ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic No Hero] Gentleman and The Beautiful Beast [อันเซียร์ x โจชัว]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 :: แรกพบประสบพักตร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 468
      5
      25 ก.ค. 58



    Chapter 1

     

    หัวใจของมันหยุดเต้น...แต่ร่างกายสามารถขยับได้

     

    ผิวหนังของมันเย็นเฉียบ...ขาวซีดเพราะไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงชีวิต

     

    เขี้ยวและเล็บของมันแหลมคม...ไว้ฉีกกระชากร่างกายมนุษย์

     

    ดำรงชีวิตด้วยเลือดสัตว์...โปรดปรานเลือดมนุษย์มากที่สุด

     

    .

    .

    .

     

    แวมไพร์...

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    จิงจี๋ทำได้เพียงมองกุหลาบในมือนิ่ง...

     

    มันเป็นสถานการณ์ที่ขำไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้แม้ว่าดวงตากลมโตคู่นั้นจะเริ่มแดงก่ำ

     

    “เสี่ยวจี๋อย่าเครียด ! แค่เราห้ามไม่ให้พ่อกลับไปก็น่าจะพอแล้วน่า !” เมโลดี้ พี่สาวคนโตเอ่ยเสียงดังฉะฉาน มือเรียวโยกหัวลูกสาวคนสุดท้องของบ้านด้วยความเอ็นดู “พวกพี่ไม่ยอมให้พ่อต้องตายหรอก”

     

    “ใช่ ใครจะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกัน” ลูกคนรองอย่าง เกรนรั้งศีรษะน้องสาวให้มาซบไหล่ พร้อมหันไปถามความเห็นของน้องชายตัวเองซึ่งได้รับเสียงสำทับตามมา “ใช่ไหมเมย์ ?”

     

    “ใช่ พวกพี่ไม่ยอมให้พ่อเป็นอันตรายหรอก”

     

    ถึงอย่างนั้น... หัวใจของจิงจี๋ก็ยังปวดหนึบอยู่ดี เธอมองของขวัญราคาแพงในมืออย่างชั่งใจ ของขวัญที่ต้องแลกด้วยชีวิตคน แลกด้วยชีวิตของพ่อเธอ...

     

    กี่ครั้งแล้วที่มีคนต้องแลกชีวิตเพื่อตัวเธอ ครั้งแรกคือแม่...เพราะดึงดันที่จะให้กำเนิดเธอ แม่ถึงอ่อนแอมากและเสียหลังจากนั้นไม่กี่วัน และครั้งนี้เพราะเธอต้องการดอกกุหลาบที่สวยที่สุด ทำให้พ่อของเธอไปแตะต้องกับของรักของคนที่ไม่ควรแตะเข้า

     

    วินาทีนั้น...เธอตัดสินใจได้

     

    “ข้าจะไปแทนพ่อเอง ! เด็กสาวประกาศก้องท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงคัดค้านของพี่สาวพี่ชายของเธอ “ถ้าหนึ่งดอกแลกหนึ่งชีวิต ชีวิตนั้นก็สมควรเป็นของข้า...เพราะข้าต้องการดอกไม้บ้า ๆ นี่ ทำให้พ่อต้องเสี่ยงอันตราย”

     

    “พ่อไม่ยอมหรอก !” เทียนฉาขัดลูกสาวคนเล็กด้วยเสียงอันดัง

     

    “แต่ข้าไม่ยอมให้พ่อตายแทนข้าเหมือนกัน !

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูดังขัดทุกอย่างให้เงียบลงในพริบตา เมย์เป็นคนเดินไปเปิดประตูก่อนที่จะพบกับร่างสูงโปร่งเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนยืนทอดยิ้มอยู่เบื้องหลังประตู ในมือนั้นถือตะกร้าที่บรรจุของมีคมไว้เต็มไปหมด

     

    “ข้าได้ข่าวว่าท่านลุงกลับมาจากในเมืองแล้วถึงเอามีดที่ฝากไปลับมาให้” เสียงทุ้มนุ่มเล็ดลอดมาจากริมฝีปาก อันเซียร์ อัน กวาดตามองไล่ทีละคนก่อนที่จะหยุดอยู่ที่จิงจี๋ เขาสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ดูแปลกประหลาด “จิงจี๋เป็นอะไร ทำไมต้องร้องไห้ด้วย”

     

    เสียงนุ่ม ๆ นั้นทำเอาน้ำตาของเด็กสาวร่วงเผาะลงมา จิงจี๋รีบปาดมันออกอย่างรวดเร็ว อันเซียร์เลิกคิ้ว มองเทียนฉาที่มีสีหน้าเคร่งเครียด เมโลดี้ เกรนและเมย์ที่ดูวิตกกังวลอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

     

    “เข้ามาก่อนเถอะ” เมย์ขยับหลบทางให้พร้อมคำชวน

     

    อันเซียร์วางตะกร้าอาวุธในมือลง จัดแจงถอดเสื้อคลุมตัวหนาออกมาพาดอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งเพราะไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปในเมื่ออากาศภายในบ้านนั้นไม่ได้หนาวเย็นเช่นด้านนอก ชายหนุ่มขยับก้าวเข้าไปหา ว่าที่คู่หมั้นที่ยืนเม้มปากน้ำตาคลอในทันที

     

    “จิงจี๋มีอะไร ไหนลองเล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”

     

    ชายหนุ่มว่าพลางรั้งแขนจิงจี๋ให้นั่งลงอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มอ่อน ๆ ยังประดับอยู่บนใบหน้า

     

    “จิงจี๋สัญญาไว้ว่าถ้ามีอะไรไม่สบายใจจะเล่าให้พี่ฟังไม่ใช่เหรอ”

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

     

    “พี่เข้าใจแล้ว”

     

    อันเซียร์จ้องมองว่าที่คู่หมั้นอย่างเอ็นดู จิงจี๋เป็นเด็กสาวน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แม้ว่าบางความคิดและการกระทำจะเกินอายุไปบ้างแต่อันเซียร์ก็ชอบและเอ็นดู ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเป็นเพียงแค่ ว่าที่คู่หมั้นเนื่องจากเขาต้องการให้เธอพร้อมและแน่ใจมากกว่านี้

     

    ให้พร้อมและแน่ใจ...ว่าทั้งเธอและเขาจะไม่หันไปมองใครอื่นอีก

     

    “จิงจี๋ไม่ต้องไปหรอก พี่จะไปแทนท่านลุงเอง”

     

    “ไม่ !” ท่ามกลางความตกใจและตื่นตะลึง จิงจี๋เป็นคนแรกที่หาเสียงของตนเจอก่อนใคร “ข้าไม่ยอมให้พี่ทำเรื่องบ้า ๆ พรรค์นี้หรอก !

     

    “พี่ก็ไม่ยอมให้จิงจี๋กับท่านลุงหรือคนอื่น ๆ ไปเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน” อันเซียร์ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าจิงจี๋เป็นอะไรไปท่านลุงก็จะเสียใจมาก และถ้าท่านลุงเป็นอะไรไปจิงจี๋ก็จะเสียใจมากเหมือนกัน พี่ไม่อยากเห็นจิงจี๋เสียใจเพราะฉะนั้นให้พี่ไปเถอะ”

     

    “แต่ถ้าพี่เป็นอะไรไป...”

     

    “จิงจี๋ลืมแล้วเหรอว่าพี่เป็นใคร” อันเซียร์ขัดขึ้นมาทันควัน “แค่แวมไพร์...ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก”

     

    จิงจี๋ถลึงตาใส่ เธอไม่ลืมหรอกว่าชายหนุ่มตรงหน้าเธอคือมัจจุราชมือหนึ่งที่ใคร ๆ ก็ยกย่อง เป็นนายพรานที่อายุน้อยที่สุดแต่ประสบการณ์โชกโชนไม่แพ้ใคร ไม่ว่าสัตว์จะดุร้ายมากแค่ไหนหากทำอันตรายแก่คนในละแวกนี้ก็ไม่มีทางรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของพรานหนุ่มคนนี้ แต่มันไม่เกี่ยวกันสักนิด

     

    “ให้พี่ทำเถอะนะ พี่ไม่เป็นอะไรหรอก”

     

    จิงจี๋ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

     

    “แต่ข้าเป็นห่วง ! ไม่เข้าใจเหรอคนบ้า !

     

    เธอสะบัดหน้าหนี เดินเลี่ยงไปอีกทาง

     

    อันเซียร์มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของว่าที่คู่หมั้นตัวน้อยอย่างเอ็นดูระคนขบขัน กิริยาแสนงอนนั้นชวนให้ดูน่าแกล้งกว่าเดิมเสียได้ สุดท้ายเขาก็หันมาให้ความสนใจกับเทียนฉาเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยเจตนาเดียวกับบุตรสาว

     

    “ท่านลุงให้ข้าทำแทนเถอะ” เขายังคงยืนยันคำเดิม “อย่างน้อยถือเป็นการทดแทนบุญคุณที่ท่านเคยดูแลข้ามาตลอดก็ยังดี”

     

    “แต่...”

     

    “ท่านลุงขัดข้าไม่ได้ ท่านก็รู้...”

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยสีแดง...

     

    ยามเย็นแล้ว...ความมืดค่อย ๆ กลืนกินแสงตะวันไปอย่างเชื่องช้าและอีกไม่นานก็คงถูกแทนที่ด้วยแสงนวลจากดวงจันทร์ ชายหนุ่มกระตุกบังเหียนม้าให้เริ่มออกเดินในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างน้อย ๆ ที่เริ่มจะเล็กลงไปเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่มากขึ้น

     

    เขารู้...เธอเป็นห่วง

     

    แต่เขาเองก็เป็นห่วงเธอไม่แพ้กัน...

     

    อันเซียร์ผ่อนลมหายใจช้า ๆ เขาไม่เคยล่าแวมไพร์ ไม่เคยแม้แต่จะพบเจอมีเพียงตำนานที่พี่ชายของเขาเล่าให้ฟังตอนเด็ก ๆ เท่านั้น ถ้าเอาตามความจริงคือเขาไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่าบนโลกใบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตอย่าง แวมไพร์อยู่บนโลกด้วย เจ้าสัตว์ประหลาดเขี้ยวคมที่ใช้เลือดมนุษย์ประทังชีวิต...

     

    “คงไม่ต่างกันหรอก...” อันเซียร์พึมพำกับตัวเอง

     

    ปกติเขาล่าสัตว์...ส่วนครั้งนี้ เขาจะล่า สัตว์ในร่างมนุษย์

     

    มันคงไม่ต่างกันหรอก...?

     

    สายหมอกโรยตัวอย่างแช่มช้าในขณะที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เลือนหายไป อันเซียร์เริ่มขยับเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นทุกที รอบข้างเริ่มไม่คุ้นตาอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในตลอดชีวิต แว่วเสียงเห่าหอนของหมาป่าชวนให้ขนหัวลุก

     

    ซ้ายก็ป่า ขวาก็ป่า...เจ้าม้าคู่ใจของเทียนฉาที่เขาขอยืมมาเริ่มส่งเสียงประท้วง ร่างสูงภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่เอื้อมมือไปลูบแผงคอให้มันเป็นการปลอบใจ

     

    “ช่วยข้าหน่อยเถอะเพื่อน” เขากระซิบเสียงเบา สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด “หนึ่งดอกแลกหนึ่งชีวิต”

     

    มันร้องลั่นราวกับรู้ ก่อนที่มันจะเร่งฝีเท้าควบเข้าไปภายในพวงไม้รกอย่างไม่เกรงกลัวผิดกับก่อนหน้านี้ อันเซียร์กำบังเหียนมันแน่น แนบกายลงชิดกับมัน กิ่งไม้แหลมคมมากมายบาดผิวจนแสบไปหมดแต่มันก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง

     

    นานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบที่ป่าหนามแหลมค่อย ๆ เบาบางลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเหลือเพียงต้นไม้ที่ปลิดขั้วใบทิ้งไปจนหมด

     

    อันเซียร์มอบรอบข้างอย่างประหลาดใจ เขาคุ้นเคยกับป่าแถบนี้มานานแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้เจอภาพแบบนี้มาก่อน ป่าที่เขาเคยคิดว่ารู้ใจกลับไม่เหมือนป่าที่เขาเคยรู้จัก สุดท้ายเขาก็หลุดออกมาอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งอีกครั้ง

     

    ชายหนุ่มมองภาพเบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง

     

    มันคือรั้วขนาดใหญ่สูงท่วมหัว ประตูนั้นแง้มออกราวกับรอคอยเขามานานแล้ว สิ่งก่อสร้างที่อยู่เบื้องหลังของรั้วนั้นคือปราสาทใหญ่ตระการตามืดทะมึนที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามมากมายมหาศาล ไม่มีแสงไฟแม้เพียงสักเสี้ยวที่บ่งบอกว่ามีคนอาศัยอยู่ภายใน

     

    อันเซียร์ตวัดเสื้อคลุมขึ้นปิดหน้า มือหนึ่งล้วงเข้าไปภายใต้เสื้อคลุมกระชับมีดเงินเย็นเยียบที่เขาบรรจงลับมาอย่างดี อีกมือกุมบังเหียนม้าไว้ขณะที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูรั้วเก่าคร่ำคร่า

     

    เสียงนาฬิกาโบราณตีบ่งบอกเวลาหนึ่งทุ่มนั้นกลับดึงให้อันเซียร์มีสติอย่างน่าประหลาด เขาจดจ่อ รอคอยอย่างใจเย็นยามที่มองบานประตูสูงใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า

     

    ชายหนุ่มตวัดตัวลงจากหลังม้า ก้าวเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง

     

    มันมืดสนิท...ไม่มีแม้แต่แสงเทียนสักเล่มทำให้ยากต่อการมอง มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเท่านั้น

     

    “เจ้ามาตรงเวลา”

     

    น้ำคำคล้ายแปลกใจดังกังวานส่งผลให้อันเซียร์กระชับมีดใต้ผ้าคลุมแน่นขึ้น เขากวาดตามองรอบกายหวังจะพบเจ้าของเสียง แม้จะสะกิดใจกับโทนเสียงนุ่มที่ไม่น่าใช่เสียงคำรามวังเวงอย่างที่ได้รับการบอกเล่ามาก็ตาม

     

    “ข้าชื่นชมที่เจ้ารักษาสัญญา”

     

    เงาร่างสูงบนบันไดนั้นเร่งให้เลือดของอันเซียร์เดือดพล่าน มือไม้เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องร่างที่ค่อย ๆ ขยับเยื้องลงมาเพื่อประเมินสถานการณ์

     

    ลงมาสิ...ขยับเข้ามาใกล้ ๆ

    ให้ข้าได้ปักมีดเงินลงบนหัวใจที่หยุดเต้นของเจ้า...

     

    “ไม่คิดจะพูดอะไรสักหน่อยหรือ”

     

    อีกแค่ไม่กี่ก้าว... อันเซียร์ค่อย ๆ ดึงมีดเงินออกมา

     

    อีกฝ่ายหยุดอยู่เพียงแค่เอื้อม ในยามที่แสงจันทร์ส่องตรงมาพอดิบพอดี...

     

    ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างยามที่วงหน้าเรียวนั้นเผยออกประจักษ์แจ้งแก่สายตา เครื่องหน้าลงตัวด้วยจมูกโด่งและริมฝีปากหยักซีดจาง ล้อมกรอบด้วยเส้นไหมยาวดำขลับ แสงจันทร์นวลขับผิวขาวซีดภายใต้เครื่องแต่งกายดังชนชั้นสูงให้โดดเด่นออกมา หากก็ไม่น่าดึงดูดใจเท่า...

     

    ดวงตาสีมรกตใส --- ใสกว่าแก้วใด ๆ ที่เขาเคยเห็นมา

     

    แม้มันจะทอประกายเย็นชาแต่มันแฝงด้วยอารมณ์หลากหลายอยู่ในนั้น อารมณ์ที่เขาอยากรู้ว่าหากแสดงออกมาแล้วมรกตนี้จะเปล่งประกายแบบใด

     

    “เจ้า...”

     

    อันเซียร์อดไม่ได้ที่จะเรียก

     

    ไม่รู้ว่ามนต์เสน่ห์บทใดที่ทำให้ร่างเบื้องหน้างามกว่าใครที่เขาเคยพบเจอ

     

    “เจ้าเป็นใคร !เสียงคำรามวังเวงดังก้องฉุดสติชายหนุ่มให้หวนกลับมา เขามองร่างสูงเพรียวนั้นขยับออกห่างอย่างระแวดระวัง ดวงตาคู่สวยวาวขึ้นทอประกายโกรธขึ้ง

     

    ถึงอย่างนั้นอันเซียร์กลับยกยิ้ม มีดเงินถูกเก็บไว้ภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างที่จิตใต้สำนึกกรีดร้องว่าเขาบ้าไปแล้ว...

     

    “ข้ามาแทนคนเมื่อวาน”

     

    คงใช่...เขาคงบ้าไปแล้วจริง ๆ

     

    เสื้อคลุมหนาถูกปลดออก เปิดเผยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับเทวดา ดวงตาสีนิลสบแก้วเขียวใสภายใต้ความมืดที่ยังคงกั้นกลางระหว่างเขาทั้งคู่

     

    “ข้าอันเซียร์ อัน...แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไร ?”

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

    Talk

    วรั้ยยยยย ปั่นไวความเร็วแสง #หัวเราะ

    เรื่องดำเนินช้าหรืองงไปไหมคะ ต้องขอโทษ ณ จุดนี้จริง ๆ #ฮา

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ #โค้ง

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×