คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : สร้างรัก...บทที่ 17
บทที่ 17
เย็นนี้สมาชิกค่ายไม่ต้องไปกินข้าวร่วมกันที่อาคารอเนกประสงค์ของโรงเรียนดังเช่นทุกวัน
เพราะนทีอยากให้ทุกคนได้ทานข้าวร่วมกับเจ้าของบ้านที่ไปอาศัยอยู่ด้วยบ้าง
จึงจัดแบ่งวัตถุดิบในการปรุงอาหารให้แต่ละบ้านไปจัดการกันเอง
ระหว่างที่หนุ่มๆ
ยังทำงานอยู่ที่โรงเรียน บรรดาสาวๆ แต่ละบ้านก็ปลีกตัวออกมาเตรียมกับข้าวไว้รอ
ก่อนที่จะพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปเสียก่อน
“กรี๊ด”
สายฝนส่งเสียงดังลั่นมาจากครัวที่ปลูกแยกออกไปจากตัวบ้าน
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ฝน”
ปัถยาละมือจากผักที่กำลังหั่น
วิ่งเข้าไปสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวออกอาการหวาดกลัว
“จิ้งจก
จิ้งจกมันอยู่ในกองฟืน พี่กลัว”
“นึกว่าอะไร
มันอยู่ตรงไหนคะ” ปัถยาถามพลางสอดส่องหาเจ้าจิ้งจกที่สายฝนว่า
“น้องรุ้งไม่กลัวเหรอ”
ฤทัย เพื่อนร่วมบ้านอีกคนที่เพิ่งเดินมาถึงถามขึ้น
“ไม่กลัวค่ะ”
“อี๋น้องรุ้ง
กล้าจับได้ไง”
สายฝนทำท่าขนลุกขนพองเมื่อเห็นปัถยาจับจิ้งจกไปปล่อยที่ต้นไม้ข้างครัว
“มันไม่ได้มีพิษนี่คะ
พี่ฝนจะลองจับดูสักหน่อยไหมคะ” ยังไม่ทันที่สายฝนจะปฏิเสธ
จิ้งจกอีกตัวก็ที่เกาะอยู่บนหลังคาก็ร่วงแหมะลงบนไหล่ของหญิงสาวพอดิบพอดี
คราวนี้สายฝนส่งเสียงกรี๊ดลั่นยิ่งกว่าเดิม พร้อมเต้นเร่าๆ จนปัถยาอดขำไม่ได้
ก่อนจะหยิบเจ้าตัวปัญหาออกให้คนขี้กลัว
“มันไปแล้วค่ะพี่ฝน”
“แน่ใจนะ”
“แน่ค่ะ
รุ้งจับโยนออกไปแล้ว” สายฝนหยุดส่งเสียงพลางมองสำรวจตามเนื้อตัวของตน
ก่อนจะทำท่าโล่งอกเมื่อเป็นดังปัถยาว่าจริงๆ
“มีอะไรกันเหรอ
ได้ยินเสียงดังไปถึงบนบ้าน” ป้านิ ซึ่งเป็นภรรยาเจ้าของบ้านเดินเข้ามาสอบถาม
“พอดีหนูเจอจิ้งจกน่ะค่ะ
เลยตกใจนิดหน่อย”
“ป้าก็นึกว่าอะไร
ที่นี่จิ้งจกตุ๊กแกมันเยอะแบบนี้แหละ”
“มีตุ๊กแกด้วยเหรอคะป้า”
สายฝนตกใจ เผลอถามออกไปเสียงดัง แค่จิ้งจกตัวเล็กๆ เธอยังกลัวจนร้องเสียงหลง
ขืนมีตุ๊กแกตัวโตโผล่มาอีก เธอจะไม่กรี๊ดจนบ้านแตกเลยเหรอ
“มีสิ
มีเยอะด้วย” สิ้นเสียงป้านิ
ตุ๊กแกตัวโตก็ส่งเสียงทักทายราวกับรู้ว่ากำลังคนคนพูดถึงมัน
ทำเอาสายฝนและฤทัยสะดุ้งโหยง สองสาวเงยหน้ามองหาที่มาของเสียงด้วยท่าทีหวาดกลัว
จนผู้สูงวัยอดขำไม่ได้
“ถ้ากลัวกันมากก็พากันไปรอที่หน้าบ้านเถอะ
ส่วนกับข้าวเดี๋ยวป้าจะทำให้เอง”
“ไม่เป็นไรค่ะป้านิ
วันนี้พวกหนูจะทำกับข้าวให้ป้านิกับลุงสงวนกินเองค่ะ” ปัถยาปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“หนูรุ้งไม่กลัวเหรอ”
เจ้าของบ้านถามระคนแปลกใจ
“ไม่กลัวค่ะป้า”
“เอางั้นก็ได้
ป้าไปต้อนเป็ดเข้าเล้าก่อนนะ”
“ค่ะป้า”
“พี่ว่าเรามาสลับหน้าที่กันดีกว่านะน้องรุ้ง”
สายฝนเสนอ หลังภรรยาเจ้าของบ้านเดินจากไปแล้ว“พวกวัตถุดิบต่างๆ พี่เตรียมให้เอง
ส่วนเรื่องก่อไฟ หุงข้าว ทำกับข้าวน้องรุ้งจัดการเลยนะ ทำเป็นอยู่ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ
ไม่มีปัญหา”
“ช่างตรีมาพอดีเลย
ช่างตรีกลัวพวกจิ้งจกกับตุ๊กแกไหมคะ” สายฝนเอ่ยถาม
“ไม่กลัว
ทำไมเหรอครับ”
“งั้นดีเลย
ช่างตรีมาช่วยน้องรุ้งทำกับข้าวหน่อยได้ไหมคะ พอดีในนี้จิ้งจกตุ๊กแกมันเยอะ
พวกพี่กลัวน่ะค่ะ เลยขออยู่ข้างนอกดีกว่า”
“ได้ครับ”
ชวกรตอบรับไปอย่างงั้น ทั้งที่เขาเองทำกับข้าวไม่เป็นเลย
หลังตกลงกันได้สายฝนกับฤทัยก็เดินออกไปช่วยดวงใจหั่นเนื้อที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน
“ก่อเป็นเหรอ”
ชวกรถามเมื่อเห็นปัถยาหอบฟืนมากองลงข้างเตาถ่าน
“เป็นสิคะ
ไม่มีอะไรที่รุ้งคนนี้ทำไม่ได้” ปัถยาตอบอย่างมาดมั่น “แล้วนายช่างล่ะคะ
ก่อเป็นหรือเปล่า”
“ไม่เป็น”
ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เรื่องานครัวเขาทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
“รุ้งสอนให้
เอาไหมคะ”
“ก็ได้”
โฟร์แมนหนุ่มนิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนตอบตกลง เมื่อคิดได้ว่าฝึกไว้คงไม่เสียหาย
เผื่อวันหนึ่งจำเป็นต้องทำ
“อันดับแรกนายช่างต้องนำฟืนท่อนเล็กๆ
มาสุมเป็นรูปกระโจมเหมือนก่อกองไฟเวลาเข้าค่ายลูกเสือ นึกภาพออกไหมคะ”
ปัถยาอธิบายพร้อมยื่นฟืนท่อนเล็กให้เขาลองทำดู ชวกรรับฟืนมาและทำตามที่หญิงสาวบอก
“แบบนี้เหรอ”
“ใช่ค่ะ
และนี่ไม้สน ใช้เป็นเชื้อเพลิง ถือไว้ค่ะ”
เซฟตีสาวหยิบไม้แท่งเล็กๆ
สีส้มยื่นให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็ขีดไม้ขีดไฟและจ่อเข้ากับปลายไม้สนในมือของเขา
ไม่นานไฟก็ลุกวาบที่ปลายไม้ “ทีนี้นายช่างก็ซุกเข้าที่ใต้กองฟืนนั่นเลยค่ะ”
ชวกรทำตามที่หญิงสาวบอก
ครู่เดียวไฟก็ลามเลียไปตามฟืนท่อนเล็กที่ใส่ไว้ก่อนหน้า ปัถยาบอกให้โฟร์แมนหนุ่มนำฟืนขนาดพอเหมาะใส่ตามลงไป
ไม่นานไฟก็ลามไปยังฟืนที่ใส่เข้าไปใหม่
“เรียบร้อย
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ”
“ก็ไม่ยากเท่าไร”
“งั้นก่ออีกเตาให้หน่อยสิคะ
เตานี้รุ้งจะใช้หุงข้าว จะได้ไม่เสียเวลารอ”
สิ้นคำของหญิงสาวชวกรก็จัดการก่อไฟตามวิธีที่เธอสอนเขาเมื่อสักครู่
หลังหุงข้าวทิ้งไว้ปัถยาก็ลงมือทำกับข้าวทันที
โดยมีชวกรที่ไม่ประสีประสาเรื่องในครัวเป็นลูกมือคอยหยิบโน่นจับนี่ส่งให้ โฟร์แมนหนุ่มลอบสังเกตหญิงสาวที่กำลังทำกับข้าวอย่างคล่องแคล่วเป็นระยะ
พลางคิดในใจว่ากว่าจะจบค่ายเธอจะมีเรื่องอะไรมาให้เขาทึ่งอีกไหมนะ
ตั้งแต่มาอยู่ที่ค่ายปัถยามีเรื่องให้เขาต้องประหลาดใจไม่เว้นแต่ละวัน
อย่างวันนี้ก็เรื่องจิ้งจกตุ๊กแก เรื่องงานครัว ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องผีสาง
ที่เธอไม่ออกอาการกลัวเหมือนคนอื่นๆ ไหนจะอาหารท้องถิ่นที่แปลกตาหรือแมลงต่างๆ
ที่ชาวบ้านนำมาให้ชิม ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่กล้าชิม แต่เธอกลับไม่ปฏิเสธสักอย่าง
แล้วยังเรื่องไม่เกี่ยงงานอีก ไม่ว่าใครจะออกปากหรือวานให้ช่วยทำอะไร
ทั้งที่งานนั้นเป็นงานของผู้ชาย แต่เธอก็ไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง
แถมยังทำออกมาได้ดีไม่แพ้ผู้ชายอีกต่างหาก
“ขอจานด้วยค่ะ”
ปัถยายื่นมือมารอรับจานจากผู้ช่วย รออยู่นานก็ยังไร้วี่แววของจานที่ขอและไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
จึงเงยหน้าขึ้นจากเตาหันไปมองลูกมือที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นายช่างคะ
หยิบจานให้รุ้งหน่อยค่ะ”
แม่ครัวส่งเสียงเรียกอีกรอบด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิมเมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องเธอนิ่งไม่วางตา
“ว่าไงนะ
น้ำปลาเหรอ” ชายหนุ่มหันรีหันขวางหาขวดน้ำปลา
“รุ้งขอจานค่ะ
ไม่ใช่น้ำปลา”
“อ้าวเหรอ
โทษที” ชวกรวางขวดน้ำปลาในมือลงที่เดิมแล้วรีบหยิบจานส่งให้แก้เก้อ
“นายช่างไม่สบายหรือเปล่าคะ”
ปัถยาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเหม่อลอยชอบกลพลางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากและแก้มของชายหนุ่มอย่างถือวิสาสะเพื่อวัดอุณหภูมิ
โดยลืมไปว่ามือของตนนั้นเปื้อนคราบเขม่าควัน
“เปล่านี่
พอดีกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เลยไม่ทันได้ฟังที่คุณพูด” เขาปฏิเสธพัลวัน
พร้อมคว้ามือของหญิงสาวไว้ให้หยุดการกระทำ
เมื่อเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบตามรอยสัมผัสของมือเล็ก
“เอ่อ
นายช่างคะ” ปัถยาชี้ที่หน้าชวกร พยายามกลั้นขำอย่างสุดฤทธิ์
“ขำอะไร”
คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างสงสัย
“หน้านายช่างเปื้อนเขม่าดำปี๋เลยค่ะ”
“จริงดิ”
ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ส่งผลให้คนที่กลั้นขำในตอนแรกถึงกับหลุดขำออกมา
เมื่อเขายิ่งลูบมันยิ่งเลอะไปใหญ่
“ตลกมากเหรอ”
เขาถามเสียงเข้ม เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ
“เปล่าค่ะ
มานี่รุ้งเช็ดให้ค่ะ”
เซฟตีสาวล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงและบรรจงเช็ดไปตามรอยเปื้อนบนหน้าผาากของโฟร์แมนหนุ่มอย่างแผ่วเบา
แต่ก็ไม่วายหลุดขำออกมาอีกรอบ
“ยังไม่หยุดขำอีก”
เขาทำเสียงดุใส่หวังให้เธอหยุดการกระทำขณะนี้
แต่กลับไม่เป็นผลเมื่อเธอยังคงขำไม่หยุด
“โทษทีค่ะ
เห็นหน้านายช่างเหมือนแมวแล้วมันอดขำไม่ได้”
ชวกรหลุบตาลงมองคนที่กำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขา
ทันทีที่สบเข้ากับดวงตาใสแป๋วเหมือนเด็กของเธอเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงเขาไว้ไม่ให้ละสายตาไปทางอื่น
ชายหนุ่มถือโอกาสนี้พินิจดวงหน้างามของหญิงสาวแบบละเอียด
ใบหน้าเรียวใสไร้สิ่งแต่งแต้มดูแล้วเป็นธรรมชาติ
ส่วนดวงตาดำขลับนั้นเปล่งประกายสุกใสเรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อชวนหลงใหลยิ่งนัก
ด้านปัถยาเองก็ไม่ต่างกันเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมเข้มที่เปล่งประกายต่างจากทุกครั้ง
เธอเหมือนถูกมนตร์สะกดจ้องตอบอีกฝ่ายนิ่งไม่วางตา ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเริ่มเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
เมื่อคนตรงหน้าโน้มใบหน้าลงมาใกล้ หญิงสาวหลับตาปี๋เมื่อช่องว่างระหว่างใบหน้าเธอและเขาลดลงเรื่อยๆ
“กับข้าวเสร็จยังจ๊ะน้องรุ้ง”
เสียงของสายฝนเรียกให้ทั้งสองได้สติและผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เสร็จแล้วค่ะพี่ฝน
กำลังจะยกออกไปพอดี”
ปัถยาตะโกนตอบ
ก่อนเรียงกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วบนถาดสังกะสีแล้วลนลานยกออกไป
โดยมีชวกรยกหม้อข้าวตามออกไปด้วยอาการไม่ต่างกัน
“คุณจะไปไหน
ฟ้ายังไม่สางเลยนะ”
ชวกรทักขึ้นเมื่อเห็นปัถยากำลังจะเดินลงบันไดที่พาดขึ้นมาบนชานของบ้านไม้ที่ยกพื้นสูง
“ว่าจะไปช่วยพวกพี่ๆ
ทำกับข้าวที่โรงครัวน่ะค่ะ” ปัถยาหันมาตอบเสียงใสพยายามทำตัวให้เป็นปกติดังเดิม
เพื่อไม่ให้ชวกรผิดสังเกต ตั้งแต่ได้สบแววตาประหลาดของเขาในวันนั้น
หัวใจเธอก็สั่นไหวทุกครั้งที่เจอหน้าเขา แต่ต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะยังไม่รู้ความหมายของแววตาคู่นั้น
“วันนี้ไม่ใช่เวรบ้านเรานี่”
“ก็ใช่ค่ะ
แต่รุ้งอยากไปช่วยพี่ๆ เขาทำน่ะค่ะนายช่างไปด้วยกันไหมคะ”
“ไม่ดีกว่า
ผมทำกับข้าวไม่เป็น ไปก็เกะกะเปล่าๆ”
“ทำไม่เป็นก็ไปช่วยอะไรเล็กๆ
น้อยๆ ก็ได้นี่คะ มาค่ะไปด้วยกัน” ว่าพลางกวักมือเรียก
“ก็ได้” โฟร์แมนหนุ่มกำลังจะอ้าปากปฏิเสธอีกรอบ แต่เมื่อสบกับดวงตาเปล่งประกายเหมือนเด็กของหญิงสาว เขาก็ปฏิเสธไม่ลง จึงยอมเดินตามหญิงสาวไปแต่โดยดี
“ปีที่ผ่านๆ
มาบริษัทเราจัดไปค่ายที่ไหนมาบ้างคะนายช่าง”
ปัถยาชวนคุยตามประสาคนช่างพูดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เดินเงียบมาตลอดทาง
“ปีที่แล้วไปปางมะผ้าที่แม่ฮ่องสอน
ปีก่อนโน้นไปเชียงราย...” ชวกรตอบไปเท่าที่จำได้
“โหภาคเหนือทั้งนั้นเลย
น่าสนุก...ว้าย” เซฟตีสาวพูดยังไม่จบประโยคก็หวีดร้องออกมาเสียงดัง
ด้วยตอนนี้ยังไม่สว่างดี
ทำให้มองไม่เห็นก้อนหินที่ขวางทางอยู่จึงสะดุดเข้าไปเต็มแรง
มือบางรีบคว้าแขนชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ ไว้อย่างไว หวังอาศัยเขาเป็นหลักยึด
แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไปดึงเขาให้ล้มกลิ้งลงมาด้วยกัน
เพราะจุดที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นเป็นทางลาดชัน ประกอบกับชวกรเองยังไม่ทันได้ตั้งหลัก
สองร่างจึงกลิ้งหลุนๆ ไปตามทางลาดชันของเนินดินก่อนจะหยุดอยู่ตรงหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางอยู่
“เป็นไงบ้างคุณ”
ชวกรถามขณะพยุงตัวเองลุกขึ้น
“รู้สึกเจ็บที่เท้านิดหน่อยค่ะ”
“ลุกไหวไหม”
“ไหวค่ะ
โอ๊ย” ปากบอกว่าไหว
แต่พอขยับจะลุกเท่านั้นหญิงสาวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนต้องส่งเสียงร้องออกมา
“ขอผมดูหน่อย”
โฟร์แมนหนุ่มเดินไปหยิบไฟฉายที่กระเด็นออกไปไม่ไกลมาส่องดูข้อเท้าของปัถยา
“โอ๊ย”
เซฟตีสาวส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มกดเบาๆ ที่บริเวณข้อเท้า
“สงสัยข้อเท้าแพลง
ผมว่าเรารีบกลับบ้านดีกว่า จะได้ปฐมพยาบาลก่อนที่จะบวมไปมากกว่านี้”
ว่าแล้วชวกรก็พยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวคนเจ็บหมายจะอุ้ม แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ตั้งใจเสียงของคนตัวเล็กก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“แค่พยุงก็พอแล้วมั้งคะ”
“อย่าดื้อสิคุณ
เดี๋ยวก็บวมยิ่งกว่าเดิมหรอก รีบไปดีกว่า”
ไม่รอให้หญิงสาวปฏิเสธอีกรอบ
เขาอุ้มหญิงสาวขึ้นจนตัวลอย แล้วรีบพากลับไปบ้านหมายเลขหกทันที
*****************************
ความคิดเห็น