเอกสารซักพักดีกว่า ไม่งั้นเขาคงจะฟุ้งซ่านมากกว่านี้
เพราะคนที่ตายไปคนที่สี่เป็นคนสำคัญของเมือง การสืบสวนถึงยิ่งเร่งและรุนแรงมากขึ้น เขาที่มีหน้าที่ตรวจเอกสารเลยพลอยต้องมานั่งรับรู้ไปด้วย..ทำเอาฝันถึงฝาแฝดของตนขึ้นมาเลยทีเดียว
ชายหนุ่มหลุบตาลง ถอนหายใจ..เรื่องมันผ่านมาแล้ว เขาอาจต้องลืมซะที
ถึงจดจำไปก็ไม่ได้อีวานกลับคืนมา ถึงเจ็บปวดไป..ก็นังแต่ทำให้ความสัมพันธืของเขากับรีทพังลงไปยิ่งกว่าเดิม
แต่แล้วเจ้าของเรือนผมสีทองสวยก็เป็นอันต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างคุ้นตาลอยวูบผ่านหน้าของตนไป
เอลส์ขมวดคิ้วสงสัย มือเรียวเล็กรีบเปิดหน่าต่าง โผล่หัวออกไปพร้อมมองตามร่างซึ่งวูบผ่านหน้าตนไปเมื่อไม่กี่วิที่ผ่านมา
ดวงตาสีฟ้าครามกระพริบปริบ ทั้งตกใจทั้งไม่อยากเชื่อ
..นั่นเขาตาฝาดหรือเปล่า..ไอ้ที่กระโดดเหยงๆอยู่นั่นมันอิลเวสชัดๆ!!
+++++++
“ถึงมาทีนี่ก็ไม่มีคำตอบหรอกนะ เทวดาตกสวรรค์”
เสียงหวานดังมาจากหลังม่านสีเหลืองอ่อนพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ภายในห้องนั้นสว่างจ้าด้วยแสงเทียนหากไร้ซึ่งแสงสุริยาที่สาดต้องลงมา ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของดวงตาสีม่วงสวยยืนพิงกายกับหน้าต่าง ทอดดวงตาคู่คมมองเงาร่างสีดำที่มองเห็นได้เลือนรางผ่านม่านสีเหลืองสดใสผิดกับบรรยากาศอันสงบนิ่งที่โรยตัวอยู่รอบกาบ
..นายหญิงของหอที่นี่แต่ละคนหาธรรมดาไม่ได้เลยหรือไงนะ..?
คิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ จริงอยู่เขาไว้ใจนายหญิงแห่งหอบุปผาโปรยมากกว่ามาดามกลาเดีย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนประเภทเปิดเผยจริงใจ อันที่จริงเทวดาหนุ่มเคยลงความเห็นกับเพื่อนไนท์แมร์แล้วด้วยซ้ำ..ว่าผู้หญิงถิ่นนี้น่ากลัวกันทุกคน
“ผมไม่ได้มาเอาคำตอบ แต่จะมารอคุณซึ่ง..น่าจะรู้อะไรหลายอย่างหลุดปากพุดออกมา”ชายหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มเยือน... เจ้าเล่ห์มาก็เจ้าเล่ห์ตอบ ไม่ยากหรอกสำหรับคน..สำหรับเทวดาอย่างเขา อันที่จริง ออกจะสนุกด้วยซ้ำไป “คราวก่อนคุณยังหลุดเรื่องของเผ่าแสงจันทร์มาได้เลย”
“นั่นเพราะเธอโกงหรอก”เสียงหวานเอ่ยไม่พอใจ แต่ไม่ได้แฝงแววโกรธา “ใครใช้ให้เธอสาธยายเรื่องที่ตัวเองรู้มา...ทำเอาฉันคิดถึงบ้าน”
น้ำเสยงนั้นคล้ายง้องอนคล้ายกล่าวโทษ แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มยิงคำถามออกมาว่า
“ตกลงคุณไม่ใช่เผ่าแสงจันทร์งั้นหรือ”
“คิดว่าใช่หรือไม่ใช่ล่ะ?”เอ่ยตอบยียวน ไม่ทั้งรับและปฏิเสธ ท่าทางและการกระทำที่ทำให้ไลบราลีขมวดคิ้ว คิดถึงใครอีกคนที่เคยตอบมาคล้ายๆแบบนี้ขึ้นตะหงิดๆ
หรือว่าที่จริงคนเผ่าแสงจันทร์นิสัยแบบนี้กันหมดทุกคน?
“หืม...แขกคนใหม่มาแล้วแฮะ”
เสียงหวานเอ่ยคล้ายกึ่งประหลาดใจกึ่งดีใจ เงาร่างหลังม่านสีเหลืองอ่อนขยับกาย ก่อนสายลมจะพัดผ่านวูบหนึ่ง ดับแสงเทียนทั้งปวงในห้องให้ดับพรึ่บโดยพร้อมเพรียงกัน ดวงตาของไลบราลีมืดบอดไปชั่วขณะเมื่อแสงเทียนดับไปพร้อมสายลมแรงจัดที่พัดกระโชกจนต้องหลับตาลง แต่ไม่ทันจะปรับสภาพให้คุ้นชินกับความมืด แสงเทียนก็ถูกจุดขึ้นใหม่พร้อมกันด้วยเสียงดีดนิ้วจากสตรีหลังม่านสีเหลืองนวล ไลบราลีที่เพิ่งหลับตาไปค่อยๆเบิกตาขึ้น ยิ้มกว้างอย่างแปลกใจเมื่อพบร่างคุ้นตาค่อยๆโรยตัวลงมานังกึ่งกลางห้องที่สว่างไปด้วยแสงเทียน
ร่างนั้นมีเรือนผมสีน้ำเงินเข้มยาวคลอไหล่ ร่างกายสูงสมส่วน ทั้งกายสวมใส่ด้วยอาภรณ์สีขาวโพลน ..เจ้าของร่างนั้นโรยตัวลงมายังพื้นดิน กระทั่งเหยียบได้มั่นคงดีแล้วจึงลืมตาขึ้นมา..เผยเนตรสีทองคมปราดเย็นเยียบไร้อารมณให้ปรากฏแก่สายตา
“อิลเวส ลินสแตรงก์”ไลบราลีพึมพำชื่อของอีกฝ่าย เรียกสายตาของชายหนุ่มร่างสูงให้หันมอง
“.......ที่นีที่ไหนน่ะ”หันไปถามชายหนุ่มด้วยแววตาที่แฝงความสงสัย ไลบราลีที่เห็นร่างสูงใหญ่โรยตัวลงมาทั้งที่ตัวเองไม่รู้ว่าคือที่ไหนอ้าปากค้าง แต่ก่อนจะได้ถามไถ่หรือบอกกล่าวอะไร เสียงหวานหลังม่านก็เอ่ยขึ้นมาซะก่อน “..จันทร์เสี้ยว?”
เสียงนั้นทำให้อิลเวสชะงักไป
“เสียงนั่น..........”เจ้าของเนตรสีทองคมพึมพำ คิ้วเรียวขมวดมุ่น..ประหลาดใจ “เดือนมืด??”
“ถูกต้อง ไม่นึกว่าจะได้พบกันอีก..ไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยจริงๆ”เสียงหลังม่านเอ่ย ก่อนที่มือเรียวจะปรากฏขึ้น ผลักม่านทั้งหมดออกช้าๆจนเผยร่างที่ซ่อนอยู่ใต้ม่านสีเหลืองสบายตา
“....เฮ้ย!!”
เสียงอุทานนั่นเป็นของไลบราลีที่ล้มฟาดลงไปกับพื้นหลังเห็นร่างที่แท้จริงของนายหญิงแห่งหอบุปผาโรย..ไม่ได้สวยจนน่าตกใจ..ไม่ได้อัปลักษณ์จนเชื่อไม่ได้..
แต่นั่นมัน..เด็กชัดๆ!!
ร่างหลังผ่าม่านคือเด็กหญิงคนหนึ่ง เรือนผมสีมพูอ่อนส่องประกายสวยเรียงตัวยาวยวงลงปรกพื้น ดวงตากลมโตทะเล้นสีทองแฝงเสน่ห์อย่างผู้ใหญ่นั้นช่างไม่เข้ากับร่างเล็กป้อมของเด็กหญิงวัยไม่เกินสิบสองปี บนร่างนั้นสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าอ่อน มิดชิดอย่างที่ดูเข้าท่ากับร่างเด็กหญิงผู้ร่าเริง...นายหญิงแห่งหอบุปผาโปรยยิ้มกว้าง ก้าวเดินเข้าหาชายหนุ่มซึ่งปรากฏตัวพร้อมสายลม
“ยินดีที่ได้พบ เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์”เด็กหญิงเอ่ย เงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูง ก่อนดวงตาจะเสมองไปทางชายหนุ่มร่างโปร่งที่ล้มลงไป “อ๊ะ.. โทษที ลืมไปว่ามีคนอยู่ด้วย”
“ช่างเถอะ เพราะคิดจะบอกอยู่แล้ว”อิลเวสเอ่ยราบเรียบ หันไปมองชายหนุ่มร่างโปร่งที่ล้มโครมลงไปกับพื้นแล้วยังไม่ยอมลุกขึ้นมาอย่างงุนงง “ไลบราลี ที่นี่ที่ไหน”
“นายมาที่นี่โดยที่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเนี่ยนะ?”ไลบราลีอดแยบกัดไม่ได้ แต่ดูเหมือนอิลเวสจะแค่หรีตาลงมองด้วยท่าทางยะเยือก..แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบตามประสาคน
“ก็เพราะว่าฉันใช้เวทย์ตามรอยนามาน่ะสิถึงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วจะตอบมาได้หรือยัง”
“..ห้องของนายหญิงหอบุปผาโปรย”คนที่เอ่ยตอบเป็นเด็กหญิงข้างกาย ได้ยินดังนั้นอิลเวสจึงหันมองไปรอบด้านหาเจ้าของห้อง ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาอีกที “ไม่ต้องมอง ฉันนี่แหละ นายหญิงลีน่า แห่งหอบุปผาโปรย”
ชายหนุ่มร่างสูงมองมาที่เจ้าของเสียง และพบกับเด็กหญิงที่กำลังชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพร้อมยิ้มฉแงอย่างแสนกวน
คราวนี้อิลเวสไม่ได้ล้มโครมตามไลบราลีไป แต่จับโต๊ะแถวนั้นแล้วค้ำไว้เพราะตกใจแทน
“......สารรูปนั้นมันอะไร”ชายหนุ่มร่างโปร่งเจ้าของเรือนผมสีเขียวประกายอดจะถามคนรู้จักไม่ได้ ในขณะที่พวกเขาสามคนนั่งล้อมวงอยู่บนโต๊ะกลมโดยมีชาส่งกล่นหอมกรุ่นวางอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าผู้ที่ดื่มหน้าระรื่นมีเพียงเจ้าของห้องคนเดียว..ส่วนที่เหลือ นั่งหน้าเครียดกระอักกระอ่วมไปตามๆกัน
..นายหญิงแห่งหอค้าหญิงบริการเป็นเด็ก...รู้ถึงไหน..กิจการพังพินาศถึงนั่น
“นี่เขารู้กันไหมว่าเธอเป็นนายหญิง”อิลเวสเอ่ยถามขึ้น ดูเหมือนจะคุ้นชินกับท่าทีมากเล่ห์ของเด็กหญิงพอควร ลีน่ายิ้ม ก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมจิบชาอย่างสบายใจ “คนที่รู้มีแค่สองสามคน นอกนั้นเวลาพบฉันก็ต้องพบหลังม่าน..ช่วยไม่ได้นี่ ตัวฉันมันดันไม่โตขึ้นมาเอง”
เจ้าตัวว่าพลางยักไหล่ไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปทางไลบราลี “ว่าแต่ แบบนี้เธอก็มีเรื่องต้องจ่ายฉันเพิ่มขึ้นแล้วนะ”
“ต้องจ่าย?”อิลเวสหันไปทางเทวดาตกสวรรค์ ไลบราลีตีสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างจนใจ “ฉันติดเขาสามเรื่อง...เรื่องเผ่าแสงจันทร์ เรื่องขอพักที่นี่ แล้วก็เรื่องที่ฉันรู้ตัวจริงของเขาได้ซะที”
“..นี่เธอเป็นคนบอกเหรอ?”อิลเวสถามเสียงเครียด แต่ลีน่าไม่ได้สำนึกผิดแต่อย่างใด “ช่วยไม่ได้นี่ หลุดปากก็คือหลุดปาก อีกอย่างถึงใครรู้ไปเธอก็ไม่โดนล่าหรอก เลือดอย่างอื่นกลบเลือดเธอมิดแล้ว...ใช่ไหมล่ะจันทร์เสี้ยว”
“...หึ....”อิลเวสแค่นหัวเราะ ไม่ได้ตอบโต้อะไรไป ก่อนจะหันไปทางไลบราลีอีกครั้ง “นายรู้ไหมว่ามีดนี่เป็นของใคร?”
อิลเวสวางมีดเปื้อนเลือดลงบนโต๊ะ เสียงแคร้งเบาๆดังขึ้นเมื่อมีดถูกวางลง ความเงียบครอบคลุมพร้อมความสนใจของดวงตาสามคู่ที่ตกลงไปดังวัตถุดังกล่าว มีดนั่นมีกลิ่นของดอกไม้ซึ่งลอยออกมาจากจุดที่เลือดแห้งกรังไป ตัวมีดยาวสวย คมกริบ ด้ามขัดเงาประดับอัญมณี ..มีดที่เนลล่ากำแน่นไม่ยอมปล่อยในวันนั้น
เด้กหนุ่มถูกอุ้มกลับมาโดยอิลเวส ชายหนุ่มแล่นมาถึงหอบุปผาโปรยที่พวกเขารออยู่แล้ววางเนลล่าลงด้วยสายตาเลื่อนลอย เด็กหนุ่มหน้าซีด เสียงลมหายใจโรยริน ทีแรกถึงจะตกใจแต่ไลบราลีก็ไม่ได้คิดมากในเมื่อเนลล่าไม่มีวันตาย..แต่แล้วเขาก็ต้องคิดใหม่เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนจะตายของผู้พรากความตายอีกคน
หญิงสาวคนหนึ่งแนะนำให้รีบพาไปสถานพยาบาล แต่อิลเวสส่ายหน้า..ถึงภายนอกจะเหมือนมนุษย์แต่ร่างกายหลายส่วนหากตรวจดูคงรู้ว่าไม่ใช่มนุษย์จริงๆ..เสี่ยงเกินไป ทั้งเขาและทรูธไม่ได้ถามเพราะต่างรู้ดี
ในเมื่อไปสถานพยาบาลไม่ได้ อิลเวสจึงตัดสินใจจะพาเนลล่าไปคฤหาสน์เฟรริดส์ที่อยู่ไกลออกไปแทน และถือว่าตัดสินใจถูก เพราะนายน้อยของคฤหาสน์เป็นหมอ..ดูแลเนลล่าได้ดี ทั้งดูจะยอมปิดหูปิดตาในความแปลกประหลาดมากมายของผู้พรากความตายหนุ่มน้อยหลายเรื่องเสียด้วย
..เสียอย่างเดียว นายน้อยคนพี่ด่าเจ็บดีแท้ ทำเอาเขาอยู่ไม่ได้ต้องแล่นกลับมาหอบุปผาโปรยเลยทีเดียว
“รู้ไหม?”เสียงของชายหนุ่มเนตรทองเจาะเข้ามาในภวังค์ ไลบราลีเงยขึ้นจ้องใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้ามองมีด รับมาถือแล้วบิดไปมาอย่างช้าๆ...จ้องดูรายละเอียดอย่างตั้งใจ
“..รู้”ชายหนุ่มพึมพำ มองด้ามดาบแล้วยิ้มเผล่ “ฉันจะบอกให้แล้วกัน เพราะวันนี้ฉันได้รู้ซักทีว่ามีคนรู้จักสองคนเป็นเผ่าแสงจันทร์จริงๆ...”
จันทร์เสี้ยวกับเดือนมืด..ถ้าเขาเดาไม่ผิดก็คงใช่ คำเรียกในหมู่เผ่าแสงจันทร์
“อันที่จริงก็ไม่เชิง”
“เงียบไป ลีน่า”เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มเอ่ยเสียงแข็ง
“...เฮอะ”ลีน่ากลอกตา ท้าวคางผิดกิริยาเด็กแล้วรอดู
“นี่เป็นของที่จอมเวททำ มีอยู่สิบสามเล่ม ตัวมีดคมกริบไม่มีวันสึกไม่มีวันทื่อ..สุดยอดอาวุธต่อสู้เลยล่ะ จำได้ว่าผู้ครองเมืองมอบให้คนสิบสามคนที่เชื่อใจได้พร้อมลงหมายเลขไว้..นี่เป็นเลขสิบ ตรวจสอบหน่อยก็จะรู้...ว่าเป็นของใคร ที่ตึกทหารนั่นก็น่าจะมีข้อมูล”
อิลเวสพยักหน้า เอื้อมมือเก็บดาบ ลุกขึ้นจากโต๊ะเตรียมจะไปหาข้อมูลต่อ ก่อนจะชะงักไปด้วยคำพูดของเด็กหญิงร่างบาง
“แล้วตอนนี้นายรู้อยู่แล้วล่ะสิ ว่าดาบนั่นเป็นของใคร”เด็กหญิงเอ่ยเจื้อยแจ้ว มองใบหน้าตกใจของชายหนุ่มทั้งสองคนแล้วยิ้มกว้าง “ไลบราลี..ไลบราลีเอ๊ย..คบกันมากี่ปีคิดว่าฉันจะมองไม่ออกเหรอว่านายงำข้อมูลไว้มากกว่านั้น”
คำพูดที่ดังออกมาทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหรี่มองร่างของคนมากเล่ห์จอมกวน
“.....น่า อย่ามองแบบนั้นสิ”ไลบราลีหันทางอิลเวสที่ชักหรี่ตามองตน สองืมอยกขึ้นยอมแพ้พร้อมหัวเราะแห้งๆ “ก็เห็นว่านายไปหาเองได้ถึงได้ไม่พูด ไม่งั้นก็มีของต้องจ่ายอีกนะ คุณอิลเวส..ว่าแต่ทำไมรีบแบบนี้ล่ะ ฉันว่าอย่างนายน่ะใช้เวลาซักหน่อยก็น่าจะรู้แล้วว่ามีดนี่มีความหมายยังไง ไม่ต้องมาถามเอาจากฉันโดยตรงเลย”
อิลเวสมองด้วยแววตาสงบนิ่ง ดวงตาหลุบลง..ร้อนใจ
เส้นตายคือคืนวันพรุ่งนี้....คืนพระจันทร์เต็มดวง
“ไม่มีเวลาแล้ว”ชายหนุ่มว่า ก่อนจะถามออกไป “ต้องการอะไร”
“หืม?”
“ของตอบแทนในสิ่งที่นายจะให้ฉัน”
ไลบราลีเบิกตาหน่อยๆอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆอย่างคนที่เหนือกว่า “ข้อมูลอะไรก็ได้เกี่ยวกับเผ่าแสงจันทร์..อย่างเช่น คำพวกนั้นก็ได้..จันทร์เสี้ยวกับเงามืดอะไรนั่นน่ะ”
อิลเวสขมวดคิ้ว อ้าปากกำลังจะอธิบาย แต่คนที่พูดขึ้นมากลับเป็นเด็กหญิงที่ไม่เคยนั่งเงียบในวงน้ำชาเล็กๆกลางแสงเทียน
“ ‘จันทร์เสี้ยว’ กับ ‘เดือนมืด’ เป็นชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกผู้ที่เกิดมาพร้อมพลัง จริงๆแล้วก็มี ‘เดือนเพ็ญ´กับ ‘ครึ่งดวง’ ด้วย ..แต่เอาเป็นว่าฉันจะสาธยายเฉพาะกลุ่มพลังของฉันกับจันทร์เสี้ยวก็แล้วกัน
พลังในที่นี้จะผสมผสานระหว่างพระจันทร์และรัตติกาล การควบคุมพระจันทร์จะทำให้เราได้ยินเสียงกระซิบของพระจันทร์..รู้คำทำนาย มีลางสังหรณ์ มีพลังอื่นๆที่แปลกประหลาด. ส่วนรัตติกาล้ป็นพลังของการโจมตี เป็นการควบคุมธาตุที่มีสัญษกับห้วงรัตติกาล ...พลังของจันทร์เสี้ยวจะผสมผสานระหว่างพลังทั้งสอง แต่มีพลังมืดมากกว่าสามในสี่..ตามชื่อเรียกของพระจันทร์ ส่วนฉันเป็นคืนเดือนมืด..มีพลังของราตรีที่บริสุทธิ์
ที่จริงคำนี้ใช้เรียกกันเวลาที่พบหน้ากับเลือดเดียวกันครั้งแรก เพราะพลังเป็นสิ่งที่พวกเรารู้สึกก่อนสื่งแทนตัวตนอื่นใดของเผ่าแสงจันทร์ ดังนั้นหากรู้จักกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเรียก..แต่..ในกรณีของฉันกับอิลเวสน่ะมีเหตุจำเป็นนิดหน่อย ก็เลยเรียกกันจนชินปากไปเอง..ก็ประมาณนั้นล่ะ...”
“แล้วทำไมเธอกับอิลเวสถึงมีตาสีทองล่ะ?ชายหนุ่มเอ่ยถาม เด็กหญิงที่จิบชาอยู่หลังร่ายยืดยาวเลิกคิ้ว อิลเวสที่ทำท่าจะตอบได้จึงเอ่ยปากด้วยร้อนใจในข้อมูลที่ตนต้องการ“นั่นเพราะ..............”
แต่เด็กหญิงร่างเล็กกลับว่าขัดขึ้น
“....ครั้งหนึ่งราชินีผู้ครองดินแดนรัตติกาลเคยบอกไว้...”
....
วันหนึ่งข้าคงไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกเจ้า วันหนึ่งดินแดนนี้คงล่มสลาย .
วันหนึ่งราตรีคงพินาศ และสุริยาเข้าครอบครองสิ่งทั้งปวง
พวกเราเป็นรัตติกาล เป็นสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัว ดังนั้นท่านทั้งหลาย...ข้าจะไม่รั้งท่านไว้ ไม่รั้งท่านยามท่านคิดว่า..อาณาจักรแห่งนี้ไม่อาจมอบสิ่งใดให้ท่านได้อีกแล้ว
อย่าได้กังวลว่าจะพบปัญหา..เมื่อไหร่ที่อาณาจักรนี้ล่มสลาย เมื่อใดที่ใจท่านปรารถนาจะกลายเป็นเพียงคนธรรมดา..มิใช่เผ่าแสงจัทนร์ที่มากอำนาจราวมิใช่คนอีกต่อไป ดวงตาของท่านจะเปลี่ยนไป..จะกลายเป็นสีของพระอาทิตย์....สีทองของสุริยา..
สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้สองกรณีเท่านั้น กรณีแรกคือท่านปรารถนาจะทิ้งอำนาจไปเอง และกรณีที่สอง
..คือกรณีที่ดินแดนของผองเราล่มสลาย..และข้าไม่มีวันกลับคืน
เพื่อปกป้องพวกเจ้าจากอันตรายทั้งปวง ข้าจะเตรียมหนทางไว้ให้เอง..
...
“...ราชินีแห่งความมืดก่อกำเนิดจากกุหลาบพันปี ลึกเข้าไปในป่าสนธยา”เด็กหญิงเอ่ย ดวงตาคล้ายตกลงในภวังค์ฝัน..อดีตอันแสนไกล “ดังนั้นนางจึงไม่เคยกลายเป็นคนใหม่ ถึงจะกำเนิดและสิ้นสลายกี่คราก็ยังคงเป็นนางคนเดิม..แต่วันหนึ่ง..นานยิ่งกว่าที่ฉันหรืออิลเวสจะเกิดทัน ราชินีเคยพูดเอาไว้..เป็นคำสาป..คือคำประกัน ว่าแม้ตนจากไปแล้วก็ยินดีจะปกป้องตลอดไป..
พันปีก่อนอาณาจักรล่มสลาย..ผู้ที่เหลือรอด..ดวงตาต่างก็เปลี่ยนสีไป....เปลี่ยนเป็นสีทอง”
สองผู้มาจากเผ่าแสงจันทร์แตะดวงตาของตน คล้ายจะตกลงไปในภาพลวงเดียวกัน ไลบราลีที่ดูบรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควักเอาเอกสารบางอย่างในอกมาวางโครมลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เอ่ยคำลา
“..ตัวอันตรายออกไปแล้ว”เด็กหญิงเอ่ย ละมือออกจากดวงตาของตนอย่างยากเย็น “ของท่านกี่ปี อิลเวส”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ในคราแรกๆไม้เข้าใจในคำถาม ก่อนจะคลี่รอยขมวดออกเมื่อเข้าใจความหมายในที่สุด ก่อนจะเอ่ยตอบ “ห้าร้อยปี”
“ของข้าแปดร้อยกว่าปี...พวกเราที่หลุดออกมาจากอาณาจักรรัตติกาล ‘ในตอนนั้น’ ถูกพัดปลิวไปคนละทิศทาง
คนละกระแสเวลา...”เด็กหญิงเอ่ย นิ้วเรียวป้อมลูบขอบแก้วชาอย่างคิดถึง “ข้ามาโผล่ที่นี่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว วิทยาการ ตำนาน เรื่งอเล่า แม้แต่คำพูด ข้าใช้เวลาแทบทั้งชีวิตเรียนภาษา อีกหลายปีเพื่อให้เข้าใจการดำรงอยู่ของคนในปัจจุบัน อีกทั้งร่างกายของข้ายังไม่ยอมเติบโตเพราะผลกระทบของการข้ามเวลา ...ถ้าข้าไม่ได้นายหญิงหอบุปผาโปรยคนก่อนช่วยไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว”
“ข้าไม่นึกด้วยซ้ำว่าจะใครถูกพัดออกมาอีก..แต่ดูเหมือนเด็กรุ่นเยาว์ทุกคนจะถูกพัดออกมาหมด”ชายหนุ่มเอ่ย จิบชาเย็นชืดอึกหนึ่งแล้ววางลง
“ราวกับเป็นแผนการ”เด็กหญิงเอ่ย ดวงตาหลุบลงเศร้าสร้อย “ราวกับจะให้ทางเลือกทั้งที่พวกเราไม่ต้องการจะจากมา..คนคนนั้นน่ะ..”
ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ
เพราะเพียงคิดถึง น้ำตาก็เหมือนจะไหลออกมา...
“ข้าวนเวียนเป็นนายหญิงหอบุปผาโปรยมาก็ร้อยปีแล้ว..แต่หัวใจกลับไม่ยอมลืมเลือนเสียที...”
“..ที่นี่มีมาเกือบร้อยปีแล้วหรือ?”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก “ได้ยินว่าลากูน่าเพิ่งกลายเป็นนครสายน้ำได้ไม่กี่สิบปี”
“ทุกสิ่งมีคำลวง”ลีน่าเอ่ยเสียงเรียบ ยกชาที่เย็นชืดแล้วขึ้นจิบ...เฝื่อนคอเหลือเกิน “แม้กระทั่งเรื่องเล่าของอาณาจักรรัตติกาลก็ยังมีคำลวงที่เจ้ากับข้าต่างรู้กัน..ยกเว้นคำลวงเดียวที่เป็นจริง..นางจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
ดวงตาสีทองกลมโตหลุบลงอย่างเศร้าสร้อย ทรมาน.... ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูงร่วมเผ่าพงศ์เดียวกัน “เจ้าไม่เสียใจหรือ ..นางเป็น.......”
“เวลาทำใจของข้าคือห้าร้อยปี และถึงไม่เสียใจแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะลืม”เสยงทุ้มเรียบเอ่ยตอบ ก้มมองโต๊ะด้วยดวงตาที่อ่านแววไม่ออก“หรือเจ้าว่าอย่างไร?.”
เด็กหญิงส่ายหัวช้าๆ...ความรู้สึกล้ำลึก..ตอกย้ำ..ทั้งคำพูดและท่าทาง“ไม่ลืมหรอก..ไม่มีวันลืม ไม่อาจลืม..”
เจ้าของรอยยิ้มของพระจันทร์..เจ้าของดวงตาอันสดใส....สิ่งแทนทดสุริยาซึ่งไม่วันเยี่ยมเยือน
สิ่งที่เผ่าแสงจันทร์สูญเสียไปตลอดกาล..
+++++
“อา..อา...อ้า..!เปล่งเสียงอย่างยินดีเมื่อดูเหมือนเสียงที่หายไปจะค่อยๆกลับมาแล้วหลังจากที่เสียหน้ากระดาษไปเยอะแยะเพราะเขียนคุยกับรีเรทอยู่นาน ชายหนุ่มเนตรฟ้าครามดูจะแปลกใจซักหน่อที่เส้นเสียงดูจะกลับมาเป็นปรกติได้เร็วจนกลัว แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำก็เพียงยิ้ม..ยินดีกับอาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆของเด็กหนุ่มร่างบาง
“ดูเหมือนเสียงจะเริ่มดีขึ้นแล้วล่ะครับ แต่ผมไม่มีเครื่องดูลำคอเลยไม่รู้ว่าเส้นเสียงกลับมาเป็นปรกติหรือยัง อย่างไรเสียก็พยายามอย่าพิ่งพูดตอนนี้จะดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะแย่งยิ่งกว่าเก่า”เอ่ยดักคอด้วยรู้ว่าเพื่อนผู้อ่อนเยาว์กว่าตนดูจะต้องการพูดคุยมากจนอาจทำให้เสียงแย่กว่าเก่า ส่วนคนที่กำลังจะอ้าเปากพูดต่อชะงักกึก สีหน้าบูดไปในทันที
“แต่..ผมก็พอพูดได้แล้วน...” เสียงแหบที่ออกโทนหวานดังออกมา ก่อนจะต้องไอโขล่กจนต้องหยุดความพยายาม แล้วหันกลับไปใช้สมุดเล่มบางที่กำลังจะหมดเพราะใช้พูดคุยไปหลายเรื่องแทน
น่าเสียดาย คุยผ่านสมุดแบบนี้ไม่สะดวกเลย
“ทนไxจนกว่าจะหายดีดีกว่านะครับ”รีเรมยิ้มคำ แระแถบผ้าพันคอที่ลำคอของเด็กหนุ่มออกแล้วยิ้มอย่างพอใจ “ไม่นานหรอกครับ บาดแผลที่คอเริ่มจางแล้ว อีกไม่นานคงหายดี”
เนลล่าผงกหัวรับคำ แล้วจึงเขียนคำพูดที่ตนต้องการสื่อสารลงในสมุดเล่มบาง
นี่ก็ย่ำบ่ายแล้ว ปรกติคุณเอลส์เลิกงานกี่โมงหรือครับ?
“ประมาณช่วงพระอาทิตย์ตกดินน่ะครับ ที่จริงผมเองก็เลิกช่วงนั้น แต่ผมลาหยุดมาสามวัน...อันที่จริงไม่เหมือนหยุดซักเท่าไหร่”
เพราะดูแลผมสินะ
“ไม่ใช่หรอกครับ! เพียงแต่ผมต้องจัดการเรื่องบัญชีเงินของคฤหาสน์ก็เลยรู้สึกเหนื่อยนะครับ ที่จริงมาพูดมาคุยกับเนลแบบนี้ก็ผ่อนคลายดีเหมือนกัน..”
เนลล่ามองสีหน้าของรีเรทแล้วยิ้มตอบ...เป็นประเภทที่ทำให้คนสบายใจจริงนั่นแหละ รีเรทน่ะ
..จะว่าไป
เนลล่าหยิบปากกาออกมาแล้วเขียนลงในกระดาษอีกครั้ง
ทำไมรีทถึงอยากเป็นหมอล่ะครับ?
“..เรื่องนั้น บอกตามตรงว่า..ผมชอบตามพี่ชายน่ะครับ”แกระแอมหน่อย รู้สึกเขินราวกับแป็นเรื่องน่าอาย ก่อนดวงตาคู่โตจะเปล่งประกายอ่อนโยน..คิดถึง “พี่ชายผม..พี่อีวานเป็นหมอที่เก่งมาก..ดังนั้นผมก็เลยตั้งมั่นมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ว่าอยากเป็นหมอ แล้วก็ได้เป็นสมใจ....จากนั้นผมก็เริ่มหลงใหลการดูแลรักษษคนอื่น ชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของคนไข้เวลาที่เขาหายดี..ถึงมันจะเจ็บปวดเวลาที่เราต้องทนเห็นคนที่เราดูแลตลอดตายไปต่อหน้าต่อตา แต่..ความรู้สึกที่ว่าได้ยืดชีวิตและรอยยิ้มของใครซักคนให้ยืนยาวต่อไปนั่น..ก็ทำให้ผมยืนหยัดขึ้นมา
ที่จริงก็แค่..ผมทำอย่างอื่นไม่ดีเท่าเป็นหมอนั้นเอง”
รีเรทเกาหลังคอด้วยความเขิน แต่เนลล่าแค่ส่ายหัว ยิ้มบางให้
เป็นเหตุผลที่เยี่ยมมากเลยครับ
“...ขอบคุณนะครับ”รีเรทรับคำด้วยรอยยิ้มสุขใจ ก่อนจะเอ่ยถามบ้าง “แล้วเนลล่ะครับ ทำไมถึงออกเดินทางล่ะ”
หากไม่สังเกตดีๆ ดูเหมือนความเศร้าจะฉายขึ้นในเนตรสีแดงทับทิมวูบหนึ่ง
ผมกำลัง..ตามหาของบางสิ่งอยู่ครับ..ของบางสิ่งที่สำคัญกับผมมากๆ...
"ตามหาอะไรอยู่หรือครับ" รีเรทเอ่ยถามอย่างสนใจ แต่เจ้าของดวงตาสีแดงทับทิมยิ้ม แล้วเอ่ยตอบอย่างมีเลศนัย
เป็นความลับครับ
“..งั้นเหรอครับ..แต่ว่าถ้าอย่างนั้น..”รีเรทพึมพำ สีหน้ามีแววของความเหงาปรากฏขึ้น “อีกซักพักก็คงจะไปแล้วสินะครับ”
เด็กหนุ่มมองหน้าที่เศร้าไปของเพื่อน รู้และเข้าใจความเหงาที่ต้องจากกันดี..แต่เด็กหนุ่มชินแล้ว ชินที่ต้องจากกันจึงไม่เจ็บปวดหัวใจ..แต่พอเพื่อนทำหน้าเศร้าแบบนี้ เด็กหนุ่มเนตรทับทิมก็อดห่วงใยไม่ได้
รีเรทเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าเพื่อนที่มองมาด้วยความห่วงใยแล้วยิ้มฝืน ก่อนจะมองเลยไปที่ในหนังืสอของเด็ฏหนุ่มร่างบาง
“จริงสิ ผมไม่เหงาหรอก”ชายหนุ่มเอ่ยร่าเริง “สมุดเล่มนั้น..ผมจะเก็บเอาไว้อย่างดี...เผื่อเวลาผมเหงาจะได้เอาออกมาอ่านยังไงล่ะ..จะได้คิดถึงช่วงที่เราได้พุดคุยกัน...เพราะฉะนั้นผมคงไม่เหงาหรอก เนลไม่ต้องห่วงนะครับ”
เนลล่ามองหนังสือในมือ..สิ่งที่แต่แรกเขามองว่าไม่มีค่าอะไรบัดนี้ดูเหมือนจะมีค่าขึ้นมาแล้ว เด็กหนุ่มเนตรทับทิมยิ้ม อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
รีเรทเนี่ยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเกินไปแล้วนะครับ
“แน่ล่ะ..ก็ชื่อของผมแปลว่าสายสัม....”คนกำลังอวดชื่ออย่างภูมิใจชะงักกึก
“อ้า!!”
ตะโกนร้อง แล้ววิ่งออกจากห้องไป ทิ้งเด็กหนุ่มผมขาวเหบืองม่วงให้นั่งอึ้งอยู่ในห้อง ก่อนจะพบกับร่างของชายหนุ่มผมดำทีวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ผมลืมไปเลย นี่ครับ ผมหาเอาไว้ พอดีมันว่างๆ”ว่าแล้วก็ยื่นเอกสารประมาณสองสามแผ่นให้เด็กหนุ่ม เนล่ารับมาไว้ในมือ ก่อนจะไล่อ่านสิ่งที่อยู่ในเอกสารอย่างตั้งใจ
..ดวงเนตรสีทับทิมกลมโตเบิกกว้าง
นี่มัน..
“ผมลองหาดูน่ะครับ..ควาวหมายของคำว่าเนลล่า ดูเหมือนในภาษาอื่นจะแปลได้หลายความหมาย ทั้ง “สิ่งสำคัญ” “เส้นทาง” “แสงสว่าง” มีแต่คำดีๆทั้งนั้นเลย..
ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่ตั้งชื่อให้เนลคิดว่าอยากจะตั้งความหมายแบบไหนให้ แต่ผมคิดว่า ต้องเป็นความหมายที่ดีแน่นอน..”
มันไม่ใช่แค่นั้น ความหมายไม่ได้จบแค่นั้น
ในนี้มีทั้งรากศัพท์ ทั้งภาษาที่เขาเคยศึกษาแต่ไม่คิดหาความหมายของชื่อตน
ทั้งที่เจ้าของชื่ออย่างเขายังไม่เคยสนใจเลยแท้ๆ..
แต่ทำไมนะ พอรู้ว่าความหมายของชื่อตัวเองมันมากมายและมากความหมายแบบนี้ ..เขาถึงรู้สึกดีเหลือเกิน
เนลล่าเงยมองรีท ดวงตาเต็มไปด้วยความสุขใจ
ชื่อที่บอกตัวตนของเขา ความหมายดีๆ..
ไม่รุ้หรอกว่าพ่อของเรา..เรย์คิดอย่างไรจึงตั้งช่อนี้ให้..แต่เขาจะขอคิดเข้าข้างตัวเองก็แล้วกัน..
ว่ามันคงเป็นหนึ่งในความหมายดีๆแฝงอยู่ในกระดาษสามแผ่นนี้
“ขอบ..คุณนะครับ”
TBC..
ความคิดเห็น