ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สร้างรัก [ มี Ebook ]

    ลำดับตอนที่ #18 : สร้างรัก...บทที่ 18

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 62


    บทที่ 18

    กว่าชวกรจะพาปัถยากลับมาถึงบ้านพักพระอาทิตย์ดวงโตก็โผล่พ้นยอดเขาไปแล้ว ขณะเดียวกันทุกคนในบ้านก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและนั่งสูดอากาศยามเช้าและรับแสงตะวันอยู่ที่ชานหน้าบ้าน

    “ตายจริง น้องรุ้งเป็นอะไรคะ นายช่างถึงต้องอุ้มมาแบบนี้” สายฝนอุทานขึ้นเสียงแหลม เมื่อเห็นชวกรอุ้มปัถยาเข้ามาหน้าตื่น

    “อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ พี่ฝนพอจะมีน้ำแข็งไหมครับ”

    “เดี๋ยวพี่ไปดูที่โรงครัวให้ น่าจะมีเหลือจากเมื่อคืนอยู่บ้าง รอแป๊บนะ” พูดจบสายฝนก็รีบลงบันไดและตรงไปโรงครัวทันที โดยมีฤทัยและดวงใจ เพื่อนร่วมบ้านอีกสองคนตามไปด้วย

    เมื่อพ้นร่างของสามสาวชวกรก็วางปัถยาลงบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองๆ สำรวจข้อเท้าหญิงสาวอีกรอบ

    “เจ็บมากไหมคุณ”

    “ตอนอยู่นิ่งๆ ไม่เจ็บค่ะ แต่เวลาขยับจะเจ็บนิดหน่อย”

    “บวมขนาดนี้ไม่นิดแล้วมั้ง” ชายหนุ่มว่าไปตามที่เห็น ด้านหญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ พร้อมชะโงกหน้าไปดูเท้าตัวเองที่เริ่มบวม ก่อนจะสะดุดกับเลือดที่มือและแขนของอีกฝ่าย

    “นายช่างมีแผลนี่คะ เลือดออกเต็มเลย” ปัถยาร้องทักพร้อมล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาหมายจะเช็ดเลือดให้ “นายช่างขึ้นไปเอากระเป๋าปฐมพยาบาลบนบ้านมาให้หน่อยค่ะ รุ้งจะทำแผลให้”

    “ไม่เป็นไรหรอก แค่รอยขีดข่วนนิดหน่อยเอง” เขาบอกปฏิเสธราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

    “ที่แขนน่ะใช่ค่ะ แต่ที่มือนี่สิคะ” ปัถยายกมือข้างที่เป็นแผลให้เจ้าตัวดู ซึ่งคาดว่าน่าจะโดนหินบาดตอนที่โดนเธอดึงให้ล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน

    “ว่าแต่รุ้งดื้อ นายช่างเองก็ดื้อเหมือนกันแหละค่ะ งั้นนายช่างรอตรงนี้นะคะ รุ้งขึ้นไปเอาเองก็ได้” หญิงสาวว่าอย่างแสนงอนพร้อมขยับตัวทำท่าจะลุก เห็นอย่างนั้นโฟร์แมนหนุ่มก็รีบร้องห้ามพร้อมรั้งแขนเจ้าตัวไว้

    “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาให้เอง”

    ชวกรหายขึ้นไปบนบ้านไม่นานก็กลับลงมาพร้อมกระเป๋าปฐมพยาบาล ปัถยาไม่รอช้ารีบทำแผลให้ชายหนุ่มอย่างเบามือ คนเป็นแผลลอบมองใบหน้าคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้ ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานการพันแผลของตน จนเขาเองเผลอยิ้มตามแบบไม่รู้ตัว

    “ไปโดนอะไรมาล่ะนั่นพ่อตรี” เสียงทักของเจ้าของบ้านดึงให้ชวกรหลุดจากภวังค์

    “ลื่นล้มน่ะครับ เลยโดนหินบาด”

    “คราวหลังก็ระวังๆ หน่อยละกัน ที่นี่ทางเดินมันชัน ลุงเองอยู่มานานยังพลาดอยู่บ่อยครั้ง”

    “ครับลุง”

    “ลุงออกไปดูไร่ก่อนนะ” เจ้าของบ้านเอ่ยขอตัว เมื่อได้เวลาที่ต้องเข้าไปดูไร่นา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนที่นี่

    “น้ำแข็งมาแล้วค่า” สายฝนส่งเสียงมาแต่ไกล ในมือนั้นหิ้วน้ำแข็งมาเต็มถุง

    “พี่ฤทัยกับพี่ดวงล่ะคะ” ปัถยาถามเมื่อไม่เห็นอีกสองสาวกลับมาด้วย

    “ช่วยเขาทำกับข้าวที่โรงครัวน่ะ พี่ว่ารีบประคบน้ำแข็งดีกว่าเดี๋ยวจะบวมมากกว่านี้”

    “เดี๋ยวผมจัดการเองครับพี่ฝน” ชวกรอาสา

    “โอเคจ้ะ งั้นพี่ไปช่วยเขาเตรียมกับข้าวก่อนนะ แล้วเราสองคนจะไปกินข้าวที่โน่นหรือจะให้พี่เอามาให้”

    “ไม่เป็นไรครับพี่ฝน ขอบคุณมากครับ” พ้นร่างของสายฝน ชายหนุ่มก็หันมาสนใจกับน้ำแข็งในมือที่รับมาจากสายฝนเมื่อสักครู่

    “แต่มือนายช่างเจ็บอยู่นะคะ” ปัถยาท้วงขึ้น

    “แค่นี้เอง ไม่เจ็บหรอก” พูดจบเขาก็ห่อก้อนน้ำแข็งด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กและประคบบริเวณข้อเท้าที่เริ่มบวมของปัถยาเพื่อให้เลือดไหลเวียนช้าลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและลดอาการบวม

    ปัถยาลอบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มของคนที่ที่กำลังพันผ้ายืดรอบข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บให้เธออย่างเบามือ การกระทำที่แสนอ่อนโยนของเขามันช่างขัดกับใบหน้าเรียบนิ่งและเสียงเข้มๆ ของเขาเหลือเกิน หากเขายิ้มแบบคืนนั้นเป็นประจำจะเป็นยังไงบ้างนะ หญิงสาวคิดในใจพร้อมแย้มรอยยิ้มออกมาเมื่อจินตนาการถึงภาพชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า

    “ยิ้มอะไร” ชวกรถามเสียงห้วน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นหญิงสาวมองหน้าเขาอยู่พร้อมอมยิ้ม

    “กำลังคิดว่าถ้านายช่างยิ้มแบบคืนนั้นตลอดคงจะดี น่ามองกว่าตีหน้ายักษ์เยอะเลยค่ะ” เซฟตีสาวบอกออกไปตามตรงอย่างที่ใจคิด

    “ไร้สาระ” เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นนำกระเป๋าปฐมพยาบาลขึ้นไปเก็บบนบ้าน

    “ผมว่าคุณขึ้นไปนอนพักอยู่บนบ้านดีกว่า เดี๋ยวผมจะบอกนทีให้ว่าคุณเจ็บเท้า วันนี้ออกไปโรงเรียนไม่ได้”

    “รุ้งเดินไปเองได้ค่ะนายช่าง” หญิงสาวรีบท้วง เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มอีกครั้ง

    “ดื้อตลอดเลยนะคุณนี่ เดี๋ยวก็บวมยิ่งกว่าเดิมหรอก” เขาอุ้มหญิงสาวขึ้นมาในอ้อมแขนทันทีที่พูดจบ ก่อนจะพาขึ้นไปพักบนบ้าน พร้อมนำไม้ท่อนเล็กๆ มารองขาข้างที่เจ็บให้จากนั้นก็ไปนำกับข้าวที่โรงครัวมาให้คนเจ็บทาน

    “ผมจะออกไปโรงเรียนแล้ว ถ้ามีอะไรก็โทร.หาผมได้เลยนะ”

    “ลืมไปแล้วเหรอคะว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์”

    “เออใช่ เอาเป็นว่าผมจะแวะมาดูคุณบ่อยๆ ละกัน”

    “รบกวนนายช่างเปล่าๆ รุ้งไม่เป็นอะไรแล้ว นั่งนิ่งๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็หายแล้วมั้งค่ะ กระดูกไม่ได้หักสักหน่อย” ปัถยาบอกอย่างเกรงใจ ไม่อยากทำตัวเป็นภาระของใคร โดยเฉพาะคนตัวโตที่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้

    “ตามใจคุณละกัน นี่น้ำแข็งไว้ให้คุณใช้ประคบระหว่างวัน แล้วตอนเที่ยงผมจะแวะเอากับข้าวมาให้ ผมไปละ” ชวกรยื่นกระติกน้ำแข็งใบเล็กที่นำมาจากโรงครัวให้ปัถยา ก่อนจะออกไปช่วยคนอื่นๆ ที่โรงเรียน

    คล้อยหลังโฟร์แมนหนุ่ม เซฟตีสาวก็ระบายยิ้มออกมา ความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้มลายหายไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แถมยังก่อเกิดเป็นความรู้สึกแบบใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ถึงเขาจะชอบพูดจาห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ ชอบชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธอ แต่ดูไปดูมาเขาก็เป็นคนดีมีน้ำใจอย่างที่ก้องภพเคยบอกไว้ ทั้งที่เขาเองไม่ค่อยชอบหน้าเธอสักเท่าไร แต่ยังมีน้ำใช่วยให้เธอได้ทำงานที่บริษัทต่อเมื่อคราวเกิดเรื่องในไซต์งาน รวมถึงเรื่องที่มีผู้รับเหมามาวอแวกับเธออีก แล้วไหนจะเรื่องวันนี้อีก ขนาดเธอเป็นคนทำให้เขาเจ็บตัวแท้ๆ แต่เขาก็ยังมีน้ำใจมาปฐมพยาบาลให้เธอ คิดถึงตรงนี้ปัถยาก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม พลันภาพแววตาแปลกๆ ของเขาในวันนั้นก็ปรากฏขึ้นในหัวส่งผลให้ใจดวงน้อยเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ อีกครั้ง

    “เป็นไงบ้างน้องรุ้ง” หลังทราบจากชวกรว่าปัถยาลื่นล้มจนขาเจ็บ ในฐานะประธานค่าย นทีเลยแวะมาถามไถ่อาการหญิงสาวทันทีที่เสร็จงาน

    “ดีขึ้นแล้วค่ะพี่นที”

    “ได้คนดูแลดีขนาดนี้พรุ่งนี้คงลุกขึ้นวิ่งได้แล้วมั้ง” นทีแซวพร้อมปรายตามองไปยังชวกรที่กำลังพันผ้ายืดที่ข้อเท้าให้หญิงสาว

    “ไม่แน่นะคะ” ปัถยาตอบรับพลางหัวเราะร่า จนบุรุษพยาบาลจำเป็นอดหมั่นไส้ไม่ได้

    “แล้วไปทำอิท่าไหนถึงได้ลื่นล้มจนขาเจ็บได้ล่ะ”

    “พอดีทางมันมืดน่ะค่ะ มองไม่เห็นก้อนหิน เลยสะดุดมันเข้า แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”

    “ต่อไปเดินไปไหนมาไหนก็ระวังหน่อยละกัน”

    “อ้ะ เสร็จละ” ชวกรโพล่งแทรกขึ้นเสียงห้วน ก่อนจะลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ลงไปข้างล่างเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินระหว่างสองหนุ่มสาว ที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ราวกับโลกนี้มีเพียงแค่เราสองคน

    “ดูท่าจะหึงน้องรุ้ง เดินหน้าบึ้งออกไปเลย” นทีคาดเดาตามอาการของโฟร์แมนหนุ่ม ที่ออกอาการไม่พอใจตั้งแต่เห็นเขาโผล่มาเยี่ยมปัถยาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว

    “หึงหวงอะไรกันคะ รุ้งกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ปัถยาหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ฟังคำนที โดยไม่รู้ว่าเสียงตนนั้นได้เล็ดลอดไปถึงหูคนข้างล่างที่กำลังนั่งหงุดหงิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างไม่รู้สาเหตุอยู่คนเดียวบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน

    “พี่นึกว่าเป็นแฟนกันซะอีก เห็นเขาดูแลและเป็นห่วงเป็นใยน้องรุ้งซะขนาดนั้น” นทีบอกไปตามที่คิด และเขาก็มั่นใจว่าเขาดูไม่ผิด ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูกันไม่ออก ท่าทางฟ้องซะขนาดนั้น

    “คงเพราะเราสองคนมาจากไซต์งานเดียวกันมั้งคะ ช่างตรีเลยดูแลรุ้งเป็นพิเศษ”

    “คงไม่ใช่เพราะเหตุผลแค่นี้มั้ง มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ ปีที่แล้วคนที่มาจากไซต์เดียวกันกับช่างตรีก็บาดเจ็บ พี่ก็ไม่เห็นช่างตรีเขาจะดูแลเอาใจใส่แบบนี้เลย” นทีแย้ง เมื่อเขาดูยังไงอาการของชวกรมันเป็นอาการของคนหึงหวงชัดๆ

    “รุ้งจะบอกอะไรให้ฟังค่ะ ที่จริงเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้ารุ้งสักเท่าไร มีเรื่องกันมาหลายครั้งแล้วค่ะ” ปัถยาป้องปากบอกราวกับว่ากลัวใครจะได้ยินเข้า ทั้งที่ตอนนี้อยู่ด้วยกันแค่สองคน

    “พี่ว่าน้องรุ้งเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนไม่ชอบหน้ากันเขาไม่มาดูแล ไม่เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้หรอก” นทียังคงเชื่อในสัญชาตญาณของตน

    “ก็อย่างที่บอกค่ะ เรามาจากไซต์เดียวกัน อีกอย่างรุ้งเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่รู้จักยังไม่สนิทกับใครเท่าไร จะมีก็แต่นายช่างตรีนี่แหละค่ะ ที่ถือว่าสนิทที่สุดในค่ายตอนนี้” ปัถยายังคงยืนยันคำเดิมและเชื่ออย่างนั้นจริงๆ

    “คงจะจริงอย่างรุ้งว่าแหละ แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดเหรอ” นทีเปลี่ยนเรื่อง ในเมื่อหญิงสาวเชื่ออย่างนั้นเขาก็จนใจที่จะพูดให้หญิงสาวเปลี่ยนความคิด

    “ไปฝึกนับเลขที่บ้านเก้าค่ะ” คนเจ็บหมายถึงไปล้อมวงเล่นไพ่ ซึ่งเป็นกิจกรรมยามค่ำคืนของหลายๆ คนในที่นี้

    “อ่อ” นทีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย เมื่อเห็นว่าอยู่คุยกับหญิงสาวนานเกินไปแล้วจึงขอตัวเพื่อที่หญิงสาวจะได้พักผ่อน และตัวเขาจะได้ไปสังสรรค์กับคนอื่นๆ ที่ศาลาอเนกประสงค์ 

    ขณะกำลังจะเดินตรงไปยังทิศทางของอาคารอเนกประสงค์ สายตาของนทีพลันเหลือบไปเห็นชวกรที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างห้องครัว มุมปากได้รูปยกยิ้มอย่างคนมีแผน ประธานค่ายเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เขาเดินตรงเข้าไปหาคนที่ยืนทอดอารมณ์อยู่ในมุมมืด ด้วยอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เพื่อจะได้มั่นใจว่าสัญชาตญาณของเขานั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนอย่างที่ปัถยาว่า

    “ขอคุยอะไรด้วยสักหน่อยได้ไหมครับ”

    คนที่กำลังเงยหน้าพ่นควันสีเทาหม่นให้ลอยขึ้นไปในอากาศปรายตามองไปยังต้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่นทีคิดไว้ไม่มีผิด

    “ว่ามาสิ” ชวกรว่าพลางยื่นซองบุหรี่และไฟแช็คไปให้ นทียื่นมือไปรับและเคาะบุหรี่ออกมาจากซองหนึ่งมวนแล้วคาบไว้ในปากแล้วจุดไฟจ่อเข้าที่ปลายมวน ก่อนยื่นทั้งสองอย่างคืนเจ้าของ

    “งานที่ไซต์เป็นไงบ้างครับ” วิศวกรหนุ่มเปิดประเด็นด้วยเรื่องงาน

    “ก็เรื่อยๆ ล่าช้ากว่าแผนนิดหน่อย แล้วที่ไซต์กระบี่เป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่าใกล้เสร็จแล้วนี่”

    “ครับ เหลือเก็บดีเฟ็กต์อีกนิดหน่อย ไม่นานก็คงได้ย้ายไซต์ ไม่รู้ไซต์หน้าจะได้ไปจังหวัดไหน แต่ถ้าเลือกได้ ผมอยากขอย้ายไปประจำไซต์เดียวกับคุณตรีมากกว่า”

    เมื่อได้ยินความประสงค์ของนทีคิ้วหนาของชวกรก็กระตุกขึ้นมาทันทีทันใด ดวงตาคมกริบตวัดมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เข้มขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิด “ไซต์ผมคนเต็มจนล้นแล้ว”

       “ว้า น่าเสียดายจัง” แสร้งพูดเสียงอ่อยอย่างแสนเสียดาย ทั้งที่ในใจนั้นขำจนไม่รู้จะขำยังไงแล้วกับอาการหวงก้างของอีกฝ่าย

    “คุณมีเรื่องจะพูดกับผมแค่นี้ใช่ไหม ผมจะได้กลับขึ้นบ้าน” โฟร์แมนหนุ่มถามขึ้นเมื่อบุหรี่ในมือหมดมวนพอดี

    “ไม่ไปสนุกด้วยกันที่อาคารอเนกประสงค์เหรอครับ” แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่คนช่างแกล้งก็ยังถามออกไปอย่างนั้น ด้วยอยากรู้ว่าคนที่อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเองจะอ้างว่าอย่างไร

    “ไม่ละ วันนี้ผมเหนื่อย อยากพักผ่อน”

    “งั้นผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ เรื่องเกี่ยวกับน้องรุ้งน่ะครับ” และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่นทีต้องแอบขำในใจ เมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของชวกร แม้จะอยู่ในมุมมืด แต่มีหรือที่อาการต่างๆ จะเล็ดลอดสายตาคนที่ตั้งใจมาจับพิรุธโดยเฉพาะ นทีลอบยิ้มพอใจก่อนจะพูดต่อ

    “ผมเห็นว่าคุณตรีน่าจะสนิทกับน้องรุ้ง และน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับน้องรุ้งมากกว่าใคร จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากจะให้คุณตรีช่วย...”

    “ก็ไม่ได้สนิทอะไร แค่เพื่อนร่วมงานธรรมดา และผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก” เสียงเรียบนิ่งของชวกรทะลุขึ้นมากลางปล้องทั้งที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบประโยค เรื่องอะไรเขาต้องไปช่วยไอ้หมอนี่ด้วย อยากจีบอยากอะไรก็ไปหาทางเอาเองสิ จะมาให้เขาช่วยทำไม เขาไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น
    เสียหน่อย ชวกรให้เหตุผลกับตัวเองไปอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้แสดงพิรุธออกไปเต็มๆ ด้านคนอยากให้ช่วยแต่แต่กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม

    “แบบนี้ผมคงต้องพึ่งตัวเองแล้วสิ”

    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”

    “งั้นผมขอตัวเลยละกันนะครับ” นทีเอ่ยขอตัว ก่อนจากไปไม่วายชวนหนุ่มบ้านหมายเลขหกอีกครั้ง เผื่อว่าเขาอยากจะเปลี่ยนใจ

    “แน่ใจนะครับว่าไม่ไปสนุกด้วยกัน วันนี้เห็นหัวหน้าหมู่บ้านว่ามีของดีมาให้พวกเราชิมด้วย”

    “ไม่ละ เชิญคุณตามสบาย” ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำตอบเดิม ด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย

    เมื่อได้คำตอบซึ่งเป็นที่น่าพอใจแล้ว ประธานค่ายก็เดินพ่นควันสีเทาจากไปอย่างสบายใจ พลางนึกขำอยู่ในใจคนเดียวไปตลอดทาง

    *********************

    คนอื่นเขาดูออกกันหมด คงมีแต่พระนางของเราเองสินะ ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง

    อ่านแล้วคิดเห็นยังไงก็บอกกันบ้างน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×