คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สร้างรัก...บทที่ 2
บทที่ 2
“ภพมาได้ไงเนี่ย”
ปัถยาเอ่ยถามเสียงเรียบเมื่อเจอพิรภพ
เพื่อนสมัยเรียนของเธอและเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องระหกระเหินมาทำงานไกลบ้านเกิดแบบนี้
“เราตามมาดูแลรุ้งไง
และวันนี้เราก็เป็นสารถีไปส่งรุ้งที่บ้านเอง” พิรภพลอยหน้าลอยตาตอบอย่างน่าหมั่นไส้
พร้อมส่งสายตาหวานเยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า หากเป็นสาวคนอื่นคงเป็นปลื้มไปกับถ้อยคำหวานหูและสายตาสื่อความหมายที่ส่งมา
แต่สำหรับปัถยาที่รู้จักคนตรงหน้าดี กลับเบือนหน้าหนีและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“แม่เราเป็นคนบอกใช่ไหมว่าเราทำงานอยู่ที่นี่”
“อย่าไปว่าน้านวลเลย
คุณน้าเป็นห่วงรุ้งมาก ภพเลยอาสามาดูแลรุ้งแทนท่าน”
“แล้วภพไม่ทำการทำงานหรือไง
ถึงมีเวลามาตามเฝ้ารุ้งแบบนี้” หญิงสาวสวนกลับพร้อมรีบเดินนำพิรภพไปยังลิฟต์ขนส่งสินค้าตัวเก่าที่ทางห้างเปิดใช้สำหรับพนักงานของโครงการก่อสร้าง
“เรากะว่าจะมาหางานทำใกล้ๆ
รุ้งนี่แหละ จะได้ดูแลรุ้งได้สะดวก ที่เดียวกันกับรุ้งได้ยิ่งดี”
ชายหนุ่มตอบขณะรีบสาวเท้าตามหญิงสาวตรงหน้าที่ก้าวฉับๆ ตรงไปยังลิฟต์
เมื่อได้ฟังคำตอบของเพื่อนอารมณ์ของปัถยาเริ่มไม่ปกติแต่ก็ต้องสกัดกั้นอารมณ์
ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
จึงเลือกที่จะเดินตรงไปกดลิฟต์และยืนรอลิฟต์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ขณะที่อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวนิ่งเงียบจนผิดสังเกต
และสัมผัสได้ถึงอาการไม่พอใจนั้น จึงไม่กล้าที่จะทำให้หญิงสาวไม่พอใจไปมากกว่านี้
เขาจึงเลือกที่จะยืนนิ่งๆ ข้างหญิงสาว
สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำของพวกเขาอยู่ในสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาจากจุดพักสูบบุหรี่บริเวณด้านหน้าโครงการตลอดเวลา
และเจ้าของดวงตาคู่นั้นก็ตีความการกระทำเมื่อครู่ของทั้งสองไปว่าเป็นการกระทำของคู่รักที่เง้างอนกัน
ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
พิรภพเดินนำปัถยาไปยังรถยนต์ของตนที่ลานจอดรถ
เขาเดินไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้หญิงสาว
ก่อนเดินอ้อมไปอีกฝั่งและเข้าประจำที่ตำแหน่งคนขับ ชายหนุ่มคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์และเหยียบคันเร่งออกรถไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใดๆ
บรรยากาศภายในรถดูอึมครึมจนน่าอึดอัด เจ้าของรถจึงเอื้อมมือไปเปิดเพลงและร้องคลอตามเบาๆ
เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็ลอบมองคนข้างกายที่นั่งคอตั้งหน้าเชิดมองทางข้างหน้าโดยไม่หันมาสนใจสารถีหนุ่มเลย
“เมื่อไหร่ภพจะเลิกตามตื๊อเราสักที
เราอึดอัด” หญิงสาวที่นั่งเงียบมานานโพล่งออกมาเมื่อความอดทนของเธอถึงจุดสิ้นสุด
เธอรู้ว่าที่พิรภพทำแบบนี้เพราะต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น
ไม่ได้ทำไปเพราะพิศวาสอะไรในตัวเธออย่างที่เขาบอกกับคนอื่นๆ
พิรภพเป็นคนหน้าตาดี
ฐานะทางบ้านถือว่าร่ำรวยมาก พ่อเขาก็เป็นถึงเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังของจังหวัด
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เลยไม่แปลกที่สาวๆ มากหน้าหลายตาจะพยายามทอดสะพานให้เขา
แล้วเขาก็ไม่เคยปฏิเสธสาวๆ เหล่านั้นเลยสักคน ในขณะที่หลายๆ
คนพยายามเข้าหาเขาแต่ปัถยากลับไม่ได้สนใจหรือหลงใหลได้ปลื้มในตัวเขาเลยสักนิด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากเอาชนะและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาอกเอาใจเธอ
แต่เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขามากไปกว่าคำว่า ‘เพื่อน’
เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เขาวาดหวัง
ด้วยนิสัยที่เป็นคนเอาแต่ใจและชอบเอาชนะ อยากได้อะไรก็ต้องได้
เขาจึงเข้าไปตีสนิทกับครอบครัวของเธอ ทุกครั้งที่แวะไปเยี่ยมเยียนก็จะมีของฝากติดไม้ติดมือไปเสมอ
แม่ของเธอจึงชื่นชอบเพื่อนคนนี้ของเธอเป็นพิเศษ
ถึงขั้นยอมยกเธอให้กับเพื่อนคนนี้โดยที่ไม่ถามความสมัครใจของเธอสักนิด
สิ้นคำพูดของหญิงสาว
รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ถูกสารถีหนุ่มเหยียบเบรกกะทันหันและหักเลี้ยวเข้าจอดนิ่งสนิทที่ข้างทาง
ก่อนคนขับจะหันไปมองหน้าคนที่นั่งข้างๆ
“ที่ภพทำไปทุกอย่างก็เพราะรักรุ้งนะ
ถ้าไม่รักไม่จริงใจเราคงไม่ให้พ่อแม่ไปสู่ขอรุ้งหรอก”
“รักเหรอ
ถ้านายรักเราจริงอย่างที่นายพูด นายคงไม่เอาชื่อเราไปอ้าง
จนเรามีศัตรูโดยไม่รู้ตัวทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้หรอกนะ”
สรรพนามที่เปลี่ยนไปแสดงให้เห็นถึงอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด
จากนั้นก็ร่ายยาวถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของเพื่อนชายคนนี้ ที่มักนำชื่อเธอไปใช้อ้างกับบรรดาสาวๆ
ของเขา เมื่อเขาเบื่อใครไม่อยากคบต่อเขาจะไม่บอกไปตรงๆ
เพราะจะทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาของบรรดาสาวๆ
เขาจึงเลือกใช้วิธีอ้างกับสาวเหล่านั้นว่า
พ่อแม่เขาบังคับให้แต่งงานกับเธอทันทีที่เรียนจบ
เขาจำเป็นต้องแต่งเพราะเป็นความต้องการของพ่อแม่
ที่ปัถยารู้เรื่องเหล่านี้ก็เพราะบรรดาผู้หญิงที่เขาเขี่ยทิ้งต่างมาหาเรื่องเธอเรื่อยๆ
ทีแรกเธอเองก็งงว่าพวกหล่อนเป็นใคร ทำไมอยู่ๆ ถึงตามมาราวีเธอไม่เว้นวัน จนได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทักเธอมาในแชตเฟซบุ๊ก
เธอบอกว่าเป็นแฟนของพิรภพ
จากนั้นก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ฝ่ายชายบอกกับเธอให้ปัถยาฟัง
“มีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”
พิรภพได้ฟังก็หน้าซีดขึ้นมาทันที
ไม่คิดว่าปัถยาจะรู้เรื่องนี้ด้วย เพราะเขาตีหน้าเศร้าขอร้องพวกสาวๆ
เหล่านั้นแล้วว่าไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับว่าที่เจ้าสาวของเขา และทุกคนก็เข้าใจและรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่มาวุ่นวายกับปัถยา
“แต่แม่รุ้งตกลงกับพ่อแม่เราแล้วนะ”
ชายหนุ่มยกคำตกลงของบุพการีฝ่ายหญิงขึ้นมาอ้าง
คนอย่างเขาอยากได้อะไรแล้วก็ต้องได้
แม้ก่อนหน้านี้เรื่องการแต่งงานจะไม่เคยอยู่ในหัว แต่เพราะความถือดีและท่าทางไม่แยแสของหญิงสาวทำให้เขาอยากจะเอาชนะให้ได้
แม้ต้องแลกด้วยการแต่งงานทั้งที่อายุยังน้อยอยู่เขาก็ยอม ด้วยคิดแค่เพียงว่าแต่งได้ก็เลิกราได้
ซึ่งเห็นได้บ่อยๆ ในสังคมทุกวันนี้
“ถ้าเราจำไม่ผิด
พ่อเราเข้าไปคุยกับพ่อของภพแล้วนะ เรื่องยกเลิกข้อตกลงบ้าบอนั่น
แล้วต่อไปก็ไม่ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับเราอีกนะ
ยิ่งพูดยิ่งจะทำให้ความรู้สึกดีๆ แบบเพื่อนที่เราเคยมีให้นายมันลดน้อยลงทุกที
แล้วก็ไม่ต้องไปส่งเราหรอกนะ เรากลับเองได้ และไม่ต้องมาตามตื๊อเราแบบนี้อีก
ยังไงเราก็ไม่มีวันแต่งงานกับคนอย่างนาย”
ยังไม่ทันที่พิรภพจะพูดอะไรต่อ
หญิงสาวก็ปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนเปิดประตูก้าวออกจากรถ
วิ่งไปขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารอยู่ข้างหน้า
ทิ้งให้ชายหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ นั่งเข่นเขี้ยวอารมณ์เสียอยู่ในรถเพียงลำพัง
“โธ่เว้ย!”
พิรภพทุบมือลงบนพวงมาลัยสุดแรงก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจ
พร้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ
ทันทีที่ปัถยาปิดประตู
แท็กซี่ก็บึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็วตามเส้นทางที่หญิงสาวบอก หลังจากบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับแท็กซี่เรียบร้อยแล้วผู้โดยสารสาวก็เอาแต่นั่งเหม่อคิดถึงเรื่องราววุ่นๆ
ที่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
‘ยังไงรุ้งก็ไม่แต่ง’
ปัถยาผุดลุกขึ้นยืนปฏิเสธเสียงแข็งหลังได้ยินความประสงค์ของมารดา
มีอย่างที่ไหนไปตกปากรับคำยกเธอให้พิรภพโดยที่ไม่ถามความเห็นเธอสักนิด
ว่าเธอจะยินยอมพร้อมใจหรือเปล่า แบบนี้มันเรียกคลุมถุงชนชัดๆ
หญิงสาวคิดเคืองอยู่ในใจ
‘จะไม่แต่งได้ยังไง ในเมื่อแม่ตกลงกับคุณพิชัยไปแล้ว’ นวลนางโต้กลับเสียงดังอย่างไม่ยอมเช่นกัน
เธอจะไม่มีวันให้งานแต่งงานครั้งนี้มีอันต้องล้มเลิกเด็ดขาด โอกาสจะได้เกี่ยวดองกับเศรษฐีอันดับหนึ่งของจังหวัดอยู่แค่เอื้อมมือ
ใครไม่คว้าไว้ก็โง่เต็มทีแล้ว
ด้วยเหตุนี้เมื่อพิชัย
เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังของจังหวัดมาทาบทามลูกสาวของนางให้กับพิรภพผู้เป็นลูกชาย
นางจึงรีบตอบตกลงโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด ไม่แม้แต่จะถามความสมัครใจของลูกสาว
‘แต่รุ้งกับภพไม่ได้รักกันเลยนะแม่
เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันจะแต่งงานกันได้ยังไง อีกอย่างรุ้งเพิ่งจะเรียนจบ
อายุก็แค่ 23 ปีเอง จะให้รีบแต่งไปไหน’
หญิงสาวพยายามหาเหตุผลมาแย้งและได้แต่หวังว่ามารดาจะเข้าใจ
เพราะเธอคิดว่าตัวเองยังเด็กไปที่จะสร้างครอบครัว
และหากเธอจะตกลงปลงใจสร้างครอบครัวกับใครสักคน
เธอก็อยากให้งานแต่งงานครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความรักและความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย
ไม่ใช่แบบมัดมือชกและปราศจากความรักแบบนี้
‘ใครบอกล่ะ วันนี้พ่อภพเขาพูดต่อหน้าคุณตา ต่อหน้าพ่อกับแม่
ไหนจะพ่อแม่เขาอีก ว่าเขารักลูก แอบรักมานานแล้วและอยากจะแต่งงานกับลูกสาวแม่
เลยให้พ่อแม่มาทาบทามสู่ขอลูกให้นี่ไง ส่วนเรื่องอายุ
จะแต่งตอนไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ จะวันนี้หรือวันไหนก็ต้องแต่งอยู่ดี
แล้วจะรีรอไปทำไม แต่งช้าเดี๋ยวก็มีลูกไม่ทันใช้หรอก’
‘แต่รุ้งไม่ได้รักภพ แล้วภพก็ไม่รักรุ้งจริงๆ อย่างที่พูด
อีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่สร้างภาพให้แม่เห็น รุ้งรู้จักมันมาเป็นสิบปี
รู้ดีว่านิสัยที่แท้จริงของเพื่อนรุ้งเป็นยังไงและถ้ารุ้งต้องแต่งงานจริงๆ
รุ้งจะแต่งกับคนที่รุ้งรักคนที่รุ้งเลือกเองเท่านั้น’
ผู้เป็นลูกยังคงยืนยันคำเดิม
‘ไหนล่ะคนที่รุ้งรัก คนที่รุ้งเลือกเอง แม่เห็นคบใครก็ไม่มีใครดีจริงสักคน
คบได้ไม่กี่เดือนก็เลิกทุกราย และก็ไม่มีใครกล้ามาพบพ่อกับแม่สักคน ต่างจากพ่อภพที่รู้จักแวะเวียนมาหาผู้หลักผู้ใหญ่’
‘ยังไงรุ้งก็ไม่แต่ง ถ้าแม่บังคับรุ้งมากๆ รุ้งจะหนีไปไกลๆ
ไม่ให้ใครหาเจอเลย ไม่เชื่อแม่ก็คอยดูสิ’
หญิงสาวประกาศกร้าวด้วยท่าทางเอาจริง
ก่อนจะวิ่งตึงตังขึ้นไปยังห้องนอนของตนที่อยู่ชั้นสองของบ้าน
ปล่อยให้ผู้เป็นแม่บ่นกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่ได้ดั่งใจอยู่คนเดียว
“คุณครับ
เลี้ยวเข้าไปในซอยเลยรึเปล่าครับ”
คำถามที่ดังขึ้นดึงให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเอง
“จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ
ซอยมันแคบ เกรงว่ากลับรถลำบาก”
ผู้โดยสารสาวบอกพร้อมกับจ่ายค่าแท็กซี่ตามจำนวนที่ปรากฏบนมิเตอร์
และกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนก้าวลงจากรถไป
ปัถยาเดินทอดฝีเท้าช้าๆ
เข้าไปในซอยที่ทั้งแคบและมืด สองฝั่งรายล้อมไปด้วยตึกแถวเก่าๆ
อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี ที่หน้าตึกแต่ละหลังมีรถจอดตลอดแนว
ทำให้ถนนที่แคบอยู่แล้วดูแคบเข้าไปอีก หญิงสาวเดินไปเรื่อยๆ
แล้วเลี้ยวเข้าซอยย่อยที่อยู่ด้านขวามือ
และไขกุญแจประตูกระจกเข้าไปในตึกแถวหลังที่สอง ซึ่งเป็นของน้าเธอ
แม่เธอยอมให้มาทำงานกรุงเทพฯ ก็จริงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องมาพักอยู่กับน้าเท่านั้น
ห้ามไปเช่าห้องอยู่ตามลำพังเด็ดขาด
“กลับมาแล้วเหรอรุ้ง
เป็นไงบ้างทำงานวันแรก”
เพ็ญศรีที่กำลังง่วนอยู่กับการเย็บผ้าเงยหน้าขึ้นทักทายหลานสาว
“ก็ดีค่ะ
วันแรกยังไม่มีอะไรมากแค่ดูหน้างานและศึกษาเอกสารที่คนเก่าเขาทำไว้ พี่ๆ
ที่นั่นเป็นกันเองและใจดีทุกคนเลยค่ะ”
ปัถยาตอบคำถามผู้เป็นน้าพลางนึกถึงคนหน้ายักษ์ขึ้นมา แต่เลือกที่จะไม่เล่าให้ผู้เป็นน้าฟัง
เพราะไม่อยากให้ผู้ใหญ่เป็นกังวลไปกับเธอด้วย
“ดีแล้ว
มีเพื่อนร่วมงานดี เวลาทำงานจะได้ไม่อึดอัด แล้วภพล่ะ ไม่เจอกันเหรอ
เห็นแม่รุ้งโทร.มาบอกน้าว่าวันนี้ภพจะไปรับรุ้งและจะมากินข้าวด้วย
น้าทำกับข้าวไว้รอเยอะแยะเลย” เพ็ญศรีถามเมื่อเห็นว่าหลานสาวกลับมาคนเดียว
ไร้เงาคนที่นวลนางโทร.มาบอกหล่อนเมื่อตอนเย็น
“รุ้งไล่กลับไปแล้วแหละค่ะ
รำคาญ คนอะไรไม่รู้งานการไม่ทำมาตามตื๊ออยู่ได้
แม่ก็อีกคนไม่รู้ไปปลื้มอะไรเขานักหนา” ปัถยาบ่นอุบจนผู้เป็นน้าอดขำไม่ได้
“ช่างเขาเถอะ
แม่รุ้งก็แบบนี้แหละ มาเหนื่อยๆ เอาของไปเก็บก่อนไปแล้วค่อยลงมากินข้าว”
“เด็กๆ
ล่ะคะน้าเพ็ญ” หญิงสาวถามหาลูกชายและลูกสาวของน้าที่ปกติจะนั่งเฝ้าหน้าจอทีวี
“น้าไล่ขึ้นไปทำการบ้านข้างบนแล้ว
อยู่ข้างล่างก็มีแต่ทะเลาะกัน”
ผู้เป็นน้าบอกอย่างอารมณ์เสียกับลูกทั้งสองคนที่มักจะทะเลาะกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“งั้นรุ้งเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะคะ
เดี๋ยวลงมา” ปัถยาบอกก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน
นำสัมภาระไปเก็บแล้วล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงมากินข้าวเย็นด้านล่าง
หลังจากกินข้าวเสร็จและล้างถ้วยล้างจานเรียบร้อยปัถยาก็กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำและตั้งใจจะนอนแต่หัวค่ำ
แต่กว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องระหว่างเธอกับพิรภพ
หญิงสาวไม่มีทางรู้เลยว่าวันข้างหน้าจะต้องเจอกับปัญหาอะไรอีกได้แต่บอกกับตัวเองว่าต้องสู้
ต้องไม่ยอมแพ้ เพราะชีวิตนี้เป็นของเธอและเธอจะขอเลือกทางเดินชีวิตของเธอเอง
************************************************
ความคิดเห็น