คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สร้างรัก...บทที่ 6
บทที่ 6
สองเท้าของปัถยาเป็นอันต้องชะงักเมื่อเจอพิรภพยืนยิ้มแต้รออยู่ที่หน้าไซต์งาน
หญิงสาวถึงกับกลอกตาใส่ด้วยความเบื่อหน่าย แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะสนใจ
เขากลับยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงใบหู
“เราบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกมาวุ่นวายกับเรา
ยังไง...”
“ยังไงเราก็ไม่มีวันแต่งงานกับคนอย่างนาย” ชายหนุ่มพูดดักอย่างรู้ทัน
เพราะประโยคนี้เขาฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ทุกครั้งมันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ร่ำไป
“รู้แล้วยังจะมาวุ่นวายอีก”
“เผื่อรุ้งจะใจอ่อนเข้าสักวัน” พิรภพลอยหน้าลอยตาตอบอย่างน่าหมั่นไส้
“ไม่มีวัน”
พูดจบปัถยาก็รีบเดินตรงไปที่ลิฟต์
เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานที่มารอขึ้นรถรับส่งของบริษัทที่หน้าโครงการเริ่มเมียงมองมายังเธอกับพิรภพอย่างอยากรู้อยากเห็น
หญิงสาวไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนเหล่านั้น
ด้วยเกรงว่าจะมีการเข้าใจผิดคิดว่าเธอกับพิรภพเป็นแฟนกัน
แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะคิดช้าไป เพราะคนที่เดินตามหลังเธอออกมาติดๆ
จากในไซต์งานได้เข้าใจไปแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว
ชวกรมองตามสองหนุ่มสาวที่เดินตามกันต้อยๆ ไปที่ลิฟต์พลางยิ้มหยัน
“มารับกันแทบทุกวันขนาดนี้
ยังมีหน้าไปป่าวประกาศว่าตัวเองโสดอีกนะ
ผู้หญิงสมัยนี้เป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือยังไงนะ”
ชายหนุ่มนึกค่อนแคะอยู่ในใจ
เห็นพฤติกรรมของปัถยาแล้วเขาก็อดนึกถึงอดีตคนรักไม่ได้ พฤติกรรมของเธอทั้งสองไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด
หลังจากเซฟตีสาวป่าวประกาศให้คนทั้งไซต์ทราบว่าเธอยังโสดในวันนั้น
ก็มีหนุ่มมากหน้าหลายตาหวังเข้าไปสานสัมพันธ์กับเธอ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด
เห็นแล้วเขาก็นึกคันปากขึ้นมายิบๆ อยากจะบอกพวกเขาเหล่านั้นเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด
บางครั้งเขาก็นึกอยากจะบอกผู้ชายคนนั้นเหลือเกินว่า
ลับหลังเขานั้นปัถยาทำตัวยังไงบ้าง
แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น
และโดยส่วนตัวเขาไม่ใช่คนช่างฟ้องเท่าไร จึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น
แม้มันออกจะขัดใจเขาอยู่มากก็ตาม
โฟร์แมนหนุ่มรีบสลัดเรื่องราวของปัถยาและอดีตคนรักออกไปจากหัว แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่นัดกับเพื่อนไว้แล้ว
จึงรีบก้าวตรงไปยังลิฟต์เพื่อเพื่อนจะได้ไม่เสียเวลารอ
ร้านที่ชวกรนัดแนะกับเพื่อนนั้นอยู่ไม่ไกลจากไซต์งานมากนัก
ไม่กี่นาทีเขาก็เดินทางมาถึง
สายตาคมกวาดมองไปทั่วร้านซึ่งตอนนี้มีลูกค้านั่งจับจองอยู่ราวๆ ห้าโต๊ะ
แต่แล้วสายตาคมก็สะดุดเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่งตรงโต๊ะริมสุดติดกับกระจก
“ทำไมยิ่งไม่ชอบยิ่งต้องเจออยู่เรื่อยเลยวะ”
ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเบาๆ
ก่อนเดินทำหน้าไม่สบอารมณ์เข้าไปหาหญิงสาวผมซอยสั้น
ท่าทางเหมือนทอมที่นั่งอยู่ถัดมาจากโต๊ะของปัถยามาสองโต๊ะ
“เฮ้ย ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ ดูทำหน้าสิ” สุมณฑาร้องทักเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนโกรธใครมาของอีกฝ่าย
“เปล่าสักหน่อย” ชายหนุ่มปฏิเสธพร้อมรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
เมื่อนั่งเรียบร้อย ชวกรก็ได้แต่นึกบ่นเพื่อนรักอยู่ในใจ
ที่ช่างเลือกโต๊ะได้พอเหมาะพอเจาะเสียเหลือเกิน
ตำแหน่งที่เขานั่งนั้นสามารถมองคู่รักคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
“แล้วแกมานานยัง”
“มาถึงก่อนแกแค่แป๊บเดียวเอง” ตอบพลางยื่นเมนูให้คนที่เพิ่งมาถึง
ชวกรรับเมนูมาเปิดดูรายการอาหารทีละหน้า
ขณะเดียวกันตาคู่คมก็คอยมองไปยังอีกโต๊ะเป็นระยะๆ
จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจับสังเกตได้
“รู้จักเหรอ”
สุมณฑาถามขึ้นหลังจากหันไปมองตามสายตาของเพื่อนแล้วพบว่าชายหนุ่มมองชายหญิงคู่นั้นราวกับรู้จักกันมาก่อน
“อืม น้องที่ทำงานน่ะ” ชวกรละสายตาจากคนทั้งสอง
แล้วกลับมาให้ความสนใจเมนูอาหารที่อยู่ในมือ
“ไม่เข้าไปทักทายน้องเขาสักหน่อยเหรอ” ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดี
เจอคนรู้จักที่ไหนเป็นต้องเข้าไปทักทายเสมอ สุมณฑาจึงแนะนำไปเช่นนั้น
“ไม่ละ ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไร”
“หา แกว่าอะไรนะไอ้ตรี”
สาวมาดทอมหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักระคนแปลกใจ
ไม่คิดว่าคนที่ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับใครอย่างชวกรจะมีความคิดแบบนี้ด้วย
“ไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา จะว่าเกลียดเลยก็ได้”
ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์
ยิ่งเห็นฝ่ายชายตักอาหารให้ฝ่ายหญิงอย่างเอาอกเอาใจ
ความรู้สึกไม่ชอบใจยิ่งทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันคำว่า ‘ยังไม่มีแฟน’ ที่เธอป่าวประกาศไปทั่วไซต์งานในวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว
แล้วดูตอนนี้สิ การกระทำมันช่างตรงข้ามกับคำพูดสิ้นดี
ชวกรนึกตำหนิอยู่ในใจ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาคิดและเข้าใจนั้นตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
เพราะปัถยานั่งหันหลังให้เขา
ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าแสนเบื่อหน่ายของหญิงสาว ในขณะที่พิรภพนั้นนั่งหันหน้ามาทางเขา
เขาจึงเห็นเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มของฝ่ายชาย
ที่ไม่ว่าปัถยาจะแสดงอาการไม่พอใจขนาดไหนเขาก็ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้
ยิ่งกว่านั้นยังเอาอกเอาใจหญิงสาวมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้ไม่ขาด
“ทำไมวะ”
คำถามของสุมณฑาดึงให้โฟร์แมนหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้”
“แกเป็นอะไรของแกวะไอ้ตรี ปกติใครทำอะไร มีนิสัยยังไงแกก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจนี่หว่า
แล้วคราวนี้ทำไมแกถึงคิดหยุมหยิมกับเรื่องแค่นี้วะ”
สาวมาดทอมมองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นแล้วมันอดนึกถึง...” ชวกรหยุดคำพูดไว้แค่นั้น
เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่ควรเก็บมันมาใส่ใจอย่างที่เพื่อนว่านั่นแหละ
ยิ่งเก็บมาคิดตัวเองก็เป็นคนทุกข์ใจเสียเอง
“นึกถึงอะไร”
“ช่างมันเถอะ แกจะสั่งอะไรก็สั่งไปเลยนะไนต์
ฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง” เขาวางเมนูลงก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและสาวเท้ายาวๆ
ไปยังทิศทางของห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังร้าน
“มันเป็นอะไรของมันวะ” สุมณฑารำพึงกับตัวเองเบาๆ พลางหันไปมองหญิงสาวคู่กรณีของเพื่อนรักอีกครั้ง
ก่อนหันกลับไปมองยังเพื่อนรักที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำชายอย่างไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง
“รุ้งลองชิมนี่ดูสิ ร้านนี้เขาทำอร่อยนะ” พิรภพตักแกงส้มชะอมกุ้งใส่ถ้วยให้ปัถยาอย่างเอาใจ
หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะประทับใจไม่รู้ลืมที่เขาเอาอกเอาใจขนาดนี้
แต่สำหรับปัถยาแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดก็ว่าได้ และที่เธอยอมออกมากินข้าวกับเขาวันนี้ก็เพื่อตัดรำคาญเท่านั้น
ไม่ได้เกิดพิศวาสอะไรคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ตอนนี้เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างภาพหรอก”
ที่ปัถยาพูดเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ชายหนุ่มทำนั้นไม่ได้ออกมาจากใจจริง
เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“รุ้งพูดอะไรก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่ภพทำเพื่อรุ้งก็ออกมาจากใจทั้งนั้นแหละ”
หนุ่มหล่อยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งยังตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“เรารู้จักกันมาสิบปีแล้วนะ ไม่ใช่สิบวัน
ถึงจะไม่รู้ตัวตนของกันและกัน”
พิรภพถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนปรับสีหน้าและน้ำเสียงเป็นจริงจัง
เมื่อเห็นแล้วว่าสร้างภาพยังไงก็คงไม่เป็นผล เพราะความชอบเอาชนะของตัวเองแท้ๆ
ถึงต้องมานั่งปั้นหน้าฝืนทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเองแบบนี้
“ถามจริงเถอะ ทำไมรุ้งถึงไม่อยากแต่งงานกับเรา
ทั้งที่เราเพียบพร้อมทุกอย่าง ผู้หญิงทุกคนต่างก็อยากร่วมหอลงโรงกับเราทั้งนั้น”
“เพราะเราไม่ได้รักภพ และภพเองก็ไม่ได้รักเรา ถ้าเราจะแต่งงานจริงๆ
เราจะแต่งกับคนที่เรารักและรักเราเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีผลต่อการตัดสินใจหรอก
ต่อให้คนคนนั้นจะหล่อ รวย เพอร์เฟ็คแค่ไหนก็ตาม
สิ่งที่เราต้องการมีเพียงหัวใจเท่านั้น ซึ่งภพไม่มีให้เรา
และคนที่รักใครไม่เป็นอย่างภพไม่มีวันเข้าใจหรอก”
หญิงสาวอธิบายเหตุผลยาวเหยียดและได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจและเลิกตามตอแยเธอเสียที
“สมัยนี้ยังมีอยู่อีกเหรอรักแท้ ใครๆ เขาก็มองที่เงินทั้งนั้นแหละ
ยิ่งมีเงินเยอะผู้หญิงยิ่งชอบ เพราะมันบันดาลสิ่งที่พวกเธอต้องการได้แทบทุกอย่าง”
คนที่ไม่เคยเชื่อในรักแท้ยังคงเชื่อมั่นในนิยามของตัวเอง
เพราะเขาพิสูจน์มาด้วยตัวเองหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า เงินนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ความรักและหัวใจเป็นเพียงข้ออ้างให้ฟังดูดีก็เท่านั้น
“ใครๆ ที่ภพว่าคงไม่ใช่เราแน่ เพราะเรามองคนที่ใจ
ไม่ได้มองที่เงินทอง ถ้าภพอยากให้เขารักภพ ก็ต้องเอาใจแลกใจ ไม่ใช่ใช้แต่เงิน อย่าคิดว่าเงินมันจะซื้อได้ทุกอย่าง
จริงอยู่มันบันดาลอะไรๆ ให้เราได้หลายอย่าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เงินเราหมดล่ะ
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภพลองคิดดูสิ”
“ไอ้ที่รุ้งพร่ำมานั่นน่ะ เราไม่เข้าใจหรอกนะ
เรารู้แค่ว่าแค่มีเงินสาวๆ ก็พร้อมศิโรราบแล้ว”
“ยังไงก็ฝากภพเก็บไปคิดด้วยละกัน
คิดได้ไม่ได้ก็เรื่องของภพละกัน เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ปัถยาเอ่ยขอตัวไปสงบสติอารมณ์เมื่อเห็นว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์
คนที่เห็นความรักของผู้หญิงเป็นของเล่นแบบเขาคงไม่มีวันเข้าใจ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ” ปัถยากล่าวขอโทษขอโพย
เพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่จนไม่ได้มองทาง
จึงชนเข้าอย่างจังกับชายคนหนึ่งที่เดินสวนออกมาจากฝั่งห้องน้ำชาย
แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็เอ่ยทักทายเสียงใส
“อ้าวนายช่าง มากินข้าวร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ”
สิ่งที่หญิงสาวได้กลับมามีเพียงความเงียบ ไม่มีคำทักทายใดๆ
หลุดจากปากของอีกฝ่าย เขาทำเพียงปรายตามองคนตัวเล็กกว่าด้วยหางตาแล้วก็เดินหน้านิ่งกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง
ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับคนถามเป็นอย่างมาก
ปัถยามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปด้วยความไม่เข้าใจ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหน
เขาถึงได้ทำเฉยเมยราวกับคนไม่รู้จักกันแบบนั้น
แถมยังมองเธอราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน
“เป็นอะไรของเขานะ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย
แถมยังมาตีหน้ายักษ์ใส่อีกต่างหาก” คนกำลังงงพึมพำกับตัวเองพลางเกาหัวแกรกๆ
อย่างไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย
หลังจากวันที่บังเอิญเจอกันที่ร้านอาหารในวันนั้น ปัถยาก็ลองทักทายชวกรดูอีกครั้ง
เผื่อว่าที่เขาทำไปวันนั้นเพราะกำลังอารมณ์ไม่ดี
แต่ผลที่ได้กลับไม่ต่างจากวันนั้นเลยสักนิด เขายังคงทำตัวเฉยเมย
ทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ ราวกับไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
หากมีความจำเป็นต้องประสานกันเรื่องงาน เขาก็พูดด้วยเท่าที่จำเป็น
ทั้งยังใช้น้ำเสียงที่ไม่รื่นหูสักเท่าไร
นั่นยิ่งสร้างความข้องใจให้ปัถยาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
เพราะแค่เห็นหน้าเธอเขาก็ทำราวกับเจอศัตรูคู่อาฆาตก็ไม่ปาน
เมื่อคุยเรื่องงานกับพิทักษ์
ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของบริษัทที่ทำงานระบบเสร็จ เซฟตีสาวตั้งใจจะเดินกลับขึ้นไปบนออฟฟิศ
แต่เดินไปยังไม่ทันไรก็มีอันต้องชะงักกึกเมื่อเสียงห้วนคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ขยันหว่านเสน่ห์เหลือเกินนะ ผมละสงสารแฟนคุณจริงๆ”
ชวกรพูดขึ้นลอยๆ เมื่อปัถยาเดินผ่านจุดที่เขายืนอยู่พอดี
เห็นเธอคุยหัวร่อต่อกระซิกกับชายอื่นทั้งที่มีคนรักแล้วมันก็อดเหน็บไม่ได้
คนถูกกล่าวหาหันมองไปรอบๆ ตัว เพราะไม่แน่ใจว่าเขาพูดให้ใคร
แต่เมื่อไม่เห็นใครนอกจากตัวเองจึงเงยหน้ามองคนหน้ายักษ์อย่างงงๆ
และถามเพื่อความแน่ใจ “หมายถึงรุ้งเหรอคะ”
ไม่ถามเปล่าหญิงสาวยังชี้นิ้วมาที่ตัวเองอีกด้วย
“ยังจะมาทำหน้างงอีก ใครทำตัวแบบนั้นก็หมายถึงคนนั้นแหละ”
โฟร์แมนหนุ่มทิ้งปริศนาไว้แล้วก็เดินหนีไปหน้าตาเฉย
ปล่อยให้คนถูกเหน็บแนมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ลำพัง
“เป็นอะไรของเขานะ”
หญิงสาวรำพึงกับตัวเองขณะมองตามคนตัวสูงที่เดินเข้าไปสั่งงานคนงานในโซนที่เขารับผิดชอบ
นับวันปัถยายิ่งไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรถึงได้ดูจงเกลียดจงชังเธอนัก
ทั้งที่กับคนอื่นเขาก็ทำตัวปกติดี ต่างจากเธอ
ที่เจอกันทีไรเขาต้องทำหน้าไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง
แถมยังพูดจาห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำอีก เธอลองเลียบๆ เคียงๆ ถามคนงานที่เธอสนิทด้วย
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็คนดีมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน
แล้วทำไมกับเธอเขาถึงแสดงออกตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ
“ตกลงคุณเป็นคนยังไงกันแน่นะ”
ปัถยาพึมพำกับตัวเอง
อยากรู้เหลือเกินว่าเพราะอะไรเขาถึงแสดงออกกับเธอเช่นนั้น
แต่ก็จนปัญญาที่จะหาคำตอบด้วยตัวเอง จึงปล่อยไปเลยตามเลย เขาจะโกรธจะเกลียดอะไรเธอก็เรื่องของเขา
ขอแค่ไม่นำความเดือดร้อนมาให้เธอเป็นพอ
********************
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
...คีตมินทร์...
ความคิดเห็น