คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 4 :: ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
Chapter 4
แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องมายังร่างสองร่างที่ยืนประจันหน้ากันท่ามกลางพื้นหิมะสีขาวโพลน
หนึ่งคือหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ยืนเชิดหน้าอย่างถือดี
ใบหน้าสวยสะคราญ ดวงตาคมจ้องมองอีกร่างหนึ่งอย่าสาแก่ใจ
อีกหนึ่งคือร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มผู้มีผิวกายซีดขาวจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินที่แล่นริ้วตามร่างกาย
สองแขนแข็งแรงอุ้มร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวคนหนึ่งไว้ ดวงตาสีมรกตคู่นั้นแห้งผากแม้จะแดงก่ำราวกับจะร้องไห้
‘ท่านทำแบบนี้ทำไม’
เสียงนุ่มที่ถูกเปล่งออกมาคล้ายจะเป็นตวาด ‘ท่านจะแก้แค้นข้า...ข้าไม่ว่า
ทำไมต้องยุ่งกับนาง’
‘เพราะนางคือคนที่เจ้ารัก’
เสียงนั้นหวานทว่ากลับเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ ‘ความรักหนอความรัก... ทำให้คนฉลาดตามืดบอด นักปราชญ์กลายเป็นคนโง่เขลา
แค่เพราะรักยอมกระทั่งแลกชีวิต’
‘...’
‘มีความสุขไหมกับชีวิตใหม่ที่นางมอบให้เจ้า’
ริมฝีปากงามแสยะยิ้มทั้งพอใจ
สาสมและปวดร้าว
‘น่าเสียดายที่ชีวิตใหม่นี้หัวใจกลับไม่เต้น
ร่างกายไร้ความรู้สึก แต่ข้ารู้...ว่าเจ้าจะทรมานกับชีวิตที่เจ้าได้มากเพียงไหน’
นางหัวเราะ ‘จงเจ็บปวดให้ยิ่งกว่าที่ข้าเคยได้รับ
จงเคียดแค้นให้มากกว่าที่ข้าเคยรู้สึก’
‘โจชัว เอนด์เลส
จงใช้ชีวิตของนาง จงอยู่กับความทรมานนี้ไปชั่วนิรันดร์เสียเถอะ’
จันทร์คืนนี้งามนักแต่อันเซียร์นอนไม่หลับ
แผลที่ไหล่ซ้ายของเขาดีขึ้นมาก
อันที่จริง...เรียกว่าหายสนิทแล้วยังดีเสียกว่าด้วยฤทธิ์ของน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยสัมผัส
ทว่าสิ่งที่รบกวนการนอนของเขาไม่ใช่ความเจ็บปวดของแผล แต่เป็นความฝัน
ฝันประหลาดที่เขาฝันถึงทุกค่ำคืนนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
ทุกคืนเขามักฝันถึงเหตุการณ์ประหลาด
มักได้ยินเสียงพูดคุยของหญิงสาวและชายหนุ่ม
บางครั้งเขาได้ยินเสียงร้องไห้และการก่นด่าแต่ทุก ๆ ครั้ง
ภาพที่เห็นกลับเลือนรางจนบางครั้งก็หายไปยามที่เขาตื่น
ทว่าคืนนี้ไม่ใช่แบบนั้น...เขาจำได้ดีถึงความสาแก่ใจของหญิงสาวคนหนึ่ง
และใบหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวไร้วิญญาณในอ้อมแขน
หญิงสาวผู้มีใบหน้าเดียวกับหญิงสาวในภาพวาด
และชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเดียวกับเจ้าของปราสาท
โจชัว เอนด์เลส...
“ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน”
ราวกับรู้ใจ...
อันเซียร์หันกลับไปมองร่างสูงเพรียวใต้เงามืดที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง
ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มอ่อนเมื่อเห็นดอกกุหลาบสีแดงสดในมือขาวซีด
“ถ้าข้านอนแล้วก็คงไม่เจอเจ้า”
อันเซียร์หัวเราะร่วนเมื่อเห็นเจ้าของปราสาทส่ายศีรษะให้อย่างระอาใจในยามที่ร่างเพรียวขยับไปเปลี่ยนดอกกุหลาบในแจกันข้างเตียง
ชายหนุ่มกระโดดลงจากระเบียง
ขยับเดินเข้ามาใกล้ก่อนคว้าข้อแขนขาวเมื่อมือคู่นั้นละออกจากดอกกุหลาบในแจกัน
แรงกระตุกที่ข้อมือไม่เบานักดึงให้ร่างที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาเข้าไปใกล้
ใกล้มากเสียจนโจชัวอดไม่ได้ที่จะเกร็งตัวขึ้นมาด้วยความระแวดระวัง...
ปลายนิ้วอุ่นร้อนสัมผัสตามโครงหน้าก่อนที่จะผละจากไปคลอเคลียกับกลุ่มผมสีดำสนิทแทน
ข้อนิ้วเรียวเกี่ยวปอยผมที่ปรกตามใบหน้าไปทัดข้างหู
นัยน์ตาสีเขียวใสเหลือบมองใบหน้าคมเข้มของชายวัยฉกรรจ์เบื้องหน้า
รับรู้ได้ถึงระยะที่ใกล้กันจนเกินไปจนต้องเบือนหน้าหนีนัยน์ตาคมกล้าที่มองสบไม่มีหลบ
โจชัวรู้สึกเหมือนก้อนเนื้อที่ตายแล้วในอกเต้นขึ้นมาทั้งที่มันไม่เป็นจริง
อันเซียร์ถือโอกาสสำรวจดวงหน้าเรียวที่เคยแต่พิศมองไกล
ๆ เมื่อมีโอกาสได้มองใกล้ ๆ ขนาดนี้คำที่เคยนึกชมอีกฝ่ายในใจอาจจะไม่พอ
อีกฝ่ายไม่ได้สวยเหมือนหญิงสาวโฉมงามในความฝันทว่ามีแรงดึงดูด
แรงที่ชวนให้ใครก็ตามไม่เป็นตัวของตัวเองเอาง่าย ๆ
“โจชัว...”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วชิดริมหู “มีใครเคยบอกไหมว่าเจ้าสวยมาก...”
‘มีใครบอกพี่ไหมว่าพี่สวยมาก...
สวยกว่าข้าอีก’
ประโยคคุ้นเคยดังขึ้นในหัวยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง
(ทั้งที่เขาไม่หายใจ ?) ไปทุกที
ร่างสูงเพรียวถึงได้ขยับออกห่างเพื่อรักษาระยะห่างอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ
การกระทำที่อยู่ในสายตาของพรานหนุ่มตลอดเวลาชวนให้อันเซียร์ขยับยิ้มกว้างขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะเอ็นดูหรือว่าอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนไม่สามารถควบคุมอะไรที่เป็นร่างกายตัวเองได้เลยสักอย่าง
โดยเฉพาะก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ที่อกด้านซ้าย เขายอมปล่อยมือออกจากข้อแขนเย็น ๆ แต่
โดยดี ทั้งยังไม่วายสำทับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ขอโทษที”
โจชัวไม่ตอบ... ทั้งยังเดินหนี
ทิ้งไว้เพียงความสั่นไหวในอกของคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
xxxxxxxxxxxxxxx
ในคืนที่หนาวเหน็บจนถึงขั้วกระดูก...แต่เขากลับไร้ความรู้สึก
พื้นดินตรงนั้นเขาฝังร่างไร้วิญญาณของเธอไว้
--- พร้อมเมล็ดพันธุ์กุหลาบ ที่เธอชอบนักหนา
เขาขุดดินทั้งที่หัวใจที่ไม่เต้นของเขาบีบรัดด้วยความทรมาน
กลบดินทั้งที่รู้สึกเหมือนร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตารินไหล กรีดร้อง
คร่ำครวญทั้งที่รู้แก่ใจว่าเธอไม่มีทางหวนกลับคืนมา ในหัวมีแต่คำว่าทำไม
ทำไมเธอถึงเลือกทางเช่นนี้
เขาเจ็บปวด...เขาไม่ว่า
เขาทรมาน...เขาไม่สน
แต่กับเธอ
--- หญิงสาวที่เขาเฝ้ารักและทะนุถนอม
โจชัวหวังเหลือเกินว่าเธอควรมีชีวิตที่ดีต่อให้ไม่มีเขา ควรที่จะจากไปบนเตียงอุ่น
ๆ ท่ามกลางลูกหลานมากมายพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า สิ้นใจด้วยความแก่ชราอย่างสงบไม่ใช่เพราะเขา
พื้นดินตรงนั้นเขาดูแล
ใส่ใจ ทดแทนช่วงเวลาที่ควรจะมีของเธอ --- จนกุหลาบนั้นงอกงาม ผลิดอกสวยสะพรั่ง
แด่เธอผู้เป็นที่รัก
ซาดีนา...
เป็นอีกคืนที่อันเซียร์นอนไม่หลับ...
ความชื้นที่ปลายหางตายังคงอยู่
ความหน่วงในอกยังคงชัดเจน
ยิ่งอันเซียร์นึกถึงความฝันในค่ำคืนนี้มากเท่าไรดูเหมือนความปวดหน่วงนั้นยิ่งทวีมากขึ้นทุกที
เสียงไม้ปริแตกจากเตาผิงดึงสายตาให้เขาหันกลับไปมอง
ร่างสูงเพรียวในความฝันอยู่ตรงนั้น
มือเรียวนั้นเขี่ยฟืนไม้ในเตาผิงเก่า ๆ ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงของเขา ดวงตาคู่นั้นสบกับเขาอยู่นานกว่าที่เสียงนุ่ม
ๆ จะยอมเอ่ยออกมา
“ลมแรง ไปนั่งตรงนั้นนาน ๆ
เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
โจชัวขยับยิ้มบางเมื่อพรานหนุ่มยอมขยับเข้ามาจากระเบียงแต่โดยดี
ร่างสูงสะโอดสะองนั้นขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่จะทิ้งตัวอยู่เคียงข้างกับเขา
โจชัวขยับออกห่างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่าง
ไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายเป็นอะไรที่เขาไม่ชินเอาเสียเลย
แม้ว่ามันอุ่นจนลามมาถึงหัวใจเขาด้วยก็ตามที
อันเซียร์มอง --- อดรู้สึกไม่ได้ว่าดวงตาสวย
ๆ ของอีกฝ่ายเหมือนจะทาบทับด้วยความเศร้าตลอดเวลา
“เต้นรำกัน”
อันเซียร์โพล่งขึ้นมาในความเงียบ
โจชัวอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงแปลกประหลาดออกไป
แต่เมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาคมกล้าที่จ้องมองมาก่อนเขาถึงรับรู้ว่าอีกฝ่ายเอาจริง
อันเซียร์เม้มริมฝีปากด้วยความไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมถึงกล่าวแบบนั้นออกไป
สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวมีเพียงภาพความทรมานของเจ้าของปราสาทในความฝัน กับจิงจี๋...
‘จิงจี๋ชอบเต้นรำหรือ
?’ เขาจำได้ว่าเคยเอ่ยถามเธอเมื่อนานมาแล้ว
‘ไม่ใช่’ เด็กสาวปฏิเสธเสียงใส ‘ข้าชอบเต้นกับพี่ต่างหาก’
‘ทำไมล่ะ ?’
‘ข้ารู้สึกดี
รู้สึกดีมาก ๆ’ สาวเจ้าว่า ‘เวลาที่ข้าไม่สบายใจแล้วได้เต้นกับพี่
มันเหมือนพี่กำลังปลอบข้าอยู่เลย’
เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ
ดังมาจากร่างข้างกาย
อันเซียร์เลิกคิ้ว
ทั้งประหลาดใจแต่ก็อดดีใจไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ชายหนุ่มคว้าแขนเรียวก่อนจะออกแรงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนตาม สบโอกาสที่จะสาวเท้าเข้าประชิดตัว
อีกแล้ว... เข้าใกล้อีกแล้ว...
โจชัวเหลือบตามองร่างสูงสะโอดสะองที่ยืนอยู่ชิดจนแทบจะหลอมเป็นร่างเดียว
ช่วงนี้เหมือนเขาใกล้ชิดอีกฝ่ายบ่อยมากเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้นไออุ่นจากอีกคนก็ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ทุกครั้งไป
“เจ้าเต้นผู้หญิงเป็นหรือ ?”
อันเซียร์ไม่ตอบแต่ว่าคว้ามือของเขาไปวางไว้บนเอวตัวเองแทนทั้งยังวิสาสะวางมือใหญ่นั้นลงบนไหล่เขาเสียด้วย
อีกมือหนึ่งประคองมือเรียวขึ้น กระชับมั่น
“อย่าเกร็ง” เสียงทุ้ม ๆ
กระซิบชิดริมหูเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งตัวจากเจ้าของปราสาทคนงาม “ปล่อยตัวตามสบาย
ไม่มีอะไรต้องกลัว”
เท้าสองคู่ค่อย
ๆ ขยับเป็นจังหวะ
เงอะ ๆ งะ ๆ บ้างในยามแรก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ดีขึ้น
โจชัวหลับตาลง
ระยะใกล้แค่นี้ยิ่งทำให้เขาได้ยินชัดว่าอีกฝ่ายใจเต้นเร็วมากขนาดไหน เป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ใช่แค่เขาที่เป็นฝ่ายประหม่าจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไป
“หัวใจเจ้า...” เสียงที่หลุดออกมาแทบเป็นเสียงกระซิบ
“เต้นเร็วมาก...”
“ไม่แปลกหรอก” อันเซียร์ตอบกลับ
น่าแปลกที่ใจเต้นเร็วขนาดนี้แต่น้ำเสียงยังคงมั่นคง ชายหนุ่มขยับยิ้มอ่อนโยนที่ชวนให้อีกฝ่ายที่ทอดมองอยู่ตาพร่ามัว
“เวลาอยู่กับเจ้า...มันไม่แปลกหรอก”
โจชัวเม้มริมฝีปากแน่น
แม้ว่าร่างกายจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
แต่เขารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยตัวบินวนเวียนอยู่ภายในท้อง
ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินยวง
ร่างสองร่างนั้นขยับเคียงคู่กันไปอย่างเชื่องช้า
xxxxxxxxxxxxxxx
ไออุ่นที่รายล้อมอยู่รอบตัวนั้นไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
เปลือกตาบางกระพริบเปิดอย่างเชื่องช้า
ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือริมระเบียงสีนวลที่ตัดกับผืนฟ้าสีเข้มที่ขอบฟ้าทอประกายสีอ่อน
บ่งบอกถึงเวลายามรุ่งสาง
สิ่งต่อมาคืออ้อมแขนแข็งแรงที่โอบกระชับอยู่รอบกายรวมถึงผ้านวมผืนหนาที่ถูกเนรเทศลงจากเตียงมาอยู่ข้างเตียงเสียแทน
ถัดมาคือเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพรานหนุ่ม
รวมถึงใบหน้ายามหลับใหลที่โจชัวเคยเห็นมากี่ครั้งไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ได้ใกล้ชิดเท่าครั้งนี้...
ในความมืดนั้น...โจชัวยิ้ม
กี่สิบกี่ร้อยปีมาแล้วที่เขาไม่เคยหลับในยามที่พระจันทร์อยู่บนท้องฟ้า
ไม่เคยหลับพร้อมไออุ่นที่รายล้อมอยู่รอบกาย
ไม่เคยหลับโดยที่มี
คน ตระกองกอดเขาอยู่
โจชัวอดรู้สึกไม่ได้ว่าบางครั้งสิ่งที่เขารอคอยกำลังจะมาถึง
หนทางดำมืดที่กัดกินหัวใจเขาเป็นเวลานานอาจกำลังจะสิ้นสุดลง
แค่นึกถึงหัวใจพลันอุ่นวาบแต่ก็บีบรัดในครั้งเดียวกัน
“ขอบคุณนะ...”
ความว่างเปล่าข้างกายฉุดรั้งสติให้คืนมา...
อันเซียร์ขมวดคิ้วยามที่สองแขนทำได้เพียงโอบกระชับความว่างเปล่า
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเพื่อพบว่าร่างข้างกายที่เคยนอนหนุนกันมาทั้งคืนได้อันตรธานหายไปแล้ว
ทิ้งไว้เพียงผ้านวมผืนหนาที่โอบรอบสองร่างให้ผ่านพ้นความหนาวเหน็บยามค่ำคืนเอาไว้
ผ้านวมผืนหนาถูกกระชับเข้าจนไม่เหลือช่องว่างที่เคยมี
เสียงนกร้องดังทำนองต้อนรับวันใหม่แว่วอยู่ลิบ
ๆ ขณะที่ขอบฟ้าค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง บรรยากาศรอบข้างค่อย ๆ สว่างขึ้นเป็นลำดับ
อันเซียร์ทิ้งศีรษะลงพิงขอบเตียง นอนมองธรรมชาติเบื้องหน้าอยู่นาน
ริมฝีปากขยับยิ้ม
ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง...
xxxxxxxxxxxxxxx
Talk
แอ๊ะ กลัวคนอ่านจะงงจังเลยค่ะ
อนึ่งว่าตัวเราเองยังไม่รู้เลยว่าเขียนอะไรลงไป
แฮ่ ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ
ป.ล.
ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังว่าคนอ่านจะยังมีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ;]]
ความคิดเห็น