ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] 'NICE BODY' || CHANBAEK #แบคฮยอนอ้วน

    ลำดับตอนที่ #31 : NICE BODY : 26 (Ep. Our)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.35K
      40
      17 ส.ค. 58

    25

    Our Rule








      

    อยากจะบอกว่ารักพูดไม่เป็น อยากให้เธอได้เห็นเธอคือคนนั้น อยากให้เธอได้รู้แล้วมารักกัน

     

    “...”

     

    แต่ติดอยู่ที่ฉันนั้นมันคนปากแข็ง~

     

    “โว้ย! หยุดร้องสักทีคยองซู!!!

     

    แบคฮยอนที่นอนอยู่บนเตียงผุดตัวลุกขึ้นมาก่อนจะปาหมอนของตัวเองอัดหน้าเจ้าเพื่อนตัวดีที่เอาแต่ร้องเพลงประเภทนี้มาตั้งแต่เช้า มันทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นจากที่หงุดหงิดอยู่แล้ว

     

    หลังจากที่อ่านไดอารี่ของชานยอลจบ แบคฮยอนก็รีบหนีออกมาจากคอนโดชานยอลเพียงเพราะว่าไม่รู้จะทำตัวยังไงดีเมื่อรู้ว่าอีกคนพยายามอย่างมากเพื่อเขาขนาดนี้ มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่งี่เง่าคนหนึ่ง แต่ชานยอลก็ยังคอยตามง้อตามเอาใจ

     

    คนแบบแบคฮยอนเลยต้องกลับหอมาเล่าทุกความอึดอัดใจให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนก็ดันเลวจนวินาทีสุดท้ายนี่สิ เอาแต่กั๊กไว้ไม่ยอมบอกสักที่ว่าแบคฮยอนควรทำยังไงต่อไป

     

    ก็คนปากแข็ง ใจอ่อนไม่ยอมบอกไป ที่จริงรักเธอหมดใจ เมื่อรู้ตัวเองในวันที่สาย~

     

    “คยองซู!

     

    “จ๋า”

     

    จ๋าพ่อง!

     

    “เพื่อนเครียดขนาดนี้แล้วมึงยังกล้าเล่นอยู่หรอไอ้เพื่อนใจหมา”

     

    “เอ้า ก็พูดความจริงนี่นา นายมันคนปากแข็งแบคฮยอนนี่”

     

    “นี่ที่หน้า คิดว่าน่ารักมากมั้ยล่ะสัส” หงุดหงิด! เห็นหน้าไร้อารมณ์ของมันแล้วหงุดหงิดมากๆ คยองซูเป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ยอดแย่แถมยังไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจของเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างที่สุด เจ้าคนเตี้ยแคระอย่างมันนี่น่าจับโยนให้มังกรแดก

     

    ไอ้มนุษย์ฮอบบิทหน้าตาย

     

    “ฉันไม่คิดว่าน่ารักหรอก ....แต่ชานยอลอ่ะไม่แน่”

     

    “ไอ้เตี้ย!

     

    แบคฮยอนเหลืออดแล้วจริงๆกับเพื่อนคนนี้ ไอ้การที่หันมายิ้มให้พร้อมกับปากที่หยักได้รูปหัวใจนี่มันน่าตีจริงๆ แบคฮยอนใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีเพื่อมารับการให้คำปรึกษาที่ยอดแย่ขนาดนี้น่ะหรอ โอ้ย อยากให้ถึงตามันบ้างแล้วกัน แบคฮยอนจะทั้งใส่ร้ายป้ายสีจนไอ้เตี้ยเลิกกับแฟนมันเลย!

     

    “ก็ไปอ้อนๆชานยอลเหมือนที่ทำมาก็จบแล้ว เขาไม่โหรธหรอก”

     

    “เคยทำที่ไหนล่ะ ห่า!

     

    “แล้วที่ ชเว ซึงฮยอน--”

     

    “ไม่เคย!!

     

    “อ๋อ อันนั้นเค้าเรียกว่าให้ท่านี่นะ”

     

    เบื่อคำพูดคำจาของมันจริงๆ

     

    “พูดกันแมนๆเลยนะคยองซู ฉันไม่ได้เป็นเกย์ และยังขอยืนยันครั้งที่พันว่าฉันไม่มีทางเบี่ยงเบนไปเป็นเกย์แน่ๆ ที่ผ่านมาฉันก็แค่อยากรู้ว่าฉันจะเป็นเกย์ที่รู้สึกกับผู้ชายด้วยกันรึเปล่า ...แค่นั้นจริงๆ” แบคฮยอนทำหน้าตาเคร่งขรึมเพื่อบอกว่าตัวนั้นจริงจังกับการพูดความจริงในครั้งนี้มากแค่ไหน

     

    “งั้นจะบอกว่าชานยอลเป็นข้อยกเว้น”

     

    “มะ...”

     

    “ถ้าชานยอลเป็นข้อยกเว้น นายก็น่าจะวิ่งไปกอดเขาแน่นๆแล้วสารภาพรักซะ” แบคฮยอนเม้มปากแน่นไปพลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อเหลียกเลี่ยงเกมจ้องตาของคยองซู เขาไม่ได้เป็นผู้ชายน่ารักๆที่จะทำตัวงอแงง้องแง้งได้ดูน่ารักเสียหน่อย แถมยังเข้าใจผิดคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ

     

    ไม่มีทางที่เขาจะทำหน้าเหมือนหมาคลานเข่าเข้าไปกอดแล้วบอกว่า ขอโทษที่เข้าใจผิดไปนะ เรามารักกันแบบเดิมเถอะ...ไม่เอาอ่ะ แบคฮยอนไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ๆ

     

    “...”

     

    “เวลาวิ่งหนีของนายหมดแล้วนะ”

     

    “ไม่ได้หนีซะหน่อย เขาเรียกว่าตั้งหลัก” แบคฮยอนก้มหน้างุนพลางเตะเท้าไปมากับอากาศ คำพูดที่แถเอาดีเข้าตัวของแบคฮยอนนั้นเล่นเอาคยองซูส่ายหัวอย่างรับไม่ได้ที่มีเพื่อนปากแข็งขนาดนี้

     

    ที่จริงก็ชอบเขา ยอมใจอ่อนให้เขาตั้งแต่เขามาง้อใหม่ๆแล้ว แต่เพราะดันสร้างกำแพงเอาไว้สูงก็เลยทำเป็นไม่รักเขา เกลียดเขา ไล่เขา แล้วผลสุดท้ายเป็นไง ก็มาตายตอนรู้ความจริงอย่างนี้นี่ไง มันก็สมควรแล้วจริงๆสำหรับบทเรียนของคนทิฐิสูงแบบนี้

     

    “งั้นก็ไปได้แล้ว เพราะถ้าชานยอลเลิกวิ่งตามนายขึ้นมาบ้างจะรู้สึก คนที่วิ่งตามน่ะมันเหนื่อยกว่าคนวิ่งหนีนะ ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ ยิ่งนายมาทำเป็นเล่นตัวปากแข็งใส่เขาแบบนี้ มันก็จะยิ่งทำให้เขาคิดว่า สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเขาได้รับอะไรตอบแทนมาบ้าง”

     

    “...”

     

    “ถ้าเป็นนายบ้างล่ะแบคฮยอน กับสิ่งที่นายลงทุนลงแรงอะไรไปมากมายแล้วไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย นายจะทำมันอยู่มั้ย”

     

    “มะ..ไม่” ว่าพลางส่ายหัวไปมา

     

    “ใช่มั้ย แล้วสักวันชานยอลจะต้องคิดแบบนี้”

     

    “ฮื่อ อย่ามาขู่กันได้มั้ยเล่า” แบคฮยอนทำหน้าบึ้งตึงพลางเตะขาป้อมสั้นของตัวเองไปมา คยองซูเห็นแล้วก็ยิ้มขำๆ “นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง คนที่ทิฐิสูงแบบฉันจะไปงอนคนอื่นน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก ฉันจะต้องสร้างเรื่องโกหกมาทำให้เขาปวดหัว..แล้วๆ ฉันจะทำผิดแบบนั้นไปเรื่อยๆอย่าไม่มีวันจบสิ้น”

     

    “งั้นก็ใช้วิธีเดียวกันกับตอนที่เราโกรธกันสิ”

     

    “ห๊ะ”

     

    “มันเวิร์กนะ เหมาะกับคนอย่างนายด้วย”

     

    “นายคิดดีแล้ว?”

     

     

    “เชื่อฉันสิ”

     

     


    [ 35% ]





     

     

    แบคฮยอนไม่รู้ว่าวิธีที่คยองซูแนะนำนั้นจะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่เขาก็เลือกที่จะมารอชานยอลเลิกเรียนอยู่หน้าคณะเป็นชั่วโมง คนตัวเล็กเอาแต่ใช้รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่โปรดเตะฝุ่นที่หน้าคณะวิศวะไปมาอย่างไม่มีอะไรจะทำ

     

    หลังจากแอบอ่านไดอารี่ของชานยอลแล้วแกล้งเอาวางไว้ที่เดิม แบคฮยอนก็พึ่งมาตระหนักได้ว่าเขาทำแบบนี้มันไม่ถูกนัก ต่อให้เรื่องที่ชานยอลเขียนเอาไว้จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่คนที่หนีมาคือคนที่ไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง

     

    ซึ่งมันแย่มากๆ เขารู้

     

    “เฮ้~ นายมาทำอะไรที่นี่เนี้ย” เสียงทุ้มเอ่ยดังขึ้นก่อนที่ตัวของเขาจะถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น แบคฮยอนกระพริบตาปริบๆอย่างงงๆเพราะไม่รู้ว่าใครกันที่จู่ๆก็ดึงเขาไปกอดเอาไว้แน่น มือเล็กรีบดันอกกว้างออกห่างจากตัวก่อนจะพบว่าเป็นรุ่นพี่มินโฮนั่นเองที่เข้ามาสวมกอดเขาเอาไว้

     

    “คือ...”

     

    “มาหาชานยอลหรอ”

     

    “ครับ ประมาณนั้น” แบคฮยอนยิ้มแห้งๆพร้อมกับขยับตัวออกห่างจากมินโฮเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหม็นเหงื่ออีกคนเกินจะทนไหว

     

    “แล้วโทรหามันยัง เหมือนมันน่าจะเลิกแล้วนะแต่คงจะอยู่ในช็อปแหละ มันไม่ค่อยออกไปไหนจนกว่าจะค่ำอ่ะ”

     

    “คือ ผมไม่มีเบอร์อ่ะ”

     

    “ห๊ะ!

     

    “แปลกหรอ?” แบคฮยอนช้อนสายตาถามพลางเกาเบาๆที่ต้นคอ ตอนแรกก็คิดว่าถ้าเลิกคลาสชานยอลก็คงจะออกมาเอง แล้วค่อยลากออกมาคุยกันสองคน แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเลยนี่สิ เด็กวิศวะไม่ได้เรียนแล้วเดินออกมาชิวๆแบบเด็กมนุษย์ บางทีก็อยู่ช็อปต่อบ้างแล้วแต่คนๆไป

     

    “แปลกดิ! เป็นแฟนกันแต่ไม่มีเบอร์กันเนี่ยตลกแล้วแบคฮยอน”

     

    “เห้ยๆ ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน”

     

    “ไม่ต้องมาโกหกเลย ไปทำมันโกรธมาอะดิ จะมาง้อมันก็ไม่ต้องเขิน ถ้าไอ้ชานใจแข็งกับแบคได้เกินสองวิมาเตะพี่ได้เลย มาๆเดี๋ยวพาไปที่ช็อปเครื่องกล” ลีมินโฮใช้จังหวะที่แบคฮยอนกำลังเบลอๆฉุดรั้งคนตัวเล็กให้มาด้วยกันถึงแม้ว่าอีกคนจะพยายามบอกแล้วว่าไม่ได้มาง้อ แต่มินโฮก็พยายามดื้อดึงลากร่างบางขึ้นตึกมาด้วยกันจนได้

     

    แบคฮยอนเบิกตากว้างพยายามตีเข้าที่มือแกร่งอย่างแรงแต่อีกคนก็ไม่ยอมปล่อย นี่ถ้าไม่ติดว่าลีมินโฮเป็นรุ่นพี่ปีสามเขาจะด่าเข้าให้ พี่เขาไม่รู้รึไงว่าการลากเด็กมนุษย์เข้ามาในดงเด็กวิศวะมันน่าอายมากขนาดไหน

     

    แล้วไหนจะคำทักที่ว่าเมียไอ้ชานนั่นอีก

     

    “คนที่เป็นเมียน่ะชานยอลโว้ยยยย”

     

    ก็ได้แค่คิดมั้ยล่ะเนี่ย -_-

     

    “พี่ปล่อยผมเหอะนะ นะ นะ..” แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นพัลวันในขณะที่ยื้อแขนตัวเองเอาไว้สุดแรง พี่มินโฮหันมาพร้อมกับส่ายหน้าแรง ก่อนจะใช้มืออีกข้างของตัวเองจับเข้าข้อแขนเล็กแล้วลากมาอย่างแรง ครั้งนั้นแหละที่แบคฮยอนรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเข้าสู่จุดแตกดับ

     

    “เฮ้ย! ไอ้ชาน”

     

    “...”

     

    “เมียมาง้อ”

     

    เท่านั้นแหละ ทุกสายตาในช็อปถึงกับมองมาทางเขาเป็นสายตาเดียวกันทั้งหมด รวมทั้งร่างสูงใหญ่ที่กำลังจัดการตัวเครื่องของรถเกษตรนั่นด้วย ชานยอลหันมาสบตากับเขาภายในเสี้ยววิในขณะเดียวกันนั้นก็ค่อยๆขมวดคิ้วราวกับหงุดหงิดใจนักหนา

     

    อะไรล่ะคิดว่าหงุดหงิดเป็นคนเดียวรึไง

     

    “มาหา?”

     

    “เออดิมาหามึงอะแหละ กูเห็นยืนอยู่หน้าคณะตั้งแต่เช้าละ” เท่านั้นแหละจากสีหน้าที่ดูหงุดหงิดอยู่แล้วก็ดูหงุดหงิดมากขึ้นมาอีกแถมยังจ้องมาแรงอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้อย่างนั้น แบคฮยอนเลยแลบลิ้นให้ไปทีก่อนจะแอบตัวหลบด้านหลังของมินโฮ “งั้นเคลียร์กันเองนะ ไปละ”

     

    “อะ พี่--

     

    “จะมาทำไมไม่บอก” ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้ขยับไปไหน ร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วย ใบหน้ามันก็เห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คิดไปถึงจดหมายในไดอารี่นั่นแล้วก็เขินจนแทบอายม้วน

     

    “ไม่มีเบอร์”

     

    “มีดิ”

     

    “เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่มียังจะเถียงอีก นี่โทรศัพท์ของฉันนะ โอ้ย~” คนตัวเล็กร้องลั่นเมื่อมือใหญ่เอาประแจเบอร์ยี่สิบสี่มาเคาะที่หัวของเขาเบาๆ อะไรล่ะมันใช่เรื่องที่ต้องมาทำตัวงุ้งงิ้งอย่างนี้มั้ย โตๆกันแล้ว อีกอย่างคนในช็อปมองมาเยอะขนาดนี้ชานยอลควรจะอายบ้าง!

     

    “ก็เมมไว้ให้แล้วทำไมไม่หัดดู”

     

    “ไหน?”

     

    “ที่เป็นรูปหัวใจอ่ะ”

     

    ง่อววววววววววววววววววว~

     

    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในช็อปเตรียมตัวโห่กันแค่ไหน ยิ่งคนขรึมๆที่พูดจาขวานผ่าซากแบบชานยอลแล้วยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ กว่าจะได้เห็นโมเม้นมีแฟนสักทีนึงนี่น้ำตาแทบไหล คนสวยๆเข้ามาอ่อยก็หักอกเสียแทบจะทุกราย ไอ้พ่อคนหล่อเลือกได้เสือกเป็นเกย์ซะงั้น

     

    “เห้อออ ไอ้พวกมีแฟนแล้วไปไกลๆได้มั้ยวะ คนเขาจะทำงาน”

     

    “โอ้ยๆ แม่มึง...ช็อปเครื่องกลนี่หวานจนมดขึ้นหมดแล้วว่ะ”

     

    ฮ่าๆๆๆ

     

    ขำมากมั้ยล่ะ ก่อนจะขำน่ะช่วยดูหน้ากูด้วย!

     

    “งั้นไปล่ะ” ว่าแล้วก็หมุนตัวทำท่าจะเดินกลับไปดื้อๆเพราะอายเกินว่าจะทนอยู่ต่อไหว แต่ทว่ามือใหญ่ของชานยอลก็คว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อนจะได้ไปไหนเลยทำให้คนในช็อปส่งเสียงโห่แซวกันจ้าละหวั่น ตลกมั้ยล่ะในถิ่นวิดวะแบบนี้แล้วแบคฮยอนเสียเปรียบแบบสุดๆ ถ้าโดนฆ่าหมกป่าจะมีใครรู้มั้ยวะเนี่ย

     

    “ไหนบอกว่ามีเรื่องพูดด้วย”

     

    “ก็เดี๋ยวโทรคุยก็ได้”

     

    “ไม่เอา”

     

    เอ๊ะ! ตกลงใครเป็นคนต้องการที่จะพูดกันแน่วะ

     

    “เรื่องของนะหะ เห้ย!” จากที่ตอนแรกว่าจะแอบชิ่งหนีไปเนียนๆ ที่ไหนได้ชานยอลแม่งเนียนกว่าสิบเท่า เนียนกว่าครีมรองพื้นของชาแนลซะอีก ใครสอนให้อียักษ์ตัวแดงนี่ตีหน้ามึนแล้วอุ้มคนอื่นขึ้นบ่าวะ กูนี่จะหัวใจวายตายอยู่แล้ว “ปล่อยนะชานยอลอายคนอื่นเค้า”

     

    “อายอะไรพี่น้องกันทั้งนั้น”

     

    “ห่า!

     

    “พูดไม่เพราะ” ร่างสูงใหญ่ส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปจากช็อปด้วยร่างบางที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนบ่าเหมือนเมื่อวันนั้นไม่มีผิด แบคฮยอนอายจนตัวมันเบาไปหมด ทั้งอายตัวเอง และอายเด็กวิดวะคนอื่นๆที่เดินสวนพวกเขาไป ในขณะที่ชานยอลมันยิ้มรับอย่างชอบใจว่าทุกคนมองแบคฮยอนเป็น เมียตัวเองไปหมดแล้ว

     

    “ฮื่อออออ ที่บ้านไม่สอนหรอว่าไม่ควรแบกคนอื่นขึ้นหลังตามใจชอบนะ!!!” แบคฮยอนปิดหน้าโวยวายลั่น แต่ชานยอลก็ยังไม่สนใจอยู่ดี

     

    “ก็ถ้าพูดรู้เรื่องก็ไม่ทำหรอก”

     

    “ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง”

     

    “มึงอ่ะแหละ” ให้โอกาสทุกคนย้อนกลับไปอ่านใหม่อีกทีว่าคนที่พูดไม่รู้เรื่องน่ะมันใครกันแน่ คิดเองเออเองไปซะหมด ดีนะที่ชานยอลอุ้มมาวางไว้ห้องแลปเคมีที่ไม่มีคนแล้ว นี่ถ้าเอาไปปล่อยไว้ให้พูดที่ที่มีคนพลุกพล่านอย่างเช่นสวนหย่อมนี่..ตายกับตายลูกเดียว

     

    “นี่ลดน้ำหนักแล้วหรอ?”

     

    “ไม่พูดก็ไม่ใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ” ฮึ้ย~ ไอ้ท่าจับไหล่ของตัวเองหมุนไปมานี่น่าหมั่นไส้ที่สุด ถ้าร่างกายของเขามันหนักขนาดนั้นแล้วจะดันทุรังอุ้มมาทำไมล่ะหื้ม เดินมาแบบคนดีๆเขาทำกันงี้ไม่ได้เลยใช่มั้ย!

     

    “มึงสิควรโดนด่าว่าเป็นใบ้ ทั้งบ้าทั้งใบ้มีอะไรก็ไม่ชอบพูดให้ฟัง”

     

    “...” จุกมากพูดเลย ทั้งๆที่คิดว่าเขาจะเป็นคนเปิดประเด็นพูดขึ้นมาก่อนแต่กลายเป็นว่าชานยอลเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนราวกับรู้แล้วว่าเขามาหาเพื่ออะไร

     

    “กูมันคนโง่แบคฮยอน บางอย่างที่มึงเก็บเอาไว้ในใจ กูก็เดาไม่ออก ดังนั้นมึงต้องบอกว่ามึงเป็นอะไร มึงเสียใจ มึงดีใจ ก็ให้บอกกู ไม่ใช่ว่าอยากจะหนีก็หนี” แบคฮยอนเม้มปากเข้ากันแน่นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีในเมื่อชานยอลพูดมันออกมาหมดแล้ว

     

    มาถึงตอนนี้ชานยอลคงรู้แล้วว่าไดอารี่ที่วางเอาไว้นั้นถูกเปิดอ่านออกโดยฝีมือเขา ซึ่งมันยิ่งยากเข้าไปอีกเมื่อคนปากแข็งอย่างแบคฮยอนจะต้องพูด มันออกไป หากแต่ไม่พูดมันเสียคราวนี้ แบคฮยอนเกรงว่ามันจะไม่มีครั้งหน้าให้ได้พูดอีก

     

    “ขอโทษ”

     

    “หืม?”

     

    “หูหนวกรึไงก็บอกว่าขอโทษไง!” แบคฮยอนร้อนไปทั้งหน้า ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขานั้นทั้งอาบที่จะต้องพูดแต่ก็ยังแกล้งกันอยู่ได้ “แต่นายก็ผิด นายไปจูบกับอารึมนั่นฉันก็เข้าใจผิดมั้ยล่ะ นายไม่เป็นฉันนายไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก ทุกคนทำอย่างกับฉันไม่ใช้คน เป็นเหมือนหมูที่เขานึกอยากจะทำให้เรืองแสงก็ฉีดสารเร่งเข้าไปทั้งๆที่จริงแล้วยังไงฉันก็คือหมูตัวสีชมพูอยู่วันยังค่ำ!!!

     

    “แล้วจะให้ทำยังไง”

     

    “...”

     

    “ถ้ามึงไม่พูดกูก็ไม่รู้หรอกนะ”

     

    ทั้งคู่ต่างสบตากันเงียบๆภายในห้องที่อบอวนไปด้วยกลิ่นของสารเคมีชนิดต่างๆที่ปะปนอยู่ภายในอากาศ แบคฮยอนรู้ว่าเขาเองก็ผิด ที่เอาแต่ปากแข็งกั้กไว้ไม่ยอมพูดให้ได้เข้าใจกันเสียที ทั้งๆที่ความรู้สึกมันก็เด่นชัดขนาดนี้แล้ว

     

    make a deal

     

    “หะ? อะไรเด้าๆนะ”

     

    “ไม่ใช่เด้าเว้ย ออกเสียงว่าเดียลต่างหากเดียล หมายถึงเรามาทำข้อตกลงกันเถอะ ข้อตกลงที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่ายน่ะ” แบคอยอนโวยลั่นเมื่ออีกคนนั้นฟังออกไปในแนวทางอื่น หูนี่ไม่ดีแล้วใช่ไหมหรือคิดได้แค่เรื่องแบบนั้น “เลือกมาคนละสามข้อ แล้วมันจะเป็นกฎของเรา”

     

    “ให้มึงก่อนเลย”

     

    “งั้นข้อแรกฉันขอให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ แบบลืมสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ค่อยๆเรียนรู้--

     

    “ไม่เอาอ่ะช้า แค่กลับมาคบกันใหม่มันจะไปยากอะไรล่ะ หื้อ”

     

    ยากที่ยังไม่ทำใจไงเล่า ไอ้บ้าชานยอล! เขารู้สึกว่านี่มันชักจะเกินไปแล้วจริงๆ ดูเหมือนว่าเกมที่เอาไว้ใช้คืนดีกับคยองซูตอนโกรธกันมันจะไม่ค่อยเป็นผลดีต่อเขานัก ...ก็ดูเอาเถอะว่าชานยอลน่ะเอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหน อยากได้อะไรก็จะเอาเดี๋ยวนั้น

     

    “...”

     

    “ไม่ตอบกูจับเด้าแม่ง”

     

    “เห้ย ก็ได้ ก็ได้!!!” มือเรียวแทบยกขึ้นมาป้องกันตัวเองเอาไว้ไม่ทันเมื่อร่างสูงใหญ่ทำท่าว่าจะพุ่งเข้ามาหาตามอย่างที่พูดจริงๆ ไอ้คนห่าม ไอ้คนวิตถาร จะมีใครบ้างที่คิดปล้ำคนอื่นในห้องแลปเคมีน่ะหื้อ?

     

    “งั้นข้อแรกของกู มึงต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่หนีกันไปอีก”

     

    “ของแบบนี้มันอยู่ที่พฤติกรรมมั้ยล่ะ” แบคฮยอนตอบกลับอย่างเหนือกว่าซึ่งมันทำให้ชานยอลรู้สึกหมั่นไส้จริงๆ ไอ้หน้าเล็กๆที่เชิดขึ้นสู้นี่คิดว่าน่ารักมากอย่างนั้นสินะบยอนแบคฮยอน ทั้งๆที่ตัวเองบอกว่าจะยอมให้ตั้งกฎของเราขึ้นมาแต่นี่มันกฎของแบคฮยอนคนเดียวแล้ว

     

    ชานยอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเพราะมันเกินกว่าที่ชานยอลจะทนในความก๋ากั่นนี่ได้อีก อย่างน้อยๆก็ต้องลงโทษให้ได้สำนึกเสียบ้าง จะได้ไม่หลงคิดว่าคนอื่นจะคอยตามใจตัวไปเสียหมด

     

    “ปะ ปล่อยนะ”

     

    ฟอด~

     

    “ชานยอล!!

     

    “ข้อสอง ห้ามมึงไปอิ๊อ๊ะกับผู้ชายคนไหน โดนเฉพาะกับชมรมฟุตบอล” จากที่จะไม่สะทกสะท้านต่อมือเรียวที่ฟาดเข้าแผงอกอย่างจังแล้ว ชานยอลยังกดจมูกเข้าหอมที่แก้มอีกข้างฟอดใหญ่ แบคฮยอนหน้าแดงเถือกเลื้อยลามมาถึงใบหูเล็ก ก่อนจะถูกชานยอลอุ้มขึ้นวางไว้บนโต๊ะของอาจารย์ด้านหน้าห้อง

     

    “งั้นก็ปล่อยเลย นายเป็นคนในชมรมฟุตบอล”

     

    “แต่ยกเว้นกูไง” ร่างสูงที่อยู่ต่ำกว่าเล็กน้อยยิ้มจนแก้มด้านซ้ายบุ๋มลึกอย่างน่ารัก ทำเอาหัวใจที่เต้นแรงแทบเด้งออกมาจากอก ยิ่งกลุ่มผมสีสว่างนี่แล้วด้วยก็ยิ่งทำให้แบคฮยอนอยากจะใช้มือของตัวเองขยี้มันเล่นให้เสียทรงดูสักครั้ง

     

    “ข้อที่สอง ห้ามนายทำให้ฉันอายต่อหน้าคนอื่นเยอะๆ...แบบวันนี้” ร่างสูงมองคนตัวเล็กที่กำลังหลับตาพูดอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ

     

    นับวันแบคฮยอนก็ยิ่งทำตัวน่ารักจนเขาแทบจะอดใจไม่ไหว ทั้งๆที่ตัวเองตั้งใจจะมาง้อแท้ๆ แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกเลยสักนิดว่านี่เป็นการง้อ เพราะนอกจากแบคฮยอนจะพูดเองเขินเองแล้ว นอกนั้นก็ไม่ได้เซอร์วิสอะไรให้กับชานยอลสักนิด

     

    ถ้าเยอะกว่านี้..พ่อพระเอกจอสามสีได้ตัวแตกตายแน่ๆ

     

    “งั้นข้อที่สอง ถ้าไม่มีคนแล้วกูจะทำอะไรกับมึงก็ได้”

     

    “ห๊ะ!

     

    “จับมือไง” โกหกหน้าตายเลยทีเดียว ชานยอลนี่สมควรได้รับรางวัลออสก้าสาขาตอแหลยอดเยี่ยมสักครั้ง ปากว่าอย่างแต่มือทำอีกอย่าง ไอ้ความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วเอวของเขานี่มันอะไร ใช่คนที่บอกว่าแค่จับมือรึเปล่า แบคฮยอนเองก็ไม่คิดหรอกว่าจะเป็นมือผี แต่อาจจะเป็นผีทะเล

     

    “ฮื่อ ไม่เอา”

     

    “จะไม่ให้กูคืนทุนหน่อยหรอ กูคิดถึงมึงจะแย่”

     

    “ค แค่วันนั้นยังไม่พอรึไง” แบคฮยอนพูดตะกุกตะกักในขณะที่ใช้มือเรียวดันใบหน้าคมเข้มของชานยอลให้ออกห่างจากตัวเพื่อความปลอดภัย

     

    “วันไหน”

     

    “วันที่เมา..”

     

    น่ารักเป็นบ้า ยิ่งแบคฮยอนยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองก็ยิ่งน่ารัก ชานยอลไม่อาจจะหักห้ามใจตัวเองได้อีกแล้ว มือหนาดึงมือเล็กที่ปิดหน้าตัวเองออกมาก่อนจะปิดเบียดจูบเข้าหาร่างเล็กอย่างคะนึงหา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันนั้นสลายตัวหายไปในทันทีเมื่อได้รับความหวานฉ่ำจากริมฝีปากบาง

     

    “อื้อ”

     

    แบคฮยอนจูบตอบกลับไปเงอะๆงะๆ แถมยังหายใจตามไม่ทันจนต้องขย้ำเสื้อช็อปสีกรมของอีกคนเอาไว้แน่น แต่มือหนาก็ดึงมือเล็กขึ้นมาคล้องคอของตัวเองเอาไว้ก่อนจะดันร่างเล็กให้นอนราบลงไปบนโต๊ะ แบคฮยอนละริมฝีปากออกมา แล้วจึงสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่อย่างน่ารัก

     

    “ข้อที่สาม”

     

    “...”

     

     

    “ห้ามเลิกกับกูเด็ดขาด”

     






     

     

     



    กระเทยยุ่งๆ

     

    มา แบบวันต่อวันได้น่ากลัวมากๆ

    โอเค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วว่าจะเก็บไว้อ่าน

    หรืออ่านมันตอนนี้เลย

    ฉันก็อัพไม่เป็นเวลางี้แหละรู้ตัวเอง อิอิ


    ช่วยแท็กฟิคให้หน่อยนะคะ

    คือมีคนมาเล่นจนไม่เหมือนแท็กฟิคเลย ฮื่ออออ


    มีเกมชิงฟิคฟรีแล้วนะคะ อิอิ


      


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×