เสียงใบไม้เสียดสีกันในความมืดยามราตรี เสียงแมลงป่ากู่ก้องท่ามกลางอากาศเย็นจัดของดอยสูงที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากความเจริญหลายสิบกิโลเมตร ดอยขุนผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ ความสูงกว่าพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดูเหมือนจะสงบเกินไปในค่ำคืนนี้ แม้แต่ลมที่พัดเฉื่อย ๆ ก็ดูเหมือนจะกำลังกลั้นหายใจ
พันเอกหญิง พีรยา วรากุล หรือ “พีร์” กำลังย่อตัวหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบ ร่างในชุดลายพรางดำกลืนหายไปกับความมืด มือข้างหนึ่งกุมวิทยุสื่อสารแน่น อีกข้างจับปืนประจำกายแน่นราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
"หน่วยอัลฟ่าสอง รายงานตำแหน่งด้วย เป้าหมายขยับหรือยัง?" พีร์กดปุ่มพูดด้วยเสียงเรียบเย็น แต่ทรงอำนาจ
เสียงตอบกลับจากวิทยุแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงหอบหายใจ "ยังครับ ผู้การ เป้าหมายยังอยู่ในกระท่อมด้านตะวันตก ไม่พบความเคลื่อนไหวผิดปกติ"
โค้ดเนมของภารกิจครั้งนี้คือ "เงาเหนือ 019" — ภารกิจลับระดับสูงสุด เพื่อจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติที่ใช้เส้นทางชายแดนลักลอบขนของเถื่อนผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยมีข้อมูลจากสายลับว่า คืนนี้จะมีการลำเลียงล็อตใหญ่มูลค่าหลายร้อยล้าน
ลูกน้องของพีร์ในภารกิจนี้ล้วนเป็นทหารหญิงฝีมือดีคนสนิทที่เคียงข้างกายผู้การสาวมานานหลายปี
พันตรีหญิง อัญชัน พิมพิลา (อัญชัน)— มือแม่นปืนผู้เงียบขรึม
ร้อยเอกหญิง นวินดา ธนานนท์ (ดาว) — มือสื่อสารประจำทีม
ร้อยเอกหญิง พิชชา กาญจนภักดี (ผึ้ง) — มือชี้เป้าระยะใกล้ เคลื่อนที่ไวที่สุดในทีม
การแบ่งตำแหน่งเป็นรูปแบบฟันหลอ ล้อมเป้าหมายจากทุกด้านในระยะห่างที่พอดีต่อการเข้าประชิดและไม่ถูกตรวจจับ
“อัญชัน ตรวจสอบทางเหนือ ต้นไผ่ขยับเมื่อครู่ นั่นคือรหัสตรวจการณ์ใช่ไหม?”
เสียงอัญชันตอบเบา ๆ แต่หนักแน่น
“ยืนยันค่ะ มีรหัสตีสองเคลื่อนไหว แต่...เร็วเกินไป คล้ายกับว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเรามา”
หัวใจของพีร์กระตุกวูบ
เธอหลับตาแน่น เงี่ยหูฟังความเงียบโดยรอบ เสียงนกฮูกไม่ร้อง เสียงหมาในก็เงียบเชียบผิดปกติ... ธรรมชาติไม่เคยโกหก
“ดาว ขอตรวจสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ มีการใช้คลื่นผิดปกติไหม”
“มีค่ะผู้การ คลื่น GSM และสัญญาณ HF ถูกแทรกช่วงสั้น ๆ เมื่อห้านาทีที่แล้ว เหมือนมีใครใช้เครื่องสื่อสารภายนอก ส่งอะไรบางอย่างออกไป”
"ตกหลุมพวกมันจนได้"
พีร์สบถในใจ เธอรู้ทันที
“เราถูกตลบหลัง”
การเคลื่อนไหวเงียบเกินไป กระท่อมที่ควรจะเต็มไปด้วยเวรยามกลับว่างเปล่า ความเงียบสงัดของป่าคือเสียงเตือนสุดท้ายจากธรรมชาติ
“ยกเลิกแผน ล่าถอย!”
“ดาว! ส่งสัญญาณถอนกำลัง ไปจุดรวมพลทันที!”
“ค่ะผู้การ!”
เสียงวิทยุเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทีมของเธอรีบเคลื่อนตัวตามเส้นทางเดิม รวดเร็วแต่เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ภาพเหตุการฝังใจ"
แวบหนึ่ง ภาพซ้อนทับกับเหตุการณ์บางอย่าง...ก็ฉายชัดขึ้นในหัวของผู้การสาว
ในภารกิจเมื่อสองปีก่อน เหตุการไม่ต่างจากวันนี้
ตอนนั้นเธอยิงเปิดทางให้ทุกคนถอย แต่กลับพลาดจังหวะ
ปืนกระบอกหนึ่งเล็งมาที่เธอในวินาทีที่เธอก้มชาร์จลูกกระสุน
พี่พีร์! ระวังค่ะ!!
...เปลว ลูกน้องคนสนิทที่สุดเเละเป็นที่ไว้ใจที่สุดของพีร์ กระโดดเข้ามาขวางทางวิถีกระสุนแทนเธอไว้...
“เปลวขอโทษนะที่กลับไปกับพี่ไม่ได้อีกแล้ว... แต่เปลวยังอยากให้พี่กลับไปเป็นผู้การของทุกคน”
เสียงสุดท้ายของเขา
พร้อมเลือดที่พุ่งกระเซ็นใส่หน้าพีร์ยังชัดเจนในความทรงจำ
เปลวคือลูกน้องที่เธอไว้ใจที่สุดทั้งเก่ง ฉลาด ยิ้มเก่งสดใสตลอดเวลา เเม้จะเป็นทหารเเนวหน้าเเต่เปลวร่าเริงเสมอ. เหมือนไม่เคยกลัวอะไร
หัวใจของพีร์เหมือนถูกบีบแน่นด้วยมือเปล่าๆ
หลังจากนั้น พีร์ห้ามทุกคนไม่ให้เสี่ยงแทนเธอ
เธอคือผู้นำก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าใครควรจะตายเพราะเธอ
เธอยอมตายเพื่อชาติ สำหรับเธอแล้วความตายไม่น่ากลัวเลยสักนิด
แต่สิ่งที่เธอไม่ยอมคือ มีใครต้องตายเพราะเธอ
เเต่ดูเหมือนสิ่งที่พีร์กำลังกลัวจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับภารกิจที่เธอเป็นผู้นำครั้งนี้
เเม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เธอจะไม่ยอมให้มีใครตายเพราะเธออีก
“อัญชัน ผึ้ง! เคลียร์แนวหลัง ฉันจะรั้งท้ายเอง”
“แต่ผู้การ—”
ผึ้งอ้าปากจะค้าน แต่พีร์พูดขัดขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
“นี่คือคำสั่ง!”
เสียงฝีเท้าในป่าหนักแน่นขึ้น หัวใจของพีร์เต้นเป็นจังหวะเดียวกับความตึงเครียด
เธอหันมองไปรอบตัว ก่อนยกปืนขึ้นชี้ตามสัญชาตญาณ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องจากความมืด
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว
“บูม!!!”
เสียงระเบิดดังกึกก้อง พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แรงอัดพุ่งเข้ากระแทกร่างพีร์เต็มแรง เธอกระเด็นไปกระแทกกับโขดหิน
เลือดไหลรินจากศีรษะ หูอื้อ ใจเต้นช้า ทุกอย่างกลายเป็นภาพเบลอ
เธอยังคงลืมตา เห็นเพียงแสงไฟกระพริบของวิทยุ เสียงเพื่อนร่วมทีมตะโกนเรียกชื่อเธอลอยมาตามลมไกล ๆ
“ผู้การ! ผู้การพีร์!”
มือของใครบางคนคว้าร่างเธอขึ้นจากพื้น ผึ้งกำลังร้องไห้ขณะกดผ้าพันแผลแน่นลงที่แผล
“ดาว! ส่งสัญญาณขอฮอลทันที! เพราะพีร์เลือดไหลไม่หยุด!”
สติของพีร์เริ่มพร่าเลือน แต่ในใจยังแน่วแน่ เธอไม่เคยกลัวตาย เพราะชีวิตที่เติบโตมากับทหาร ทำให้เธอรู้ดีว่า หน้าที่นี้อาจไม่มี วันพรุ่งนี้ให้เสมอ
“ทุกคน...ต้องปลอดภัยใช่มั้ย”
เสียงเธอเบาราวกระซิบ ก่อนที่ความมืดจะกลืนทุกอย่างไป
โรงพยาบาลสนามเชียงใหม่
สองชั่วโมงต่อมา
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังชัดในห้องฉุกเฉิน อาการของพีร์เข้าขั้นวิกฤต แพทย์เวรทำได้เพียงยื้อชีวิตขั้นต้น
ค่ำคืนนั้น กรุงเทพฯ ไม่เคยเงียบพอสำหรับหัวใจของ พลโทกิตติวุฒิ วรากุล ที่วินาทีนั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก นอกจากคำว่า
"ลูกสาวคนโตบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิดในการปฏิบัติภารกิจลับทางภาคเหนือ"
เขานั่งนิ่งอยู่นาน แต่หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดตามลูกสาวคนโตไปติด ๆ ก่อนจะยกวิทยุสื่อสารขึ้นแนบปาก
สั่งเสียงนิ่งแต่แฝงด้วยแรงอารมณ์ที่ใครได้ยินก็สะท้าน
"ส่งฮอไปรับพีร์ที่เชียงใหม่เดี๋ยวนี้ ติดต่อโรงพยาบาลกรุงเทพให้พร้อมรับการผ่าตัดฉุกเฉิน. ผมจะไปรอที่โรงพยาบาลทันที"
คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปอย่างแม่นยำ และทันที ฮ.แพทย์พิเศษของกองทัพก็ทะยานขึ้นจากสนามบินกองทัพภาคที่หนึ่ง มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ ด้วยความเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้
ในเวลาเดียวกัน ร่างสูงใหญ่นิ่งขรึมของนายพลกิตติ ก็หมุนกายอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวที่คนขับรออยู่แล้ว
ลูกสาวคนโตของเขา พันเอกหญิง พีรยา วรากุล เป็นแบบอย่างของน้องสาวลูกสาวอีกสองคนของเขา พวกเธอทั้งสามแม้จะไม่ใช่ทหารเหล่าเดียวกัน เเต่พีรยาเป็นทุกอย่างที่เขาเเละลูกสาวอีกสองคน. ภูมิใจ
เเม้ตนจะเป็นถึงแม่ทัพภาค ผู้ได้รับการขนานนามว่า
“อัศวินยุทธศาสตร์แห่งแดนใต้”
ผู้มีอำนาจบารมีสูงในกองทัพบก แต่พีรยาและลูกสาวอีกสองคนของเขาไม่เคยขอร้องเพื่อรับการช่วยเหลือ
หรือเกาะบารมีพ่อแม้แต่น้อยพวกเธอเลือกเดินบนเส้นทางของตัวเองตั้งแต่วันที่สมัครเข้าโรงเรียนนายร้อย จนกระทั่ง...
อายุ 27 ปี ได้รับเลื่อนยศพิเศษ หลังปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิตตัวประกันจากกลุ่มก่อการร้ายที่ชายแดนตะวันตก
ซึ่งเธอเป็นผู้วางแผนหลักและนำทีมบุกชิงตัวภายใต้ความเสี่ยงสูงได้รับเหรียญกล้าหาญและเข็มเกียรติยศชั้นสูงถูกคัดเลือกให้เป็น
"ผู้บัญชาการกองพันพิเศษหญิงที่อายุน้อยที่สุดในรอบ 30 ปี"
และได้รับความไว้วางใจจากกองทัพให้ดูแลพื้นที่สีแดงเสี่ยงสูงแบบต่อเนื่อง
แต่คืนนี้ ดวงใจ ของเขาหนึ่งดวงกำลังนอนแน่นิ่ง. รอการช่วยเหลือที่พ่ออย่างเขาอยากส่งไปให้ถึงเร็วที่สุดแม้จะต้องฉีกฟ้าแหวกภูเขาก็ตามที
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์สายด่วนก็ดังขึ้นที่เรือหลวงจักร นาวาเอกหญิง พิมลดา วรากุล ผู้การสาว ผู้บังคับการหน่วยลาดตระเวนพิเศษทางทะเล. มาดนิ่งดุดัน จิตใจเยือกเย็นที่ไม่เคยหวั่นแม้ในคลื่นลมแรงกลางทะเล ลุกพรวดขึ้นเมื่อเห็นปลายสายคือพ่อของเธอ ผู้เป็นหนึ่งดวงใจของนายพลกิตติ เช่นกัน
“พิมพ์ ลูก พี่พีร์โดนระเบิดตอนถอนกำลังจากภารกิจด่วนที่ภาคเหนือ ตอนนี้พ่อสั่งให้ ฮ.ไปรับกำลังพาตัวเข้ากรุงเทพ พ่ออยากให้ลูกกับพัชมาโรงพยาบาลด่วนที่สุด”
เสียงพ่อฟังดูมั่นคงแต่พิมพ์สัมผัสได้ในความจริง มันสั่นไหว
เพราะพี่พีร์ของเธอเป็นเหมือนดวงใจของคนทั้งบ้านโดยเฉพาะพ่อ
เธอไม่ลังเลที่จะรีบเปลี่ยนทิศทางไปยังฝั่งทันที พร้อมกับส่งข้อความหาน้องสาว
นาวาอากาศเอกหญิง พัชชาดา วรากุล (พัช)ที่ขณะนั้นกำลังประจำฐานฝึกการบินภาคกลาง
“รอบนี้พี่พีร์เจ็บหนักมากพัช คุณพ่อร้อนใจมาก เจอกันที่โรงพยาบาลนะ คุณพ่อไปรออยู่ที่นั่นแล้ว”
ไม่นานนัก ครอบครัว วรากุล ก็มารวมตัวกันที่โรงพยาบาลกลางกรุงเทพฯ ด้วยความร้อนใจ
พลโทกิตติวุฒิ เดินวนหน้าห้องด้วยท่าทีอึดอัด พยายามรักษาสีหน้าหนักแน่นในฐานะนายพลคนหนึ่ง
แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง เขาแทบยืนไม่ไหว
พัชเดินเข้ามายืนข้างพิมพ์ พี่สาว คนรองที่นั่งนิ่งเเต่ภายในใจคงร้อนรนไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ
เธอเม้มปากแน่นก่อนจะพูดเสียงเบาเหมือนลมกลางดึก
“พี่พีร์นะ... พี่พีร์เมื่อไหร่จะมีคนที่ทำให้พี่กลัวความตายได้สักที”
พิมพ์เงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ เสริมทันทีก่อนที่น้ำตาจะล้นขอบตา
“นั่นสิ... เอาแต่บ้าระห่ำ ลุยอยู่เเนวหน้าเเบบนี้ เมื่อไหร่กันนะ จะมีใครสักคนที่ทำให้พี่เขาหยุดคิดสักนิดก่อนตัดสินใจเสี่ยงความตาย จะปกป้องทุกคนรอบตัวไว้คนเดียวเเบบนี้ รอดมาครั้งนี้จะพาไปไหว้พระเก้าวัดหาคู่ให้เลย สักที”
เสียงของทั้งสองน้องสาวผสมทั้งความโกรธ ความเป็นห่วง และความรักที่มากเกินจะพูดออกมาหมด เพราะพี่พีร์ของพวกเธอ คือต้นเเบบทำให้พวกเธออยากเป็นทหาร
เป็นไอดอลเป็นที่ปรึกษาเป็นความอบอุ่นรองจากพ่อ
ตั้งเเต่แม่ของพวกเธอจากไปตั้งแต่พวกเธอยังเด็ก.
พ่อผิดเองที่สอนให้พวกลูกไม่เกรงกลัวอะไรแม้เเต่ความตาย.
พ่อเอ่ยมาเบาๆเเต่ทั้งสองสาวก็ได้ยินเเละเข้าใจว่าพ่อของเธอเลี้ยงพวกเธอมาอย่างดีที่สุดเเล้วไม่ใช่ความผิดของท่านแม้แต่น้อย
หน้าห้องฉุกเฉินเงียบงัน เสียงฝีเท้าเดินวนของพ่อ รอยถอนหายใจของพิมพ์ ความเงียบของพัช กลายเป็นจังหวะซ้ำ ๆ ที่ไม่มีใครหลุดพ้น
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง แต่ละวินาทีเหมือนนานเป็นปี รอเพียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมคำว่า “ปลอดภัย”
และเมื่อประตูนั้นเปิดในที่สุด ร่างของหมอในชุดผ่าตัดก็เดินออกมาช้า ๆ ทุกสายตามองไปอย่างมีความหวังแม้หัวใจยังสั่นระรัว
“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีค่ะ ยังต้องรอดูอาการฟื้นตัวอีกระยะ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”
ทันทีที่คำว่า “ปลอดภัย” หลุดออกมา น้ำตาของพัชก็ไหลลงอย่างไม่อายใคร พิมพ์ยกมือขึ้นปิดหน้าแน่น พลโทกิตติวุฒิพยักหน้ารับนิ่ง ๆ แต่สายตาแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
ภายในห้องไอซียู ร่างของพีร์นอนสงบนิ่ง เครื่องช่วยหายใจยังทำงานสม่ำเสมอ แผลถลอกตามร่างกายหลายจุดคือผลของการแลกชีวิตเพื่อให้ลูกน้องถอยออกไปปลอดภัย
พ่อยืนมองไปที่เตียง มองหน้าลูกสาวที่ไม่เคยร้องไห้แม้ฝึกซ้อมหนัก ไม่เคยถอยแม้ต้องลุยชายแดน ไม่เคยบ่นแม้ภารกิจเสี่ยงเพียงใด ตอนนี้ พีร์นอนนิ่งไม่ต่างจากตุ๊กตาที่หมดแรง
“พักบ้างนะลูก... ต้องเจ็บขนาดนี้เลยหรอถึงจะยอมพัก ”
เสียงสั่นเล็กน้อยในตอนท้าย เขาพยายามไม่ให้มันสั่น พิมพ์กับพัชเห็นทุกการเคลื่อนไหวของพ่อที่ดูเข้มแข็งมาตลอดชีวิต แต่คืนนี้ เหมือนเสาหลักในบ้านกำลังเอนลงช้า ๆ
“เคยคิดว่าไม่มีอะไรทำให้พ่อร้องไห้ได้ตั้งเเต่เเม่จากไป” พัชพูดเสียงแผ่ว “แต่ตอนนี้...”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยรอยสะเทือนใจท่ามกลางแสงไฟสีขาวนวลของห้องไอซียู ค่ำคืนนั้น กรุงเทพฯ ก็ยังไม่เงียบพอจะกลบเสียงหัวใจของคนในครอบครัววรากุลที่สั่นไหว
“ทุกคนกลับไปพักก่อนก็ได้นะคะ หมอเป็นเจ้าของไข้ เดี๋ยวอีกสักครู่หมอจะย้ายคนไข้ไปห้องพักพิเศษมีอะไรจะรีบแจ้งทันทีค่ะ”
เสียงของหมอพิช. แพทย์หญิง พิชญาภา. เวชกิจ ศัลยแพทย์เฉพาะทาง ดังขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นพอจะหยุดความกังวลของครอบครัววรากุลที่ต่างดูเคร่งเครียดจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร
พิมพ์หันไปมองพ่อกับน้องสาวก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ
“เชื่อฟังหมอนะคะ คุณพ่อ... ตอนนี้พี่พีร์ก็ปลอดภัยแล้วพ่อกับพัชกลับไปพักก่อน เดี๋ยวพิมพ์เฝ้าพี่พีร์ให้เองค่ะ”
พัชลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม
“ ถ้ามีอะไรพี่รีบโทรหาพวกเรานะพี่พิมพ์”
เธอหันไปประคองแขนพ่อเบา ๆ พลโทกิตติวุฒิแม้จะยังมีสีหน้าไม่สบายใจนัก แต่ก็ไม่ได้ขัด เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็รู้ดีว่าต้องพึ่งพาลูก ๆ ที่เข้มแข็งไม่แพ้กัน
ทั้งสามแยกย้ายกันไป ร่างสูงของพ่อและพัชหายลับไปตามทางเดินของโรงพยาบาล เหลือเพียงแค่ พิมพ์ที่อาษาเฝ้าพี่สาวคนโตอยู่เพียงลำพัง
เธอนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้อง ทอดถอนใจยาวออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ค่ำนั้น ถอนใจด้วยความโล่งอก แม้ความหวาดกลัวจะยังไม่จากไปเสียทีเดียว แต่ก็เริ่มมีที่ว่างให้ความหวังได้หายใจ
^^เป็นกำลังใจตัวละครและคนเขียนด้วยนะคะ????????เสียงใบไม้เสียดสีกันในความมืดยามราตรี เสียงแมลงป่ากู่ก้องท่ามกลางอากาศเย็นจัดของดอยสูงที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากความเจริญหลายสิบกิโลเมตร ดอยขุนผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ ความสูงกว่าพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดูเหมือนจะสงบเกินไปในค่ำคืนนี้ แม้แต่ลมที่พัดเฉื่อย ๆ ก็ดูเหมือนจะกำลังกลั้นหายใจ
พันเอกหญิง พีรยา วรากุล หรือ “พีร์” กำลังย่อตัวหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบ ร่างในชุดลายพรางดำกลืนหายไปกับความมืด มือข้างหนึ่งกุมวิทยุสื่อสารแน่น อีกข้างจับปืนประจำกายแน่นราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
"หน่วยอัลฟ่าสอง รายงานตำแหน่งด้วย เป้าหมายขยับหรือยัง?" พีร์กดปุ่มพูดด้วยเสียงเรียบเย็น แต่ทรงอำนาจ
เสียงตอบกลับจากวิทยุแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงหอบหายใจ "ยังครับ ผู้การ เป้าหมายยังอยู่ในกระท่อมด้านตะวันตก ไม่พบความเคลื่อนไหวผิดปกติ"
โค้ดเนมของภารกิจครั้งนี้คือ "เงาเหนือ 019" — ภารกิจลับระดับสูงสุด เพื่อจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติที่ใช้เส้นทางชายแดนลักลอบขนของเถื่อนผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยมีข้อมูลจากสายลับว่า คืนนี้จะมีการลำเลียงล็อตใหญ่มูลค่าหลายร้อยล้าน
ลูกน้องของพีร์ในภารกิจนี้ล้วนเป็นทหารหญิงฝีมือดีคนสนิทที่เคียงข้างกายผู้การสาวมานานหลายปี
พันตรีหญิง อัญชัน พิมพิลา (อัญชัน)— มือแม่นปืนผู้เงียบขรึม
ร้อยเอกหญิง นวินดา ธนานนท์ (ดาว) — มือสื่อสารประจำทีม
ร้อยเอกหญิง พิชชา กาญจนภักดี (ผึ้ง) — มือชี้เป้าระยะใกล้ เคลื่อนที่ไวที่สุดในทีม
การแบ่งตำแหน่งเป็นรูปแบบฟันหลอ ล้อมเป้าหมายจากทุกด้านในระยะห่างที่พอดีต่อการเข้าประชิดและไม่ถูกตรวจจับ
“อัญชัน ตรวจสอบทางเหนือ ต้นไผ่ขยับเมื่อครู่ นั่นคือรหัสตรวจการณ์ใช่ไหม?”
เสียงอัญชันตอบเบา ๆ แต่หนักแน่น
“ยืนยันค่ะ มีรหัสตีสองเคลื่อนไหว แต่...เร็วเกินไป คล้ายกับว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเรามา”
หัวใจของพีร์กระตุกวูบ
เธอหลับตาแน่น เงี่ยหูฟังความเงียบโดยรอบ เสียงนกฮูกไม่ร้อง เสียงหมาในก็เงียบเชียบผิดปกติ... ธรรมชาติไม่เคยโกหก
“ดาว ขอตรวจสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ มีการใช้คลื่นผิดปกติไหม”
“มีค่ะผู้การ คลื่น GSM และสัญญาณ HF ถูกแทรกช่วงสั้น ๆ เมื่อห้านาทีที่แล้ว เหมือนมีใครใช้เครื่องสื่อสารภายนอก ส่งอะไรบางอย่างออกไป”
"ตกหลุมพวกมันจนได้"
พีร์สบถในใจ เธอรู้ทันที
“เราถูกตลบหลัง”
การเคลื่อนไหวเงียบเกินไป กระท่อมที่ควรจะเต็มไปด้วยเวรยามกลับว่างเปล่า ความเงียบสงัดของป่าคือเสียงเตือนสุดท้ายจากธรรมชาติ
“ยกเลิกแผน ล่าถอย!”
“ดาว! ส่งสัญญาณถอนกำลัง ไปจุดรวมพลทันที!”
“ค่ะผู้การ!”
เสียงวิทยุเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทีมของเธอรีบเคลื่อนตัวตามเส้นทางเดิม รวดเร็วแต่เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ภาพเหตุการฝังใจ"
แวบหนึ่ง ภาพซ้อนทับกับเหตุการณ์บางอย่าง...ก็ฉายชัดขึ้นในหัวของผู้การสาว
ในภารกิจเมื่อสองปีก่อน เหตุการไม่ต่างจากวันนี้
ตอนนั้นเธอยิงเปิดทางให้ทุกคนถอย แต่กลับพลาดจังหวะ
ปืนกระบอกหนึ่งเล็งมาที่เธอในวินาทีที่เธอก้มชาร์จลูกกระสุน
พี่พีร์! ระวังค่ะ!!
...เปลว ลูกน้องคนสนิทที่สุดเเละเป็นที่ไว้ใจที่สุดของพีร์ กระโดดเข้ามาขวางทางวิถีกระสุนแทนเธอไว้...
“เปลวขอโทษนะที่กลับไปกับพี่ไม่ได้อีกแล้ว... แต่เปลวยังอยากให้พี่กลับไปเป็นผู้การของทุกคน”
เสียงสุดท้ายของเขา
พร้อมเลือดที่พุ่งกระเซ็นใส่หน้าพีร์ยังชัดเจนในความทรงจำ
เปลวคือลูกน้องที่เธอไว้ใจที่สุดทั้งเก่ง ฉลาด ยิ้มเก่งสดใสตลอดเวลา เเม้จะเป็นทหารเเนวหน้าเเต่เปลวร่าเริงเสมอ. เหมือนไม่เคยกลัวอะไร
หัวใจของพีร์เหมือนถูกบีบแน่นด้วยมือเปล่าๆ
หลังจากนั้น พีร์ห้ามทุกคนไม่ให้เสี่ยงแทนเธอ
เธอคือผู้นำก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าใครควรจะตายเพราะเธอ
เธอยอมตายเพื่อชาติ สำหรับเธอแล้วความตายไม่น่ากลัวเลยสักนิด
แต่สิ่งที่เธอไม่ยอมคือ มีใครต้องตายเพราะเธอ
เเต่ดูเหมือนสิ่งที่พีร์กำลังกลัวจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับภารกิจที่เธอเป็นผู้นำครั้งนี้
เเม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เธอจะไม่ยอมให้มีใครตายเพราะเธออีก
“อัญชัน ผึ้ง! เคลียร์แนวหลัง ฉันจะรั้งท้ายเอง”
“แต่ผู้การ—”
ผึ้งอ้าปากจะค้าน แต่พีร์พูดขัดขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
“นี่คือคำสั่ง!”
เสียงฝีเท้าในป่าหนักแน่นขึ้น หัวใจของพีร์เต้นเป็นจังหวะเดียวกับความตึงเครียด
เธอหันมองไปรอบตัว ก่อนยกปืนขึ้นชี้ตามสัญชาตญาณ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องจากความมืด
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว
“บูม!!!”
เสียงระเบิดดังกึกก้อง พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แรงอัดพุ่งเข้ากระแทกร่างพีร์เต็มแรง เธอกระเด็นไปกระแทกกับโขดหิน
เลือดไหลรินจากศีรษะ หูอื้อ ใจเต้นช้า ทุกอย่างกลายเป็นภาพเบลอ
เธอยังคงลืมตา เห็นเพียงแสงไฟกระพริบของวิทยุ เสียงเพื่อนร่วมทีมตะโกนเรียกชื่อเธอลอยมาตามลมไกล ๆ
“ผู้การ! ผู้การพีร์!”
มือของใครบางคนคว้าร่างเธอขึ้นจากพื้น ผึ้งกำลังร้องไห้ขณะกดผ้าพันแผลแน่นลงที่แผล
“ดาว! ส่งสัญญาณขอฮอลทันที! เพราะพีร์เลือดไหลไม่หยุด!”
สติของพีร์เริ่มพร่าเลือน แต่ในใจยังแน่วแน่ เธอไม่เคยกลัวตาย เพราะชีวิตที่เติบโตมากับทหาร ทำให้เธอรู้ดีว่า หน้าที่นี้อาจไม่มี วันพรุ่งนี้ให้เสมอ
“ทุกคน...ต้องปลอดภัยใช่มั้ย”
เสียงเธอเบาราวกระซิบ ก่อนที่ความมืดจะกลืนทุกอย่างไป
โรงพยาบาลสนามเชียงใหม่
สองชั่วโมงต่อมา
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังชัดในห้องฉุกเฉิน อาการของพีร์เข้าขั้นวิกฤต แพทย์เวรทำได้เพียงยื้อชีวิตขั้นต้น
ค่ำคืนนั้น กรุงเทพฯ ไม่เคยเงียบพอสำหรับหัวใจของ พลโทกิตติวุฒิ วรากุล ที่วินาทีนั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก นอกจากคำว่า
"ลูกสาวคนโตบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิดในการปฏิบัติภารกิจลับทางภาคเหนือ"
เขานั่งนิ่งอยู่นาน แต่หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดตามลูกสาวคนโตไปติด ๆ ก่อนจะยกวิทยุสื่อสารขึ้นแนบปาก
สั่งเสียงนิ่งแต่แฝงด้วยแรงอารมณ์ที่ใครได้ยินก็สะท้าน
"ส่งฮอไปรับพีร์ที่เชียงใหม่เดี๋ยวนี้ ติดต่อโรงพยาบาลกรุงเทพให้พร้อมรับการผ่าตัดฉุกเฉิน. ผมจะไปรอที่โรงพยาบาลทันที"
คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปอย่างแม่นยำ และทันที ฮ.แพทย์พิเศษของกองทัพก็ทะยานขึ้นจากสนามบินกองทัพภาคที่หนึ่ง มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ ด้วยความเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้
ในเวลาเดียวกัน ร่างสูงใหญ่นิ่งขรึมของนายพลกิตติ ก็หมุนกายอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวที่คนขับรออยู่แล้ว
ลูกสาวคนโตของเขา พันเอกหญิง พีรยา วรากุล เป็นแบบอย่างของน้องสาวลูกสาวอีกสองคนของเขา พวกเธอทั้งสามแม้จะไม่ใช่ทหารเหล่าเดียวกัน เเต่พีรยาเป็นทุกอย่างที่เขาเเละลูกสาวอีกสองคน. ภูมิใจ
เเม้ตนจะเป็นถึงแม่ทัพภาค ผู้ได้รับการขนานนามว่า
“อัศวินยุทธศาสตร์แห่งแดนใต้”
ผู้มีอำนาจบารมีสูงในกองทัพบก แต่พีรยาและลูกสาวอีกสองคนของเขาไม่เคยขอร้องเพื่อรับการช่วยเหลือ
หรือเกาะบารมีพ่อแม้แต่น้อยพวกเธอเลือกเดินบนเส้นทางของตัวเองตั้งแต่วันที่สมัครเข้าโรงเรียนนายร้อย จนกระทั่ง...
อายุ 27 ปี ได้รับเลื่อนยศพิเศษ หลังปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิตตัวประกันจากกลุ่มก่อการร้ายที่ชายแดนตะวันตก
ซึ่งเธอเป็นผู้วางแผนหลักและนำทีมบุกชิงตัวภายใต้ความเสี่ยงสูงได้รับเหรียญกล้าหาญและเข็มเกียรติยศชั้นสูงถูกคัดเลือกให้เป็น
"ผู้บัญชาการกองพันพิเศษหญิงที่อายุน้อยที่สุดในรอบ 30 ปี"
และได้รับความไว้วางใจจากกองทัพให้ดูแลพื้นที่สีแดงเสี่ยงสูงแบบต่อเนื่อง
แต่คืนนี้ ดวงใจ ของเขาหนึ่งดวงกำลังนอนแน่นิ่ง. รอการช่วยเหลือที่พ่ออย่างเขาอยากส่งไปให้ถึงเร็วที่สุดแม้จะต้องฉีกฟ้าแหวกภูเขาก็ตามที
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์สายด่วนก็ดังขึ้นที่เรือหลวงจักร นาวาเอกหญิง พิมลดา วรากุล ผู้การสาว ผู้บังคับการหน่วยลาดตระเวนพิเศษทางทะเล. มาดนิ่งดุดัน จิตใจเยือกเย็นที่ไม่เคยหวั่นแม้ในคลื่นลมแรงกลางทะเล ลุกพรวดขึ้นเมื่อเห็นปลายสายคือพ่อของเธอ ผู้เป็นหนึ่งดวงใจของนายพลกิตติ เช่นกัน
“พิมพ์ ลูก พี่พีร์โดนระเบิดตอนถอนกำลังจากภารกิจด่วนที่ภาคเหนือ ตอนนี้พ่อสั่งให้ ฮ.ไปรับกำลังพาตัวเข้ากรุงเทพ พ่ออยากให้ลูกกับพัชมาโรงพยาบาลด่วนที่สุด”
เสียงพ่อฟังดูมั่นคงแต่พิมพ์สัมผัสได้ในความจริง มันสั่นไหว
เพราะพี่พีร์ของเธอเป็นเหมือนดวงใจของคนทั้งบ้านโดยเฉพาะพ่อ
เธอไม่ลังเลที่จะรีบเปลี่ยนทิศทางไปยังฝั่งทันที พร้อมกับส่งข้อความหาน้องสาว
นาวาอากาศเอกหญิง พัชชาดา วรากุล (พัช)ที่ขณะนั้นกำลังประจำฐานฝึกการบินภาคกลาง
“รอบนี้พี่พีร์เจ็บหนักมากพัช คุณพ่อร้อนใจมาก เจอกันที่โรงพยาบาลนะ คุณพ่อไปรออยู่ที่นั่นแล้ว”
ไม่นานนัก ครอบครัว วรากุล ก็มารวมตัวกันที่โรงพยาบาลกลางกรุงเทพฯ ด้วยความร้อนใจ
พลโทกิตติวุฒิ เดินวนหน้าห้องด้วยท่าทีอึดอัด พยายามรักษาสีหน้าหนักแน่นในฐานะนายพลคนหนึ่ง
แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง เขาแทบยืนไม่ไหว
พัชเดินเข้ามายืนข้างพิมพ์ พี่สาว คนรองที่นั่งนิ่งเเต่ภายในใจคงร้อนรนไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ
เธอเม้มปากแน่นก่อนจะพูดเสียงเบาเหมือนลมกลางดึก
“พี่พีร์นะ... พี่พีร์เมื่อไหร่จะมีคนที่ทำให้พี่กลัวความตายได้สักที”
พิมพ์เงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ เสริมทันทีก่อนที่น้ำตาจะล้นขอบตา
“นั่นสิ... เอาแต่บ้าระห่ำ ลุยอยู่เเนวหน้าเเบบนี้ เมื่อไหร่กันนะ จะมีใครสักคนที่ทำให้พี่เขาหยุดคิดสักนิดก่อนตัดสินใจเสี่ยงความตาย จะปกป้องทุกคนรอบตัวไว้คนเดียวเเบบนี้ รอดมาครั้งนี้จะพาไปไหว้พระเก้าวัดหาคู่ให้เลย สักที”
เสียงของทั้งสองน้องสาวผสมทั้งความโกรธ ความเป็นห่วง และความรักที่มากเกินจะพูดออกมาหมด เพราะพี่พีร์ของพวกเธอ คือต้นเเบบทำให้พวกเธออยากเป็นทหาร
เป็นไอดอลเป็นที่ปรึกษาเป็นความอบอุ่นรองจากพ่อ
ตั้งเเต่แม่ของพวกเธอจากไปตั้งแต่พวกเธอยังเด็ก.
พ่อผิดเองที่สอนให้พวกลูกไม่เกรงกลัวอะไรแม้เเต่ความตาย.
พ่อเอ่ยมาเบาๆเเต่ทั้งสองสาวก็ได้ยินเเละเข้าใจว่าพ่อของเธอเลี้ยงพวกเธอมาอย่างดีที่สุดเเล้วไม่ใช่ความผิดของท่านแม้แต่น้อย
หน้าห้องฉุกเฉินเงียบงัน เสียงฝีเท้าเดินวนของพ่อ รอยถอนหายใจของพิมพ์ ความเงียบของพัช กลายเป็นจังหวะซ้ำ ๆ ที่ไม่มีใครหลุดพ้น
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง แต่ละวินาทีเหมือนนานเป็นปี รอเพียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมคำว่า “ปลอดภัย”
และเมื่อประตูนั้นเปิดในที่สุด ร่างของหมอในชุดผ่าตัดก็เดินออกมาช้า ๆ ทุกสายตามองไปอย่างมีความหวังแม้หัวใจยังสั่นระรัว
“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีค่ะ ยังต้องรอดูอาการฟื้นตัวอีกระยะ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”
ทันทีที่คำว่า “ปลอดภัย” หลุดออกมา น้ำตาของพัชก็ไหลลงอย่างไม่อายใคร พิมพ์ยกมือขึ้นปิดหน้าแน่น พลโทกิตติวุฒิพยักหน้ารับนิ่ง ๆ แต่สายตาแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
ภายในห้องไอซียู ร่างของพีร์นอนสงบนิ่ง เครื่องช่วยหายใจยังทำงานสม่ำเสมอ แผลถลอกตามร่างกายหลายจุดคือผลของการแลกชีวิตเพื่อให้ลูกน้องถอยออกไปปลอดภัย
พ่อยืนมองไปที่เตียง มองหน้าลูกสาวที่ไม่เคยร้องไห้แม้ฝึกซ้อมหนัก ไม่เคยถอยแม้ต้องลุยชายแดน ไม่เคยบ่นแม้ภารกิจเสี่ยงเพียงใด ตอนนี้ พีร์นอนนิ่งไม่ต่างจากตุ๊กตาที่หมดแรง
“พักบ้างนะลูก... ต้องเจ็บขนาดนี้เลยหรอถึงจะยอมพัก ”
เสียงสั่นเล็กน้อยในตอนท้าย เขาพยายามไม่ให้มันสั่น พิมพ์กับพัชเห็นทุกการเคลื่อนไหวของพ่อที่ดูเข้มแข็งมาตลอดชีวิต แต่คืนนี้ เหมือนเสาหลักในบ้านกำลังเอนลงช้า ๆ
“เคยคิดว่าไม่มีอะไรทำให้พ่อร้องไห้ได้ตั้งเเต่เเม่จากไป” พัชพูดเสียงแผ่ว “แต่ตอนนี้...”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยรอยสะเทือนใจท่ามกลางแสงไฟสีขาวนวลของห้องไอซียู ค่ำคืนนั้น กรุงเทพฯ ก็ยังไม่เงียบพอจะกลบเสียงหัวใจของคนในครอบครัววรากุลที่สั่นไหว
“ทุกคนกลับไปพักก่อนก็ได้นะคะ หมอเป็นเจ้าของไข้ เดี๋ยวอีกสักครู่หมอจะย้ายคนไข้ไปห้องพักพิเศษมีอะไรจะรีบแจ้งทันทีค่ะ”
เสียงของหมอพิช. แพทย์หญิง พิชญาภา. เวชกิจ ศัลยแพทย์เฉพาะทาง ดังขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นพอจะหยุดความกังวลของครอบครัววรากุลที่ต่างดูเคร่งเครียดจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร
พิมพ์หันไปมองพ่อกับน้องสาวก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ
“เชื่อฟังหมอนะคะ คุณพ่อ... ตอนนี้พี่พีร์ก็ปลอดภัยแล้วพ่อกับพัชกลับไปพักก่อน เดี๋ยวพิมพ์เฝ้าพี่พีร์ให้เองค่ะ”
พัชลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม
“ ถ้ามีอะไรพี่รีบโทรหาพวกเรานะพี่พิมพ์”
เธอหันไปประคองแขนพ่อเบา ๆ พลโทกิตติวุฒิแม้จะยังมีสีหน้าไม่สบายใจนัก แต่ก็ไม่ได้ขัด เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็รู้ดีว่าต้องพึ่งพาลูก ๆ ที่เข้มแข็งไม่แพ้กัน
ทั้งสามแยกย้ายกันไป ร่างสูงของพ่อและพัชหายลับไปตามทางเดินของโรงพยาบาล เหลือเพียงแค่ พิมพ์ที่อาษาเฝ้าพี่สาวคนโตอยู่เพียงลำพัง
เธอนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้อง ทอดถอนใจยาวออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ค่ำนั้น ถอนใจด้วยความโล่งอก แม้ความหวาดกลัวจะยังไม่จากไปเสียทีเดียว แต่ก็เริ่มมีที่ว่างให้ความหวังได้หายใจ
^^เป็นกำลังใจตัวละครและคนเขียนด้วยนะคะ????????
ความคิดเห็น