คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 5 :: ความเปลี่ยนแปลงที่สั่นไหว
Chapter 5
‘เจ้าทอดทิ้งข้า ! ทั้งที่ปากของเจ้าบอกว่ารักข้า ! ทำไม !’
เสียงหวานกังวานตวาดลั่นในความเงียบงัน
ท้ายประโยคคล้ายจะแหบลงด้วยก้อนสะอื้นที่อยู่ในลำคอ เจ้าของเสียงนั้นคือหญิงสาวรูปร่างแบบบาง
--- เอลวิเซร่า นางดูสง่างามด้วยเกียรติของท่านหญิงแม้ว่าดวงตาของนางจะแดงก่ำราวกับจะร้องไห้
‘เจ้ามันเหมือนพ่อของเจ้าไม่มีผิด
! พ่อของเจ้าก็บอกว่ารักข้า !
แต่ก็ทอดทิ้งข้า !’
มือบางกวาดข้าวของทุกอย่างที่เคยมีบนโต๊ะลงเพื่อระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายใน
กรอบรูปที่บรรจุรูปของชายหญิงคู่หนึ่งและเด็กชายวัยกำลังซนถูกเขวี้ยงลงพื้นเต็มแรง
เศษกระจกที่แตกบาดขาของนางจนเลือดหลั่งแต่นางไม่สนใจ ทำได้เพียงทรุดลงนั่งร้องไห้
ใบหน้างามนั้นบิดเบี้ยวยามที่มองรูปภาพนั้น
‘โจชัว
เอนด์เลส...แล้วเจ้าจะเสียใจที่ทำเช่นนี้กับข้า !’
คืนแล้วคืนเล่าเวียนผ่านไป...
ปุยหิมะสีขาวที่ทาทับผืนดินดูจะหนาขึ้นทุกที
สายลมหวีวหวิวที่ได้ยินทุกคืนดูเหมือนจะหนักข้อขึ้น อากาศที่ปกติก็หนาวจนจับหัวใจก็ดูเหมือนจะยังลดต่ำลงไปเรื่อย
ๆ
อันเซียร์อดรู้สึกดีไม่ได้ยามที่มองร่างเพรียวที่นั่งอยู่เคียงข้าง
--- ใต้ผ้านวมผืนเดียวกัน รอยยิ้มบาง ๆ ที่วาดบนริมฝีปากพอมองใกล้ ๆ
ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
แม้ผิวกายจะเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็งแต่อันเซียร์กลับรู้สึกอุ่นโดยเฉพาะบริเวณอกข้างซ้าย
บางครั้งเขาพูดคุย...
แต่บางครั้งเขาปล่อยให้ความเงียบรอบกายเป็นฝ่ายสื่อสาร
“ง่วงแล้วหรือ ?” เสียงนุ่ม ๆ
ดังขึ้นดึงสติที่กำลังจะหลุดของเขาให้กลับมา
“ข้า...ไม่อยากนอน” พรานหนุ่มว่า
แขนกระชับผ้าห่มผืนหนาให้แน่นขึ้น
“เพราะความฝันนั่นหรือ ?”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยนั้นหลุบลงต่ำ
อันเซียร์สัมผัสได้ถึงแรงถอดถอนใจจากร่างข้างกาย “ขอโทษนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
“เปล่า” เขาปฏิเสธ
“ที่ไม่อยากนอน... เพราะเจ้าต่างหาก”
อันเซียร์ยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำตอบคือตาสวย
ๆ ที่ค้อนขวับเสียวงโต อันเซียร์รู้ ---
รู้ว่าอีกฝ่ายรู้และกังวลมาสักพักแล้วว่าเขานอนไม่ค่อยหลับ
จะเรียกว่าฝันร้ายก็คงได้
แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ต้องฝันถึงเรื่องราวพวกนั้นซ้ำไปซ้ำมา ความฝันนั้นบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของปราสาทคนงาม
ที่มักจบลงด้วยใบหน้าอันแสนทรมานของร่างข้างกาย
ถ้าการนอนทำให้เขาต้องฝันถึงพวกนั้นทุกครั้ง
ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่นอนเสียดีกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
มันก็มีบางคำถามที่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไปด้วยอะไรหลาย
ๆ อย่าง โดยเฉพาะความกลัวลึก ๆ ในใจของเขาเองอย่างเช่น
เจ้าไปทำอะไรให้นาง...นางถึงโกรธแค้นเจ้ามากมายเพียงนั้น
อันที่จริง
เขาคิดว่าตัวเองรู้จากเรื่องราวความฝันในทุก ๆ คืนที่เอามาปะติดปะต่อรวมกันเพียงแต่เขาไม่มั่นใจ
อันเซียร์คิดว่าหากวันหนึ่งที่เขาพร้อม
--- เขาจะถามอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวอะไรเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาเลยได้แต่หวัง...
หวังว่าเวลานั้นคงจะไม่ได้มาถึงช้านัก
xxxxxxxxxxxxxxx
“การมีชีวิตชั่วนิรันดร์นี่รู้สึกจะอย่างไรนะ”
คืนหนึ่งท่ามกลางแสงหริหรี่ของดวงดาวบนท้องฟ้า
อันเซียร์เปรยขึ้นมาเรียกความสนใจจากร่างข้างกายได้อย่างดี โจชัวขยับยิ้มบาง ๆ
ขณะที่นึกหาคำพูดไปด้วย
“ไม่ดีหรอก” อสูรกล่าวในที่สุด “มันเหมือนเจ้าหยุดอยู่ที่ช่วงเวลาหนึ่งไปตลอดกาลทั้งที่คนรอบข้างของเจ้าค่อย
ๆ ผันเปลี่ยนไปตามกระแสของเวลา”
นัยน์ตาสีสวยที่อันเซียร์นึกชมนักหนาหม่นแสงลง
“ถึงจะแข็งแรง เปี่ยมไปด้วยพละกำลังแต่แรงของเจ้าก็ไม่มีมากพอที่จะหยุดเวลาได้
สุดท้ายเจ้าทำได้แค่มองคนรอบตัวที่เจ้ารักค่อย ๆ ตายจากไป” รอยยิ้มยังคงอยู่ที่ริมฝีปากแต่อันเซียร์รู้สึกว่ามันดูฝืดเฝือนสิ้นดี
“บางครั้งเจ้าอาจจะถามตัวเองว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร สุดท้ายเมื่อเจ้าหาคำตอบไม่ได้เจ้าก็ทำได้แค่อยู่ต่อไปเหมือนซากศพ...
นานเข้าเจ้าก็ไม่อาจรับใครเข้ามาในหัวใจเจ้าได้
เพราะเจ้าไม่อยากเสียใจในวันที่พวกเขาต้องจากเจ้าไปอีก”
ความเงียบงันโรยตัวระหว่างพวกเขาอีกครั้ง
“แล้วเจ้าล่ะ” ชายหนุ่มถาม “เจ้ามีเหตุผลไหม”
“ข้าเลิกคิดเรื่องพวกนั้นตั้งแต่หนึ่งร้อยปีแรกผ่านไป”
อีกฝ่ายว่าพลางกลั้วหัวเราะ
“แต่ข้าว่าตอนนี้เจ้ามีเหตุผลแล้วนะ”
อันเซียร์แย้ง โจชัวเลิกคิ้ว หันมองใบหน้าอมยิ้มของอีกคนอย่างไม่เข้าใจ “อยู่เพื่อข้า”
โจชัวรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาเต้นขึ้นมาหนึ่งจังหวะ
ทั้งที่มันไม่จริง
“เวลาของเจ้ากับข้าไม่เท่ากัน”
เขาว่าเสียงแผ่ว แต่พอเห็นสายตาคมกล้าคู่นั้นแล้วก็ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อเรียกกำลังใจที่จะพูดต่อ
“ช่วงชีวิตของเจ้าเมื่อเทียบกันแล้วมันแสนสั้น
ผิดกับข้าที่ช่างยืนยาว...และไม่มีวันสิ้นสุด”
“โจชัว เอนด์เลส” ชายหนุ่มเรียกเสียงนุ่ม
นิ้วเรียวยาวเกี่ยวกลุ่มผมนุ่มดังแพรไหมเล่นด้วยความเคยชิน “ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้อย่างหนึ่ง”
“อะไร ?”
นัยน์ตาสีเดียวกับผืนฟ้ายามรัตติกาลนั่นมองนิ่ง
ให้ความรู้สึกทั้งมั่นคง หนักแน่น ขณะที่ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยมาช้า ๆ แต่สั่นสะเทือนใจของคนฟังได้ไม่น้อย
“ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า
--- ต่อให้กายข้าไม่อยู่กับเจ้า แต่ใจของข้าอยู่กับเจ้าเสมอ”
xxxxxxxxxxxxxxx
‘อันที่จริงข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้กับเจ้านักหรอกนะ
โจชัว’ นางเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงัน
โจชัวละดวงตาจากใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวในอ้อมแขนขึ้นสบใบหน้าเปื้อนยิ้มของสตรีผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น
‘มารดา’ ขณะที่ริมฝีปากเหยียดยิ้มหยัน ‘ข้าไม่เชื่อ’
เจ้าหล่อนเลิกคิ้ว
‘มันมีหนทางแก้คำสาปอยู่’
‘อะไร’
เหมือนปลางับเหยื่อ
เอลวิเซร่าหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
‘เมื่อไรก็ตามที่ความรักครอบคลุมจิตใจโดยที่ไม่สนอะไรแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเจียนตายถูกแสดงออกมา
หนทางแห่งความเป็นนิรันดร์จะสิ้นสุดลง’
โจชัวไม่เข้าใจ
--- เอลวิเซร่ารู้ดี
‘บางทีการทนอยู่กับคำสาปอาจจะง่ายกว่า
จริงไหม’ เจ้าหล่อนถามก่อนที่จะกลืนหายไปกับความมืด
ในตอนแรก...
โจชัวเฝ้ารออย่างมีความหวัง
หวังว่าหนทางแห่งการแก้คำสาปอาจจะไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น
แม้ผู้คนจะหวาดกลัวและขับไล่เขา เขาก็ยังเฝ้าทน
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งร้อยปีโจชัวก็เลิกรอ...
ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ
ร่างหนึ่งยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อะไรกัน...”
ดอกกุหลาบดอกงามสีแดงสดถูกบรรจงรวบไว้เป็นช่อประคองไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจไม่ใช่ช่อกุหลาบนั้นหากคือเลือดสีแดงหยดหนึ่งที่กลิ้งลงกระทบพื้นหิมะ
มันมาจากปลายนิ้วของเขาเอง...
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโจชัวสัมผัสได้ว่าร่างกายเขาไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง
ไม่ต่างจากซากศพที่มีชีวิต
และโดยปกติแล้วบาดแผลที่ไม่ได้เกิดจากเงินมักจะสมานตัวอย่างง่ายดายโดยใช้ระยะเวลาไม่นาน
แต่ครั้งนี้ผิดออกไป
นอกจากหยดเลือดที่กำลังหลั่งแล้วบาดแผลกลับไม่ยอมสมานตัวแต่โดยดี
โจชัวรู้สึกเหมือนหัวตื้อไม่หมด
คิดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาก็ทำเพียงคัดเลือดออกจากปลายนิ้วแล้วหาผ้าเล็ก
ๆ มาพันห้ามเลือดไว้
เมื่อกลับเข้ามาในปราสาท
ผ้าที่พันนิ้วไว้ก็ถูกเนรเทศออกไปและถูกแทนที่ด้วยถุงมือที่เขาเก็บไว้เมื่อนานมาแล้วแทน
และก็เป็นไปอย่างที่เขาคิด...
“วันนี้เจ้าใส่ถุงมือหรือ ?”
อันเซียร์ทักทันทีที่พบ
อสูรหนุ่มรับคำในลำคอขณะที่เดินไปเปลี่ยนช่อดอกกุหลาบในแจกันอย่างเคย
เขาเปลี่ยนมาใช้ดอกกุหลาบใส่ในแจกันตั้งแต่ครั้งที่ชายหนุ่มผู้ที่เขายกให้เป็นเจ้าของห้องบาดเจ็บจากคมเขี้ยวสุนัขป่า
ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าเกิดอารมณ์กรุ่นในอกจนเหมือนจะระเบิดออกมาทั้งที่ไม่เคยเป็น
แต่ทุกอย่างก็หายไปทันทีที่อีกฝ่ายยื่นดอกไม้เล็ก
ๆ ดอกหนึ่งให้เขา
‘ข้าไม่รู้ว่าเจ้าโกรธอะไร
แต่กลับมาเถอะนะ’
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ---
โจชัวรู้สึกเหมือนเขากำลังปล่อยมือจากต้นกุหลาบต้นนั้นทีละน้อย ปล่อยมือจากเธอ...
เขายังดูแลเหมือนเดิม
ยังรักษาต้นกุหลาบนั้นไว้เหมือนเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเขาตัดสินใจมอบให้ใครบางคน
โจชัวไม่รู้ว่ามันถูกหรือเปล่า
แต่เขาคิดว่าเขาทำดีแล้ว
“ทำไมถึงใส่ถุงมือล่ะ”
อันเซียร์เดินเข้ามาใกล้ พินิจมองมือเรียวขาวที่ถูกบดบังโดยผืนผ้าอย่างแปลกตา
อสูรหนุ่มนิ่งไปนิดก่อนจะตอบ
“เวลาที่เจ้าจับมือข้า
เจ้าจะได้ไม่หนาวมาก” เขาเอ่ยไปถึงเรื่องปกติที่อีกฝ่ายชอบทำอยู่เป็นประจำ “อากาศปกติก็เย็นอยู่แล้วยิ่งมาจับมือเย็น
ๆ ของข้าคงไม่รู้สึกดีนัก”
เท่านั้นล่ะ...โจชัวก็ได้รับรอยยิ้มเจิดจ้าเป็นคำตอบ
ในคืนนั้น
ร่างสองร่างแนบชิดภายใต้ผ้าห่มผืนเดียว มือของทั้งคู่นั้นกุมประสานไว้จนถึงเช้า
xxxxxxxxxxxxxxx
อากาศเหมือนจะอุ่นขึ้นเล็กน้อย...
พายุที่เคยพัดลมหนาวจับใจก็ดูเหมือนจะลดลงไปด้วย
เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่นานฤดูหนาวก็จะผ่านพ้นไป ความแห้งแล้งต่าง ๆ
ก็กำลังจะถูกปกคลุมด้วยความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
“ข้าคิดมาสักพักแล้ว”
อันเซียร์เปรยขึ้นทั้งที่ยังคงมองดวงดาวที่พราวระยับราวกับมีคนนำกากเพชรมาโรยไว้อยู่เต็มท้องฟ้า
วันนี้ฟ้าใสกว่าทุกวัน “ข้าอยากกลับบ้าน”
อันเซียร์รู้สึกเหมือนลมหายใจของเขาติดขัดยามสบตากับร่างข้างกาย
“ข้าเข้าใจ”
อสูรแสนงามเอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงต่ำ
“ฟังข้าก่อนสิ...”
พรานหนุ่มละล่ำละลักอธิบาย “ที่ข้าอยากกลับบ้านเพราะข้าอยากไปจัดการเรื่องที่มันค้างคาทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย
เพื่อ...”
อันเซียร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเก้อกระดาก
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความมั่นใจ
“เพื่อมาอยู่กับเจ้า”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแก้มทั้งสองข้างเห่อร้อนขึ้นกะทันหัน
ยิ่งยามที่มรกตคู่งามนั้นเหลือบขึ้นมาสบยิ่งรู้สึกมือไม้เกะกะไปทุกที
เหมือนมีผีเสื้อพยศอยู่เป็นร้อยภายในท้อง ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติที่สุด
“ข้าขอเวลาหนึ่งสัปดาห์ในการจัดการเรื่องทั้งหมดที่นั่น”
เสียงทุ้มแฝงแววเว้าวอน “เจ้าเชื่อข้าไหม”
“มากกว่านั้น...ข้าก็ให้ได้”
ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่ดวงตากลับไหววูบอย่างที่ไม่มั่นใจเอาเสียเลย
อันเซียร์รู้สึกเหมือนอยากกัดลิ้นตัวเองทิ้งนักยามที่เห็นกระแสไหววูบของดวงตาคู่นั้น
เขาสาบานกับตนเองในใจว่าเขาไม่มีทางรอคอยให้เวลาผ่านไปถึงหนึ่งสัปดาห์แน่นอน
นิ่งอยู่นานกว่าที่โจชัวจะค่อยคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“ข้าเชื่อใจเจ้า อันเซียร์”
ชายหนุ่มยิ้ม เสียงนุ่ม ๆ
ที่เรียกชื่อเขานั้นชวนให้หัวใจอุ่นขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะผิดสัญญาหรอก
โจชัว”
เขากระซิบยามที่แนบริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนหน้าผากเย็นเยียบ
เรียกความสั่นไหวในอกทั้งของตัวเขาเองและของเจ้าของมรกตคู่งามนั้นจนได้
ชายหนุ่มเอ่ยย้ำทันทีที่ผละจาก
“ข้าไม่มีวันผิดสัญญา
เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าไม่ชอบข้า”
xxxxxxxxxxxxxxx
Talk
แฮ่
เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะเปิดเทอมอีกแล้วค่ะ
แล้วเดี๋ยวก็จะหายตัวอีกแล้วค่ะ #ร้องไห้
แต่ถึงอย่างนั้นเราอยากบอกว่าเราไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่
ๆ
และที่แน่ ๆ
คืออีกไม่นานเดี๋ยวก็จะจบแล้วค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่าน
ขอให้มีความสุขในการอ่านนะคะ ;]]
ความคิดเห็น