ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] 'NICE BODY' || CHANBAEK #แบคฮยอนอ้วน

    ลำดับตอนที่ #4 : NICE BODY : 03

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 58


    03

    New Society




















     

     

    ชิบหาย

     

     

    “ไม่เอาน่าแบคฮยอน นายจะเป็นเหมือนที่บยอนซอนมีพูดเอาไว้ไม่ได้หรอกนะ นายไม่ใช่ฮิปโป แล้วน้ำหนักก็ไม่ได้ขึ้นด้วย!” ผมพูดกับตัวเองหน้ากระจกที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าเพื่อให้กำลังใจตัวเอง วันนี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก และถือเป็นวันที่ผมจะได้เปิดตัวในฐานะเดือนสุดหล่อของโรงเรียนด้วย แต่...

     

     

    ทำไมกระตุมมันติดไม่ได้ฟร่ะ!!!

     

     

    “ฮึบ~

     

     

    เยส สำเร็จ

     

     

    ผมร้องเยสในใจก่อนจะวิ่งพล่านออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก ตั้งแต่เช้าแล้วที่ผมพยายามติดกระดุมเม็ดสุดท้ายนั้นที่อยู่ติดกับพุงจนรู้สึกเหมือนถูกลิดรอนเอาลมหายใจไป คำพูดของแม่ก็วนเวียนมาบ่อยๆพร้อมกับกำชับนักหนาว่าชุดนักเรียนคือสมบัติล้ำค่า

     

     

    โหไรว่ะ ก็แค่ชุดนักเรียนสั่งตัดเอง

     

     

    “แม่ง อย่างกับวาฬโผล่พ้นน้ำ” คิ้วซ้ายของผมกระตุกยิกๆเมื่อยามที่มีเสียงทุ้มต่ำของคนข้างๆห้องลอดเข้าหู ผมมองชานยอลอย่างไม่สบอารมณ์นักพร้อมกับข่มอารมณ์เอาไว้ เนื่องจากวันนี้เป็นวันดีๆของผมและผมไม่อยากจะอารมณ์เสียตั้งแต่วันแรก

     

     

    “ไม่เสือกดิ”

     

     

    “ไม่อ้วนดิ”

     

     

    อ่าว ไอ่ซั่ซ

     

     

    ผมกำหมัดแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองมากที่สุด ในขณะที่ชานยอลยังยืนพิงสะโพกเข้ากับราวระเบียง ในมือของเขาแก้วกาแฟเอาไว้จนกลิ่นหอมกรุ่นลอยมายังที่ที่ผมยืน ชานยอลนั้นอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนกับผม โดยพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก ส่วนเสื้อนอกสีกรมท่านั้นถูกพาดเอาไว้กับราวระเบียง แต่เดี๋ยวนะ...

     

     

    “ทำไมมึงใส่ชุดนักเรียนเหมือนกู!” ผมชี้นิ้วไปยังชานยอลที่ยังคงทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนจิบกาแฟในแก้วของตัวเองต่อไป ไอ้ห่า มึงคิดว่ามึงหล่อมากว่างั้นเถอะ มึงมันมารหัวใจกูจริงๆ ปาร์ค ชานยอล

     

     

    “มึงสิใส่เหมือนกู กูอยู่ของกูมาตั้งแต่แรกๆละไอ้ห่า”

     

     

    “มึง!!!

     

     

    “ไม่พอใจก็กลับบ้านนอกไป”

     

     

    “...”

     

     

    ผมได้แต่ขบเขี้ยวอยู่ในใจกับคำพูดที่ใจจืดใจดำของชานยอล เดี๋ยวรู้เลยๆ ถ้ากูเข้าโรงเรียนไปเมื่อไหร่สาวเล็กสาวใหญ่จะต้องพร้อมใจเรียกกูว่าพี่แบคคะ พี่แบคฮยอนขา แล้วกูจะทำให้มึงเป็นหมาหัวเน่าให้ได้ คอยดูเลยนะ!

     

     

    แบคฮยอนจะยิ่งใหญ่ในแทโฮ

     

     

    “เห็นมึงโมโหแล้วกูกลัวกระดุมจะแตกใส่หน้ามาก ว่างๆก็ไปตัดใหม่ละกัน เสื้อตัวใหญ่ขนาดนี้โรงเรียนไม่มีขายหรอก”

     

     

    “สั่งตัดแล้วไงวะ พุงกูมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากหูมึงอ่ะ พุงกูกาง หูมึงก็กาง เก็บไม่ได้เข้าใจยัง!

     

     

    บอกได้เลยว่าสุดจะทน ผมโมโหมากจนรู้สึกเหมือนมีลมโมโหออกหูเป็นเสียงปู้นๆ ผมยกนิ้วชี้หน้าว่าชานยอลปาวๆโดยไม่สนใจว่าใครหน้าไหนมันจะมาได้ยินหรือปากะละมังใส่หัวบ้าง ชานยอลมองหน้าผมด้วยสีหน้าเหมือนเดิมโดยไม่พูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าอึ้ง หรือหน้าชากันแน่

     

     

    “อุ้บ ฮ่าๆๆๆๆๆ อู้ยยย ไม่ไหววะกูขอพื้นที่ขำ”

     

     

    เสียงทุ้มต่ำอีกเสียงหนึ่งดังลั่นมาจากด้านหลังของผม ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปตามเสียงโดยเร็ว อะไรคือการที่มาแอบฟังชาวบ้านเขาทะเลาะกันแล้วลงไปนอนหัวเราะอยู่กับพื้นว่ะ ไอ้นี่มันต้องบ้าแน่ๆ คนข้างห้องของผมแม่งมีใครเต็มๆบ้างถามหน่อยเถอะ คนนึงก็ขี้ด่า คนนึงก็ขี้เสือก

     

     

    เฮ้ย หรือจะมีแต่กูที่หล่ออยู่คนเดียว

     

     

    “ขำเหี้ยไรว่ะคริส” เป็นชานยอลที่เอ่ยออกมา ก่อนจะกลายเป็นว่าผมได้แต่มองหน้าไอ้บ้าสองตัวนี่ไปมาอย่างงงๆกับชีวิต เดาจากรูปประโยคแล้วผมคิดว่าคงจะสนิทกัน เดียวนะ... เหี้ย อย่าบอกนะว่าก่อนที่กูจะย้ายเข้ามางานอดิเรกของพวกมึงคือแอบมาตุ๋ยกันที่ระเบียงห้องกู

     

     

    ไอ้พวกเกยยยยยยยยยยยย์

     

     

    “บอกว่าให้เรียกพี่คริสไงวะ”

     

     

    เหยด... คนชื่อคริสนี่มันหล่อ

     

     

    ผมทำตาเหลือกตาค้างใส่เพื่อนบ้านหัวบรอนซ์หม่นคนนี้ทันที หลังจากเขาเงยหน้าขึ้นมา นอกจากที่เบ้าหน้าจะหล่อเหลาละม้ายคล้ายฝรั่งแล้ว ตัวก็ยังสูงชะลูดยิ่งกว่าเพื่อนบ้านอีกคนด้วย โอ้ยแล้วไหนจะเสื้อบาสชุ่มเหงื่อนั่นอีกแม่งดูฮอตโครตๆ ฮอตยิ่งกว่าไมโครเวฟอีกครับ

     

     

    “ถุ้ย! แค่เรียกชื่อก็กระดากปากแล้ว”

     

     

    “เออ! เงี้ยะแหละครับน้องไอ้ห่ารากชานยอลปากแม่งไม่ดีนักหรอก ทางที่ดีน้องอย่าไปคุยกับคนพรรค์นี้เลย เชื่อพี่” ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับเขา ก่อนจะขยับตัวไปยืนที่ฝั่งของคริส ไม่สิ ขนาดนี้แล้วคงต้องเรียกว่า พี่เครสสสสสส >3<

     

     

    “อ่าว ไอ้อ้วนทำไมมึงทำงี้วะ”

     

     

    “ไม่เอาดิ ไม่เสือก”

     

     

    “ฮ่าๆ เจ๋งว่ะน้อง” พี่คริสหัวเราะร่วนก่อนจะยกมือขึ้นกลางอากาศส่วนผมก่อนรีบยกมือของตัวเองขึ้นไปไฮไฟว์กับพี่เขาอย่างรวดเร็ว เสียงแปะมือทำเอาชานยอลหัวเสียอยู่ไม่น้อย เพราะเขาได้แค่ขบเขี้ยวแล้วคว้าเสื้อตัวนอกกลับเข้าห้องของตัวเองไปเท่านั้น

     

     

    “หู้ยยย เหลือเชื่อเลย คนอย่างชานยอลแพ้ราบคาบนี่ไม่เคยเห็นแหะ ว่าแต่เราเหอะ เป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อยสิ” พี่คริสว่าพร้อมทั้งใช้มือใหญ่ๆนั้นหมุนให้ผมหันไปหาตัวเองอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังส่งยิ้มให้ผมราวกับผู้ใหญ่ใจดี

     

     

    ต้องอย่างนี้สิ ในที่สุดสวรรค์ก็ส่งคนที่คู่ควรมาให้ผมแล้ว

     

     

    “พยอน แบคฮยอนครับ พึ่งย้ายมาจากคยองกีโด”

     

     

    “พี่อู๋อี้ฟาน เรียกยากใช่ม้า งั้นเรียกพี่คริสเฉยๆก็ได้” พี่คริสยิ้มอีกครั้งแล้วยื่นมือมาด้านหน้าผม ส่วนผมก็แมนๆครับรีบจับมือกับพี่เขาเพื่อทำความรู้จักทันที “โดนเจ้าบ้านั่นล้อเราใหญ่เลยสิ”

     

     

    “ครับ ก็หนักเอาเรื่อง”

     

     

    เรื่องกูหนักนี่ล้อบ่อยชิบหาย

     

     

    “ก็อย่างที่เห็น คนอย่างมันน่ะผีเจาะปากมาพูด ไม่ว่าใครหน้าไหนมันก็ด่าทะลุหมด ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น แต่ความจริงมันก็เป็นคนที่ดีคนนึงเลยล่ะ”

     

     

    “ตอแหลสิไม่ว่า”

     

     

    “ฮ่าๆ เรานี่นะ เจ้าคิดเจ้าแค้นจังเลย” พี่คริสหัวเราะชอบใจก่อนจะยื่นมือมาขยี้ผมของผม “ถือซ่ะว่าไอ้ชานยอลเป็นการฝึกก่อนเข้าสนามรบจริงก็แล้วกันล่ะนะ”

     

     

    “เอ๋?” ผมทำหน้างงใส่พี่คริส เพราะไม่เข้าใจว่าพี่แกต้องการที่จะสื่อถึงเรื่องอะไรกันแน่ พี่คริสยังคงยิ้มให้ผมอยู่อย่างนั้น ผมเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่พี่เขาพูดนั้นมันจริงจังมากน้อยแค่ไหน

     

     

    “ไม่รู้หรอที่แทโฮน่ะ มีสังคมที่เรียกว่า NICE BODY อยู่ด้วยนะ”

     

     

    “แล้วมันเป็นยังไงเหรอครับ”

     

     

    “เดี๋ยวไปก็จะรู้เอง” พี่เขาพูดตัดบทสั่นๆ แต่มันกลับทำให้ผมอยากรู้มากกว่านี้อีก พอผมอ้าปากจะถามต่อพี่คริสก็ยกมือขึ้นปรามคล้ายกับว่าไม่อยากให้ผมถามต่ออีก “ว่าแต่นี่เราจะไปโรงเรียนแล้วใช่มั้ย”

     

     

    “ครับ”

     

     

    “มา เดี๋ยวพี่ไปส่ง”       

     

     

     



     

     

     




     






     

      

    จนแล้วจนรอดพี่คริสก็ไม่ยอมบอกผมสักทีว่า ไอ้สังคมหุ่นดีอะไรนั่นมันหมายความว่ายังไง

     

     

    ตลอดการเดินทางที่นั่งรถมากับพี่เขาผมนั่งตัวเกร็งมากจนเกือบสุดทางเพราะราคาแพงหูฉี่ของรถ ให้ตายๆ พี่คริสนี่มันพระเอกนิยายแจ่มใสของจริง! หน้าลูกครึ่ง ผมสีทอง สูง หล่อ รวยเว่อร์ แถมยังขับรถชาววังเบนท์ลี่ย์คันละเจ็ดร้อยกว่าล้านวอนนี่อีก!!

     

     

    เอาจริงๆเลยนะ

     

     

    พี่คริสคือผู้ชายคนแรกที่ทำให้ผมอยากเป็นเกย์

     

     

    “แล้วนี่เรียนสายศิลป์หรอ”

     

     

    “ครับ ผมเรียนศิลป์-ฝรั่งเศส”

     

     

    “โว้วๆ นี่รุ่นน้องเลยอ่ะดิ พี่ก็เรียนที่นี่อยู่สายศิลป์-จีน” พี่คริสยิ้มไปด้วยในขณะที่พูดอย่างเป็นกันเองกับผม

     

     

    ภายในรถไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด อาจจะเพราะพี่คริสเป็นคนอัธยาศัยดีอยู่แล้ว และผมมันก็เป็นคนที่เขากับคนอื่นได้ง่าย เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนสนิทกันมากขึ้นตอนแทบจะตบหัวกันเล่นได้ ใช้เวลาไม่นานที่คริสก็ขับรถเข้าเทียบจอดที่หน้าโรงเรียน

     

     

    “ขอบคุณมากเลยนะครับพี่”

     

     

    “ไม่เป็นไรๆ ช่วงนี้พี่ว่างๆที่ม.ยังไม่เปิดอ่ะ”

     

     

    แหม รวยขนาดนี้ก็สมควรว่างอยู่หรอก

     

     

    “งั้นไปแล้วนะครับ” ผมยิ้มกว้างกลับไปให้ก่อนจะหยิบกระเป๋าบนตักขึ้นมาสะพายไหล่เอาไว้เพื่อเตรียมลงจากรถ ตามคาดเลยแฮะคนจำนวนมากที่อยู่แถวๆนี้พยายามชะโงกหน้าดูรถคันที่ผมนั่งกันจ้าละหวั่น แหม ก็เงี้ยะแหละครับ คนมันหล่อช่วยไม่ได้จริงๆ

     

     

    “แบคฮยอน!

     

     

    หลังจากที่ผมเดินลงรถมาได้ไม่นาน จู่ๆพี่คริสที่ผมคิดว่าคงกลับไปแล้วก็วิ่งทึกๆมาดักอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยื่นเสื้อฮู้ดแขนยาวสีขาวให้กับผม ผมทำหน้างงในขณะที่พี่เขาจับเสื้อผืนนั้นยัดมือให้กับผม

     

     

    “อะ อะไรครับพี่”

     

     

    “เวลาอยู่โรงเรียนให้ใส่เสื้อผืนนี้ ห้ามถอดไม่ว่ากรณีไหนก็ตามเข้าใจมั้ย”

     

     

    “ดะ เดี๋ยวพี่ คือผมงง ทำไมผมต้องใส่” ผมมองหน้าพี่คริสอย่างไม่เขาใจ พี่เขาเพียงแค่มองไปรอบตัว มองคนที่พยายามแอบฟังพวกเราอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนที่พี่คริสจะโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของผมเบาๆ

     

     

    “เชื่อพี่เถอะ ที่นี่ไม่ได้ดีอย่างที่น้องคิดหรอก”

     

     

    พี่คริสไปแล้ว

     

     

    ส่วนผมยังคงทำหน้าไม่ถูกกับคำพูดกำกวมหลายประโยคของพี่คริส เสื้อฮู้ดแขนยาวของพี่เขายังอยู่ในมือของผม และเมื่อกางดูแล้วก็พบตัวอักษรปักที่ดูเหมือนว่าจะเป็นของเฉพาะรุ่น คำถามก็คือ ถ้าผมใส่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าผมไม่ใส่ล่ะ...

     

     

    จะเกิดอะไรขึ้น






     

     

     

     

     















     

    ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยเพื่อที่จะกินข้าวเช้าผมเลยเดินมาที่แคนทีนที่ดูใหญ่และกว้างขวางยิ่งกว่าโรงเรียนบางแห่งที่คยองกีอีก คงจะเพราะว่าที่แทโฮแห่งนี้ถูกสร้างมาโดยการลงทุนของชาวต่างชาติด้วย โรงเรียนเลยดูหรูหรากว่าที่อื่นมาก

     

     

    ผมเดินผ่านเข้ามาในแคนทีนด้วยความประหม่าเพราะทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น โต๊ะสีเหลืองอ่อนเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยดูน่ารักขึ้นเมื่อมีผู้หญิงตัวเล็กๆนั่งทานขนมปัง แต่หนึ่งในนั้นก็ยังมีโต๊ะสีแดงเพียงตัวเดียวของที่นี่ที่ไม่มีใครเข้าไปนั่ง

     

     

    ประวัติความเป็นมายาวนานมาก ผมอ่านมาคร่าวๆรู้แค่ว่ามันมีไว้สำหรับร้องทุกข์ล่ะ ข้างๆกันจะมีตู้นิรภัยที่ต่อไมค์พร้อมใช้เอาไว้ให้ด้วยนะ แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปใช่สักเท่าไหร่หรอกเพราะขืนทำแบบนั้นนะ มีหวังโดนคนทั้งโรงเรียนเกลียดแน่ๆ

     

     

    นี่คนหรือว่าซอมบี้ว่ะ

     

     

    ผมยืนต่อแถวซื้อไก่ทอดที่ยาวเป็นหางว่าวนี่ด้วยความรู้สึกเซ็งสลัด แคนทีนที่นี่กว้างขวางมากก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนว่าผมไม่ได้ซื้อไก่แดกซ่ะที รอซักพักก็เหมือนกับจะถึงคิวผมแล้ว ขาของผมรีบก้าวไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะรู้สึกเหวอกินเมื่อมีผู้ชายคนนึงแทรกตัวมากอยู่ตรงหน้าแล้วสั่งเมนูทั้งๆที่มันควรจะเป็นผมต่างหากที่ได้สั่ง

     

     

    ซึ่งแถวบ้านผมเรียก...แซงคิว!

     

     

    “เอ่อ ขอโทษนะคือว่านี่มันคิวฉัน” ถึงจะฉุนขาดที่เจอคนทำตัวไร้มารยาทใส่ แต่ผมก็ไม่อยากจะหยาบคายตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก อีกคนที่อยู่ด้านหน้าหันมามองผมด้วยสีหน้ากวนอารมณ์ เขาสูงกว่าผมไปหน่อยนึง จึงแลตาลงมามองและผมคิดว่าต่อให้สูงกว่ายังไงก็ไม่ควรมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้

     

     

    “จุ้ๆ”

     

     

    พ่อเป็นจิ้งจกหรอ?

     

     

    “เวลาโกรธนี่อย่างกับขมูขี”

     

     

    “อ่าว พูดงี้ได้ไง แซงคิวคนอื่นแล้วยังจะมาทำปากเสียใส่คนอื่นอีกเหรอ นี่แถวบ้านเรียกไร้มารยาท” ผมกัดฟันเงยหน้ามองอีกคนด้วยความรู้สึกสมเพชในใจ ให้มันได้อย่างนี้สิ เห็นหล่อกว่าดีกว่าหน่อยไม่ได้จนต้องมาทำนิสัยแย่ๆแบบนี้ออกมา ฮอล รู้สึกสงสารพ่อแม่บ้างไหม

     

     

    “แถวบ้านกูเรียก ไหดองกิมจิ”

     

     

    เคยยืนอยู่ดีๆแล้วล้มมั้ยวะ

     

     

    “ถ้าคิดว่าดีก็พูดไปเหอะว่ะ ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกเว้ย!!” ผมกระชากคอเสื้อของอีกคนเข้ามาใกล้ก่อนจะตะคอกใส่หน้าไปเสียดังลั่น คนที่อยู่ในแคนทีนต่างก็มองมาด้วยความสนอกสนใจแต่ไม่มีใครคิดที่จะเข้ามายุ่ง เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

     

     

    คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาบีบเข้าที่ข้อแขนของผมสุดแรง ก่อนจะกระชากมันออกจากคอเสื้อตัวเอง ผมพุงเข้าไปหมายจะผลักแม่งให้ล้มลงไป แต่ก็มีคนเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของผมเอาไว้เสียก่อน ผมพยายามดิ้นแต่ไอ้พวกนั้นก็ไม่ยอมปล่อย จนดิ้นอีกครั้งพวกมันก็ผลักผมให้ล้มลงไปกับพื้นดังโครม

     

     

    “ไอ้หอก” ผมสบถ ในขณะที่หูทั้งสองข้างของผมได้ยินเพียงแค่เสียงหัวเราะของคนในแคนทีน บางก็ว่าช้างล้ม บ้างก็พยูนเกยตื้น ถามหน่อยเถอะตัวเองดีนักหรอถึงได้มาหัวเราะคนอื่นแบบนี้

     

     

    “หึๆ ถ้ากูเป็นมึงนะกูจะไม่โพล่หน้ามาที่โรงเรียนอีก” มันก้มหน้าพูดกับผมที่กำลังใช้แขนทั้งสองข้างยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไม่มีทั้งคนช่วย หรือครูเข้ามาห้ามราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน แล้วผมก็ได้รู้ว่าไอ้ สังคมไนซ์บอดี้ที่พี่คริสพูดถึงมันคืออะไร

     

     

    “...”

     

     

    “เสียใจด้วยนะพวก” มันแสยะยิ้มราวกับว่าสะใจนักหนาก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าผม “ที่นี่ไม่มีที่ให้สำหรับไหกิมจิแบบมึงว่ะ”

     

     

    ซ่า

     

     

    พอจบประโยคนั้น ผมก็เอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำบนเคาน์เตอร์มาสาดใส่หน้าไอ้เหี้ยที่ดีแต่ด่าข้างหน้านี่จนน้ำกระเซ็นออกเป็นวงกว้าง เสียฮือฮาด้วยความตกใจดังไปทั้งแคนทีน และผมขอถือว่าเป็นเสียแห่งชัยชนะครั้งแรกของผมก็แล้วกัน

     

     

    คิดว่าพูดแบบนี้แล้วผมจะร้องไห้กลับคยองกีรึไง ตลกเถอะ!

     

     

    “ไอ้เหี้ย!!! อยากมีปัญหานักเหรอว่ะ” ดูเหมือนเขาจะโกรธผมจนเลือดขึ้นหน้าถึงได้ถลาเข้ามากระชากคอเสื้อผมเอาไว้แบบนี้ ผมยิ้มยี่ยวนกวนประสาทให้ไปทีก่อนจะเหลือบตามองป้ายชื่อติดอกของอีกคน

     

     

    “แจคยอง สมัยนี้เขาไม่ใช่กำลังติดสินปัญหากันแล้ว เขาใช้นี่กัน” ผมว่าก่อนจะยกมือขึ้นมาเคาะเข้ากับขมับเป็นจังหวะ “สมอง”

     

     

    ผั้วะ!

     

     

    “กรี้ดดดดดดดดดดดดดดด”

     

     

    “เห้ย นั่นมัน...”

     

     

    “ไอ้บ้านั่นมาได้ไง!

     

     

    เสียงเนื้อหนังปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง พร้อมกับความวุ่นวายในแคนทีน พวกผู้หญิงกรีดร้อง ส่วนผู้ชายนั้นเอาแต่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ระยะใกล้ขนาดนี้ผมว่าไม่มีทางที่ผมจะหลบหน้าพ้นรัศมีหมัดของแจคยองได้แน่ๆ เพราะงั้นผมถึงได้สงสัยว่าทำไมผมถึงไม่เจ็บหน้าเลย

     

     

    “ไอ้จงอิน อย่ามาเสือก!

     

     

    พอลืมตาขึ้นมาผมถึงได้รู้ว่ามีผู้ชายอีกคนเข้ามาช่วยรับหมัดของแจคยองเอาไว้จากด้านหลังของผมด้วยมือเปล่าๆ คนที่ชื่อจงอินที่ช่วยผมเอาไว้สูงกว่าผมมาก นอกจากสีหน้าเนือยๆเหมือนง่วงตลอดเวลานี่แล้วก็คงจะมีผิวสีแทนนี่ล่ะมั้งที่ทำให้จงอินดูโดดเด่น เขาไม่ได้หน้าตาดีอะไรแบบนั้น แต่พออยู่ใกล้ๆแล้วผมรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

     

     

    อาจจะเพราะความดีของเขา พูดก็พูดเถอะคนแบบจงอินนี่ควรจะมาเป็นบอดี้การ์ดของผมจริงๆ ขยับตัวทีนี่เท่ห์จนสาวสลบไปเป็นแถบๆ และแน่นอนว่าผมต้องหล่อกว่าจงอินคนนี้อยู่แล้ว

     

     

    “มึงทำกูไม่ได้แดกไก่ทอด”

     

     

    กร้อบ!

     

     

    “อ้ากกกกกกกกก” จงอินแทบไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ เขาแค่ยืนอยู่แบบเดิมแต่เพียงแค่ออกแรงบิดข้อมือของแจคยองจนผมได้ยินเสียงกระดูของเราลั่นดังกร้อบ แจคยองรีบปล่อยมือที่เหลือออกจากปกคอเสื้อของผมทันที “ปะ ปล่อยกู ไอ้พวกโง่มากช่วยกูดิวะ”

     

     

    “พวกมึงกล้าช่วยหรอ” จงอินพูดเสียงต่ำ ที่ผมสัมผัสได้ว่าเสียงนี้แหละคือเสียงที่มือปืนใช้พูดกัน ทั้งเยือกเย็น ทั้งน่ากลัว เป็นผม...ผมจะไม่สะเออะเข้าไปช่วยแน่นอน

     

     

    “มะ ไม่ครับ พี่จงอิน”

     

     

    “พี่แจคยอง ผมลาล่ะครับ” เป็นอย่างทีคิด พอโดนเสียงเย็นๆของจงอินขู่ไปแบบนั้นไอ้สองคนที่อยู่ด้านหลังก็รีบแผ่นแนบทันที ส่วนผมก็ค่อยๆขยับตัวออกมาจากการปะทะของคนทั้งสองคนเงียบๆ จงอินไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมานอกจากหน้าง่วง และถ้าถามถึงสีหน้าของแจคยอง บอกได้คำเดียวว่า

     

     

    เบี้ยว

     

     

    “แล้วทีหลัง อย่าทำให้กูอดกินไก่ทอดอีกเข้าใจมั้ย”

     

     

    “ก็ไปกินอย่างอื่นสิว่ะไอ้เชี่ย”

     

     

    “กูถาม...” จงอินพูดเสียงเย็น พร้อมกับออกแรงบิดข้อมือจนแจคยองร้องโอดโอย

     

     

    “โอ้ยๆ เจ็บสัส ไอ้ห่าจงอิน”

     

     

    “เข้าใจมั้ย”

     

     

    “ขะ เข้าใจแล้ว”

     

     

    “ดี”

     

     

    พอจงอินปล่อยข้อมือออกจากการเกาะกุม แจคยองก็รีบวิ่งหนีออกไปจากแคนทีนทันที เหอะ! เห็นแล้วสะใจเป็นบ้า คิดว่าตัวเองแน่ที่สุดแต่ที่จริงมันไม่ใช่เลย ทุกคนในที่นี่แสดงให้ผมเห็นว่า ถ้าอ่อนแอก็จะเป็นเหยื่อให้กับผู้ถูกล่าทันที และผู้ถูกล่าจะถูกผู้ล่าที่แข็งแกร่งกว่าจัดการ

     

     

    นี่มันโรงเรียนห่วงโซ่อาหารชัดๆ

     

     

    ผมลองจำลองห่วงโซ่ในหัวดูคร่าวๆแล้วก็นับว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก แจคยอง<-- จงอิน <-- ผม เห็นแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าผมน่ะ มันยิ่งกว่าผู้ล่าที่เก่งที่สุดของที่นี่ซ่ะอีก!

     

     

    “นาย... แบคฮยอนใช่มั้ย”

     

     

    “ใช่” ผมพยักหน้ารับจงอินที่หันมาถาม “ฮะ เฮ้ย เดี๋ยวดิจะพาฉันไปไหน!

     

     

    ผมหน้าเหวอไปทันที เมื่อมือข้างขวาถูกจงอินคว้าไปกุมเอาไว้ ก่อนจะออกแรงลากให้ผมเดินตามไปด้วย ขอเน้นเลยว่า จงอินลากผมไป ผมพยายามขัดขืนแล้วเพราะหนึ่งข้าวเช้าผมยังไม่ได้กิน และสองจงอินเป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้ใจ แต่จงอินก็ยังสามารถที่จะลากผมไปตามแรงได้

     

     

    “จงอิน นายต้องปล่อยฉัน” มาถึงจุดๆนี้ผมก็ได้เข้าใจว่าทำผมแจคยองถึงร้องโอดโอยเหมือนหมูโดนเชือดแบบนั้น มือของจงอินแข็งแรงมากๆแค่บีบมือผมนิดเดียวก็รู้สึกเหมือนกระดูกทั้งหมดมันร้าวไปถึงต้นแขน นี่มันมือคนหรือว่าคีมฟ่ะ

     

     

    ปล่อยกู๊!!!

     

     

    “นายต้องไปหามัน”

     

     

    “มันไหน ฉันพึ่งมาโรงเรียนวันแรก และวันนี้เป็นวันที่ฉันอยู่ที่โซลวันที่สอง ดังนั้นไม่มีใครรู้จักฉันแน่ๆ ทำไมฉันจะต้องไปหาแม่งด้วยว่ะ ไอ้ห่านั่นมันเป็นใคร!

     

     

    “ปาร์ค ชานยอล”

     

     

     

    โอเค ...

     

     

    โครตซึ้งเลยครับ

     




     


     

     

     




     

     

     




     

    กระเทยท้อค

    แกร่งกว่าแบคฮยอนก็ชัชชาติแล้วค่ะ แหมมมม

    บางช่วงรู้สึดดาร์กๆใช่มั้ยล่ะ ก็แน่ล่ะ นี่ฟิคดาร์กๆนี่นา เครียมใจเอาไว้เลยค่ะ

    บอกอีกครั้งนะคะ ฟิคเรื่องนี้ไม่ได้เป็นฟิคตลก กลัวหลายๆคนเฟลกันทีหลัง

    โอเคนะคะ เมื่อวานว่าจะมาอัพให้ แต่กระเทยก็เผลอไปหลับซ่ะก่อน

    5555555555555555555555555555555555555

     





     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×