คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : สร้างรัก...บทที่ 18
บทที่ 18
กว่าชวกรจะพาปัถยากลับมาถึงบ้านพักพระอาทิตย์ดวงโตก็โผล่พ้นยอดเขาไปแล้ว
ขณะเดียวกันทุกคนในบ้านก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและนั่งสูดอากาศยามเช้าและรับแสงตะวันอยู่ที่ชานหน้าบ้าน
“ตายจริง
น้องรุ้งเป็นอะไรคะ นายช่างถึงต้องอุ้มมาแบบนี้” สายฝนอุทานขึ้นเสียงแหลม
เมื่อเห็นชวกรอุ้มปัถยาเข้ามาหน้าตื่น
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ
พี่ฝนพอจะมีน้ำแข็งไหมครับ”
“เดี๋ยวพี่ไปดูที่โรงครัวให้
น่าจะมีเหลือจากเมื่อคืนอยู่บ้าง รอแป๊บนะ” พูดจบสายฝนก็รีบลงบันไดและตรงไปโรงครัวทันที
โดยมีฤทัยและดวงใจ เพื่อนร่วมบ้านอีกสองคนตามไปด้วย
เมื่อพ้นร่างของสามสาวชวกรก็วางปัถยาลงบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน
ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองๆ สำรวจข้อเท้าหญิงสาวอีกรอบ
“เจ็บมากไหมคุณ”
“ตอนอยู่นิ่งๆ
ไม่เจ็บค่ะ แต่เวลาขยับจะเจ็บนิดหน่อย”
“บวมขนาดนี้ไม่นิดแล้วมั้ง”
ชายหนุ่มว่าไปตามที่เห็น ด้านหญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้
พร้อมชะโงกหน้าไปดูเท้าตัวเองที่เริ่มบวม
ก่อนจะสะดุดกับเลือดที่มือและแขนของอีกฝ่าย
“นายช่างมีแผลนี่คะ
เลือดออกเต็มเลย” ปัถยาร้องทักพร้อมล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาหมายจะเช็ดเลือดให้
“นายช่างขึ้นไปเอากระเป๋าปฐมพยาบาลบนบ้านมาให้หน่อยค่ะ รุ้งจะทำแผลให้”
“ไม่เป็นไรหรอก
แค่รอยขีดข่วนนิดหน่อยเอง” เขาบอกปฏิเสธราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“ที่แขนน่ะใช่ค่ะ
แต่ที่มือนี่สิคะ” ปัถยายกมือข้างที่เป็นแผลให้เจ้าตัวดู
ซึ่งคาดว่าน่าจะโดนหินบาดตอนที่โดนเธอดึงให้ล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน
“ว่าแต่รุ้งดื้อ
นายช่างเองก็ดื้อเหมือนกันแหละค่ะ งั้นนายช่างรอตรงนี้นะคะ รุ้งขึ้นไปเอาเองก็ได้”
หญิงสาวว่าอย่างแสนงอนพร้อมขยับตัวทำท่าจะลุก เห็นอย่างนั้นโฟร์แมนหนุ่มก็รีบร้องห้ามพร้อมรั้งแขนเจ้าตัวไว้
“ไม่ต้อง
เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาให้เอง”
ชวกรหายขึ้นไปบนบ้านไม่นานก็กลับลงมาพร้อมกระเป๋าปฐมพยาบาล
ปัถยาไม่รอช้ารีบทำแผลให้ชายหนุ่มอย่างเบามือ
คนเป็นแผลลอบมองใบหน้าคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้ ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส
ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานการพันแผลของตน
จนเขาเองเผลอยิ้มตามแบบไม่รู้ตัว
“ไปโดนอะไรมาล่ะนั่นพ่อตรี”
เสียงทักของเจ้าของบ้านดึงให้ชวกรหลุดจากภวังค์
“ลื่นล้มน่ะครับ
เลยโดนหินบาด”
“คราวหลังก็ระวังๆ
หน่อยละกัน ที่นี่ทางเดินมันชัน ลุงเองอยู่มานานยังพลาดอยู่บ่อยครั้ง”
“ครับลุง”
“ลุงออกไปดูไร่ก่อนนะ”
เจ้าของบ้านเอ่ยขอตัว เมื่อได้เวลาที่ต้องเข้าไปดูไร่นา
ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนที่นี่
“น้ำแข็งมาแล้วค่า”
สายฝนส่งเสียงมาแต่ไกล ในมือนั้นหิ้วน้ำแข็งมาเต็มถุง
“พี่ฤทัยกับพี่ดวงล่ะคะ”
ปัถยาถามเมื่อไม่เห็นอีกสองสาวกลับมาด้วย
“ช่วยเขาทำกับข้าวที่โรงครัวน่ะ
พี่ว่ารีบประคบน้ำแข็งดีกว่าเดี๋ยวจะบวมมากกว่านี้”
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับพี่ฝน”
ชวกรอาสา
“โอเคจ้ะ
งั้นพี่ไปช่วยเขาเตรียมกับข้าวก่อนนะ
แล้วเราสองคนจะไปกินข้าวที่โน่นหรือจะให้พี่เอามาให้”
“ไม่เป็นไรครับพี่ฝน
ขอบคุณมากครับ” พ้นร่างของสายฝน
ชายหนุ่มก็หันมาสนใจกับน้ำแข็งในมือที่รับมาจากสายฝนเมื่อสักครู่
“แต่มือนายช่างเจ็บอยู่นะคะ”
ปัถยาท้วงขึ้น
“แค่นี้เอง
ไม่เจ็บหรอก”
พูดจบเขาก็ห่อก้อนน้ำแข็งด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กและประคบบริเวณข้อเท้าที่เริ่มบวมของปัถยาเพื่อให้เลือดไหลเวียนช้าลง
ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและลดอาการบวม
ปัถยาลอบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มของคนที่ที่กำลังพันผ้ายืดรอบข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บให้เธออย่างเบามือ
การกระทำที่แสนอ่อนโยนของเขามันช่างขัดกับใบหน้าเรียบนิ่งและเสียงเข้มๆ
ของเขาเหลือเกิน หากเขายิ้มแบบคืนนั้นเป็นประจำจะเป็นยังไงบ้างนะ
หญิงสาวคิดในใจพร้อมแย้มรอยยิ้มออกมาเมื่อจินตนาการถึงภาพชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
“ยิ้มอะไร”
ชวกรถามเสียงห้วน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นหญิงสาวมองหน้าเขาอยู่พร้อมอมยิ้ม
“กำลังคิดว่าถ้านายช่างยิ้มแบบคืนนั้นตลอดคงจะดี
น่ามองกว่าตีหน้ายักษ์เยอะเลยค่ะ” เซฟตีสาวบอกออกไปตามตรงอย่างที่ใจคิด
“ไร้สาระ”
เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นนำกระเป๋าปฐมพยาบาลขึ้นไปเก็บบนบ้าน
“ผมว่าคุณขึ้นไปนอนพักอยู่บนบ้านดีกว่า
เดี๋ยวผมจะบอกนทีให้ว่าคุณเจ็บเท้า วันนี้ออกไปโรงเรียนไม่ได้”
“รุ้งเดินไปเองได้ค่ะนายช่าง”
หญิงสาวรีบท้วง เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มอีกครั้ง
“ดื้อตลอดเลยนะคุณนี่
เดี๋ยวก็บวมยิ่งกว่าเดิมหรอก” เขาอุ้มหญิงสาวขึ้นมาในอ้อมแขนทันทีที่พูดจบ
ก่อนจะพาขึ้นไปพักบนบ้าน พร้อมนำไม้ท่อนเล็กๆ มารองขาข้างที่เจ็บให้จากนั้นก็ไปนำกับข้าวที่โรงครัวมาให้คนเจ็บทาน
“ผมจะออกไปโรงเรียนแล้ว
ถ้ามีอะไรก็โทร.หาผมได้เลยนะ”
“ลืมไปแล้วเหรอคะว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์”
“เออใช่
เอาเป็นว่าผมจะแวะมาดูคุณบ่อยๆ ละกัน”
“รบกวนนายช่างเปล่าๆ
รุ้งไม่เป็นอะไรแล้ว นั่งนิ่งๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็หายแล้วมั้งค่ะ
กระดูกไม่ได้หักสักหน่อย” ปัถยาบอกอย่างเกรงใจ ไม่อยากทำตัวเป็นภาระของใคร
โดยเฉพาะคนตัวโตที่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้
“ตามใจคุณละกัน
นี่น้ำแข็งไว้ให้คุณใช้ประคบระหว่างวัน แล้วตอนเที่ยงผมจะแวะเอากับข้าวมาให้
ผมไปละ” ชวกรยื่นกระติกน้ำแข็งใบเล็กที่นำมาจากโรงครัวให้ปัถยา
ก่อนจะออกไปช่วยคนอื่นๆ ที่โรงเรียน
คล้อยหลังโฟร์แมนหนุ่ม
เซฟตีสาวก็ระบายยิ้มออกมา ความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้มลายหายไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
แถมยังก่อเกิดเป็นความรู้สึกแบบใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
ถึงเขาจะชอบพูดจาห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ ชอบชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธอ
แต่ดูไปดูมาเขาก็เป็นคนดีมีน้ำใจอย่างที่ก้องภพเคยบอกไว้
ทั้งที่เขาเองไม่ค่อยชอบหน้าเธอสักเท่าไร
แต่ยังมีน้ำใช่วยให้เธอได้ทำงานที่บริษัทต่อเมื่อคราวเกิดเรื่องในไซต์งาน
รวมถึงเรื่องที่มีผู้รับเหมามาวอแวกับเธออีก แล้วไหนจะเรื่องวันนี้อีก
ขนาดเธอเป็นคนทำให้เขาเจ็บตัวแท้ๆ แต่เขาก็ยังมีน้ำใจมาปฐมพยาบาลให้เธอ
คิดถึงตรงนี้ปัถยาก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม พลันภาพแววตาแปลกๆ
ของเขาในวันนั้นก็ปรากฏขึ้นในหัวส่งผลให้ใจดวงน้อยเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ อีกครั้ง
“เป็นไงบ้างน้องรุ้ง”
หลังทราบจากชวกรว่าปัถยาลื่นล้มจนขาเจ็บ ในฐานะประธานค่าย
นทีเลยแวะมาถามไถ่อาการหญิงสาวทันทีที่เสร็จงาน
“ดีขึ้นแล้วค่ะพี่นที”
“ได้คนดูแลดีขนาดนี้พรุ่งนี้คงลุกขึ้นวิ่งได้แล้วมั้ง”
นทีแซวพร้อมปรายตามองไปยังชวกรที่กำลังพันผ้ายืดที่ข้อเท้าให้หญิงสาว
“ไม่แน่นะคะ”
ปัถยาตอบรับพลางหัวเราะร่า จนบุรุษพยาบาลจำเป็นอดหมั่นไส้ไม่ได้
“แล้วไปทำอิท่าไหนถึงได้ลื่นล้มจนขาเจ็บได้ล่ะ”
“พอดีทางมันมืดน่ะค่ะ
มองไม่เห็นก้อนหิน เลยสะดุดมันเข้า แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”
“ต่อไปเดินไปไหนมาไหนก็ระวังหน่อยละกัน”
“อ้ะ
เสร็จละ” ชวกรโพล่งแทรกขึ้นเสียงห้วน ก่อนจะลุกขึ้นเดินดุ่มๆ
ลงไปข้างล่างเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินระหว่างสองหนุ่มสาว
ที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ราวกับโลกนี้มีเพียงแค่เราสองคน
“ดูท่าจะหึงน้องรุ้ง
เดินหน้าบึ้งออกไปเลย” นทีคาดเดาตามอาการของโฟร์แมนหนุ่ม
ที่ออกอาการไม่พอใจตั้งแต่เห็นเขาโผล่มาเยี่ยมปัถยาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว
“หึงหวงอะไรกันคะ
รุ้งกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ปัถยาหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ฟังคำนที
โดยไม่รู้ว่าเสียงตนนั้นได้เล็ดลอดไปถึงหูคนข้างล่างที่กำลังนั่งหงุดหงิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างไม่รู้สาเหตุอยู่คนเดียวบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน
“พี่นึกว่าเป็นแฟนกันซะอีก
เห็นเขาดูแลและเป็นห่วงเป็นใยน้องรุ้งซะขนาดนั้น” นทีบอกไปตามที่คิด
และเขาก็มั่นใจว่าเขาดูไม่ผิด ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูกันไม่ออก
ท่าทางฟ้องซะขนาดนั้น
“คงเพราะเราสองคนมาจากไซต์งานเดียวกันมั้งคะ
ช่างตรีเลยดูแลรุ้งเป็นพิเศษ”
“คงไม่ใช่เพราะเหตุผลแค่นี้มั้ง
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ ปีที่แล้วคนที่มาจากไซต์เดียวกันกับช่างตรีก็บาดเจ็บ
พี่ก็ไม่เห็นช่างตรีเขาจะดูแลเอาใจใส่แบบนี้เลย” นทีแย้ง
เมื่อเขาดูยังไงอาการของชวกรมันเป็นอาการของคนหึงหวงชัดๆ
“รุ้งจะบอกอะไรให้ฟังค่ะ
ที่จริงเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้ารุ้งสักเท่าไร มีเรื่องกันมาหลายครั้งแล้วค่ะ” ปัถยาป้องปากบอกราวกับว่ากลัวใครจะได้ยินเข้า
ทั้งที่ตอนนี้อยู่ด้วยกันแค่สองคน
“พี่ว่าน้องรุ้งเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
คนไม่ชอบหน้ากันเขาไม่มาดูแล ไม่เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้หรอก”
นทียังคงเชื่อในสัญชาตญาณของตน
“ก็อย่างที่บอกค่ะ
เรามาจากไซต์เดียวกัน อีกอย่างรุ้งเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่รู้จักยังไม่สนิทกับใครเท่าไร
จะมีก็แต่นายช่างตรีนี่แหละค่ะ ที่ถือว่าสนิทที่สุดในค่ายตอนนี้”
ปัถยายังคงยืนยันคำเดิมและเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
“คงจะจริงอย่างรุ้งว่าแหละ
แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดเหรอ” นทีเปลี่ยนเรื่อง ในเมื่อหญิงสาวเชื่ออย่างนั้นเขาก็จนใจที่จะพูดให้หญิงสาวเปลี่ยนความคิด
“ไปฝึกนับเลขที่บ้านเก้าค่ะ”
คนเจ็บหมายถึงไปล้อมวงเล่นไพ่ ซึ่งเป็นกิจกรรมยามค่ำคืนของหลายๆ คนในที่นี้
“อ่อ” นทีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย เมื่อเห็นว่าอยู่คุยกับหญิงสาวนานเกินไปแล้วจึงขอตัวเพื่อที่หญิงสาวจะได้พักผ่อน และตัวเขาจะได้ไปสังสรรค์กับคนอื่นๆ ที่ศาลาอเนกประสงค์
ขณะกำลังจะเดินตรงไปยังทิศทางของอาคารอเนกประสงค์
สายตาของนทีพลันเหลือบไปเห็นชวกรที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างห้องครัว
มุมปากได้รูปยกยิ้มอย่างคนมีแผน ประธานค่ายเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน
เขาเดินตรงเข้าไปหาคนที่ยืนทอดอารมณ์อยู่ในมุมมืด ด้วยอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง
เพื่อจะได้มั่นใจว่าสัญชาตญาณของเขานั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนอย่างที่ปัถยาว่า
“ขอคุยอะไรด้วยสักหน่อยได้ไหมครับ”
คนที่กำลังเงยหน้าพ่นควันสีเทาหม่นให้ลอยขึ้นไปในอากาศปรายตามองไปยังต้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
ซึ่งเป็นสิ่งที่นทีคิดไว้ไม่มีผิด
“ว่ามาสิ”
ชวกรว่าพลางยื่นซองบุหรี่และไฟแช็คไปให้
นทียื่นมือไปรับและเคาะบุหรี่ออกมาจากซองหนึ่งมวนแล้วคาบไว้ในปากแล้วจุดไฟจ่อเข้าที่ปลายมวน
ก่อนยื่นทั้งสองอย่างคืนเจ้าของ
“งานที่ไซต์เป็นไงบ้างครับ”
วิศวกรหนุ่มเปิดประเด็นด้วยเรื่องงาน
“ก็เรื่อยๆ
ล่าช้ากว่าแผนนิดหน่อย แล้วที่ไซต์กระบี่เป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่าใกล้เสร็จแล้วนี่”
“ครับ
เหลือเก็บดีเฟ็กต์อีกนิดหน่อย ไม่นานก็คงได้ย้ายไซต์
ไม่รู้ไซต์หน้าจะได้ไปจังหวัดไหน แต่ถ้าเลือกได้
ผมอยากขอย้ายไปประจำไซต์เดียวกับคุณตรีมากกว่า”
เมื่อได้ยินความประสงค์ของนทีคิ้วหนาของชวกรก็กระตุกขึ้นมาทันทีทันใด
ดวงตาคมกริบตวัดมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เข้มขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“ไซต์ผมคนเต็มจนล้นแล้ว”
“ว้า น่าเสียดายจัง”
แสร้งพูดเสียงอ่อยอย่างแสนเสียดาย
ทั้งที่ในใจนั้นขำจนไม่รู้จะขำยังไงแล้วกับอาการหวงก้างของอีกฝ่าย
“คุณมีเรื่องจะพูดกับผมแค่นี้ใช่ไหม
ผมจะได้กลับขึ้นบ้าน” โฟร์แมนหนุ่มถามขึ้นเมื่อบุหรี่ในมือหมดมวนพอดี
“ไม่ไปสนุกด้วยกันที่อาคารอเนกประสงค์เหรอครับ”
แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่คนช่างแกล้งก็ยังถามออกไปอย่างนั้น
ด้วยอยากรู้ว่าคนที่อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเองจะอ้างว่าอย่างไร
“ไม่ละ
วันนี้ผมเหนื่อย อยากพักผ่อน”
“งั้นผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ
เรื่องเกี่ยวกับน้องรุ้งน่ะครับ” และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่นทีต้องแอบขำในใจ
เมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของชวกร แม้จะอยู่ในมุมมืด แต่มีหรือที่อาการต่างๆ
จะเล็ดลอดสายตาคนที่ตั้งใจมาจับพิรุธโดยเฉพาะ นทีลอบยิ้มพอใจก่อนจะพูดต่อ
“ผมเห็นว่าคุณตรีน่าจะสนิทกับน้องรุ้ง
และน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับน้องรุ้งมากกว่าใคร
จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากจะให้คุณตรีช่วย...”
“ก็ไม่ได้สนิทอะไร
แค่เพื่อนร่วมงานธรรมดา และผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก”
เสียงเรียบนิ่งของชวกรทะลุขึ้นมากลางปล้องทั้งที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบประโยค
เรื่องอะไรเขาต้องไปช่วยไอ้หมอนี่ด้วย อยากจีบอยากอะไรก็ไปหาทางเอาเองสิ
จะมาให้เขาช่วยทำไม เขาไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น
เสียหน่อย ชวกรให้เหตุผลกับตัวเองไปอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้แสดงพิรุธออกไปเต็มๆ
ด้านคนอยากให้ช่วยแต่แต่กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
“แบบนี้ผมคงต้องพึ่งตัวเองแล้วสิ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“งั้นผมขอตัวเลยละกันนะครับ”
นทีเอ่ยขอตัว ก่อนจากไปไม่วายชวนหนุ่มบ้านหมายเลขหกอีกครั้ง
เผื่อว่าเขาอยากจะเปลี่ยนใจ
“แน่ใจนะครับว่าไม่ไปสนุกด้วยกัน
วันนี้เห็นหัวหน้าหมู่บ้านว่ามีของดีมาให้พวกเราชิมด้วย”
“ไม่ละ
เชิญคุณตามสบาย” ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำตอบเดิม
ด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้คำตอบซึ่งเป็นที่น่าพอใจแล้ว
ประธานค่ายก็เดินพ่นควันสีเทาจากไปอย่างสบายใจ พลางนึกขำอยู่ในใจคนเดียวไปตลอดทาง
*********************
คนอื่นเขาดูออกกันหมด คงมีแต่พระนางของเราเองสินะ ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง
อ่านแล้วคิดเห็นยังไงก็บอกกันบ้างน้าาา
ความคิดเห็น