คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สร้างรัก...บทที่ 7
ปัถยาเดินตรวจดูความเรียบร้อยหน้างานอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน
ทั้งยังแวะทักทายพูดคุยกับคนงานตั้งแต่โซนเอไปจนถึงโซนซี
โดยเรื่องที่พูดคุยก็ไม่พ้นกำชับให้คนงานทำงานด้วยความระมัดระวังและไม่ลืมที่จะเตือนพนักงานให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลขณะปฏิบัติงาน
ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาหญิงสาวได้เรียนรู้อะไรหลายๆ
อย่างจากที่แห่งนี้ ได้รู้จักผู้คนมากมาย
ซึ่งส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการทำงานของเธอเป็นอย่างดี
จะมีพนักงานแค่บางคนและผู้รับเหมาบางชุดที่ดื้อรั้น
ไม่ให้ความร่วมมือและไม่ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยของโครงการ
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอโดนศรันย์เรียกไปต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง
ขณะกำลังเดินตรวจตราความปลอดภัยในโซนซี
สายตาปัถยาก็เหลือบไปเห็นชวกรกับพนักงานคนหนึ่งที่กำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องที่ค่อนข้างลับตาคน
ด้วยความอยากรู้หญิงสาวจึงยอมเสียมารยาทแอบหลบตรงมุมประตูเพื่อฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างเงียบๆ
“ไหนนายรับปากกับฉันว่าจะเลิกยุ่งกับมันแล้วไง
แล้วนี่อะไร ทำไมถึงกลับไปเล่นมันอีก” ชวกรกดเสียงต่ำอย่างพยายามควบคุมอารมณ์
เกรงว่าหากคุยกันด้วยอารมณ์และถ้อยคำที่รุนแรงลูกน้องอาจจะต่อต้านแล้วเตลิดไปใหญ่
เมื่อเดือนที่แล้วชวกรสังเกตเห็นว่าลูกน้องในความดูแลของเขามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
จากคนเอาการเอางาน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ก็กลายเป็นคนเกียจคร้าน
ไร้ความรับผิดชอบ ทั้งยังเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
ไหนจะร่างกายที่ผ่ายผอมลงจนน่าตกใจ นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมการใช้เงินที่ดูจะฟุ่มเฟือยกว่าที่เคยเป็น
เงินที่เคยพอใช้ในแต่ละเดือน กลับกลายเป็นไม่พอใช้ จนต้องมาหยิบยืมเขาอยู่เรื่อยไป
ตอนแรกชวกรได้แต่สงสัยและเฝ้าสังเกตพฤติกรรมลูกน้องอย่างเงียบๆ
จวบจนวันหนึ่งที่เขาเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยที่หอพักคนงานตามคำไหว้วานของฝ่ายบุคคล
และเขาก็เห็นลูกน้องคนนี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ ที่บริเวณด้านหลังหอพัก เขาจึงแอบตามไปดู
แล้วเขาก็ได้เห็นกับตาว่าลูกน้องของเขาแอบไปนั่งเสพยาอยู่ที่เพิงซอมซ่อด้านหลังหอพัก
วันนั้นลูกน้องคนนี้ขอร้องไม่ให้ชวกรนำเรื่องนี้ไปแจ้งฝ่ายบุคคล
เพราะบริษัทมีกฎห้ามพนักงานยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด หากใครฝ่าฝืน
มีโทษสถานเดียวคือโดนไล่ออก
ชวกรเห็นแก่อนาคตลูกน้องจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
แลกกับการเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดของลูกน้อง
ตอนนั้นเด็กหนุ่มรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเลิกข้องเกี่ยวกับสิ่งเสพติด
หลังจากวันนั้นพฤติกรรมของคนหลงผิดก็เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนโฟร์แมนหนุ่มเบาใจ
แต่แล้ววันนี้ความจริงที่ชวกรได้รับรู้ก็ทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก
เพราะโอกาสที่เขาให้ไปมันไม่มีค่าอะไรเลย
“ผมขอโทษครับนายช่าง
ต่อไปผมจะไม่ยุ่งกับมันอีกแล้ว”
มืดยกมือไหว้ปลกๆ
รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่สามารถรักษาสัญญาได้ เขาพยายามเลิกแล้ว
และเกือบจะทำมันสำเร็จอยู่แล้วเชียว
แต่คนที่ชักชวนให้เขาลองในครั้งแรกไม่ยอมให้เขาได้เลิกง่ายๆ
ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธยังไง นายคนนั้นก็หาวิธีมาหลอกล่อเขาอยู่เรื่อย จนสุดท้ายเขาทนแรงยุไม่ไหว
จนต้องหันกลับไปหามันอีกครั้งหนึ่ง
“ครั้งก่อนนายก็พูดแบบนี้”
ดวงตาคมกริบตวัดมองลูกน้องอย่างผิดหวัง เขารึอุตส่าห์หวังดี
ให้โอกาสคนหลงผิดได้กลับตัวกลับใจก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป
แต่อีกฝ่ายกลับไม่เห็นคุณค่าของโอกาสที่เขาหยิบยื่นให้เลยสักนิด
“ที่ฉันคอยบอกคอยฉันเตือนก็เพราะหวังดีและเห็นแก่อนาคตของนาย
ยาเสพติดมันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นหรอกนะ มีแต่ผลเสียทั้งนั้น
จะทำอะไรอย่านึกถึงแต่ตัวเอง ให้นึกถึงพ่อกับแม่บ้าง
ถ้าลุงมีกับป้าสร้อยรู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน นายเคยคิดบ้างไหม”
คนฟังหน้าสลดลงทันทีเมื่อลูกพี่พูดถึงบุพการีทั้งสองของตน
ที่ทำงานอยู่ที่นี่เหมือนกัน
“ผมรู้ครับว่านายช่างหวังดีกับผม
ผมขอโอกาสอีกครั้งนะครับนายช่าง
ครั้งนี้ผมสัญญาและสาบานเลยครับว่าผมจะเลิกมันให้ได้
ผมจะไม่ทำให้นายช่างผิดหวังอีกแล้วครับ” มืดเว้าวอนขอโอกาสอีกครั้ง
ทั้งยังให้คำมั่นด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว
ชวกรนิ่งคิดไปพักหนึ่ง
ก่อนจะยอมในที่สุด “ก็ได้ ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้ง
และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังอีกนะ”
“ขอบคุณมากครับนายช่าง
ครั้งนี้นายช่างจะไม่ผิดหวังกับเรื่องเดิมๆ แน่นอนครับ” เจ้าของร่างผอมกะหร่องฉีกยิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ
“รับปากแล้วก็ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยละกัน
หากมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกละกัน”
“ครับนายช่าง”
“ไปทำงานต่อได้แล้ว”
“ครับผม” มืดยกมือไหว้ลูกพี่ก่อนหันหลังเดินออกไป
แต่ยังไม่ทันพ้นประตูเสียงของชวกรที่ดังตามหลังมาก็หยุดเขาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนมืด”
“ว่าไงครับนายช่าง”
มืดเดินกลับมายังตำแหน่งเดิมเพื่อรอฟังคำสั่งลูกพี่
ด้วยเข้าใจว่าที่ถูกเรียกไว้เพราะอีกฝ่ายจะสั่งงาน
“นายพอจะบอกฉันได้ไหมว่าใครที่นำยามาปล่อยในไซต์งาน”
ชวกรคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
ขืนปล่อยไว้แบบนี้ไม่วายยาเสพติดคงระบาดไปทั่วไซต์งานแน่
“เอ่อ...” มืดอึกอักทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ
ด้วยเขาโดนพวกมันขู่ไว้ว่าหากปากพร่อยบอกใครไปพวกมันไม่เอาเขาไว้แน่
“มืดไม่ไว้ใจฉันเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับนายช่าง
คือผมจะพูดยังไงดีล่ะ” มืดพยายามเรียบเรียงคำพูด
“พวกมันขู่นายไว้ใช่ไหม”
“ใช่ครับ” มืดพยักหน้ายอมรับ
และยอมบอกแต่โดยดีว่าใครเป็นคนนำยาเสพติดมาปล่อยให้คนงานในไซต์งาน
ซึ่งชวกรเองก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะจัดการเรื่องนี้เองและจะไม่ให้มีเรื่องเดือดร้อนมาถึงมืด
เมื่อตกลงกันได้ทั้งสองก็เดินตามกันออกมาจากห้องดังกล่าว
ส่วนคนที่แอบฟังอยู่หน้าประตูก็รีบเร้นกายเข้ามุมมืดทันที
หญิงสาวรอจนพ้นร่างของสองหนุ่ม จึงออกมาจากที่หลบซ่อน
“ห่วงคนอื่นก็เป็นด้วยแฮะ
นึกว่าจะตีหน้ายักษ์เป็นอย่างเดียวซะอีก”
ปัถยาพึมพำกับตัวเอง
เธอชักจะคล้อยตามคำพูดที่ก้องภพและคนอื่นๆ เคยบอกไว้แล้วสิว่าชวกรเป็นคนจิตใจดี
เป็นคนมีน้ำใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นเขาแสดงความห่วงใยต่อคนอื่น
เมื่อครั้งที่ก้องภพบอกกับเธอว่าชวกรเป็นคนใจดี ตอนนั้นเธอแทบไม่อยากเชื่อ
ด้วยท่าทางนิ่งๆ และไม่ค่อยสุงสิงกับใครของเขา ไหนจะท่าทางไม่ชอบหน้าเธอนั่นอีก
เธอเลยคิดว่าเขาเป็นพวกไม่สนใจใคร ใครจะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง เขาคงไม่สนใจใยดี
แต่ที่ไหนได้ เขากลับเป็นคนที่คอยห่วงใยทุกข์สุขของลูกน้องมากกว่าคนอื่นๆ
เสียด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องราวที่ว่านอกจากเธอจะเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว
บรรดาคนงานยังเล่าให้เธอฟังอยู่ไม่ขาดถึงเรื่องราวความมีน้ำใจของเขา
“ถ้าตัดเรื่องชอบตีหน้ายักษ์
ชอบพูดจาห้วนๆ แบบมะนาวไม่มีน้ำ แล้วก็เรื่องชอบพูดจาเหน็บแนมแบบไม่รู้สาเหตุออกไป
ก็นับว่าคุณเป็นคนใช้ได้คนหนึ่งเลยนะเนี่ย”
ปัถยาคิดในใจ
พร้อมกับตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับการแสดงออกของชวกร กับคนอื่นๆ
เขาจะพูดจาด้วยถ้อยคำปกติ แม้จะไม่ได้ยิ้มแย้มแต่มันก็ดูเป็นมิตรมากกว่าเวลาที่เขาคุยกับเธอ
ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความงุนงงให้กับปัถยาเป็นอย่างมาก
เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหนหรือเปล่า
เขาถึงได้ทำตัวเหมือนเป็นปรปักษ์กับเธอแบบนั้น
แม้ว่าจะอยากรู้สาเหตุของการกระทำของเขาสักเพียงใดแต่ปัถยาก็จนปัญญา เมื่อเจ้าตัวนั้นไม่เคยปริปากบอกอะไรกับเธอเลย
แม้ว่าเธอจะเคยถามไปแล้วหลายครั้ง คำตอบที่ได้รับมีเพียงความเงียบ
เมื่อเห็นว่าอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้วปัถยาจึงคิดที่จะกลับขึ้นไปทำงานเอกสารบนออฟฟิศ
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไปก็เป็นอันต้องรีบหลบเข้ามุมมืดตามเดิม เมื่อมีชายสองคนท่าทางลับๆ
ล่อๆ เดินตรงมายังห้องที่ชวกรและมืดเพิ่งออกไปเมื่อสักครู่
แล้วดวงตากลมโตเบิกโพลงอย่างตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยกลัวว่าจะเผลอส่งเสียงอะไรออกไปให้คนทั้งสองรู้ตัว
เมื่อเห็นชัดว่าสองคนนั้นกำลังทำอะไร และหนึ่งในนั้นคือคนที่ชวกรกับมืดเพิ่งพูดถึงเมื่อสักครู่
ปัถยาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหวังจะถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอเก็บไว้เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้า
แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ตั้งใจ สมาร์ตโฟนในมือก็ส่งเสียงดังขึ้นเสียก่อน
ขณะที่นิ้วเรียวกำลังจะกดปิดเสียงเพราะกลัวคนในห้องได้ยิน หางตาของเซฟตีสาวก็เหลือบเห็นชายทั้งสองคนกำลังย่างสามขุมมาทางตน
จึงจำต้องกดรับสายและพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
ให้เหมือนกับว่าเพิ่งเดินผ่านมาทางนี้พอดี
ทั้งที่ในใจนั้นเต้นโครมครามด้วยความตระหนก
หลังวางสายปัถยาทำใจดีสู้เสือด้วยการส่งยิ้มเป็นมิตรอย่างที่ทำเป็นประจำให้กับผู้รับเหมาทั้งสองคน
ที่ยืนจังก้าด้วยท่าทีคุกคามทั้งยังมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“มะ...มีอะไรหรือเปล่าคะช่าง”
ปัถยาถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น
แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เมื่อเสียงที่เล็ดลอดออกไปนั้นแทบจะขาดเป็นห้วงๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ
พอดีพวกเรายืนคุยงานกันอยู่แล้วได้ยินเสียงเซฟตีแว่วๆ
ก็เลยอยากจะมาทักทายสักหน่อยน่ะครับ” ชายคนที่ที่ปัถยาจำได้ว่าเป็นหัวหน้าผู้รับเหมาตอบ
“อ๋อ ค่ะ” หญิงสาวได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เป็นการรับรู้
ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
“ว่าแต่เซฟตีมาทำอะไรในที่มืดๆ
แบบนี้ล่ะครับ”
“เอ่อ...” ปัถยาหันรีหันขวางเพื่อคิดหาคำตอบ
ก่อนจะชี้ไปยังชุดนั่งร้านที่อยู่มุมด้านในสุด
ซึ่งติดตั้งไว้สำหรับเป็นทางขึ้นไปยังชั้นเหนือฝ้า “เมื่อกี้ขึ้นไปตรวจดูความเรียบร้อยข้างบนมาค่ะ
กำลังจะกลับออฟฟิศ แต่ดันมีสายเข้ามาพอดีก็เลยหยุดรับสายน่ะค่ะ” ปัถยาปดออกไปคำโต
“ถ้าช่างไม่มีอะไรงั้นรุ้งขอตัวก่อนนะคะ”
“ถ้ายังอยากใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
ก็อย่าได้ปากโป้งไปละกัน” เสียงเข้มๆ ที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ขาที่กำลังก้าวออกไปหยุดชะงักไปทันที
“ปากโป้ง? ช่างหมายถึงเรื่องอะไรเหรอคะ” ถามพร้อมทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“ไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็แล้วไป”
ไม่พูดเปล่าแถมยังจ้องเขม็งเป็นเชิงข่มขู่ไปยังคู่สนทนาที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้า
ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับลูกน้องคนสนิท
เมื่อพ้นร่างของทั้งสองคนปัถยาพ่นลมออกจากปากพรูใหญ่อย่างโล่งอก
ที่หลุดพ้นจากสถานการณ์ชวนตระหนกได้เสียที
แต่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอคล่องดีเซฟตีสาวก็ตัวชาวาบ
เมื่อพบว่ามีสะเก็ดไฟจำนวนมากร่วงลงมาตรงหน้าและร่วงลงมาเรื่อยๆ
ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ปัถยาเงยหน้าเพ่งไปยังด้านบน เห็นฝ้าแผ่นหนึ่งเปิดอยู่
คาดว่าด้านบนน่าจะมีการทำงานเชื่อมหรือไม่ก็ตัดเหล็กและคงจะไม่มีผ้ากันไฟ ถึงได้มีสะเก็ดร่วงลงมามากมายขนาดนี้
ด้วยสัญชาตญาณความเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย
ที่จะไม่ยอมให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในโครงการเด็ดขาด
หญิงสาวรีบหันหลังกลับไปยังทางเดิม ก่อนค่อยๆ เดินขึ้นไปตามบันไดนั่งร้านจนไปถึงบริเวณเหนือฝ้าที่มืดจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน
ไม่รอช้าหญิงสาวรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไฟฉายเพื่อส่องนำทางไปยังจุดหมายข้างหน้าที่มีแสงวาบเป็นระยะๆ
“ทำอะไรกันคะช่าง”
“ตัดเหล็กครับเซฟตี” คนงานหนึ่งในสี่วางมือจากงานที่ทำอยู่ก่อนจะหันมาตอบ
“ไม่มีผ้ากันไฟเหรอคะเห็นมีสะเก็ดไฟร่วงลงไปข้างล่างเต็มเลย” เซฟตีสาวถามพร้อมมองสำรวจอุปกรณ์และเครื่องมือของช่างไปด้วยว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่
ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าอุปกรณ์แต่ละอย่างไม่พร้อมใช้งานเอาเสียเลย
“ลืมเอามาครับ” คนงานอีกคนบอกอย่างหน้าตาเฉยขณะที่มือยังคงทำการตัดเหล็กด้วยแก๊สต่อไป
“งั้นก็หยุดงานตรงนี้ไว้ก่อนนะคะ แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่อยทำต่อ
ขอดูใบอนุญาตทำงานหน่อยค่ะ” หญิงสาวหมายถึงใบขออนุญาตทำงานที่มีความร้อน
ซึ่งต้องแจ้งขออนุญาตล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวัน เพื่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยและไฟร์แมนของทางห้างสรรพสินค้าจะได้เข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยและปลอดภัยของพื้นที่หน้างานก่อนให้เริ่มทำงาน
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันอัคคีภัยของโครงการ
“มีอะไรกันเหรอ” เสียงห้วนที่ดังขึ้นด้านหลังไม่ต้องหันไปมองปัถยาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร
ทั้งโครงการมีอยู่คนเดียวที่พูดจามะนาวไม่มีน้ำแบบนี้กับเธอ
ไม่รู้เธอไปทำอะไรให้เขาแค้นเคือง ถึงได้ชอบต่อต้าน
ไม่ให้ความร่วมมือด้านความปลอดภัยเหมือนคนอื่นๆ
“เซฟตีสั่งให้หยุดทำงานครับนายช่าง”
“ทำต่อไป ไม่ต้องหยุด ไม่รู้หรือไงว่างานกำลังเร่ง” ชวกรสั่งลูกน้องเสียงดังก่อนหันไปประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวอย่างท้าทาย
เห็นหน้าเธอทีไรเขาก็อดนึกถึงเรื่องที่เธอป่าวประกาศไปทั่วทั้งโครงการว่าโสดทั้งที่มีแฟนอยู่แล้วไม่ได้
แม้มันจะเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานสักนิด แต่มันเป็นการกระทำที่เขาเกลียดแสนเกลียด
พาลให้อยากต่อต้านเธอในทุกๆ เรื่องอย่างไม่มีเหตุผล
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะนายช่าง
มันเสี่ยงเกินไป ก่อนทำงานก็ไม่ได้ทำเรื่องขออนุญาต
ผ้ากันไฟและอุปกรณ์ป้องกันไฟย้อนกลับก็ไม่มี ถังดับเพลิงก็ไม่นำขึ้นมาด้วย
หากสะเก็ดไฟร่วงลงไปโดนอะไรที่เป็นเชื้อเพลิง อาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้นะคะ”
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวแย้งพร้อมอธิบายถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากยังดื้อดึงที่จะทำงานต่อ
ได้แต่หวังว่าเขาจะเข้าใจและให้ความร่วมมือเหมือนกับคนอื่นๆ
แต่แล้วประโยคที่หลุดออกจากปากได้รูปของเขาก็ทำให้ปัถยาหนักใจ
“ตัดเหล็กแค่ไม่กี่นาทีทำไมต้องทำเรื่องขออนุญาตให้ยุ่งยาก
และไอ้พวกอุปกรณ์ที่คุณว่า บางครั้งไม่ติดก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
อย่ามาทำเรื่องง่ายให้มันเป็นเรื่องยากเลยคุณ” เขาบอกอย่างรำคาญ
ทั้งยังชักสีหน้าไม่พอใจที่หญิงสาวมาวุ่นวายกับการทำงานของเขา แม้เขาจะรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวมันเป็นหน้าที่ของเธอ
และสิ่งที่เธอพูดมันก็ถูก แต่เพราะอคติที่มีต่อเรื่องส่วนตัวของเธอ
ทำให้เขายอมฝ่าฝืนกฎความปลอดภัยของโครงการ
ด้วยคิดว่าชั่วเวลาแค่แป๊บเดียวคงไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอก
“มันเป็นมาตรการความปลอดภัยของโครงการที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
ถึงมันจะดูยุ่งยากแต่มันก็ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้ทำงานอย่างปลอดภัยนะคะ
กรุณาให้ความร่วมมือด้วยค่ะ”
“ผมไม่ทำตามมีอะไรไหม” โฟร์แมนหนุ่มยืนยันเสียงแข็งจนเซฟตีสาวต้องถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับคนหัวดื้อ
จะมีสักครั้งไหมที่เขาจะให้ความร่วมมือโดยง่าย
“งั้นช่วยเซ็นชื่อในใบเตือนด้วยค่ะ ว่ารุ้งได้ตักเตือนและแจ้งให้ช่างแก้ไขไปแล้ว”
หญิงสาวส่องไฟเพื่อกรอกรายละเอียดลงในใบเตือนเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ก่อนจะยื่นให้ชวกรเซ็นชื่อรับทราบ
เผื่อว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอันมีเหตุจากการกระทำของเขา เธอจะได้ไม่ถูกว่าเอาได้ว่าหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่
“ผมไม่เซ็น” ไม่ว่าเปล่า
มือหนายังสะบัดออกไปเต็มแรงจนกระดาษในมือเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวลอยละลิ่วเฉียดหน้าคนถือไปนิดเดียวก่อนค่อยๆ
ปลิวลงสู่พื้น
“อยู่บริษัทเดียวกันก็ให้ความร่วมมือกันหน่อยสิคะ แค่สู้รบตบมือกับคนของบริษัทอื่นรุ้งก็เหนื่อยจะแย่
ยังต้องให้รุ้งมาเหนื่อยกับบริษัทตัวเองอีกเหรอคะ
อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากสิคะนายช่าง”
ปัถยาบอกอย่างเหนื่อยใจ
เนื่องจากบริษัท แกรนด์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ดีไซน์ เป็นผู้รับเหมาหลักภายในโครงการ
งานด้านความปลอดภัยหญิงสาวจึงต้องควบคุมทุกบริษัทที่ทำงานในโครงการนี้
ไม่ใช่ดูแลเฉพาะในส่วนของบริษัทตัวเองเหมือนกับพนักงานตำแหน่งอื่นๆ
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะควบคุมคนร้อยพ่อพันแม่ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอทุกอย่าง
แต่เธอก็หวังอยู่ลึกๆ ว่า ถึงแม้บริษัทอื่นจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ
เพราะเธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเขาโดยตรง
แต่อย่างน้อยคนในบริษัทเดียวกันเชื่อฟังคำแนะนำของเธอสักหน่อยก็ยังดี
แต่แล้วสิ่งที่เธอหวังมันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ
เมื่อคนตรงหน้าเขามักจะทำตรงข้ามกับสิ่งที่เธอบอกเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผม” พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่แยแส
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากข้างล่าง
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวไม่รอช้า รีบวิ่งแซงหน้าโฟร์แมนหนุ่มลงไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไฟไหม้’ ดังแว่วเข้ามาในหู
*************************
พระเอกของเรานี่พาลไม่เข้าเรื่องเลยเนอะ หางานมาให้นางเอกเราจนได้
อ่านแล้วมีความคิดเห็นยังไงก็ทิ้งข้อความไว้บอกคนเขียนได้น้าาา
...คีตมินทร์...
ความคิดเห็น