คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ผนึกที่ 12 : ปมเชือกเริ่มคลี่คลาย
ผนึกที่ 12 : ปมเชือกเริ่มคลี่คลาย
นานมาแล้วนับแต่ยุคสมัยซึ่งทวีปอกาธาร์ยังไม่ได้ใช้นามว่าทวีปอกาธาร์
ยังมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่อยู่สามอาณาจักร
หนึ่งคือนครแห่งแสง สองคือป่าแห่งสนธยา
และสาม...
คือนครแห่งรัตติกาล..อันปกครองด้วยชนเผ่าแสงจันทร์
..อาณาจักร..ซึ่งบัดนี้เหลือแต่เพียงชื่อเสียงเรียงนาม
ท่ามกลางความสับสน เสียงของเทวดาหนุ่มก็เอ่ยร่ายราบเรื่อย
..ราวบอกเล่านิทานโบราณอันสาปสูญ...
“...นานแสนนานมาแล้ว ในยุคซึ่งทวีปอกาธาร์ยังไม่ได้มีชื่อว่าทวีปอกาธาร์ มีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่อยู่สามอาณาจักร..
..หนึ่งคือนครแห่งแสงซึ่งปกครองโดยเผ่าสุริยัน นครซึ่งพระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน สองคือป่าแห่งสนธยา นครในป่าลึกซึ่งผู้อาศัยมักตั้งคำถามอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนแก่ผู้หาญกล้าเดินเข้าสู่เมืองตน และสาม..นครแห่งรัตติกาลซึ่งปกครองโดยเผ่าแสงจันทร์ นครซึ่งจันทราไม่มีวันเลือนหายไปจากผืนนภา..
..กาลเวลาเลยผ่านนับพันปี ป่าแห่งสนธยากลับกลายเป็นกำแพงหมอก นครแห่งแสงพลันเปลี่ยมนามเป็นเหมันต์..และนครแห่งรัตติกาล พลันสาปสูญจากทวีปไป...”
น้ำเสียงราบเรื่อยราวบอกเล่านิทานของไลบราลีหยุดลง หากมนต์ขลังยังไม่คลาย
ประกายตาสีม่วงระริกมองไปยังเป้าหมายของตน
“..นครแห่งรัตติกาลปกครองด้วยเผ่าแสงจันทร์ และ..เผ่าแสงจันทร์ก็คือเผ่าที่มีพลังพิเศษ เช่นเดียวกับเผ่าซึ่งปกครองสองนครที่เหลือ...เผ่าแสงจันทร์มีอำนาจควบคุมทุกสิ่งในราตรี เป็นผู้ทำนายและรับฟังเสียงกระซิบจากแสงจันทร์ ..ทั้งเก็บงำพลังอันยิ่งใหญ่อีกมากมายที่ไม่มีใครรู้จัก...ไม่มีใครรู้อะไรไปมากกว่านี้จากดินแดนที่สาบสูญและเหลือเพียงนิทานปรัมปรา..
..แต่เช่นเดียวกับเผ่าอันมีพลังทุกเผ่า...เขาเหล่านั้นจะมีมักสัญลักษณ์อันคล้ายคลึง...นครแห่งแสงมีตาสีฟ้าและผมสีทอง..ป่าแห่งสนธยามีแววตาอันระริกกระหายรู้และเรือนผมสีเพลิง..และสำหรับนครแห่งรัตติกาล..
เผ่าแสงจันทร์ถูกรู้จักด้วยสัญลักษณ์ของดวงตาสีน้ำเงินอมม่วง...สีสันของผืนนภาแห่งรัตติกาล
...และนั่นคือดวงตาของนายที่ฉันมองเห็นเมื่อครู่ มีอะไรจะค้านไหม? อิลเวส ลินสแตรงก์”
เอ่ยจบ ชายหนุ่มเนตรม่วงก็นั่งลงกับพื้น ไลบราลีผ่อนลมหายใจด้วยยังชาแปลบตามร่างกายหลังจากถูกสายฟ้าสีดำอันรุนแรงโจมตีไปด้วยฝีมือของผู้พรากความตาย ดวงตาของชายหนุ่มผมเขียวเบิกขึ้นเล็กน้อย จ้องมองปฏิกิริยาของแต่ละคน
คนแรก ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเขียวเป็นประกายเช่นเดียวกับเขา บุรุษผู้เหลือรอดของเผ่าไนท์แมร์ที่เคยถูกมนุษย์ตามล่าจนสูญหายไป ซึ่งบัดนี้เจ้าตัวกำลังนั่งฟังเขาพูดด้วยดวงตาประกายระริก ห้วงความคิดคงยังไม่หลุดจากภวังค์ในของตำนานที่เขาเล่าไป..ตำนานซึ่งคนทั่วไปรู้จัก หากแต่ชายหนุ่มเพื่อนรักของเขาอาจไม่เคยฟัง
คนที่สอง ชายหนุ่มผู้ที่เขาสงสัยว่าอาจเป็นคนของเผ่าแสงจันทร์ บุรุษเนตรสีทองซึ่งบัดนี้แย่งร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมขาวเหลือบม่วงที่สลบไสลมาประคองไว้ด้วยตัวเอง ร่างกายของเด็กหนุ่มแทบไม่มีบาดแผลอยู่บนผิวสีขาวนวล ซึ่งสำหรับสาเหตุนั้นเขาค่อนข้างจะรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรไนท์แมร์หนุ่มเพื่อนเขาไม่เคยรักการต่อสู้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชายหนุ่มจะใช้วิธีอื่นในการกำจัดศัตรู ดวงตาสีทองซึ่งเขาเห็นกับตาว่าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วงกลอกขึ้นสบสายตาเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่มันจะลดระดับลงมองร่างในอ้อมแขนของเจ้าตัว
และแล้ว ริมฝีปากหนาก็เอื้อนเอ่ย
“จะคิดยังไงก็คิดไปเถอะ”
ไลบราลีขมวดคิ้ว ด้วยไม่นึกว่าจะได้คำตอบเป็นประโยคที่ฟังดูไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับเช่นนี้ คิ้วเรียวสีเขียวขมวดมุ่นไม่ชอบใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เฮ้ นายจะไม่ยอมรับหรือ ?”
“ปฏิเสธไปนายคงไม่เชื่อ จะยอมรับฉันก็ไม่อยากโกหกใคร อีกอย่าง ฉันไม่อยากเสวนากับเทวดาหากไม่จำเป็น”เอ่ยพลางอุ้มร่างของเนลล่าขึ้น ก่อนจะทรุดฮวบจนเข่ากระแทกกระเบื้องหลังเพราะร่างกายไม่มีแรง ..ร่างกายชาดิกจนแทบไม่รู้ถึงผิวสัมผัสของร่างในมือ อิลเวสกัดริมฝีปาก ..ดูเหมือนร่างกายจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว
“ดูนายทำท่าจะไม่ไหวแล้วนะ”ผู้กลืนกินฝันร้ายเอ่ยขึ้น ใบหน้าเปื้อนยิ้มมองความดันทุรังของผู้พรากความตายอย่างนึกสนุก “ไปทำแผลที่บ้านพวกเราดีกว่ามั้ง?”
“ไว้ใจได้รึ?”อิลเวสแค่นหัวเราะ จ้องเทวดาซึ่งแทบจะเป็นศัตรูตามธรรมชาติของเขาที่เป็นผู้พรากความตาย เนตรสีทองหรี่ลง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับผู้ที่เอ่ยปากถามตน “.....ไม่ดีกว่า”
เอ่ยจบก็ทำท่าจะพยุงกายตนขึ้นทั้งที่มีภาระอยู่ในอ้อมแขน เทวดาหนุ่มมองด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กอดอกอย่างชั่งใจ
บางทีหมอนี่คงไม่ยอมรับหรอกว่าตัวเองเป็นเผ่าแสงจันทร์ อีกอย่าง นั่นเป็นตำนานที่แทบจะกลายเป็นนิทานปรัมปราแล้ว..โดยเฉพาะอาณาจักรรัตติกาลซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ในเมื่อเวลาที่ผัน่านบันทึกต่างๆได้หายไปหมดแล้วพร้อมกับกระแสเวลา เหลือเพียงตำนานที่เล่าปากต่อปากกันมา และเอาเข้าจริง...คนที่มีผมทองตาฟ้าแล้วไม่ใช่คนของเผ่าสุริยันก็มีมาก....และที่แย่ที่สุดบางทีเขาอาจตาฝาดไปเอง
กระนั้นผู้พรากความตายคนนี้ก็น่าสนใจ.....เกินกว่าที่เขาจะปล่อยให้หลุดมือ แล้วยังเด็กหนุ่มที่มีนิสัยน่าสนใจคนนั้นอีกล่ะ...
เมื่อตัดสินใจได้ ชายหนุ่มร่างเพรียวก็แยกยิ้มเห็นเขี้ยว ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน
สิ่งนั้นคือลูกแก้ว..ลูกแก้วสีเขียววาววับงามตาที่ดูเลอค่า ชายหนุ่มกลิ้งมันไปมาบนมือชั่วครู่เรียกความสนใจจากดวงตาสีทอง อิลเวสมองสิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มชั่วครู่แล้วจึงหมดความสนใจไป ก่อนจะโดนคนที่ถือสิ่งนั้นไว้ในมือดึงคอไป แล้วจัดการหย่อนลูกแก้วเข้าปากของผู้พรากคาวมตายผมน้ำเงิน
อิลเวสเบิกตากว้าง ทำท่าจะหันไปตวาดใส่คนที่บังอาจให้เขากินของแปลกๆ ทว่าซักครู่ เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่พลันแล่นวาบในร่างกาย ..แสงสว่างบางอย่างเปล่งออกจากร่างกายของเขา บาดแผลที่มีอยู่เต็มไปหมดกำลังค่อยๆหายไป แม้แต่เสื้อผ้าที่ขาดเป็นรูและเต็มไปด้วยรอยเลือดก็ค่อยๆกลับสู่สภาพเดิม.. กระทั่งพลังเวทย์ที่เสียไปแทบหมดตัว ก็กำลังค่อยๆกลับคืนจนล้นเอ่อดังเดิม
นี่มัน..
“ลูกแก้วพฤกษาสวรรค์ ยาพิเศษใช้สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ฉันอุตส่าหยกให้นายเชียวนา..ของหายากแม้แต่บนสวรรค์นะเฟ้ย เอาล่ะ คุณผู้พรากความตาย ยังไงก็ช่วยเชื่อใจกันหน่อยเหอะ อีกอย่าง นายชนะฉันแล้ว .....ไม่อยากได้ของที่จะทำให้ผ่านเข้าไปเอาของที่ต้องการได้รึไง”
อิลเวสหันไปมองใบหน้าของเทวดาหนุ่ม ซึ่งบัดนี้ฉีกยิ้มกว้างอย่างรอรับคำตอบ
ดวงตาสีทองกรอกไปมา กระชับร่างในอ้อมแขน ก่อนจะถอนหายใจยาว
“ตามใจ”
++++++++++++
ปวดหัวจังเลย..
ลำคอแห้งผาก...ร้อน..หนักตัวจัง
..ดวงเนตรสีแดงทับทิมค่อยๆเบิกขึ้น
ภาพอันพร่าเลือนซึ่งปรากฏแก่สายตาคือเพดานของบ้านไม้หลังหนึ่ง ภาพนั้นพร่าเลือน..วูบไหว เป็นคลื่นคล้ายไม่มั่นคง...เด็กชายรู้สึกวิงเวียนศีรษะ..อุณหภูมิภายในร่างกายร้อนฉ่า ลำคอแห้งผากราวกับไฟเผา เสียงทุ้มหวานครางในลำคอเบาๆ ก่อนเสียงแหบแห้งจะดังแผ่วออกมา ‘น้ำ.....’
‘นี่ครับ เนล’
เสียงทุ้มอ่อนโยนอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหู พร้อมกับกลิ่นหอมของดอกจัสมินที่รวยระรินต้องจมูกตน
แม้ดวงตายามนี้จะมองเห็นภาพใดๆไม่ชัดเจน หากแต่ใบหน้าของผู้ที่ยกแก้วน้ำให้เขาคนนี้ กลับยังคงตราตรึงและถูกจดจำได้ดีในสมองเล็กๆของเด็กชายร่างบาง
ใบหน้ารูปไข่ ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาสีมรกตคมสวยซึ่งแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน เรือนผมสีดำขลับระต้นคอที่เจ้าของมักมัดรวบไว้เป็นกระจุกอย่างน่าเอ็นดู มือเรียวบางแตะลงบนหน้าผากเพื่อวัดไข้ ก่อนจะชุบผ้าขนหนูวางอย่างแผ่วเบาบนศีรษะของเด็กชายเจ้าของเรือนผมนุ่มสีขาวเหลือบม่วงเพื่อลดความร้อนในร่างกาย
เด็กชายที่จิบน้ำจนคอหายแห้งผากแล้วกระพริบตา ก่อนเสียงสั่นเครือจะดังเล็ดรอดจากริมฝีปากแดงจัดด้วยพิษไข้ของเด็กชายบนเตียงนอน
‘เรย์...ผมปวดหัว....’ ความรู้สึกทรมานจุกแน่นในอก กลั่นเป็นน้ำตาไหลรินจากขอบตาร่วงหล่นลงบนหมอนนุ่มสีครีม ‘ทรมานจัง....’
‘ไม่เป็นไรนะครับ แค่มีไข้เท่านั้นเอง ทานยากับพักผ่อนมากๆก็หายแล้ว’เสียงทุ้มแหบเอ่ยกลั้วหัวเราะ แตะหลังมือลงกับแก้มร้อนฉ่าของเด็กชายอย่างอ่อนโยน ‘ไม่เป็นไรนะ’
เนลล่าที่นอนอยู่ผงกหัวรับคำ ‘ครับ..เรย์’
‘หืม?’ชายหนุ่มครางในลำคอ หลุดยิ้มอย่างกึ่งเอ็นดูกึ่งระอา ก่อนจะดีดนิ้วที่หน้าผากบางเบาๆ ‘เธอควรจะเรียกผมว่าอะไรน้า..เนล’
เด็กชายจ้องมองร่างสูงโปร่งด้วยดวงตาสีทับทิมกลมโต เสียงหัวเราะแห้งๆดังในลำคออย่างมีความสุข พลางมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของคนที่เขารักที่สุดในโลกไว้ เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นในลอำอ ก่อนที่เสียงอันเต็มเปี่ยมด้วยความรักจะดังแผ่วออกมา
‘ขอโทษครับ คุณพ่อ’
ใช่..ในตอนนั้น..ถึงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันจะช่างแสนสั้น
แต่มันก็แสนสุขจริงๆ..
+++++++
“เขาจะฟื้นเมื่อไหร่”
อิลเวสถามขึ้น มองเด็กหนุ่มร่างบางที่ยังคงหลับใหลอยู่อย่างเป็นห่วง ดวงตามองรอบๆห้องส่วนตัวของสองหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์ที่เสนอให้เนลล่ามาพักก่อนเป็นการชั่วคราว ..ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่สำหรับสามสี่คนนอน แต่กลับมีคนพักเพียงแค่สองคน ผนังห้องถูกฉาบด้วยสีฟ้าครามสบายตา เครื่องเรือนในห้องกอปรด้วยโต๊ะเครื่องแป้ง เตียง และตู้เสื้อผ้าอย่างละสองชุด โดยที่เตียงหนึ่งในสองยามนี้ถูกเนลล่าครอบครองอยู่เป็นการชั่วคราว ดวงตาสีทองมองเลื่อนไปยังร่างเจ้าของห้องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฟากหนึ่งของเตียง ก่อนจะหรี่ตามองหนึ่งเทวดาหนึ่งไนท์แมร์อยางไม่ไว้วางใจ
อันที่จริง..ประเด็นเรื่องเทวดาอะไรนั่น เขาเริ่มจะปล่อยวางลงบ้างแล้วหลังชายหนุ่มเนตรม่วงเล่าให้เขาฟังอย่างเมามันว่าตนไปอ่านหนังสือต้องห้ามหลายเล่มของหอสมุดบนสวรรค์ ทั้งถูกเตือนหลายครั้งไม่ฟังจนโดนถีบตกสวรรค์มา ทีแรกเขาก็ยังขัดใจกับเทวดาตนนี้อยู่ เพราะแค่ถูกขับไล่จากสวรรค์ไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้เขาไว้ใจอีกฝ่ายได้ได้
แต่ซักพัก ไนท์แมร์หนุ่มก็ร่วมสาธยายความไม่เป็นเทวดาของชายหนุ่มคนนี้อย่างออกรสเฮฮา ทั้งเรื่องที่ว่ามีเพื่อนเป็นปิศาจ ทั้งความเจ้าเล่ห์ชนิดคนแคระปากแดงที่ว่าเจ้าเล่ห์ที่สุดในโลกยังอาย..ตลอดจนถึงความกระหายใคร่รู้ในเรื่องราวที่เป็นไปทั้งหมดบนโลกอันเป็นที่มาของฉายานามไลบราลี..ที่โดนเรียกจนเจ้าตัวลืมชื่อจริงตัวเองไป
สำหรับประเด็นที่ทำให้เขาไม่ไว้ใจในตอนนี้..ก็คงเรื่องที่พักนี่แหละ
หอโสเภณี
ตอนถูกนำทางมาที่นี่เขาแทบจะตัดใจจากทุกสิ่งทั้งปวงแล้วเดินกลับคฤหาสน์เฟรริดส์ไปแล้ว หากไม่โดนผู้หญิงคนหนึ่งกอดคอจากข้างหลังแล้วลากเข้าหอไป ดูเหมือนสองคนนี้จะแลกค่ากินค่าอยู่ที่นี่กับการปกป้องอารักขาหญิงสาวที่ขายเรือนกายที่นี่ ทั้งเล่าว่าที่นี่..นครลากูน่าแห่งนี้จะอนุญาตให้พวกหล่อนเริ่มงานได้ก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปก่อนเท่านั้น จึงเป็นโชคดีที่ทำให้เขาไม่ถูกลากคอเข้าห้องของผู้หญิงคนไหนไป
อิลเวสกุมขมับ นึกถึงเหตุการณ์สดๆร้อนๆที่เพิ่งผ่านมาซึ่งทำเอาเขาถึงกับเบื่อหน้าผู้หญิงไปได้เป็นเดือน..เดี๋ยวก็ถูกแตะโน่นแตะนี่ โดนจูบแก้ม ..ถุกรุมจนหายใจไม่ออก ที่สำคัญ เนลล่าเกือบจะโดนลากไปทำมิดีมิร้ายแล้ว...ถ้าหากว่าเขาไม่ถูลากถูกังจนมาหลบภัยถึงห้องของไลบราลีและไนท์แมร์หนุ่มได้
..หมดงานนี้ เขาคงไม่อยากเห็นผู้หญิงไปอีกนาน..
จบการทวนความ ชายหนุ่มก็เหล่มองผู้ที่ทำให้เพื่อนของเขาหลับใหลทันที
เพราะไม่มีเวลา อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัส ทำให้อิลเวสยังไม่มีเวลามองร่างของไนท์แมร์อย่างชัดเจนเสียที
ชายหนุ่มมีเรือนผมสีเขียวส่องประกายตอนนี้อยู่ในชุดสบายๆด้วยเสื้อสีดำและกางเกงขาสั้น ดูเหมือนจะไม่ถูกใจชุดประจำตัวของตน ไนท์แมร์คนนี้มีร่างสูงใหญ่ หากแววตาทะเล้นกลับทำให้ดูเป็นเด็กๆ...อิลเวสมองเช่นนั้นชั่วครู่ ก่อนคำพูดและท่าทีกวนประสาทจะทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์
“ไม่รู้สิ ...เพราะเด็กคนนี้จะเป็นยังงี้จนกว่าความฝันจะจบลง..คงไม่นานหรอก เวลาในความฝันเดินเร็วกว่าเวลาข้างนอกอยู่แล้ว อ๋อ ฉันชื่อทรูธ อย่าเรียกเลย ไนท์แมร์ๆน่ะ แสลงใจ”
..ไนท์แมร์
อดจะทบทวนเรื่องราวซึ่งเคยได้ร่วมค้นหากับเนลล่าครั้งอยู่ที่หอสมุดแห่งเมืองไลทรีน่าไม่ได้ เผ่าไนท์แมร์เป็นเผ่าภูติพรายซึ่งกลืนกินความฝันของมนุษย์ และเพราะชื่นชอบในฝันร้ายจึงถูกเรียกว่าไนท์แมร์ เผ่าไนท์แมร์มีสัญลักษณเป็นดวงตาสองสี(อ๊อดอาย)ที่แต่ละคนก็แตกต่างกันไปจึงสังเกตได้ง่าย ..ไนท์แมร์แทบไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ กลับกัน มนุษย์ที่ถูกไนท์แมร์กินความฝันจะมีโชคดีคอยตามตัวไประยะเวลาหนึ่งตามปริมาณฝันที่ถูกกินไป..แต่กระนั้น ดวงตาและเส้นผมของไนท์แมร์กลับมีฤทธิ์เป็นยาวิเศษ ทั้งเลือดของเขาเหล่านั้นยังเป็นสิ่งเพิ่งพูนมนตราชั้นดีอีกด้วย ผู้คนมากมายจึงเข้าฆ่าล้างเผ่าไนท์แมร์จนแทบสูญพันธุ์ บ้างถูกฆ่าทิ้ง บ้างถูกจับไปขาย....ปัจจุบันนี้จึงเป็นการยากที่จะเห็นไนท์แมร์ในทวีปอกาธาร์
“ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีไนท์แมร์เหลือรอดอยู่”อิลเวสพึมพำ มองร่างตรงหน้าอย่างสนใจ
“ฉันก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเทวดาตกสวรรค์ชนิดไม่ควรเกิดมาเป็นเทวดาเหมือนกัน”ทรูธว่าพลางแสยะยิ้ม ก่อนเสียงของไลบราลีจะดังขัดขึ้น
“เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเรามาเริ่มเจรจาธุรกิจกันดีกว่าเนอะคุณผู้พรากความตาย ขอเรียกว่าอิลเวสแล้วกันนะ ในฐานะที่นายชนะฉันไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะขอมอบสิ่งนี้ให้นายเป็นของตอบแทนเลยแล้วกัน”ว่าพลางยื่นม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งถูกผูกไว้ด้วยเชือกสีทองให้อิลเวส ชายหนุ่มรับมาแล้วขมวดคิ้วงุนงง กระดาษแผ่นเดียวเนี่ยนะ??? จะช่วยอะไรได้???
“เฮ้ย เปิดสิพ่อคุณ เปิด”
ไลบราลีเซ้าซี้ จิ้มนิ้วบนม้วนกระดาที่ตัวเองยื่นให้ อิลเวสขมวดคิ้ว ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ หากมือเรียวก็กระตุกเชือกตามคำบอกของเทวดา
สิ่งที่บันทึกอยู่ในกระดาษซึ่งถูกคลี่ออกนั้น คือข้อความซึ่งถูกเขียนอย่างสละสลวยปลายตวัดด้วยหมึกสีทอง
‘ผู้ใดถือสิ่งนี้ไว้ ขอแจ้งให้ทราบว่าสามารถผ่านเข้าสู่ทุกที่ในลากูน่าได้ไม่เว้นแม้แต่ในพระราชวังและเส้นทางลับทุกแห่งในนครลากูน่า
ผู้ใดฝ่าฝืนทำการห้ามเขาไว้ จะถูกลงโทษอย่างหนักตามกฏบัญญัติแห่งวารี
รับรองโดย
เอนีเซีย
ผู้ครองเมืองลากูน่า�
อิลเวสขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกที่กลิ่นอายไม่ชอบมาพากลที่ลอยอวลขึ้นมา ใบหน้าคมเงยขึ้น เสียงทุ้มเอ่ยต่ำคล้ายไม่อาจวางใจได้กับสิ่งที่อยู่ในมือ
“นายเป็นใครกันแน่”
...น่าเสียดาย สิ่งที่ได้รับตอบกลับมามีเพียงรอยยิ้มกรุ่มกริ่มเท่านั้น
+++++++++++++
‘เนล เนลครับ’
เสียงเรียกและกลิ่นจัสมินที่โชยทำให้เนลล่าเปิดเปลือกตา
‘ฮะ...เรย์ มีอะไรฮะ’เสีบงแหบแห้งเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างของบิดายืนอยู่ข้างกาย กายเล็กที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มหนาขยับตัวก่อนจะหยุดเมื่อได้ยินคำปรามของผู้เป็นบิดา มือเย็นๆของชายหนุ่มแตะลงบนหน้าผากร้อนผ่าวของเขาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ดังขึ้นอย่างอ่อนโยน
‘ผมจะออกไปซื้อยานะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา นอนพักผ่อนเยอะๆล่ะ’
เด็กชายเบิกดวงตากว้าง มองร่างที่กำลังจะหันหลังเดินจากไป ..ไม่รู้ด้วยเหตุใด เด็กชายรู้สึกว่าหากปล่อยมือจากบิดาตนไปครั้งนี้ เขาอาจจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไป ‘เรย์..ไม่เอา อย่าไป....’
เรย์มองมือซึ่งดึงรั้งเสื้อเขา รอยยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าอย่างเอื้อเอ็นดู มือเรียวยาวแตะแผ่วเบาบนมือของเด็กชายแล้วแกะออก..เรี่ยวแรงเด็ก..ทั้งเป็นไข้เช่นนี้ไม่มีทางรั้งเขาไว้ได้ ‘อย่าดื้อสิ...เนล ผมไปแป๊บเดียวเท่านั้นเอง จะรีบกลับมานะ ผมสัญญา’
เสียงนั้นราบเรื่อยมั่นคง เนลล่ากัดริมฝีปาก นึกอยากห้ามแต่ด้วยสภาพของตนตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่อ้าปากร้องขอคำสัญญาจากผู้เป็นบิดา
‘งั้น...ต้องรีบกลับมานะครับ สัญญานะครับ’
‘ครับ..เนล...
ผมสัญญา’
นับจากวันนั้น...เรย์ก็หายตัวไป
............สายฝนตกกระหน่ำไม่รู้วันรู้คืน
หนึ่งวัน...สองวัน..สามวัน..สี่วัน..หรืออาจมากกว่านั้น....เรย์ก็ยังไม่กลับมา
เด็กชายเป็นไข้ทรุดหนักกว่าเก่า ร่างกายอ่อนแอ เพราะแม้พักผ่อนเพียงพอแต่ไร้อาหารบำรุงกาย และเมื่อผ่านไปซักพัก ร่างเล็กก็ชักจะนับวันไม่ถูกเสียแล้วว่านานเพียงใด อาหารหมด....และเด็กชายไม่มีแรงมากพอจะเดินเข้าไปหาซื้อในเมือง ทั้งไข้ก็ยิ่งหนักจนร้อนผ่าวตาลาย สมองเริ่มว้าวุ่นสับสนเกินจะทานทน
ไม่มีใครคิดจะเดินมาที่บ้านซึ่งห่างออกมาจากหมู่บ้าน ไม่มีแน่นอน
ความแน่นอนซึ่งทำให้เนลล่าท้อใจ
เรย์..ทำไม..ทำไมยังไม่กลับมา...
ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลรินลงบนหมอน ร่างกายที่อ่อนเปลี้ยและไข้ที่ทรุดหนักจนรวบรวมสติไม่ได้ทำให้เด็กชายปวดหัวใจกับการรอคอย
ฝนตกรุนแรงติดต่อกัน ท้องฟ้ามืดครึ้มบดบังแสงอาทิตย์เจิดจ้าในยามทิวา ความเงียบงันปกคลุมลอยอ้อยอิ่งเหลือทิ้งไว้เพียงเสียงหอบหายใจและเสียงของฝนที่พร่างกระหน่ำรุนแรง ...เนลล่าไอโขล่ก พยายามลุกขึ้นจากเตียงเมื่อชักจะทนรอไม่ไหว กระทั่งล้มลงกับพื้นด้วยไม่มีแรง
ตึง!
เด็กชายลืมตา ภาพตรงหน้าสั่นไหวไมมั่นคง ร่างกายไม่อาจทรงตัวได้ด้วยพิษไข้ที่รุนแรง เจ้าของเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงพยายามลุกขึ้น ก่อนจะล้มโครมลงไปอีกครา
มือซ้ายที่มีสัญลักษณ์อันไร้ที่มาสลักไว้เอื้อมคว้าตู้ข้างเตียง พยายามฝืนลุกขึ้น ก่อนจะเดินอย่างเชื่องช้าโดนเกาะริมเตียงไปยังประตูซึ่งลูกบิดอยู่ในระดับหัวของตน เมื่อเปิดออกไปแล้ว เนลล่าก็ค่อยๆเกาะราวระเบียงลงบันไดไปเบื้องล่างอย่างยากเย็น กระทั่งลงไปถึงชั้นล่างที่มืดมน..ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
มีเพียงกลิ่นอายของสายฝนที่ลอยชื้นขึ้นตามร่องแผ่นไม้เท่านั้น
เงียบจัง น่ากลัวจัง มืดจัง
เด็กชายคิดอย่างหวาดกลัว ฉับพลัน เสียงที่คล้ายกับใครมาเคาะประตูก็ดังขึ้น เนลล่าเบิกตราหว้างยินดี ฝืนกายวิ่งพวรดไปที่ประตูบ้านวซึ่งอาจมีใครบางคนกลับบ้านมา พร้อมกับเปิดออกแล้วตะโกนอย่างดีใจ
‘เรย์!!’
..หากที่มาของเสียงกลับเป็นสายฝนที่กระหน่ำใส่ประตูบ้านไม้สีน้ำตาล..
ไม่มี..ร่างของใครยืนอยู่ตรงนั้นเลย
เสียงหอบหายใจดังแผ่ว..ทั้งที่สายฝนโปรยกระหน่ำลงมาสร้างเสียงอันเย็นเฉียบต้องใบหู
ร่างกายหนักถ่วง...สมองชา..เริ่มไม่รับรู้ถึงสัมผัสของร่างกาย..สติเลือนหายจนแทบไม่รู้สึกถึงสิ่งใด
รอแล้วรอเล่า..บนขั้นบันไดขึ้นบ้านซึ่งยื่นออกไป หากไม่มีวี่แววหรือเงาของใคร
สายฝนยังกระหน่ำ สาดเข้าต้องร่างเด็กชายจนเปียกซ่ก หากร่างเล็กไม่ต้องการเข้าไปในบ้าน
จะรอเรย์..จะรอใครก็ได้ที่จะพาเรย์กลับมา
แต่ทว่าเวลาผันผ่าน..กลับไม่มีแม้แต่เงาของใครซักคน
โดนทิ้ง?
บางทีอาจไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อแต่เดิมไม่ใช่พ่อลูกกัน แต่ทำไมล่ะ?
คนที่บอกว่ารักเขา ไม่ใช่เรย์หรอกหรือ
คนที่ดีใจที่ได้เขามาเป็นลูก ไม่ใช่เรย์หรอกหรือไร?
คนที่ยิ้มให้ในวันนั้น..ยิ้มให้เขาก่อนที่เขาจะยิ้มตอบนั่น..ไม่ใช่เรย์หรอกหรือ?
เหตุใดต้องมาทิ้งกันเช่นนี้
เหมือนกับที่อิลเวส..คนที่เก็บเขามาฝากเขาให้เรย์เลี้ยงดู..ไม่ได้พาไปดูแลเอง
การไร้ความทรงจำ การไม่มีพ่อแม่ การเป็นเด้กกำพร้า มันปวดร้าวเช่นนี้เองหรือ..?
ไข้ยิ่งทรุดหนักเมื่อถูกฝน ร่างกายอ่อนแอเพราะไม่มีของตกลงท้องมาหลายวัน..สุขภาพย่ำแย่อย่างที่ตายวันตายพรุ่งก็ไม่แปลก ..สิ่งที่ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ตอนนี้มีเพียงความตั้งมั่นที่จะเฝ้ารอบิดาซึ่งสูญหายของตน
เด็กชายกอดตัวเองแก้หนาว เขาอยากเดินเข้าไปในเมือง แต่แค่พาร่างลงมาถึงหน้าบ้าน เขาก็หมดแรงแล้ว
เรย์..ทำไม
ทำไมล่ะ..
แม้แต่กลิ่นของดอกจัสมินซึ่งซึ่งบานสำพรั่งรอบบ้าน ก็ยังถูกสายฝนกลบให้หายไป พาให้หัวใจเจ็บปวดทรมาน
น้ำตาหลั่งรินเคล้าสายฝน ขอบตาร้อนผ่าว หนาวเหน็บ ปวดหัว น้อยใจ ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เจ็บปวด...หายใจไม่ออก...
ใครก็ได้.....ช่วยด้วย..
ใครก็ได้..กลับมาหาผมที...กลับมากอดผมแล้วบอกว่าไม่เป็นไร..
เรย์ ลุงไอ..
‘อิลเวสฮะ....’
“อิลเวสฮะ....”
เสียงสั่นเครือจากเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงเรียกให้ชายหนุ่มร่างสูงหันมอง
“เนลล่า?” เสียงทุ้มแสนราบเรียบหากแสนอ่อนโยนเรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับคืน เนลล่ากระพริบตาปริบๆ มองใบหน้าคมที่จ้องลงมาด้วอารามกึ่งดีใจกึ่งโล่งอก เนลล่างุนงงจนต้องสะบัดหัวไปมา ยังสับสนระหว่างความทรงจำในวัยเยาว์และความทรงจำในปัจุบันของตน กระทั่งเวลาผ่านเลยไปได้ซักครู่ ความทรงจำค่อยๆไหลรินกลับคืน
จริงสิ.....เขาถูก...
คิดถึงแล้วก็หงุดหงิดเต็มกำลังที่ถูกผู้ชายด้วยกันจูบ เนลล่าลุกขึ้นนั่งแม้จะยังงุนงงและเบาโหวง ดวงตามองรอบห้องซึ่งไม่คุ้นเคย...ก่อนดวงตาจะไปตกลงอยู่ที่ร่างหนึ่ง
บุรุษเจ้าของดวงตาสีอ๊อดอาย
“ไอ้บ้าปากสว่างโรคจิตไม้ป่าเดียวกัน!!”
เสียงหวานทุ้มของเด็กหนุ่มตะโกนกึกก้องพร้อมชี้นิ้วไปหาจำเลยที่สะดุ้งเฮือกสุดตัว อิลเวสเบิกตาเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้วงุนงง มองไปเพื่อนร่วมทางที มองไปยังทรูธที
“นี่มันเรื่องอ......”
“ไง พ่อหนุ่ม รสชาติ(ฝันร้าย)ของนายมันอร่อยมากเลยนะ”จำเลยเอ่ยครื้นเครง ขัดเสียงของชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังดังออกมาเป็นคำถาม แต่แน่นอนว่าใบหน้าของไนท์แมร์หนุ่มไม่ได้ครื้นเครงไปด้วย ส่วน...คนที่โดนกินความฝันด้วยการจูบดันเข้าใจไปทางอื่นอย่างน่าสงสารคนกระทำ
‘ไง พ่อหนุ่ม รสชาติ(จูบ)ของนายมันอร่อยมากเลยนะ’
เนลล่าใช้แขนปาดๆปากตัวเองอย่างขยะแขยง ..จริงสิ เขาทำของกินตกลงไปด้วยตอนโดนพลังของหมอนี่กระแทกนี่หว่า !! บ้าที่สุด!!
ความผิดไอ้โรคจิตนี่คนเดียว!!
“หนอยแน่... เอาจูบของผมคืนมานะ เอาของกินฟรีอร่อยๆของผมคืนมาด้วย ..บังอาจนัก ผมไม่ได้รสนิยมเดียวกันนายนะ.. ..ไม่สิ....ไม่ต้องคืน..ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...เอาเป็นว่า
...ตายซะ!!”
แล้วความวุ่นวานวายก็ดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว
หลังจากที่เนลล่ากระโดดผลุงขึ้นมาจะไล่ฆ่าทรูธแล้ว ความวุ่นวายเล็กๆก็เริ่มขึ้นโดยที่ไลบราลีนั่งดูการไล่จับอย่างสนุกสนานปนการหัวเราะเฮฮา ไม่มีความคิดที่จะช่วยเพื่อนซักกะผีกเดียว ส่วนอิลเวสก็นั่งมองอยู่เงียบๆอย่างนึกปลงสังเวชกับความใจร้อนของเพื่อนร่วมทางของตน แน่นอนไม่คิดจะห้ามและช่วย
หนึ่งเด็กหนุ่มหนึ่งผู้ใหญ่วิ่งไล่กันจนไล่จับกันทัน เด็กหนุ่มผมขาวเหลือบม่วงที่จับทรูธได้ยิ้มหวาน คว้ามีดประจำตัวขึ้นมากะทำรอยแผลไว้ซักสองสามแผล แต่แล้วก็เปลี่ยนใจก่อนจะจัดการดัดกระดูกทั้งตัวของชายหนุ่มอีกครั้งพอให้หายแค้น...ซึ่งพอเนลล่าสบายใจ ทรูธก็สบายตัวไปเลย...
และเมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยรวมทั้งอิลเวสเล่าเรื่องทุกอย่างให้เนลล่าฟังแล้ว เด็กหนุ่มก็กล่าวขึ้น
“งั้นคุณก็เป็นเทวดา แล้วนั่นก็...ไนท์แมร์”หลังจัดการความแค้นแล้วเด็กหนุ่มก็หมดเรื่องจะโกรธอีกฝ่าย แต่กระนั้นก็ยังนั่งห่างไกลออกมาพอสมควรเพราะไม่รู้จะโดนจับกินความฝันอีกเมื่อไหร่ ในเมื่อดูท่าทรูธจะติดใจกับรสชาติความฝันของเขาเสียเหลือเกิน เนลล่ามองกระดาษที่คล้ายบัตรผ่านในมือซึ่งอิลเวสหยิบให้พร้อมอธิบายให้ฟัง ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัยแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“คุณได้สิ่งนี้มาจากไหนหรือครับ? ไลบราลี”
เสียงหวานทุ้มเอ่ยถาม ดวงตายังคงส่องประกายว่าไม่ไว้วางใจ ..เทวดาหนุ่มยิ้มเผล่ โบกนิ้วไปมาราวกำลังครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีอันแสนจะร่าเริง
“ถ้าอยากรู้จะบอกก็ได้...แต่นายต้องบอกมาก่อนว่าทำไมถึงอยากจะเข้าไปในตึกทหารนั่น.. เนลลี่”
เนล่าขมวดคิ้วกับคำเรียก “เนลล่าครับ”
“เนลลี่”
“เนลล่าครับ”
“เนลจัง”
“คุณไลบราลี ไม่ทราบเคยโดนใครเอาเท้าลูบปากไหมครับ”
“โอเค เนลลาก็เนลล่า” ยอมแต่โดยดีพร้อมยกมือเป็นท่าทีว่ายอมแพ้ ดวงตาสีอเมทิสต์มองรอยยิ้มของเด็กหนุ่มผมขาวที่ดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าใบหน้านิ่งของอิลเวสขึ้นมาชั่วขณะ ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเอนกายพิงกับเก้าอี้ตัวเอง ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วเอ่ยพึมพำขึ้น “แล้ว...ตกลงว่าไง?...”
“...คุณรู้ได้ยังไงหรือครับว่าเราอยากจะเข้าไปในตึกทหาร?”
แทนที่จะตอบ เด็กหนุ่มร่างบางถือโอกาสย้อนถาม ดวงตาสีทับทิมหรี่มอง รอคอยคำตอบที่อีกฝ่ายอาจไม่บอกออกมา ดูเหมือนดวงตาสีม่วงจะเบิกขึ้นนิดๆอย่างคาดไม่ถึงว่าจะถูกถามในเรื่องที่อาจถูกลืมไปแล้ว ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยินยอมตอบออกมาแต่โดยดี
“..ฉันเผอิญเห็นพวกนายในที่เกิดเหตุน่ะสิ....”
กึก!
สองผู้พรากความตายสะดุ้ง แม้แต่อิลเวสก็ชะงักเล็กน้อยแม้จะรู้มาก่อนแล้วว่าบุรุษตรงหน้ารู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเมื่อค่ำคืนวานตอนนั้น ไลบราลียิ้ม ประสานมือของตัวเองที่กลางอก ก่อนจะเล่าต่อไป “...แต่...ฉันไม่คิดหรอกว่าพวกนายเป็นคนร้าย จากข่าวที่ฉันสืบมา พวกนายเพิ่งปรากฏตัวขึ้นเพียงแค่สองวัน ไม่มีทางที่จะเป็นฆาตกรซึ่งฆ่าไปแล้วสี่ศพได้หรอก ประการที่สอง พวกนายพยายามเสียเหลือเกินที่จะเข้าไปในนั้น ทั้งซึ่งๆหน้าทั้งลับหลัง..แบบนี้ใครตาบอดไม่รู้ว่านายอยากเข้าไปในนั้นก็บ้าแล้ว และเพราะฉันอยากรู้ว่านายเกี่ยวกับอะไรกับคดีนั้น และต้องการอะไรจากตึกทหาร....ก็เลยเอามาเป็นข้อแลกเปลี่ยนนี้ยังไงล่ะ?”
“เหตุผลที่อยากรู้ล่ะ”คราวนี้อิลเวสเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“ไลบราลีมันอยากรู้ไปทั่วนั่นแหละ จะดีเลวชั่วทราม เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เรื่องสำคัญ หรือแม้แต่เรื่องต้องห้าม อะไรที่ลองได้สงสัยน่ะถ้าไม่ได้รู้ให้กระจ่างมันจะนอนไม่หลับ เหตุผลก็แค่นั้น”ทรูธที่เงียบอยู่นานว่าขึ้นบ้าง ดูเหมือนจะนึกระอาในความรู้อยากเห็นชนิดแทบคลั่งของเพื่อนรักอยู่เหมือนกัน ดวงตาสีอ๊อดอายส่องประกายเหนื่อยหน่าย ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นแล้วเดินไปออกจากห้องไป
“ไว้คุยเสร็จก็อย่าลืมไปเรียกนะ ฉันจะไปเล่นหมากรุกกับสาวๆ”
แล้วเสียงประตูก็ดังไล่หลังพร้อมเสียงกรี๊ดของผู้หญิงที่ยืนออกันอยู่ข้างนอก
เนลล่ามองหญิงสาวข้างนอกแล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะหันไปถามอิลเวสด้วยน้ำเสียงจริงจัง“.....อิลเวส ขากลับเราปีนหน้าต่างออกไปกันดีไหมครับ”
“............”ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มร่างสูง แต่เนลล่าค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายเห็นด้วยกับตน
ไลบราลีที่นั่งมองสองหนุ่มคุยกันอยู่นานปรบมือเรียกสติ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“เอ้าๆ เข้าเรื่อง สรุป พวกนายอยากเข้าไปหาอะไรในตึกทหารน่ะฮะ?”
สิ้นสุดคำถาม ไลบราลีก็เอนกายพิงเก้าอี้รอฟังคำตอบอย่างสงบ เนลล่ากับอิลเวสหันมองหน้ากันเหมือนจะถามไถ่ความเห็นของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเนตรสีทองพยักหน้านิดๆ เนลล่าพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจกัน ก่อนที่เด็กหนุ่มเนตรทับทิมจะเป็นฝ่ายเล่าออกมา “พวกเรามาที่ลากูน่าเพื่อตามหาของสิ่งหนึ่งครับ...แต่การที่พวกเราจะได้ของสิ่งนั้นมาจำเป็นต้องได้ของอีกอย่างจากคนคนหนึ่งมา ซึ่งของแลกเปลี่ยนที่เขาต้องการคือให้เราคลี่คลายคดี Red Lady และช่วยจับคนร้ายให้เขา ดังนั้นเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ พวกผมจึงพยายามจะสืบหาคนร้ายในคดีนี้..แต่ ข้อมูลมีน้อยมาก พวกผมจึงต้องการไปหาข้อมูลในตึกทหาร เกี่ยวกับบันทึกคดีและข้อมูลการชันสูตรศ.......เอ้อ อิลเวส!! ผมได้ของดีมาล่ะ อุ๊บ!!”
หันขวับไปหาชายหนุ่มร่างสูงแทบจะในทันที เมื่อนึกได้ถึงหนังสือเล่มสีดำซึ่งมีบันทึกการชันสูตรศพที่ผ่านที่ตนนำติดตัวมา และยังคงอยู่กับตัวเพราะใส่ไว้ในกระเป๋าตัวเอง ...นึกเสียดายอาหารเลิศรสที่อุตส่าห์ห่อมาและตกลงไปไหนไม่ทราบตะหงิดๆ ก่อนจะต้องรีบใช้มืออุดปากตัวเองเมื่อหันไปสบดวงตาส่องประกายของคน ‘กระหายรู้ทุกเรื่อง’ ที่กำลังมองมาอย่างสนใจ
“นายได้อะไรมาเหรอ เนลจัง ขอดูหน่อยซี่!”
“เอ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับ เอาเป็นว่านั่นคือเหตุผลที่ผมบอกแล้วกัน เพราะอย่างนั้น คุณก็รีบบอกมาได้แล้วล่ะครับว่าคุณมีไอ้ใบผ่านทางนั้นได้ยังไง”เนลล่ารีบเบี่ยงเบนประเด็นแล้วหันมาคาดคั้นคำตอบที่จ่ายค่าตอบแทนไปแล้วทันที ไลบราลีขมวดคิ้วมุ่นไม่ชอบใจ ขัดใจที่ไม่ได้รู้ว่าของดีนั่นคืออะไร แต่แล้ว ดวงตาสีอเมทิสต์ก็มองลงไปที่มือซ้ายของเด็กหนุ่มร่างบาง แล้วขมวดคิ้วมุ่นอย่างสนใจ
..ใส่ถุงมือไว้เสียด้วย? แต่แค่ข้างเดียว?
ซ่อนอะไรไว้อยู่?
แม้คลื่นความคิดแห่งความสงสัยจะเข้ากระทบฝั่งอีกระลอก แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการ ‘ข้อมูล’ อะไรจากเขาบ้าง ไม่งั้นคงจะเสนอมาให้แลกเปลี่ยนกันไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ชายหนุ่มจะพูดได้ตอนนี้ ก็คงเป็นการบอกสิ่งที่ตนรู้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
ไลบราลีหยิบม้วนกระดาษจากมือเนลล่ามาโบกไปมาท่ามกลางสายตาสงสัยของสองผู้พรากความตาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดา
“ฉันเป็นผู้สร้างข่ายมนต์ที่ครอบตึกทหารนั้นเอาไว้ แล้วก็ได้สิ่งนั้นเป็นของแลกเปลี่ยนกลับมา”
ความเงียบปกคลุมชั่วขณะหนึ่ง ก่อนเสียงตะโกนจะดังขึ้นจากคนสองคน
“ห๊า!!”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าที่นั่นซ่อนอะไรไว้บ้างถึงจำเป็นต้องทำแบบนั้น โดยเฉพาะในนครลากูน่าที่นายก็รู้แล้วว่าวิทยาการเรื่องเวทย์มนตร์มันดำดิ่งถึงพื้นดิน ...แต่เพราะพวกนั้นแลกกับการที่ฉันจะเข้าไปอ่านของพวกนั้นเมื่อไหร่ก็ได้กับการใช้เวทย์ซับซ้อนนิดๆหน่อยคลุมไว้ป้องกันขโมย สำหรับฉันมันก็ค่อนข้างคุ้ม ฉันก็เลยจัดการให้โดยไม่ลังเล
อ้อ แน่นอน ฉันเป็นคนโปรดของเจ้าเมืองซะด้วย เพราะถึงเจ้าเมืองเอนีเซียจะไม่ชอบคนที่ใช้เวทย์มนตร์...ถึงขั้นเกลียด ..แต่เพราะฉันรู้อะไรเยอะเขาถึงชอบการมีฉันอยู่ข้างๆ อ้อ นายอาจจะถามว่าถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ขออยู่ในวัง แน่นอนอยู่แล้ว ก็เพราอยู่ในหอโสเภณีมันน่าสนุกกว่าที่วังเงียบๆเป็นไหนๆเลยน่ะสิ!!”จบคำพูดกระตือรือร้นของอีกฝ่ายก็เหลือเพียงหนึ่งเด็กหนุ่มร่างบางที่กำลังกระพริบตาปริบๆ กับหนึ่งชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่กุมขมับอย่างเอือมระอา ดวงตาสองคู่จ้องมองกัน ...นึกไม่ถึงว่าคนที่สร้างสิ่งที่ทำให้พวกเขาลำบากจะมานั่งอยู่ตรงหน้านี่!
เนลล่าชักอยากจะเอาเท้าลูบปากหมอนี่อย่างที่พูดไว้ขึ้นมาซะแล้ว
“แทนที่จะมอบสิ่งนี้ให้ ผมว่าคุณไปปลดไอ้เกราะบ้าๆนั่นให้เราดีกว่ามั้งครับ?”
“เฮ้ อย่าพูดจามักง่ายสิ นอกจากเวทย์ของฉันยังมีพวกทหารคอยคุมอยู่อีกนา แทนที่จะต้องคอยระวังพวกทหารไปด้วยแบบนั้น สู้เดินอย่างสง่างามเข้าไปเลยไม่ดีกว่ารึ อ้อ .....พวกนายยังมีอะไรที่อยากรู้อีกหรือเปล่า เพราะฉันมีของที่ต้องการจากพวกนายเพียบเลยล่ะ”แววตาเป็นระริกกระหายใคร่รู้สีม่วงจ้องตรงมา เนลล่าขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกถึงคำพูดเอลส์ก่อนจะออกจากร้านอาหารไป
‘....อีวาน..เป็นเหยื่อรายสุดท้ายในตอนนั้นน่ะ’
ที่จริงมันอาจไม่เกี่ยวข้องกัน...แต่
“.....คุณไลบราลี รู้อะไรเกี่ยวกับคดีที่เหมือนกันนี้เมื่อสองปีก่อนไหมครับ?”
“หืม?”ชายเจ้าของเนตรสีม่วงอเมทิสต์หันไปมองเด็กหนุ่มเจ้าของเสียงที่ดวงตากำลังฉายแววครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงสูงอย่างสงสัย “นายพูดถึงอะไรนะ?”
“ถ้าไม่รู้ก็แล้วกันไป”
“เฮ้ อย่าทำแบบนั้นสิ!! ที่นายพูดน่ะ หมายถึงคดีที่คล้ายกันนี่เมื่อสองปีก่อนสินะ” คำพูดของไลบราลีทำให้เนลล่าให้ความสนใจทันที
“ครับ ไลบราลีรู้อะไรบ้างรึเปล่า?”
“ฉันน่ะไม่รู้รายละเอียดหรอก”ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะเอียงคอท้าวกับมือตัวเองพร้อมนั่งไขว่ห้างวางอำนาจ “แต่ถ้าเป็นมาดามแห่งหอรุ้งเจ็ดสีล่ะก็อาจจะรู้ เขาเองก็มีเครือข่ายข่าวสารเยอะเหมือนกัน แต่เขาก็ตามตัวยากอยู่เหมือนกัน...ฉันจะช่วยให้เธอพบเขาก็ได้ แต่....เธอก็ช่วยถอดถุงมือออกหน่อยสิ?”
เนลล่าสะดุ้งสุดตัว ..ไม่ค่อยมีใครขอให้เด็กหนุ่มถอดถุงมือออกแบบนี้ อิลเวสเองก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียด มือเรียวของเด็กหนุ่มบีบมือซ้ายของตัวเองแน่น ดวงตากร้าวสีแดงทับทิมจ้องมองไปยังเทวดาหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด “..คุณต้องการอะไรกันแน่น่ะ”
“อะไรกัน แค่ถอดถุงมือเอง ไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่หรือไง?”หัวเราะคิกคัก ไม่ได้ใส่ใจกับความเครียดของสองผู้พรากความตายเลยแม้แต่น้อย
“มันไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่รอยแผลเหวอะหวะ”เนลล่ารีบกล่าว พยายามปล่อยมือออกจากมือซ้ายของตน
เขาไม่อยากให้ใครรู้ถึงสิ่งนี้มากนัก โดยเฉพาะไลบราลี เด็กหนุ่มไม่เคยกลัวที่ใครจะมาเห็นรอยสักใต้มือของเขา แต่กับชายคนนี้ที่ดูเหมือนจะรู้อะไรมากมายเหลือเกิน เขารู้สึกไม่ไว้วางใจ
แต่แน่นอน เทวดาหนุ่มย่อมไม่วันเลิกรา
“งั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบัง? ใช่ไหม? ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะถึงจะกรี๊ดพอเห็นแผลน่ากลัวน่ะ”เสียงนั้นดังขึ้นอย่างคุกคาม ความกระหายใคร่รู้ที่แฝงมากับคำพูดมากเสียยิ่งกว่าเรื่องใดที่ผ่านมา “ว่าไง......”
เนลล่ากัดริมฝีปาก แสยะรอยยิ้มทั้งที่ดวงตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย “คุณนี่....ใช้เกณฑ์อะไรคาดเดาความสนใจกันนะครับ”
ไลบราลีมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าคม ก่อนเสียงทุ้มจะดังขึ้น กล่าวเหตุผลที่แท้จริงออกมา“ฉันรู้สึกถึงคลื่นพลังอ่อนๆจากมือนาย มันเบาบางจนมีแต่คนที่เป็นธาตุสว่างรับรู้ได้..”
“โฮ่ จะบอกว่านายเป็นธาตุสว่าง?”อิลเวสกระทบเข้าให้ ไลบราลีโดดผึงขึ้นมา ใบหน้าแสดงท่าทีไม่พอใจ
“เฮ้ย คุณเผ่าแสงจันทร์ เห็นอย่างนี้ฉันก็เป็นเทวดานะพ่อคุณ”
อิลเวสนิ่งเงียบไม่ใส่ใจ เนลล่ามองมือตัวเอง ไม่ได้ยินคำว่าเผ่าแสงจันทร์
มันสั่นอยู่.....
แน่ล่ะ...ไลบราลีรู้อะไรหลายอย่าง บางทีเทวดาผู้นี้อาจจะรู้ว่าสิ่งที่สลักบนมือของเขาคืออะไร..แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลัวการพลาดหวัง
ทั้งที่พลาดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเนี่ยนะ? งี่เง่า งี่เง่าเหลือเกิน.....
เนลล่ากำหมัดแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจ้องเข้าไปในดวงตาสีม่วงของอีกฝ่าย กายบางถอนหายใจยาวแล้วสูดเข้าลึก มือของเขาหายสั่นแล้ว ..ดวงตาของเนลล่ามองไปที่ไลบราลี พร้อมกับถอดถุงมือออกมา “มันไม่มีอะไรหรอกครับ.....”
“ก็แค่ลายสักธรรมดา”
สัญลักษณ์ซึ่งเด็กหนุ่มเห็นจนเจนตานับแต่วันแรกที่ลืมตาตื่นปรากฏแก่สายตา ลวดลายตวัดโค้งสีราตรีประทับอยู่บนผิวมือซ้ายขาวผ่องของเด็กหนุ่มร่างบาง ลวดลายตรงกลางนั้นคล้ายกับดอกกุหลาบชูช่อ ก่อนตวัดโค้งแผ่ออกเป็นสัญลักษณ์อันไร้ที่มา
ไลบราลีเบิกตากว้างอย่างสนใจ มือหนาคว้ามือของเนลล่าไปมองอย่างไม่สนมารยาทอีกต่อไป ก่อนจะพึมพำในลำคอราวเด็กเจอของเล่นชั้นดี
ดวงตาสีอเมทิสต์ไหวระริกเป็นคลื่น
“..ยอดเยี่ยม...” ชายหนุ่มพึมพำ นิ้วเรียวยาวค่อยๆตามสัญลักษณ์สีดำขลับที่ปรากฏอยู่บนมือของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าโดยไม่ยอมหายไป “..ฉันไม่เคยเห็นมันที่ไหนมาก่อนเลย..แสง..ไม่ใช่..ความมืด...ไม่ใช่....แปลก...นี่มันเหมือนไม่ใช่ของทวีป..สัญลักษณ์นี่..ฉันไม่เคยเห็น..ไม่สิ..ไม่ใช่ของโลกนี้เลยด้วยซ้ำ..สววรค์ ...นรก..ไม่มี.”
ไลบราลียิ่งกระหายหนัก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอ น่าสนใจกว่าปริศนาหรือเรื่องราวใดใดที่เคยพบเคยเจอ
ทุกสิ่งที่เขาอยากรู้จะมูลที่เป็นรากนำพาไปสู่ลำต้นและดอกผล..อย่างน้อยมันจะมีจุดที่ทำให้เขาสืบไปถึงรากเหง้าและที่สุดของปลายทางได้....แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าไม่มีอะไรเลย มันลึกลับ แต่ไม่มีการเชื่อมโยง เขาโยงเค้าเรื่องเงื่อนงำเข้ากับอะไรไม่ได้เลย ราวกับเป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก... เป็นสิ่งที่ไม่มี...
แล้วยังคลื่นพลังอ่อนๆ..ที่แทบไม่รู้สึกถึงนี่อีก
คลื่นพลังที่แปลกประหลาดอันไม่ปรากฏธาตุหลักนี้...
“...นายไปได้มันมาจากไหนน่ะ? เนลล่า?”
สิ้นสุดคำพูดที่ชายร่างโปร่งโพล่งออกไป ดูเหมือนความเงียบจะเข้าครอบคลุม...
ดงตาสีอเมทิสต์มองสัญลักษณ์บนมือ หูรอฟังคำพูดของเด็กหนุ่มร่างบาง หากเมื่อเวลาผ่านเลยนานยังไร้คำพูด ใบหน้าเรียวของชายหนุ่มจึงพลันเงยขึ้นมา..และสบเข้ากับดวงตาสีแดงทับทิมที่ทอประกายเศร้า...ทรมาน
น้ำเสียงแห้งผากเอ่ยขึ้นกลั้วเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“ถ้ารู้...ก็ดีสิครับ”
ถ้าเขารู้ว่ามันมาจากไหนก็คงดี
ถ้าเขารู้ที่มาของมันก็คงดี
เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะรู้จักซักที ตัวตนของตัวเองในอดีตที่เลือนหายไป
ไลบราลีที่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดถอนหายใจ
..เขารู้ บางเรื่องการเข้าไปยุ่งจะมีแต่ทำให้เรื่องแย่ลง ความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำเขาพลาดอีกแล้ว
ไลบราลีมองหน้าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะยิ้มแยกเขี้ยวตามวิสัยตนอีกครั้ง มือเรียวยาวปล่อยมือข้างซ้ายของเนลล่าให่เป็นอิสระ ร่างเจ้าของเรือนผมสีเขียวเอนกายพิงเก้าอี้ ก่อนจะว่าขึ้นอย่างร่าเริง “ขอโทษแล้วกัน แต่ว่า เพื่อเป็นการไถ่โทษและทำตามสัญญา ..ฉันจะพานายไปหามาดามกลาเดียเอง”
เนล่าเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงสัย ไลบราลีถอนหายใจยาว มองสบใบหน้าของคนที่เหมือนจะลืมค่าตอบแทนที่ตัวเองควรรับไปอย่างเอือมระอา
“ก็บอกแล้วไงว่าจะช่วยน่ะ อยากรู้เรื่องเมื่อสองปีก่อนไม่ใช่รึไง?”
++++++++++++++++++++
ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องใต้ดินอับชื้น รอบข้างเป็นศพอีกนับสิบที่รอการทำพิธีฝังและชันสูตร เครื่องมือมากมายวางเรียงกันไปตามชั้นที่แนบฝาผนังสีเทามัว
ตอนนี้ผู้คนที่ทำงานในสถานที่แห่งนี้ได้ขึ้นไปสู่พื้นดินหมดแล้ว เหลือแต่เพียงบุรุษเจ้าของเรือนผมสีดำตัดสั้นเรียบร้อยคนเดียวเท่านั้น ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่เพียงผู้เดียวในสถานที่อันแสนวังเวงและเงียบงันแห่งนี้
เบื้องหน้าเขาคือศพของชายคนหนึ่งซึ่งมีเรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้า...ศพที่สี่...ของคดีซึ่ง Red Lady เป็นฆาตกร
ร่างกายนั้นหลับสงบ หากเขารู้ดี ภายใต้ผ้าคลุมสีฟ้าที่ปิดบังร่างกายส่วนล่างลงไปมีสภาพน่าอนาถเพียงใด
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น วางแขนลงตรงหว่างขาของตัวเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาซึ่งหลั่งริน ร่วงหล่นสู่พื้นห้องใต้ดืนเย็นเฉียบ หากดวงเนตรซึ่งพร่าเลือนกลับไม่ฉายซึ่งความเศร้า ความทุกข์ หรือความรู้สึกใดๆ…มันว่างเปล่า...
เขาซบใบหน้าตัวเองลงกับมือทั้งสองของตน ร่างกายสั่นสะท้าน...หวาดกลัว
ห้องใต้ดินนี้ทำให้เขาบ้า
ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
ทำให้ใครอีกคนในตัวเขากระเหี้ยนกระหือรือจะปีนป่ายออกมา
ใครก็ได้ ช่วยรู้ตัวที
ช่วยรู้ตัวทีว่าเขากำลังทำอะไร
เขาหยุดตัวเองไม่ได้ ใครก็ได้ หยุดเขาที
เงาร่างของใครคนหนึ่งแวบเข้ามา …
ถ้าเป็นคุณ จะต้องรู้ใช่ไหม ว่าผมกำลังจะทำอะไร
หยุดผมสิ หยุดผมที
หยุดผมที..!!
ความคิดเห็น