คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : NICE BODY : 07
07
Have to Diet!
[เป้าหมายมีไว้พุงชน วิ่งต่อไป ผอม!!]
เช้านี้อากาศเย็นสดชื่นสุดๆ แดดไม่ได้แรงมาก ในขณะเดียวกันนั้นก็มีลมอ่อนๆพัดมาให้ได้เย็นใจ จะมองไปทางไหนผมก็รู้สึกดีไปหมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้สูงใหญ่ที่ถูกปลูกขนานไปกับถนน หรือนกน้อยใหญ่ที่พากันบินออกจากรังไปหาอาหาร
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันดีๆในโซลของผม
ผมถอนหายใจยาวก่อนจะยกน้ำขึ้นมากระดกอึกๆชนิดที่ไม่มีการเว้นช่วงหายใจกันเลยทีเดียว ตอนนี้ผมกำลังนั่งในเก้าอี้ตัวยาวที่สวนสาธารณะ แปลกใจใช่ไหมว่าคนอย่างผมจะมาทำไม ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ก่อนที่จะถึงวันนัด...
ผมจะลดความอ้วนเพื่อโซยู
ผมเลยคิดว่าผมควรต้องออกกำลังกายสักหน่อยแล้ว ซึ่งวันนี้เป็นวันที่สี่ของการเริ่มต้นลดความอ้วนที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะห้ามใจตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนเช่นกัน ผมมองเท้าที่สวมรองเท้าวิ่งสีชมพูนีออนที่จำไม่ได้แล้วว่าหยิบเอามาเข้าหอตอนไหนและได้ใช้ไปครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมมองมันแล้วก็รู้สึกว่ามันเหนื่อยจริงๆ ผมวิ่งยังได้ไม่ถึงไหนก็เหนื่อยซ่ะแล้ว และนั่นทำให้ผมเข้าใจว่าตอนนี้ผมอ้วนมากแค่ไหน
แต่เพราะโซยู เพราะรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ
ผมเลยจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆแบบนี้ของตัวเองให้ดีขึ้น
ต่อให้สเปกเธอจะชอบคนกินจุนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะชอบคนอ้วนด้วยหรอกนะ ผมพูดแบบนี้ทำไมนะหรอ ก็แน่ล่ะจะไม่ให้ผมพูดแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อแฟนคนก่อนของเธอคือไอ้บ้าหูกางข้างห้องผมไง เพราะแบบนี้ผมเลยไม่ชอบขี้หน้าชานยอลสักเท่าไหร่
เพราะเขามันน่าอิจฉาเกินไป
“สู้โว้ย!” ผมตะโกนเรียกพลังอยู่หนึ่งครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งแล้ววิ่งต่อ ยังมีเวลาอีกมากให้กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ห้อง และวันนี้สาบานได้เลยว่าผมจะไม่ยอมซ้อนท้ายไอ้ชานยอลอีกแล้ว! เบาะเล็กแค่นั้นยังจะยัดเยี้ยดให้ผมซ้อนอีก ถ้ามันยกหน้าจนรถล้มจะทำไง
แม่ง...มันต้องไม่คิดแบบผมอย่างแน่นอน
โอเค จะว่าผมโง่ก็ได้นะ ตอนแรกๆผมก็คิดว่าพี่คริสเช่าห้องอยู่ข้างๆห้องของผมแล้วกินนอนอยู่ที่นั่นจริงๆ แต่ว่าความจริงแล้วมันเป็นแค่ห้องที่พี่แกเอาไว้เก็บของเพราะใกล้มหาลัยแค่นั้น แน่ล่ะนอกจากพี่เขาจะหล่อมาก ก็ยังรวยมากอีก แถมยังชอบรับผมไปส่งโรงเรียนทุกวัน นี่ผมก็คิดนะว่าพี่เขากะจะไม่ยอมให้ผมไปแย่งพื้นที่บนรถเมล์กับคนอื่นเลยงั้นเหอะ
แต่มีโชคดีก็ต้องมีโชคร้าย พี่คริสแม่งชอบแวบไปแวบมาและเป็นบุคคลที่หาทางจับตัวได้ยากซะยิ่งกว่าแมลงสาบ! พี่คริสเข้ามานอนที่ห้องบ้างไม่นอนบ้าง และผมดันติดนิสัยรอพี่คริสขับรถไปส่งที่โรงเรียนไปแล้ว! พอวันไหนที่พี่คริสไม่อยู่ผมก็ต้องไปซ้อนไอ้โยดานั่นเพราะพี่คริสฝากมา โดยที่ไม่ได้ถ่งได้ถามความสมัครใจของกูเลยสักนิด เบาะก็เล็ก นั่งที่ยังไม่ได้ครึ่งตูดเลยด้วยซ้ำ เวลาเข้าโค้งทีตัวกูนี่แม่งห้อยเลยไอ้ห่า
ไม่รู้ล่ะ ผมไม่มีทางไปกับไอ้โยดานั่นอีกแล้ว
“ว้าวววววว แม่งมหัศจรรย์”
“นั่นมันไอ้อ้วนนักวิ่ง! ฮ่าๆ”
เสียงนินทาระยะเผาขนของเจ้าพวกปากมอมที่ กำลังส่งเสียตะโกนโหวกเหวงโวยวายทำลายบรรยากาศเย็นสบายยามเช้าของผมไปเสียหมด ผมพยายามจดจ่อกับการวิ่งกลับหอที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่ต่างอะไรกับสปริ้นเตอร์รดน้ำแตก
มันคิดว่าผมไม่ได้ยินที่พวกมันพูดกันรึไงว่ะ ถ้าอยากพูดขนาดนั้นมึงไม่มาตะโกนอัดหูกูเลยล่ะวะ หืม? มึงวิ่งล้อกูแบบนี้ทุกวันมึงไม่เหนื่อยไงถามจริง? ขนาดเป็นกูยังเหนื่อยใจที่ต้องได้ยินเสียงมึงเลยไอ้ฟายเย่อ
“ไอ้อ้วนนักวิ่ง ทำไมไม่กลิ้งเอาล่ะ ดูท่าว่าจะเร็วกว่านะ”
ห่า ผีเจาะปากหรือไงวะ ถ้ามึงเลิกแซะกูมึงจะแดดิ้นตายตรงนี้ให้ได้ใช่มั้ย แยกกันอยู่ไม่ได้ไง! กูวิ่ง มึงวิ่ง จะมาแซะกูหาพระแสงคอง้าวอะไรแถวนี้วะ นี่เหลือทนแล้วนะ ดอกจิก
“ฮ่าๆ ไอ้อ้วนนักวิ่ง”
“ไม่ได้วิ่งบนหัวพ่อมึงก็แล้วกัน!!!”
ผมหันไปตะโกนตอบโต้ก่อนจะรีบวิ่งสุดแรงเกิดออกไปจากบริเวณนั้นทันที ขืนถ้าอยู่นานกว่านั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับหอด้วยสภาพดีมั้ย ดีไม่ดีอาจจะโดนพวกมันยำตีนก่อนก็ได้ แต่ถ้าจะพูดกันตรงๆแล้วผมไม่ผิดนะ พวกนั้นมันก่อเรื่อง
สุดท้ายเช้าที่สดใสที่สุดของผมก็ถูกทำลายลงด้วยไอ้พวกปากมอม ตอนอาบน้ำผมเลยรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าที่จะสดชื่น ผมมองสารรูปตัวเองหน้ากระจก ก่อนจะเบนสายตาไปมองแผ่นโพสอิสที่เขียนถึงแผนการไอเอ็ทเร่งด่วนภายในหนึ่งอาทิตย์
‘วิ่งทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน’
‘กินผักผลไม้ที่มีประโยชน์’
‘กินช็อคโกแล็ตได้แค่ สองซองเท่านั้น ย้ำ เท่านั้นนะแบคฮยอน!!!’
‘ห้ามกินขนมตอนดึกๆ ผ่าฝืน งดข้าวเย็นหนึ่งมื้อ!’
เห็นแล้วก็อดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำในวันนี้มันล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมหยิบปากกาที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะขีดฆ่าบรรทัดแรกออกไป เพราะถ้าไปวิ่งอีกคงโดนไอ้พวกนั้นรุมซ้อมแน่ๆ
โอเค กูยังโอเค วิ่งทุกวันตอนเช้านี่ตัดออกไปได้เลย กูไม่วิ่งแล้วก็ได้ไอ้ห่าวิธีลดความอ้วนแบบอื่นมีเยอะแยะ ไม่เห็นต้องง้อแม่งเลย ฟรัคคคคค!
และเพื่อให้สี่วันที่วิ่งมานี้ดูมีความหมาย ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่จะต้องชั่งน้ำหนักแล้ว ผมมั่นใจว่าน้ำหนักจะต้องลดอย่างน้อยสามโลเป็นอย่างต่ำ และโชยูจะต้องชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ของผมอย่างแน่นอน!
คิดได้ดังนั้นผมก็ค่อยๆลากเครื่องชั่งน้ำหนักที่แอบย่องออกไปซื้อตอนสี่ทุ่มออกมา ผมล้วงเอาทุกสิ่งอย่างที่มีน้ำหนักออกจากตัวให้หมด มองเหมือนกับว่าเครื่องชั่งตรงหน้าคือหน้าผาอันสูงชันที่ทำให้ผมเข่าทรุดได้ แต่มันถึงเวลาแล้ว! ผมสูดลมหายใจเข้าสองถึงสามครั้งก่อนจะพาร่างกายน่ารักของตัวเองก้าวขึ้นไปเหยียบบนตาชั่งทีละข้าง ...ทีละข้าง
หน้าปัดหมุดติ้วๆจนผมไม่อาจรู้ว่ามันเป็นเลขอะไร ก่อนที่ความเร็วของผมจะค่อยๆช้าลงจนหยุดกึ้กที่...
108
เดี๋ยวนะ
ผมก้าวถอยลงมาจากเครื่องชั่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะก้าวขึ้นไปเหยียบบนเครื่องชั่งอีกครั้ง
กึก!
109
อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
น้ำหนักขึ้นได้ไงวะ มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่กูวิ่งมาสามสี่วันนี้ล่ะคือเหี้ยอัลไล!!
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
ไม่ต้องเดาเลยว่าใครที่แม่งมาเคาะห้องของผมเอาป่านนี้ ที่มีก็คงจะมีแค่ไอ้โยดาหูกางเท่านั้นแหละที่เคาะได้ฮาดคอร์อย่างกับจะพังประตูเข้ามาในห้องแบบนี้ ถ้าจะรีบเคาะขนาดนี้มึงไม่เคาะตั้งแต่เมื่อวานซ่ะเลยล่ะ! ผมทำหน้าเบื่อหน่ายที่จะต้องเจอหน้ากวนตีนๆของอีกคน เพราะผมเองก็ไม่ได้อารมณ์ดีมากมายเท่าไหร่
ผมมองตาชั่งที่เหยียบอยู่เป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง มองตัวเลข 9 ด้วยอารมณ์ที่มันปั่นป่วนไปจนทั่วท้องของตัวเองอย่างไม่ชอบใจ
ทำไมวะ...
กูวิ่ง กูอดแล้ว ทุกสิ่งอย่างแล้วทำไมผลแม่งออกมาเป็นแบบนี้วะ แม่งโครตจะเฟลอ่ะ นอกจากที่จะไม่ลดแล้วยังเพิ่มอีก กูไม่ใช่ตัวห่าตัวแดกซ่ะหน่อย ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบช็อกโกแลตแท่งที่เสียบอยู่ในกล่องบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะแกะห่อฟลอยออก
นี่มันก็แค่จุดเริ่มต้นหรอกแบคฮยอน เครื่องชั่งที่ซื้อมาก็อาจจะเสียเพราะว่ามันอยู่ในเรทราคาที่ถูกที่สุดและผมเองก็กินน้ำเข้าไปค่อนข้างเยอะในตอนเช้า ใช่ๆ มันอาจจะเป็นเพราะแบบนั้นด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนก็อาจจะเป็นเพราะว่าไขมันส่วนหนึ่งได้กลายเป็นกล้ามเนื้อแล้ว
บ่นในใจอยู่นานก่อนจะส่งช็อกโกแลตแสนหวานเข้าปากคำแรก
ช่างแม่งละ
ผมคิดถึงรสชาติหวานๆปนขนมที่ละลายอยู่ในปากนี้จริงๆ ผมคิดถึงมัน คิดถึงขนมหนึบๆแบบเยลลี่ คิดถึงขนมกรุบกรอบแบบป็อบคอร์นตอนดูหนัง ผมน้ำตาจะไหลจริงๆ พลังทั้งหมดของผมเหมือนกลับคืนมาง่ายๆเพียงเพราะช็อกโกแลตคำเดียว
ก๊อกๆ
เออ! กูออกไปเปิดให้ก็ได้
“อะไร” เสียงหวนๆถูกส่งออกไปพร้อมกับ สีหน้าที่ไม่อยากจะต้อนรับแขกของผม ชานยอลยังคงมารับผมทุกวันหากพี่คริสยังไม่มาอยู่ที่ห้อง ผมขมวดคิ้วมองชายเสื้อที่หลุดลุ่ยของชานยอลอย่างไม่ชอบใจ เหอะ! คิดว่าทำแบบนี้แล้วแบดบอยมากป่ะ
“ไปโรงเรียนไง ต้องให้กูพูดทุกวันเลย?”
“กูไม่ไป”
“ดื้อด้าน เล่นตัว มึงนี่คิดว่าตัวเองน่าง้อมากมั้ย” ไม่เคยคิดเว้ย เหอะ! อยากจะขำจริงๆ ผมเนี่ยนะเล่นตัวขอร้องเถอะครับช่วยย้อนกลับขึ้นไปอ่านตอนก่อนหน้าให้ทีว่า นิสัยคนอย่างผมนี่มันใกล้เคียงกับคำว่าเล่นตัวแล้วหรือครับ
“งั้นก็ไปโรงเรียนก่อนเลยสิวะ!!!” ผมพูดเสียงดัง แต่ก็แค่พูดเสียงดังเท่านั้นแหละผมไม่ได้โกรธ ผมก็แค่พูดความจริง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ชานยอลจะต้องทำตามคำพูดของพี่คริส หรือคนอื่นๆ ที่ทำให้เขาต้อมาป้วนเปี้ยนอยู่กับผมแบบนี้ เพราะยิ่งทำแบบนี้ผมกับชานยอลไม่ต้องตีกันก่อนจะได้คุยกันดีๆหรอกหรอ
“เฮ้ย ไม่งอนดิ อ้วนได้อย่างเดียว”
“ไม่ได้งอน นี่กูพูดจริงๆ เอาตรงๆเลยนะชานยอล มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้นายต้องคอยมารับฉันไปโรงเรียนด้วยกัน หรือแม้กระทั่งคำสั่งของพี่คริสเองก็ตาม อีกอย่างตัวกูก็ใหญ่เกินกว่าที่จะนั่งซ้อนมอไซต์ของมึงด้วย”
“งั้น...ก็ได้” เสียงทุ้มนุ่มของเขาตอบกลับมา ซึ่งมันเป็นคำตอบที่ผมต้องการ เพราะนอกจากที่เรานั้นจะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายแล้วเราทั้งคู่เองก็จะสบายใจเรื่องข้อกล่าวหาที่เหมือนกับคู่รักไปด้วย
“ดี ทีนี้เราก็แยกกันแค่ตรงนี้ แล้วส่วนตอนเย็นเดี๋ยวฉันไปเป็นเป้ให้ที่ห้องเหมือนเดิม โอเค้?” ผมถามความสมัครใจจากชานยอล และแน่นอนว่าคำตอบของเขาจะต้องเป็นคำว่าตกลงอย่างแน่นอน เห็นมะเราทั้งคู่ไม่เห็นจำเป็นต้องมาทำตัวติดกันแปลกๆเหมือนเกย์เถื่อนแบบนี้เลย ถ้าไม่ชอบที่จะไปด้วยกันก็แยกกันไปคนละทางซ่ะก็จบเรื่อง ไม่ต้องเหนื่อยมาทะเลาะกันด้วย แฟร์ๆกันทั้งคู่
“งั้นหลังจากที่กูเอารถใหญ่มา มึงจะยอมไปด้วยกันใช่มั้ย”
“ห๊ะ!”
“ตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไปเอารถมา”
“ดะ...เดี๋ยวนะ”
“ส่วนวันนี้ก็ซ้อน ‘ฮานา’ ไปก่อน โอเค้?”
มะ ไม่
นี่มันไม่โอเคเลยสักนิ้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
[อะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าชนะใจตัวเอง ผอม!!!]
ผมก็คิดนะว่า...
ถ้าไม่มีชานยอลไปสักคนผมจะผอมกว่านี้มั้ย
“มึงเห็นกูเป็นตัวแดกหรอ -_-”
“เปล่านิ”
“แล้วข้าวพวกนี้มึงทำให้เหี้ยที่ไหนแดก!” ผมลุกโพล่ขึ้นชี้โวยวายถึงอาหารละลานตาข้างหน้าตัวเองอย่างอดไม่ได้ คือ...กูลดความอ้วนไง กูกำลังลดความอ้วนเพื่อนน้องโซยูที่รักของกู และเย็นนี้กูก็ตั้งใจแล้วด้วยว่ากูจะกินข้าวเย็นน้อยๆเพราะเมื่อเช้าดันเผลอกินขนมไปแล้วสี่ซอง อย่างน้อยๆมันก็จะได้ลดหย่อนกันไปได้บ้าง แต่แล้วมึงก็ทำแผนการของกูพังลงเพียงเพราะยอมมากินข้าวกับมึงเนี่ย!!
ดูมึงทำกับข้าวมาแต่ละอย่างซิ เนื้อย่าง ไข่ดาว แฮมทอด ซุปถั่วงอก หรือแม้กระทั่งเค้กข้าว กูถามหน่อยเถอะชานยอล มึงจะเลี้ยงช้างกี่คอก!
“ก็มึงไง”
“มันเยอะเกินไป!!”
“เยอะที่ไหน ปกติมึงก็แดกแบบนี้” ชานยอลว่าพร้อมกับถอดผ้ากันเปื้อนพาดเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะค่อยๆหย่อนก้นลงนั่งกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผมถลึงตามองชานยอลอย่างโกรธจัด แต่ก็ไม่ถึงกับจัดมากหรอก คือว่า..มันก็ต้องมีนั่นอย่างใช่ไหมที่รู้สึกว่ามันตะขิดตะขวงใจแปลกๆ
“กูกินไม่หมด”
“กินๆไปเดี๋ยวก็หมดเอง แต่ถ้าไม่หมดเดี๋ยวกูช่วยกิน” ชานยอลว่าอย่างไม่หยี่ระ ก่อนจะพายมือที่เก้าอี้ตัวที่ผมลุกขึ้นมาเป็นเชิงบังคับว่า ‘นั่งได้แล้วไอ้ห่าจิก’ ผมเลยต้องกระแทกก้นลงกับเก้าอี้อย่างช่วยไม่ได้
“มึงไม่แปลกๆหรือไงว่ะที่ต้องมาทำกับข้าวให้เบ้จิปาถะอย่างกูกิน บางทีมึงอาจจะลืมเรื่องวันนั้นไป งั้นเดี๋ยวกูช่วยรื้อฟื้นความจำให้มึงนะชานยอล คือวันที่เจอกันครั้งแรก....กูทำกระจกห้องมึงแตกด้วยการปากระถางต้นไม้” ผมเคาะโต๊ะเบาๆเพื่อให้ชานยอลฟังเรื่องที่ผมพูด แต่เขากลับคีบเนื้อเข้าปาก โดยไม่สนใจคำพูดของผมมากนัก
“ค่ากระจกสองแสนวอนกว่าๆ”
“ใช่มั้ย! เพราะแบบนี้ไงมึงถึงไม่สมควรชวนกูกินข้าวแบบนะ..อุ้บ” ไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยค ชานยอลก็จัดการยัดเนื้อห่อใบงาใส่ในปากผม ซึ่งมันทำให้ผมเงียบได้เป็นอย่างดี ผมได้แต่เคี้ยวเนื้อตุ้ยๆที่ชานยอลห่อมาให้ถึงสามชิ้นด้วยความฟินชนิดที่ว่าถ้าลอยได้คงลอยไปแล้ว เขารู้ได้ไงว่ากินเนื้อทีละสามชิ้นมันอร่อยจนตัวแทบละลายกองไปกับพื้น
โอ้ย แข็งใจเอาไว้นะแบคฮยอน มึงลดความอ้วนอยู่!
“ถ้าหิวก็กินไม่ต้องห้ามใจหรอก”
“ฮื่ออออ”
“กูกินคนเดียวจนเบื่อแล้ว มีมึงเพิ่มเข้ามาก็ดีเหมือนกัน” ผมมองเนื้อห่อใบงาในมือของชานยอลด้วยความประหม่า ก่อนจะค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปงับเนื้อจากมือเขามาเคี้ยวตุ้ยๆทั้งที่อันเก่าก็พึ่งกินเข้าไป
เขาทำให้ผมทำตัวไม่ถูกปกติแล้วผมไม่ได้เป็นคนที่หวั่นไหวง่ายๆหรอกนะ ถ้าให้ฟังเพียงแค่เสียงมันอาจจะไม่มีอิทธิพลอะไรกับผมมากมาย แต่เพราะสายตาของชานยอลมันฉุดผมเข้าไปทั้งตัวแบบนั้น ไม่แพรวพราว ไม่เจ้าเล่ห์
เพียงแค่มั่นคง นุ่มลึกในแบบที่เขาเป็น
“นั่นไม่ใช่เหตุผลเลยชานยอล มึงเองก็ไม่ได้ชอบขี้หน้ากูสักเท่าไหร่แล้วทำไมถึงยังชวนกูกินข้าว”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ชอบ” ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมตอนที่ตอบคำถาม เสียงทุ้มของเขามันหนักแน่นและสั่นคลอนความรู้สึกของผมได้เป็นอย่างดี ชานยอลเป็นคนที่เข้าถึงความรู้สึกยากผมรู้สึกแบบนั้น แต่ว่าถ้าหากได้มองแววตาของเขาในยามพูด ผมเชื่อว่าทุกคนต้องรู้ว่าเขาจริงใจกับคำพูดของเขามากแค่ไหน ชานยอลไม่ได้เลวร้าย แต่ที่ผมทะเลาะกับเขาทุกครั้งมันก็อาจจะเป็นเพราะผมด้วย...ที่รู้สึกอิจฉาชานยอล
เขาสูง ในขณะที่ผมเตี้ยเป็นแคระป่า เขาหุ่นดี ในขณะที่ผมเป็น...ไอ้อ้วนนักวิ่ง
ผมก็คิดนะว่ามันจะดีกว่านี้มั้ยถ้าหากว่า เราทั้งคู่ลองพูดดีๆด้วยกันสักครั้งนึง
“นาย.. หมายถึงมึงอ่ะชานยอล ฉันจะพยายามทำใจเย็นๆแล้วคุยกับนายดีๆ”
“...”
“คือ...ฉันกำลังลดความอ้วน โอเคฉันรู้ว่ามันตลกมาก แต่ห้ามตลกนะขอร้อง ห้ามตลก...ฉันแค่อยากคุยแบบเปิดอก แบบที่ไม่เสแสร้งใส่กัน” ผมเงยหน้ามองชานยอลตรงๆโดยที่เขาเองก็มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว เขาแค่พยักหน้าให้กับผมเบาๆเป็นเชิงว่าผมสามารถพูดมันออกไปได้ ผมนั่งนิ่งอยู่นานจนแน่ใจมากพอว่าควรที่จะเล่า ‘มัน’ ออกไปให้เขาฟังรึเปล่า
“เสาร์นี้ฉันชวนโชยูไปดูหนังด้วยกัน คือมันก็นานแล้วล่ะตั้งแต่ที่โดนรุมตบ...นั่นแหละแล้วฉันก็คิดว่า ฉันอยากจะลดความอ้วนเพื่อเธอ นายรู้ใช่มั้ยว่าน้องเขาน่ารักมาก คือฉันแอบเห็นในบอร์ดโรงเรียนบ่อยๆว่ามีคนถ่ายรูปเธอไปลงในบอร์ด...”
“มึงก็เลยจะลดความอ้วนเพราะว่า ยัยนั่นมีคนชอบเยอะงั้นสิ”
“...”
ผมพยักหน้า
“นี่มันไม่ใช่ตัวมึงเลยนะแบคฮยอน แค่ยัยนั่นสวย เป็นออลจัง มีคนมาชอบเยอะแยะแล้วมันจะทำให้มึง ‘แบคฮยอน’ ที่เคยบอกว่าจะไม่ยอมลดความอ้วนเด็ดขาดหันมาเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้เลยหรอ”
คำพูดของชานยอลทำเอาผมจุกจนพูดไม่ออก เหมือนโดนชานยอลควักใจผมออกไปอ่าน หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะตอนนี้มันกลับเคลื่อนไหวยวบยาบสลับเร็วระรัวจนผมไม่อาจควบคุมได้ เมือยามที่หัวใจมันบีบรัดที่อกของผมมันเจ็บปวดไปหมด เมื่อคลายออกก็เหมือนจะโล่งแต่ก็ไม่ทั้งหมด
ผมเกลียดความรู้สึกหน่วงๆแบบนี้
“ชะ..ชานยอล”
“สิ่งที่มึงกังวลคืออะไรกันแน่”
“ฉัน...”
“มึงรักตัวเองมากไม่ใช่หรอ”
“ฉันแค่อิจฉา... นาย”
“...”
“เมื่อไม่นานมานี้ ฉันพึ่งมารู้ว่านายเคยเป็นแฟนกับน้องโซยู” นัยน์ตาสีน้ำตาลเวลเวทของชานยอลเกิดประกายวูบอยู่ครานึงเมื่อได้ฟังคำพูดของผม แต่มันเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นมันก็หายจางกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดวงตากลมสวยไปเสียแล้ว
ผมไม่อาจจะเทียบชั้นกับชานยอลได้เลย
ถ้าเปรียบเราทั้งคู่เป็นเค้ก ชานยอลคงจะเป็นเค้กดาร์คช็อกสิบชั้นที่แสนจะมีเสน่ห์ คำแรกที่ทานเข้าไปอาจจะขมหน่อยๆ แต่พอนานเข้าดาร์กช็อกที่ติดอยู่ในปากจะส่งมวลความหอมหวานออกมาจนคุณไม่อาจหยุดกินได้ ส่วนผมก็เป็นแค่เค้กสองปอนด์บ้านๆที่คนทำเผลอใส่เนยเยอะเกินไป ตอนกินเลยรู้สึกว่ามันทั้งเลี่ยน และติดเค็มแปล้มๆ
“กูกับยัยนั่นเลิกกันไปนานแล้ว”
“แล้วทำไมถึงเลิกกัน ใครๆต่างก็บอกว่าพวกนายเหมาะกันอย่างกับอะไรดี”
“เพราะว่าที่มาของฉายา ‘นางสาวซัม’ เป็นความจริง”
“...”
“ที่มาของคำว่านางสาวซัม มันย่อมาจาก someone in her heart และตอนช่วงที่คบอยู่กับยัยนั่น กูเองก็รู้สึกว่ามันมีอยู่จริงๆ มีใครบางคนอยู่ในใจของยัยนั่นอยู่ตลอดเวลา”
“แต่มันก็ต้องเหลือความรู้สึกแบบนั้นบ้างสิ!”
“แล้วมึงกลัวเหี้ยอะไรวะแบคฮยอน!!! มั่นใจมากก็มุ่งหน้าต่อไปสิวะ” ผมหงอทันทีที่โดนชานยอลดุฉาดใหญ่เข้าแบบนั้น ผมเม้มปากแน่น ใบหน้าก้มลงต่ำจนคางแทบจะชนเข้ากับอกได้อยู่แล้ว มันน่าอายจริงๆที่ต้องมาระบายให้กับชานยอลฟัง คนที่ผมเอาแต่อิจฉาเขามาตลอด
“บางที... มันอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้ถ้าเกิดว่าแบคฮยอนคนนี้หุ่นดีเหมือนชานยอล หรือหน้าตาดีเหมือนชานยอล คำว่าชอบคำเดียวมันไม่พอหรอก อยากน้อยๆฉันก็แค่อยากจะทำให้มั่นใจขึ้นมาอีกสักหน่อยว่าโซยูเองก็คิดแบบเดียวกับฉัน”
“งั้นก็หาคนที่ต้องการแค่คำว่าชอบของมึงสิ” หน้าของผมถูกมือใหญ่เชยขึ้นไปสบเข้ากับดวงตากลมสวยของชานยอลที่มองมาก่อนแล้ว ชานยอลทำให้ผมนึกถึงสายไหมปุยๆเหมือนเมฆ มันทั้งอร่อยทั้งหวานแต่น่าเสียดายที่กินได้ไม่เท่าไหร่มันก็หายหมดเกลี้ยงซ่ะแล้ว “แค่คำว่าชอบคำเดียวก็พอแล้ว”
ชานยอลกระซิบคำนั้นด้วยถ้อยคำที่หวานหู ซึ่งผมไม่อาจที่จะละลายตาไปจากชานยอลได้เลย ไม่ว่าจะส่วนลำตัวของเขาที่ทอดยาวคลุมโต๊ะได้ทั้งตัว หรือแม้กระทั้งท่อนแขนแข็งแกร่งที่ค้ำยันโต๊ะเอาไว้ไม่ให้ลำตัวกระแทกเข้ากับโต๊ะ ชานยอลทำให้ผมนั้นอยากจะตายวันละหลายๆหน เสน่ห์ของเขามันร้ายกาจอย่างที่ผมไม่อาจจะต้านทานไหว
“เหอะ คนแบบนั้นจะให้ฉันไปหามาจากที่ไหนกัน แถวนี้หรอ?”
“...”
“...”
“กูคนนี้ไงแบคฮยอน”
“!!!”
“ถ้ายัยนั้นมันไม่เอา ฉันขอได้มั้ยล่ะแบคฮยอน”
“ห่ะ..”
“คำว่าชอบของมึงกูขอได้มั้ย”
กระเทยท้อคคค
ง่วง
ความคิดเห็น