คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : สร้างรัก...บทที่ 12
บทที่ 12
ชวกรเดินนำปัถยาไปยังซอยข้างโรงพยาบาล
เดินเข้าซอยไปประมาณห้าสิบเมตรก็ถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณที่ดัดแปลงให้กลายเป็นร้านอาหาร ซึ่งตกแต่งแนวเรโทร
โดยนำของเก่ามาตกแต่งสร้างบรรยากาศให้ร้านดูคลาสสิคยิ่งขึ้น
และภายในร้านแบ่งออกเป็นโซนในบ้านที่เป็นห้องปรับอากาศ ซึ่งโซนนี้จะมีเวทีสำหรับวงดนตรีขึ้นเล่นดนตรีสดและด้านนอกเป็นโซนนั่งกินลมชมวิว
ซึ่งสองหนุ่มสาวเลือกนั่งที่โซนด้านนอกเพื่อจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่รอบตัวบ้าน
“นายช่างมาร้านนี้บ่อยเหรอคะ” ปัถยาถาม
แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูที่พนักงานนำมาให้
“ไม่บ่อยหรอก คุณอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ
ผมกินได้หมด”
ปัถยาขานรับจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเลือกรายการอาหาร
โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคมกำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยหวานของตนอย่างไม่วางตา
หน้าตาของเธอดูสดใสร่าเริง
เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรและนี่คงจะเป็นเสน่ห์ของเธอสินะ
ชายหนุ่มคิดในใจ
“นายช่างจะสั่งน้ำอะไรคะ”
ปัถยาเอ่ยถามหลังจากสั่งอาหารไปสี่อย่างอย่างพร้อมกับน้ำเปล่าสำหรับตัวเองขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เมนูตรงหน้า
“...” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย
หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าสายตาคมของนายช่างหนุ่มนั้นกำลังจับจ้องเธออยู่อย่างไม่วางตาและสายตาคู่นี้ยังดึงดูดเธอจนไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้
ทั้งสองจ้องมองกันอยู่เนิ่นนาน จนพนักงานต้องส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อเธอจะได้ไปรับออเดอร์ที่โต๊ะอื่น
เพราะลูกค้าเริ่มทยอยมาจนแน่นร้านแล้ว
“คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
สองหนุ่มสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของพนักงานสาวสวยวัยแรกแย้มแทรกเข้าไปในภวังค์ความคิดของทั้งสอง
“ว่าไงนะครับ”
ชายหนุ่มถามพลางหยิบเมนูตรงหน้าขึ้นมาดูแก้เก้อ ส่วนหญิงสาวอีกคนก็เสมองสำรวจรอบๆ
ร้านแก้เขินที่เผลอไปจ้องตอบชายหนุ่มเป็นนานสองนาน
“คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
พนักงานสาวทวนคำถามซ้ำอีกรอบพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ให้กับลูกค้าทั้งสอง
“ผมขอเป็นเบียร์ละกัน”
ชวกรหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานหลังจากเรียกสติกลับมาได้
“ร้านนี้บรรยากาศดีนะคะนายช่าง”
ปัถยาพูดขึ้นหลังจากพนักงานเดินจากไป พลางมองสำรวจรอบร้าน
เนื่องจากเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
รอบๆ
บ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายชนิดช่วยให้บรรยากาศภายในร้านดูร่มรื่น
พร้อมทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆจากดอกลีลาวดีที่ปลูกไว้หลายต้นตามแนวรั้วบ้าน
ตอนนี้แขกในร้านเริ่มหนาตา คนทยอยมาเรื่อยๆ จนเหลือโต๊ะว่างไม่กี่โต๊ะ ถ้าหากเธอมาช้ากว่านี้อีกนิดคงไม่มีที่นั่งเป็นแน่
หญิงสาวคิดในใจ
“ดีมากเลยแหละ แล้วคุณชอบไหม”
“ชอบค่ะ รุ้งชอบต้นไม้ ชอบดอกไม้”
ปัถยาบอกเสียงใส พลันนึกขึ้นมาได้ว่าป่านนี้ที่บ้านคงรอทานข้าวแย่แล้ว
“ขอคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะนายช่าง”
พูดจบหญิงสาวก็ต่อสายหาผู้เป็นน้าทันที
สักพักก็วางสายไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟพอดี
ปัถยาลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนชวกรก็จิบเบียร์ส่วนสายตาก็จ้องมองคนตรงหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่กลัวอ้วนเลยสักนิด
“เบียร์มันอร่อยตรงไหนเหรอคะ ขมก็ขม
ทำไมถึงได้ชอบดื่มกันจัง” หญิงสาวถาม ขณะมือยังคงสาละวนอยู่กับอาหารตรงหน้า
ส่วนคนถูกถามลดแก้วเครื่องดื่มสีเหลืองทองในมือลงก่อนตอบคำถามด้วยคำถาม
“เคยดื่มหรือไง ถึงได้รู้ว่ามันขม”
“ยังไม่เคยค่ะ”
หญิงสาวส่ายหน้าประกอบคำตอบพลางยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ ก่อนจะพูดต่อ “ถามเพื่อน
เพื่อนบอกว่ารสมันขมๆ น่ะค่ะ”
“ขมที่ไหนกัน หวานออก
ไม่เชื่อลองชิมดูสิ คุณโดนเพื่อนหลอกแล้วแหละ” ไม่พูดเปล่า ชวกรยังจัดการรินเบียร์ใส่แก้วเปล่าอีกใบพร้อมยื่นให้หญิงสาวลองชิมดู
“ไม่ดีกว่าค่ะ กลัวเมากลับบ้าน
เดี๋ยวน้าว่าเอา”
“แค่จิบคำสองคำไม่เมาหรอก
และจะได้รู้ด้วยว่ามันหวานขนาดไหน ไม่ได้ขมอย่างที่เขาว่ากัน”
ชวกรยังไม่ลดละ
ยังคะยั้นคะยอให้หญิงสาวลองดื่มดู จนอีกฝ่ายทนแรงยุไม่ไหวรับแก้วจากเขามากระดกดื่มไปเสียอึกใหญ่
และทันทีที่น้ำสีเหลืองทองไหลผ่านลำคอลงไป หญิงสาวผู้ซึ่งไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนแทบจะคายส่วนที่เหลือในปากทิ้ง
ถ้าเสียงของคนตรงหน้าไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“ห้ามคายทิ้งนะ เสียดายของ”
โฟร์แมนหนุ่มแสร้งเอ่ยเสียงเข้มอย่างรู้ทันความคิดของหญิงสาว
ปัถยาจึงกลั้นใจกลืนส่วนที่เหลือลงไปพร้อมกับทำสีหน้าพะอืดพะยม
“นายช่างแกล้งรุ้ง ไหนบอกว่าหวานไงคะ
นี่อะไรขมปี๋เลย” ปัถยาทำหน้ามุ่ยพร้อมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเพื่อล้างคอเกือบหมดแก้ว
ขณะที่คนขี้แกล้งได้แต่กลั้นขำจนปวดแก้ม ไม่คิดว่าเธอจะหลอกง่ายขนาดนี้
“ผมบอกให้คุณจิบ
แต่คุณเล่นกระดกซะเต็มที่” ชวกรยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ มันเป็นรอยยิ้มแบบเต็มที่
ยิ้มทั้งปากทั้งตาในรอบหลายปีของเขา
ไม่ใช่รอยยิ้มที่ต้องฝืนยิ้มยามเข้าสังคมเหมือนทุกครั้ง
“ก็รุ้งไม่เคยดื่มนี่คะ
คิดว่าคงจะเหมือนดื่มน้ำ”
“หัดดื่มไว้ก็ไม่เสียหาย จะได้รู้ไว้
ไม่ต้องโดนใครเขาหลอกเอา” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นเหมือนก่อนหน้านี้
“ก็คงจะมีแต่นายช่างนี้แหละมั้งคะที่จะหลอกให้รุ้งดื่ม”
ปัถยาพูดด้วยใบหน้างอง้ำ
“ผมขอโทษละกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งไม่โกรธ
ถ้าการได้แกล้งรุ้งแล้วทำให้นายช่างหัวเราะได้ รุ้งก็ยินดีค่ะ
เพราะเวลานายช่างยิ้มและหัวเราะน่ามองกว่าตอนทำหน้านิ่ง ทำหน้าจริงจังอีกค่ะ”
ปัถยาบอกยิ้มๆ
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่คนที่ชอบทำหน้าตาไร้ความรู้สึกนั้นทั้งหัวเราะและขำกับการกระทำของเธอ
จะโกรธเขาก็โกรธไม่ลงหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเธอนั้นแพ้รอยยิ้มของเขา
รอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าสิ่งใด
“ขนาดนั้นเลย” ชวกรพูดเสียงเรียบ กลับเข้าสู่โหมดปกติเมื่อเริ่มรู้สึกสับสนภายในหัวใจตนเอง
พักหลังมานี้เขาเป็นอะไรไปนะ เริ่มไม่เข้าใจตัวเอง อย่างเมื่อกี้อยู่ๆ
เขาก็อยากแกล้งเธอ การกระทำดังกล่าวมันไม่ใช่ตัวเขาเลย
“นายช่างไม่กินเหรอคะ”
เสียงของคนที่อยู่ในความคิดเรียกให้ชายหนุ่มได้สติ
“กินสิ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
พร้อมกับชวนคุยไปด้วย “ผู้รับเหมาพวกนั้นยังมาวุ่นวายกับคุณอยู่ไหม”
ปัถยาละสายตาจากจานข้าวตรงหน้าพร้อมส่ายหน้าประกอบคำตอบ
“ไม่แล้วค่ะ” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ฉายขึ้นมาในหัว
ขณะเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวกำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยของหน้างานตามปกติ
ทันใดนั้นกลิ่นบุหรี่ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามภายในโครงการก็ลอยเข้ามาปะทะจมูกของเธอ
ปัถยาหันซ้ายแลขวาเพื่อหาที่มาของกลิ่น
จากนั้นก็เดินตามกลิ่นไปก่อนที่มันจะพาเธอซวยอีกครั้ง แล้วก็พบว่าผู้รับเหมาชุดใหม่ที่เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่กี่วันยืนจับกลุ่มกันสูบบุหรี่อยู่ในช่องทางเดินของโซนบี
เห็นอย่างนั้นเซฟตีสาวจึงเข้าไปตักเตือนตามหน้าที่ แต่แทนที่พวกเขาจะให้ความร่วมมือ
แต่กลับหันมามองหญิงสาวอย่างไม่พอใจ
ทั้งยังพร้อมใจกันพ่นควันใส่หน้าเธออย่างท้าทาย
ปัถยาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวไอแค่กๆ
เมื่อเผลอสูดควันเข้าไปเต็มปอด
ก่อนจะโบกไม้โบกมือเพื่อขับไล่กลุ่มควันที่ลอยคลุ้งอยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นท่าไม่ดีและคิดว่าเธอคงไม่สามารถจัดการกับผู้รับเหมาชุดนี้ได้ด้วยตัวเอง
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวจึงคิดจะถอยไปตั้งหลักก่อน แล้วให้ก้องภพซึ่งมีอำนาจมากกว่าเธอลงมาเคลียร์น่าจะดีกว่า
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่ตั้งใจ
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นหัวหน้าของผู้รับเหมาชุดนี้ก็ขยับมายืนดักทางออกของเธอไว้
‘จะรีบไปไหนเหรอครับเซฟตีคนสวย’ ถามพลางมองหญิงสาวอย่างพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
‘จะรีบขึ้นไปทำรายงานน่ะค่ะ
ขอทางด้วยค่ะ’
ปัถยาบอกรัวเร็ว
พยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นแต่มันก็ยังสั่นอยู่ดี ขณะเดียวกันความกลัวก็ค่อยๆ
ก่อตัวเข้าครอบงำจิตใจ เมื่อคนตรงหน้าย่างสามขุมเข้ามาหาอย่างน่ากลัว
หญิงสาวพยายามคิดหาทางหนีทีไล่ แต่ดูเหมือนหนทางรอดของเธอช่างริบหรี่
เมื่อทางออกทุกด้านถูกกลุ่มคนพวกนี้ดักไว้หมดแล้ว
และบริเวณนี้ถือว่าเป็นจุดลับตาคน
แล้วคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานบริเวณนี้แทบจะไม่มีใครอยากเข้ามาเลย
เพราะหากใครที่ไม่คุ้นเคย เข้ามาแล้วอาจจะหลงหาทางออกไม่เจอก็เป็นได้ ซึ่งเธอก็เคยเจอกับตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง
เมื่อวันที่มาทำงานวันแรก
‘สวยๆ
แบบนี้จะมาทนทำงานคลุกฝุ่นแบบนี้ทำไมกัน ไปอยู่กับผมดีกว่า
รับรองผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี อยากได้อะไรผมจะบันดาลให้ทุกอย่าง
ไม่ให้น้อยหน้าคนอื่นเลย’ ชายหน้าโหดเสนอ
พร้อมยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย สายตาที่มองเซฟตีสาวนั้นแทะโลมราวกับจะกลืนกินเธอไปทั้งตัว
‘ไม่ดีกว่าค่ะ
พอดีว่าฉันมีแฟนแล้วน่ะค่ะ แล้วเราก็รักกันมากด้วย’ ปัถยาปดออกไปเสียงดังฟังชัด
หวังจะให้ชายคนนี้หยุดคิดอกุศลกับเธอ
แต่ดูเหมือนศีลธรรมในใจของคนเหล่านี้จะมีอยู่น้อยนิดหรือไม่มีอยู่เลยเธอก็ไม่ทราบได้
เพราะประโยคต่อมาของเขาทำให้ปัถยาแทบพูดไม่ออก
‘ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่
แฟนคุณก็อยู่ส่วนแฟนคุณสิ ผมไม่ถือเรื่องพวกนี้หรอก’
‘แต่ผมถือ’
เสียงห้าวที่ดังแทรกขึ้นมาเรียกรอยยิ้มของคนกำลังหวาดกลัวให้ปรากฏขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ปัถยาไม่รอช้ารีบเดินไปเกาะแขนคนตัวโตอย่างต้องการที่พึ่งทันทีที่สิ้นเสียงทรงพลังของเขา
ชวกรเห็นปัถยาเดินเข้าไปในนี้นานจนผิดสังเกต
เขาจึงเดินตามเข้ามาดู ด้วยนึกห่วงความปลอดภัยของหญิงสาว
เพราะจุดนั้นเป็นงานของผู้รับเหมารายย่อย
ซึ่งเป็นเจ้าใหม่ที่ยังไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน จึงยังไม่รู้จักนิสัยใจคอกันเท่าไร ด้วยเหตุนี้โฟร์แมนหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะตามเข้าไป
และเขาก็รู้สึกว่าคิดถูกที่ตามเข้ามา และมาได้ทันเวลาพอดี
‘ที่บอกว่ามีแฟนแล้ว
หมายถึงช่างตรีงั้นสินะ’ หัวหน้าผู้รับเหมาถามพลางมองมือบางของหญิงสาวที่เกาะแขนกำยำของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาไว้แน่น
ปัถยากำลังจะอ้าปากปฏิเสธ
แต่ช้ากว่าชวกรที่โพล่งขึ้นมาเสียงดังฟังชัด ‘ใช่’
คนที่อยู่ๆ
ก็มีแฟนโดยไม่รู้ตัวหันขวับไปมองคนพูดไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเขา
‘แล้วผมก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับแฟนของผมด้วย’ เขาเน้นช้าๆ ชัดๆ ในส่วนท้ายประโยค
เท่านั้นยังไม่พอวงแขนแกร่งยังตวัดโอบรอบเอวคอดกิ่วอย่างหวงแหน
ส่งผลให้คนถูกโอบตัวแข็งทื่อราวถูกสาปให้กลายเป็นหิน
‘น่าอิจฉานะครับ
มีแฟนสวยขนาดนี้’
‘ครับ’
ชวกรรับคำง่ายๆ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้มากความ ‘แล้วผมก็หวังว่าต่อไปพวกคุณคงจะไม่มายุ่งวุ่นวายหรือพูดจาจาบจ้วงแฟนผมแบบนี้อีกนะ’
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความดุดันและน่าเกรงขาม
‘ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง’ ชายหนุ่มรีบตกปากรับคำ เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียที่อาจตามมา
‘ส่วนเรื่องงาน
ในเมื่อเข้ามาทำงานที่นี่ก็ควรเคารพกฎของที่นี่ด้วย’
ดวงตาคมกริบราวใบมีดโกนตวัดมองไปยังบุหรี่ที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายอย่างตำหนิ
ก่อนจะเบนสายตากลับมาจ้องหน้าคู่สนทนานิ่งอย่างไม่เกรงกลัวและพูดต่อ ‘ยังมีผู้รับเหมามีอีกมากมายที่อยากจะร่วมงานกับบริษัทของพวกเราและพร้อมจะทำตามกฎของที่นี่
หวังว่าพวกคุณคงจะเข้าใจที่ผมพูดนะ’
โฟร์แมนหนุ่มทิ้งคำพูดไว้ให้คนเหล่านั้นไปคิดต่อเอง
จากนั้นก็รั้งร่างบางของคนที่ยังยืนตัวแข็งทื่อให้เดินตามออกไป
ระหว่างทางชายหนุ่มทั้งดุและบ่นหญิงสาว โทษฐานที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง
หากเขาไม่ตามเข้ามาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งแล้วละก็
เขาจะจับตีก้นซะให้เข็ด
“ดีแล้ว” เสียงเข้มๆ
ดึงให้ปัถยาหลุดจากห้วงความคิดของตนเอง ให้หันมาสนใจสิ่งที่เขากำลังพูด
“ต่อไปถ้าจะเข้าไปห้องไหนที่มันลับตาคน
หรือจุดที่ผู้รับเหมาทำงานก็อย่าเข้าไปคนเดียวอีก
คุณอาจจะไม่โชคดีแบบวันนั้นเสมอไปหรอกนะ นี่มันโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่ใช่ในนิยายหรือละคร และคุณเองก็ไม่ใช่นางเอก
ที่ไม่ว่าจะตกอยู่ในอันตรายสักกี่ครั้ง ก็มีพระเอกโผล่ไปช่วยได้ทันเวลาเสมอ
แล้วผมเองก็ไม่ใช่พระเอก ที่จะได้มีเวลาไปตามช่วยตามปกป้องคุณขนาดนั้น
เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม” คนผ่านโลกมาเยอะสอนคนที่อ่อนวัยกว่า
“เข้าใจค่ะ”
ตอบรับเสียงอ่อยอย่างยอมจำนนในเหตุผลของเขา
“แต่ถ้าพวกมันยังมาวอแวกับคุณอีกให้บอกผม
หรือบอกพี่โจ้ก็ได้ ให้พี่โจ้จัดการเลย คนแบบนี้ไม่น่าร่วมงานด้วยสักเท่าไรหรอก”
คิดแล้วชวกรก็รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาตงิดๆ
เขาไม่ชอบสายตาที่พวกนั้นมองเธอเลย
ขนาดว่าเขาสมอ้างว่าเป็นคนรักของเธอและขู่ไปขนาดนั้น พอสบโอกาสเขาเผลอเข้าหน่อย
พวกมันก็มักจะคุยนิดแซวหน่อย แม้จะไม่ได้จาบจ้วงอย่างวันนั้น
แต่มันก็ทำให้เขาหงุดหงิดอยู่ร่ำไป
จนเขาต้องพาตัวเองไปป้วนเปี้ยนแถวที่เธออยู่ประจำ พร้อมแสดงละครนิดๆ หน่อยๆ
เพื่อหวังให้พวกนั้นเลิกวุ่นวายกับเธอ
โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของตัวเองนั้นทำให้ใครบางคนเผลอคิดเข้าข้างตัวเอง
และยังปล่อยใจให้เอนเข้าไปหาเขาเรื่อยๆ
“เขาคงไม่กล้ามาอะไรกับรุ้งแล้วแหละค่ะ”
เล่นละครเนียนซะขนาดนั้นคงมีใครมามาตอแยกับเธอหรอก ประโยคนี้ปัถยาได้แต่คิดในใจ
ก่อนที่แก้มเนียนใสจะร้อนผ่าวขึ้นมาเอาดื้อๆ
มิหนำซ้ำใจดวงน้อยยังพองโตเมื่อคิดถึงประโยคแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอ
และการแสดงออกของเขา แต่แล้วใจที่กำลังจะแน่นคับอกก็ค่อยๆ
แฟบลงเมื่อสำนึกได้ว่ามันก็แค่ละครฉากหนึ่งที่เขาแสดงขึ้นเพื่อปกป้องเธอเท่านั้น
ผ่านไปเกือบชั่วโมงอาหารบนโต๊ะก็ถูกจัดการจนหมดเกลี้ยง
หลังจ่ายค่าอาหารเรียบร้อย ซึ่งปัถยาอาสาเป็นเจ้ามือ
โดยถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณเขาที่เคยช่วยเธอไว้คราวก่อน
แม้ชวกรจะปฏิเสธแต่หญิงสาวก็ดื้อดึงเป็นคนจ่ายจนได้
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปยังสถานีรถไฟฟ้า
ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใดๆ ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
เมื่อขึ้นไปถึงชานชาลา ชวกรยืนรอจนหญิงสาวขึ้นรถไฟฟ้าไปแล้ว
เขาจึงไปยืนต่อแถวขึ้นรถไฟฟ้าอีกฝั่งหนึ่งขณะรถไฟฟ้าสองขบวนค่อยๆ
เคลื่อนตัวสวนกันไปคนละทาง
แต่ความคิดของสองหนุ่มสาวนั้นกลับกำลังคิดไปในทางเดียวกัน คิดถึงหลายๆ
เหตุการณ์ที่ผ่านมาระหว่างเขาและเธอ
เหตุการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อกันเปลี่ยนแปลงไป
*************************
ความคิดเห็น