คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : NICE BODY : 26 (Ep. Our)
25
Our Rule
“อยากจะบอกว่ารักพูดไม่เป็น
อยากให้เธอได้เห็นเธอคือคนนั้น อยากให้เธอได้รู้แล้วมารักกัน”
“...”
“แต่ติดอยู่ที่ฉันนั้นมันคนปากแข็ง~”
“โว้ย! หยุดร้องสักทีคยองซู!!!”
แบคฮยอนที่นอนอยู่บนเตียงผุดตัวลุกขึ้นมาก่อนจะปาหมอนของตัวเองอัดหน้าเจ้าเพื่อนตัวดีที่เอาแต่ร้องเพลงประเภทนี้มาตั้งแต่เช้า
มันทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นจากที่หงุดหงิดอยู่แล้ว
หลังจากที่อ่านไดอารี่ของชานยอลจบ
แบคฮยอนก็รีบหนีออกมาจากคอนโดชานยอลเพียงเพราะว่าไม่รู้จะทำตัวยังไงดีเมื่อรู้ว่าอีกคนพยายามอย่างมากเพื่อเขาขนาดนี้
มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่งี่เง่าคนหนึ่ง
แต่ชานยอลก็ยังคอยตามง้อตามเอาใจ
คนแบบแบคฮยอนเลยต้องกลับหอมาเล่าทุกความอึดอัดใจให้เพื่อนฟัง
แต่เพื่อนก็ดันเลวจนวินาทีสุดท้ายนี่สิ เอาแต่กั๊กไว้ไม่ยอมบอกสักที่ว่าแบคฮยอนควรทำยังไงต่อไป
“ก็คนปากแข็ง
ใจอ่อนไม่ยอมบอกไป ที่จริงรักเธอหมดใจ
เมื่อรู้ตัวเองในวันที่สาย~”
“คยองซู!”
“จ๋า”
จ๋าพ่อง!
“เพื่อนเครียดขนาดนี้แล้วมึงยังกล้าเล่นอยู่หรอไอ้เพื่อนใจหมา”
“เอ้า ก็พูดความจริงนี่นา นายมันคนปากแข็งแบคฮยอนนี่”
“นี่ที่หน้า คิดว่าน่ารักมากมั้ยล่ะสัส” หงุดหงิด! เห็นหน้าไร้อารมณ์ของมันแล้วหงุดหงิดมากๆ
คยองซูเป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ยอดแย่แถมยังไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจของเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างที่สุด
เจ้าคนเตี้ยแคระอย่างมันนี่น่าจับโยนให้มังกรแดก
ไอ้มนุษย์ฮอบบิทหน้าตาย
“ฉันไม่คิดว่าน่ารักหรอก
....แต่ชานยอลอ่ะไม่แน่”
“ไอ้เตี้ย!”
แบคฮยอนเหลืออดแล้วจริงๆกับเพื่อนคนนี้
ไอ้การที่หันมายิ้มให้พร้อมกับปากที่หยักได้รูปหัวใจนี่มันน่าตีจริงๆ
แบคฮยอนใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีเพื่อมารับการให้คำปรึกษาที่ยอดแย่ขนาดนี้น่ะหรอ
โอ้ย อยากให้ถึงตามันบ้างแล้วกัน แบคฮยอนจะทั้งใส่ร้ายป้ายสีจนไอ้เตี้ยเลิกกับแฟนมันเลย!
“ก็ไปอ้อนๆชานยอลเหมือนที่ทำมาก็จบแล้ว
เขาไม่โหรธหรอก”
“เคยทำที่ไหนล่ะ
ห่า!”
“แล้วที่
ชเว ซึงฮยอน--”
“ไม่เคย!!”
“อ๋อ
อันนั้นเค้าเรียกว่าให้ท่านี่นะ”
เบื่อคำพูดคำจาของมันจริงๆ
“พูดกันแมนๆเลยนะคยองซู
ฉันไม่ได้เป็นเกย์ และยังขอยืนยันครั้งที่พันว่าฉันไม่มีทางเบี่ยงเบนไปเป็นเกย์แน่ๆ
ที่ผ่านมาฉันก็แค่อยากรู้ว่าฉันจะเป็นเกย์ที่รู้สึกกับผู้ชายด้วยกันรึเปล่า
...แค่นั้นจริงๆ” แบคฮยอนทำหน้าตาเคร่งขรึมเพื่อบอกว่าตัวนั้นจริงจังกับการพูดความจริงในครั้งนี้มากแค่ไหน
“งั้นจะบอกว่าชานยอลเป็นข้อยกเว้น”
“มะ...”
“ถ้าชานยอลเป็นข้อยกเว้น
นายก็น่าจะวิ่งไปกอดเขาแน่นๆแล้วสารภาพรักซะ” แบคฮยอนเม้มปากแน่นไปพลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อเหลียกเลี่ยงเกมจ้องตาของคยองซู
เขาไม่ได้เป็นผู้ชายน่ารักๆที่จะทำตัวงอแงง้องแง้งได้ดูน่ารักเสียหน่อย
แถมยังเข้าใจผิดคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ
ไม่มีทางที่เขาจะทำหน้าเหมือนหมาคลานเข่าเข้าไปกอดแล้วบอกว่า
‘ขอโทษที่เข้าใจผิดไปนะ
เรามารักกันแบบเดิมเถอะ’ ...ไม่เอาอ่ะ
แบคฮยอนไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ๆ
“...”
“เวลาวิ่งหนีของนายหมดแล้วนะ”
“ไม่ได้หนีซะหน่อย
เขาเรียกว่าตั้งหลัก” แบคฮยอนก้มหน้างุนพลางเตะเท้าไปมากับอากาศ
คำพูดที่แถเอาดีเข้าตัวของแบคฮยอนนั้นเล่นเอาคยองซูส่ายหัวอย่างรับไม่ได้ที่มีเพื่อนปากแข็งขนาดนี้
ที่จริงก็ชอบเขา
ยอมใจอ่อนให้เขาตั้งแต่เขามาง้อใหม่ๆแล้ว
แต่เพราะดันสร้างกำแพงเอาไว้สูงก็เลยทำเป็นไม่รักเขา เกลียดเขา ไล่เขา
แล้วผลสุดท้ายเป็นไง ก็มาตายตอนรู้ความจริงอย่างนี้นี่ไง
มันก็สมควรแล้วจริงๆสำหรับบทเรียนของคนทิฐิสูงแบบนี้
“งั้นก็ไปได้แล้ว
เพราะถ้าชานยอลเลิกวิ่งตามนายขึ้นมาบ้างจะรู้สึก คนที่วิ่งตามน่ะมันเหนื่อยกว่าคนวิ่งหนีนะ
ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ ยิ่งนายมาทำเป็นเล่นตัวปากแข็งใส่เขาแบบนี้
มันก็จะยิ่งทำให้เขาคิดว่า สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเขาได้รับอะไรตอบแทนมาบ้าง”
“...”
“ถ้าเป็นนายบ้างล่ะแบคฮยอน
กับสิ่งที่นายลงทุนลงแรงอะไรไปมากมายแล้วไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย
นายจะทำมันอยู่มั้ย”
“มะ..ไม่”
ว่าพลางส่ายหัวไปมา
“ใช่มั้ย
แล้วสักวันชานยอลจะต้องคิดแบบนี้”
“ฮื่อ
อย่ามาขู่กันได้มั้ยเล่า” แบคฮยอนทำหน้าบึ้งตึงพลางเตะขาป้อมสั้นของตัวเองไปมา คยองซูเห็นแล้วก็ยิ้มขำๆ
“นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง คนที่ทิฐิสูงแบบฉันจะไปงอนคนอื่นน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก
ฉันจะต้องสร้างเรื่องโกหกมาทำให้เขาปวดหัว..แล้วๆ ฉันจะทำผิดแบบนั้นไปเรื่อยๆอย่าไม่มีวันจบสิ้น”
“งั้นก็ใช้วิธีเดียวกันกับตอนที่เราโกรธกันสิ”
“ห๊ะ”
“มันเวิร์กนะ
เหมาะกับคนอย่างนายด้วย”
“นายคิดดีแล้ว?”
“เชื่อฉันสิ”
[ 35% ]
แบคฮยอนไม่รู้ว่าวิธีที่คยองซูแนะนำนั้นจะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน
แต่เขาก็เลือกที่จะมารอชานยอลเลิกเรียนอยู่หน้าคณะเป็นชั่วโมง คนตัวเล็กเอาแต่ใช้รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่โปรดเตะฝุ่นที่หน้าคณะวิศวะไปมาอย่างไม่มีอะไรจะทำ
หลังจากแอบอ่านไดอารี่ของชานยอลแล้วแกล้งเอาวางไว้ที่เดิม
แบคฮยอนก็พึ่งมาตระหนักได้ว่าเขาทำแบบนี้มันไม่ถูกนัก
ต่อให้เรื่องที่ชานยอลเขียนเอาไว้จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
แต่คนที่หนีมาคือคนที่ไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง
ซึ่งมันแย่มากๆ เขารู้
“เฮ้~ นายมาทำอะไรที่นี่เนี้ย” เสียงทุ้มเอ่ยดังขึ้นก่อนที่ตัวของเขาจะถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น
แบคฮยอนกระพริบตาปริบๆอย่างงงๆเพราะไม่รู้ว่าใครกันที่จู่ๆก็ดึงเขาไปกอดเอาไว้แน่น
มือเล็กรีบดันอกกว้างออกห่างจากตัวก่อนจะพบว่าเป็นรุ่นพี่มินโฮนั่นเองที่เข้ามาสวมกอดเขาเอาไว้
“คือ...”
“มาหาชานยอลหรอ”
“ครับ ประมาณนั้น” แบคฮยอนยิ้มแห้งๆพร้อมกับขยับตัวออกห่างจากมินโฮเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหม็นเหงื่ออีกคนเกินจะทนไหว
“แล้วโทรหามันยัง เหมือนมันน่าจะเลิกแล้วนะแต่คงจะอยู่ในช็อปแหละ
มันไม่ค่อยออกไปไหนจนกว่าจะค่ำอ่ะ”
“คือ ผมไม่มีเบอร์อ่ะ”
“ห๊ะ!”
“แปลกหรอ?” แบคฮยอนช้อนสายตาถามพลางเกาเบาๆที่ต้นคอ
ตอนแรกก็คิดว่าถ้าเลิกคลาสชานยอลก็คงจะออกมาเอง แล้วค่อยลากออกมาคุยกันสองคน
แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเลยนี่สิ เด็กวิศวะไม่ได้เรียนแล้วเดินออกมาชิวๆแบบเด็กมนุษย์
บางทีก็อยู่ช็อปต่อบ้างแล้วแต่คนๆไป
“แปลกดิ! เป็นแฟนกันแต่ไม่มีเบอร์กันเนี่ยตลกแล้วแบคฮยอน”
“เห้ยๆ ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“ไม่ต้องมาโกหกเลย ไปทำมันโกรธมาอะดิ
จะมาง้อมันก็ไม่ต้องเขิน ถ้าไอ้ชานใจแข็งกับแบคได้เกินสองวิมาเตะพี่ได้เลย
มาๆเดี๋ยวพาไปที่ช็อปเครื่องกล”
ลีมินโฮใช้จังหวะที่แบคฮยอนกำลังเบลอๆฉุดรั้งคนตัวเล็กให้มาด้วยกันถึงแม้ว่าอีกคนจะพยายามบอกแล้วว่าไม่ได้มาง้อ
แต่มินโฮก็พยายามดื้อดึงลากร่างบางขึ้นตึกมาด้วยกันจนได้
แบคฮยอนเบิกตากว้างพยายามตีเข้าที่มือแกร่งอย่างแรงแต่อีกคนก็ไม่ยอมปล่อย
นี่ถ้าไม่ติดว่าลีมินโฮเป็นรุ่นพี่ปีสามเขาจะด่าเข้าให้
พี่เขาไม่รู้รึไงว่าการลากเด็กมนุษย์เข้ามาในดงเด็กวิศวะมันน่าอายมากขนาดไหน
แล้วไหนจะคำทักที่ว่าเมียไอ้ชานนั่นอีก
“คนที่เป็นเมียน่ะชานยอลโว้ยยยย”
ก็ได้แค่คิดมั้ยล่ะเนี่ย -_-
“พี่ปล่อยผมเหอะนะ นะ นะ..”
แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นพัลวันในขณะที่ยื้อแขนตัวเองเอาไว้สุดแรง
พี่มินโฮหันมาพร้อมกับส่ายหน้าแรง ก่อนจะใช้มืออีกข้างของตัวเองจับเข้าข้อแขนเล็กแล้วลากมาอย่างแรง
ครั้งนั้นแหละที่แบคฮยอนรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเข้าสู่จุดแตกดับ
“เฮ้ย! ไอ้ชาน”
“...”
“เมียมาง้อ”
เท่านั้นแหละ ทุกสายตาในช็อปถึงกับมองมาทางเขาเป็นสายตาเดียวกันทั้งหมด
รวมทั้งร่างสูงใหญ่ที่กำลังจัดการตัวเครื่องของรถเกษตรนั่นด้วย
ชานยอลหันมาสบตากับเขาภายในเสี้ยววิในขณะเดียวกันนั้นก็ค่อยๆขมวดคิ้วราวกับหงุดหงิดใจนักหนา
อะไรล่ะคิดว่าหงุดหงิดเป็นคนเดียวรึไง
“มาหา?”
“เออดิมาหามึงอะแหละ กูเห็นยืนอยู่หน้าคณะตั้งแต่เช้าละ”
เท่านั้นแหละจากสีหน้าที่ดูหงุดหงิดอยู่แล้วก็ดูหงุดหงิดมากขึ้นมาอีกแถมยังจ้องมาแรงอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้อย่างนั้น
แบคฮยอนเลยแลบลิ้นให้ไปทีก่อนจะแอบตัวหลบด้านหลังของมินโฮ “งั้นเคลียร์กันเองนะ
ไปละ”
“อะ พี่--”
“จะมาทำไมไม่บอก” ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้ขยับไปไหน
ร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วย
ใบหน้ามันก็เห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คิดไปถึงจดหมายในไดอารี่นั่นแล้วก็เขินจนแทบอายม้วน
“ไม่มีเบอร์”
“มีดิ”
“เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่มียังจะเถียงอีก นี่โทรศัพท์ของฉันนะ โอ้ย~” คนตัวเล็กร้องลั่นเมื่อมือใหญ่เอาประแจเบอร์ยี่สิบสี่มาเคาะที่หัวของเขาเบาๆ
อะไรล่ะมันใช่เรื่องที่ต้องมาทำตัวงุ้งงิ้งอย่างนี้มั้ย โตๆกันแล้ว อีกอย่างคนในช็อปมองมาเยอะขนาดนี้ชานยอลควรจะอายบ้าง!
“ก็เมมไว้ให้แล้วทำไมไม่หัดดู”
“ไหน?”
“ที่เป็นรูปหัวใจอ่ะ”
ง่อววววววววววววววววววว~
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในช็อปเตรียมตัวโห่กันแค่ไหน
ยิ่งคนขรึมๆที่พูดจาขวานผ่าซากแบบชานยอลแล้วยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ กว่าจะได้เห็นโมเม้นมีแฟนสักทีนึงนี่น้ำตาแทบไหล
คนสวยๆเข้ามาอ่อยก็หักอกเสียแทบจะทุกราย ไอ้พ่อคนหล่อเลือกได้เสือกเป็นเกย์ซะงั้น
“เห้อออ ไอ้พวกมีแฟนแล้วไปไกลๆได้มั้ยวะ คนเขาจะทำงาน”
“โอ้ยๆ แม่มึง...ช็อปเครื่องกลนี่หวานจนมดขึ้นหมดแล้วว่ะ”
ฮ่าๆๆๆ
ขำมากมั้ยล่ะ ก่อนจะขำน่ะช่วยดูหน้ากูด้วย!
“งั้นไปล่ะ” ว่าแล้วก็หมุนตัวทำท่าจะเดินกลับไปดื้อๆเพราะอายเกินว่าจะทนอยู่ต่อไหว
แต่ทว่ามือใหญ่ของชานยอลก็คว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อนจะได้ไปไหนเลยทำให้คนในช็อปส่งเสียงโห่แซวกันจ้าละหวั่น
ตลกมั้ยล่ะในถิ่นวิดวะแบบนี้แล้วแบคฮยอนเสียเปรียบแบบสุดๆ
ถ้าโดนฆ่าหมกป่าจะมีใครรู้มั้ยวะเนี่ย
“ไหนบอกว่ามีเรื่องพูดด้วย”
“ก็เดี๋ยวโทรคุยก็ได้”
“ไม่เอา”
เอ๊ะ! ตกลงใครเป็นคนต้องการที่จะพูดกันแน่วะ
“เรื่องของนะ— หะ เห้ย!” จากที่ตอนแรกว่าจะแอบชิ่งหนีไปเนียนๆ
ที่ไหนได้ชานยอลแม่งเนียนกว่าสิบเท่า เนียนกว่าครีมรองพื้นของชาแนลซะอีก ใครสอนให้อียักษ์ตัวแดงนี่ตีหน้ามึนแล้วอุ้มคนอื่นขึ้นบ่าวะ
กูนี่จะหัวใจวายตายอยู่แล้ว “ปล่อยนะชานยอลอายคนอื่นเค้า”
“อายอะไรพี่น้องกันทั้งนั้น”
“ห่า!”
“พูดไม่เพราะ”
ร่างสูงใหญ่ส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปจากช็อปด้วยร่างบางที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนบ่าเหมือนเมื่อวันนั้นไม่มีผิด
แบคฮยอนอายจนตัวมันเบาไปหมด ทั้งอายตัวเอง
และอายเด็กวิดวะคนอื่นๆที่เดินสวนพวกเขาไป
ในขณะที่ชานยอลมันยิ้มรับอย่างชอบใจว่าทุกคนมองแบคฮยอนเป็น ‘เมีย’ ตัวเองไปหมดแล้ว
“ฮื่อออออ
ที่บ้านไม่สอนหรอว่าไม่ควรแบกคนอื่นขึ้นหลังตามใจชอบนะ!!!” แบคฮยอนปิดหน้าโวยวายลั่น
แต่ชานยอลก็ยังไม่สนใจอยู่ดี
“ก็ถ้าพูดรู้เรื่องก็ไม่ทำหรอก”
“ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง”
“มึงอ่ะแหละ”
ให้โอกาสทุกคนย้อนกลับไปอ่านใหม่อีกทีว่าคนที่พูดไม่รู้เรื่องน่ะมันใครกันแน่
คิดเองเออเองไปซะหมด ดีนะที่ชานยอลอุ้มมาวางไว้ห้องแลปเคมีที่ไม่มีคนแล้ว
นี่ถ้าเอาไปปล่อยไว้ให้พูดที่ที่มีคนพลุกพล่านอย่างเช่นสวนหย่อมนี่..ตายกับตายลูกเดียว
“นี่ลดน้ำหนักแล้วหรอ?”
“ไม่พูดก็ไม่ใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ” ฮึ้ย~ ไอ้ท่าจับไหล่ของตัวเองหมุนไปมานี่น่าหมั่นไส้ที่สุด
ถ้าร่างกายของเขามันหนักขนาดนั้นแล้วจะดันทุรังอุ้มมาทำไมล่ะหื้ม
เดินมาแบบคนดีๆเขาทำกันงี้ไม่ได้เลยใช่มั้ย!
“มึงสิควรโดนด่าว่าเป็นใบ้
ทั้งบ้าทั้งใบ้มีอะไรก็ไม่ชอบพูดให้ฟัง”
“...” จุกมากพูดเลย ทั้งๆที่คิดว่าเขาจะเป็นคนเปิดประเด็นพูดขึ้นมาก่อนแต่กลายเป็นว่าชานยอลเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนราวกับรู้แล้วว่าเขามาหาเพื่ออะไร
“กูมันคนโง่แบคฮยอน บางอย่างที่มึงเก็บเอาไว้ในใจ
กูก็เดาไม่ออก ดังนั้นมึงต้องบอกว่ามึงเป็นอะไร มึงเสียใจ มึงดีใจ ก็ให้บอกกู ไม่ใช่ว่าอยากจะหนีก็หนี”
แบคฮยอนเม้มปากเข้ากันแน่นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีในเมื่อชานยอลพูดมันออกมาหมดแล้ว
มาถึงตอนนี้ชานยอลคงรู้แล้วว่าไดอารี่ที่วางเอาไว้นั้นถูกเปิดอ่านออกโดยฝีมือเขา
ซึ่งมันยิ่งยากเข้าไปอีกเมื่อคนปากแข็งอย่างแบคฮยอนจะต้องพูด ‘มัน’ ออกไป
หากแต่ไม่พูดมันเสียคราวนี้ แบคฮยอนเกรงว่ามันจะไม่มีครั้งหน้าให้ได้พูดอีก
“ขอโทษ”
“หืม?”
“หูหนวกรึไงก็บอกว่าขอโทษไง!” แบคฮยอนร้อนไปทั้งหน้า
ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขานั้นทั้งอาบที่จะต้องพูดแต่ก็ยังแกล้งกันอยู่ได้
“แต่นายก็ผิด นายไปจูบกับอารึมนั่นฉันก็เข้าใจผิดมั้ยล่ะ นายไม่เป็นฉันนายไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก
ทุกคนทำอย่างกับฉันไม่ใช้คน เป็นเหมือนหมูที่เขานึกอยากจะทำให้เรืองแสงก็ฉีดสารเร่งเข้าไปทั้งๆที่จริงแล้วยังไงฉันก็คือหมูตัวสีชมพูอยู่วันยังค่ำ!!!”
“แล้วจะให้ทำยังไง”
“...”
“ถ้ามึงไม่พูดกูก็ไม่รู้หรอกนะ”
ทั้งคู่ต่างสบตากันเงียบๆภายในห้องที่อบอวนไปด้วยกลิ่นของสารเคมีชนิดต่างๆที่ปะปนอยู่ภายในอากาศ
แบคฮยอนรู้ว่าเขาเองก็ผิด ที่เอาแต่ปากแข็งกั้กไว้ไม่ยอมพูดให้ได้เข้าใจกันเสียที
ทั้งๆที่ความรู้สึกมันก็เด่นชัดขนาดนี้แล้ว
“make a
deal”
“หะ? อะไรเด้าๆนะ”
“ไม่ใช่เด้าเว้ย ออกเสียงว่าเดียลต่างหากเดียล หมายถึงเรามาทำข้อตกลงกันเถอะ
ข้อตกลงที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่ายน่ะ”
แบคอยอนโวยลั่นเมื่ออีกคนนั้นฟังออกไปในแนวทางอื่น หูนี่ไม่ดีแล้วใช่ไหมหรือคิดได้แค่เรื่องแบบนั้น
“เลือกมาคนละสามข้อ แล้วมันจะเป็นกฎของเรา”
“ให้มึงก่อนเลย”
“งั้นข้อแรกฉันขอให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่
แบบลืมสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ค่อยๆเรียนรู้--”
“ไม่เอาอ่ะช้า แค่กลับมาคบกันใหม่มันจะไปยากอะไรล่ะ
หื้อ”
ยากที่ยังไม่ทำใจไงเล่า ไอ้บ้าชานยอล! เขารู้สึกว่านี่มันชักจะเกินไปแล้วจริงๆ
ดูเหมือนว่าเกมที่เอาไว้ใช้คืนดีกับคยองซูตอนโกรธกันมันจะไม่ค่อยเป็นผลดีต่อเขานัก
...ก็ดูเอาเถอะว่าชานยอลน่ะเอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหน อยากได้อะไรก็จะเอาเดี๋ยวนั้น
“...”
“ไม่ตอบกูจับเด้าแม่ง”
“เห้ย ก็ได้ ก็ได้!!!” มือเรียวแทบยกขึ้นมาป้องกันตัวเองเอาไว้ไม่ทันเมื่อร่างสูงใหญ่ทำท่าว่าจะพุ่งเข้ามาหาตามอย่างที่พูดจริงๆ
ไอ้คนห่าม ไอ้คนวิตถาร จะมีใครบ้างที่คิดปล้ำคนอื่นในห้องแลปเคมีน่ะหื้อ?
“งั้นข้อแรกของกู
มึงต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่หนีกันไปอีก”
“ของแบบนี้มันอยู่ที่พฤติกรรมมั้ยล่ะ” แบคฮยอนตอบกลับอย่างเหนือกว่าซึ่งมันทำให้ชานยอลรู้สึกหมั่นไส้จริงๆ
ไอ้หน้าเล็กๆที่เชิดขึ้นสู้นี่คิดว่าน่ารักมากอย่างนั้นสินะบยอนแบคฮยอน
ทั้งๆที่ตัวเองบอกว่าจะยอมให้ตั้งกฎของเราขึ้นมาแต่นี่มันกฎของแบคฮยอนคนเดียวแล้ว
ชานยอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเพราะมันเกินกว่าที่ชานยอลจะทนในความก๋ากั่นนี่ได้อีก
อย่างน้อยๆก็ต้องลงโทษให้ได้สำนึกเสียบ้าง จะได้ไม่หลงคิดว่าคนอื่นจะคอยตามใจตัวไปเสียหมด
“ปะ ปล่อยนะ”
ฟอด~
“ชานยอล!!”
“ข้อสอง ห้ามมึงไปอิ๊อ๊ะกับผู้ชายคนไหน
โดนเฉพาะกับชมรมฟุตบอล” จากที่จะไม่สะทกสะท้านต่อมือเรียวที่ฟาดเข้าแผงอกอย่างจังแล้ว
ชานยอลยังกดจมูกเข้าหอมที่แก้มอีกข้างฟอดใหญ่ แบคฮยอนหน้าแดงเถือกเลื้อยลามมาถึงใบหูเล็ก
ก่อนจะถูกชานยอลอุ้มขึ้นวางไว้บนโต๊ะของอาจารย์ด้านหน้าห้อง
“งั้นก็ปล่อยเลย นายเป็นคนในชมรมฟุตบอล”
“แต่ยกเว้นกูไง”
ร่างสูงที่อยู่ต่ำกว่าเล็กน้อยยิ้มจนแก้มด้านซ้ายบุ๋มลึกอย่างน่ารัก
ทำเอาหัวใจที่เต้นแรงแทบเด้งออกมาจากอก ยิ่งกลุ่มผมสีสว่างนี่แล้วด้วยก็ยิ่งทำให้แบคฮยอนอยากจะใช้มือของตัวเองขยี้มันเล่นให้เสียทรงดูสักครั้ง
“ข้อที่สอง ห้ามนายทำให้ฉันอายต่อหน้าคนอื่นเยอะๆ...แบบวันนี้”
ร่างสูงมองคนตัวเล็กที่กำลังหลับตาพูดอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ
นับวันแบคฮยอนก็ยิ่งทำตัวน่ารักจนเขาแทบจะอดใจไม่ไหว ทั้งๆที่ตัวเองตั้งใจจะมาง้อแท้ๆ
แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกเลยสักนิดว่านี่เป็นการง้อ
เพราะนอกจากแบคฮยอนจะพูดเองเขินเองแล้ว
นอกนั้นก็ไม่ได้เซอร์วิสอะไรให้กับชานยอลสักนิด
ถ้าเยอะกว่านี้..พ่อพระเอกจอสามสีได้ตัวแตกตายแน่ๆ
“งั้นข้อที่สอง ถ้าไม่มีคนแล้วกูจะทำอะไรกับมึงก็ได้”
“ห๊ะ!”
“จับมือไง” โกหกหน้าตายเลยทีเดียว
ชานยอลนี่สมควรได้รับรางวัลออสก้าสาขาตอแหลยอดเยี่ยมสักครั้ง ปากว่าอย่างแต่มือทำอีกอย่าง
ไอ้ความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วเอวของเขานี่มันอะไร ใช่คนที่บอกว่าแค่จับมือรึเปล่า
แบคฮยอนเองก็ไม่คิดหรอกว่าจะเป็นมือผี แต่อาจจะเป็นผีทะเล
“ฮื่อ ไม่เอา”
“จะไม่ให้กูคืนทุนหน่อยหรอ กูคิดถึงมึงจะแย่”
“ค แค่วันนั้นยังไม่พอรึไง”
แบคฮยอนพูดตะกุกตะกักในขณะที่ใช้มือเรียวดันใบหน้าคมเข้มของชานยอลให้ออกห่างจากตัวเพื่อความปลอดภัย
“วันไหน”
“วันที่เมา..”
น่ารักเป็นบ้า ยิ่งแบคฮยอนยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองก็ยิ่งน่ารัก
ชานยอลไม่อาจจะหักห้ามใจตัวเองได้อีกแล้ว
มือหนาดึงมือเล็กที่ปิดหน้าตัวเองออกมาก่อนจะปิดเบียดจูบเข้าหาร่างเล็กอย่างคะนึงหา
ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันนั้นสลายตัวหายไปในทันทีเมื่อได้รับความหวานฉ่ำจากริมฝีปากบาง
“อื้อ”
แบคฮยอนจูบตอบกลับไปเงอะๆงะๆ แถมยังหายใจตามไม่ทันจนต้องขย้ำเสื้อช็อปสีกรมของอีกคนเอาไว้แน่น
แต่มือหนาก็ดึงมือเล็กขึ้นมาคล้องคอของตัวเองเอาไว้ก่อนจะดันร่างเล็กให้นอนราบลงไปบนโต๊ะ
แบคฮยอนละริมฝีปากออกมา แล้วจึงสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่อย่างน่ารัก
“ข้อที่สาม”
“...”
“ห้ามเลิกกับกูเด็ดขาด”
กระเทยยุ่งๆ
มา แบบวันต่อวันได้น่ากลัวมากๆ
โอเค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วว่าจะเก็บไว้อ่าน
หรืออ่านมันตอนนี้เลย
ฉันก็อัพไม่เป็นเวลางี้แหละรู้ตัวเอง อิอิ
ช่วยแท็กฟิคให้หน่อยนะคะ
คือมีคนมาเล่นจนไม่เหมือนแท็กฟิคเลย ฮื่ออออ
มีเกมชิงฟิคฟรีแล้วนะคะ อิอิ
ความคิดเห็น