ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic No Hero] Gentleman and The Beautiful Beast [อันเซียร์ x โจชัว]

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3 :: การเฝ้ารอที่มีวันสิ้นสุด

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 58




    Chapter 3

     

    เข็มนาฬิกากำลังเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า...

     

    ดวงจันทร์สีเงินยวงลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ส่องแสงสว่างอย่างโดดเดี่ยวบนผืนฟ้าสีดำสนิท ส่องสว่างเสียจนกลบรัศมีดาวบนท้องฟ้าไปเสียหมดสิ้น มีเพียงเงาสะท้อนบนพื้นน้ำเท่านั้นที่ยังคงอยู่เป็นเพื่อน

     

    โจชัว เอนด์เลส ระบายลมหายใจหนักหน่วงในอก

     

    ทั้งที่ก้อนเนื้อในอกไม่เต้นมานานนับร้อยปีแต่ความรู้สึกหน่วงยังคงถ่วงอยู่ไม่เคยหายจนน่าประหลาดใจ ปลายนิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนค่อย ๆ ลูบผิวกายเย็นเฉียบของตัวเองอย่างเหม่อลอย อากาศรอบกายกำลังเย็นขึ้นทุกทีแต่เขากลับไร้ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น

     

    เพราะสิ่งที่เดียวที่ทำให้เขารู้สึกได้คงเป็นความแสบร้อนจากแสงตะวัน

     

    หลายวันแล้ว --- ที่โจชัวตัดสินใจไม่ไปพบหน้าชายหนุ่มผู้มาเยือนพร้อมปณิธานอันแน่วแน่ว่าจะฆ่าเขา ในตอนแรกเขาเองไม่ได้รับรู้ถึงความตั้งใจนี้จนกระทั่งวันก่อนที่เขาตัดสินใจหยั่งเชิง...

     

    และจากปฏิกิริยาที่ตอบกลับมามันคงเป็นความจริง

     

    โจชัวไม่แปลกใจ การที่ต้องเดินทางมาพบกับอสูรร้ายอย่างเขามีใครบ้างที่ไม่เตรียมอาวุธมาเพื่อจัดการเขา ครั้งแรกที่พบหน้ากัน...สัญชาตญาณภายในตัวเขากรีดร้อง กรีดร้องว่าผู้ชายตรงหน้าเขาอันตรายจนไม่สามารถปล่อยให้รอดชีวิตไปได้จนกระทั่งเขาสบนัยน์ตาคู่นั้น

     

    นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ทอประกายแน่วแน่...เหมือนกันกับเธอ

    เธอ --- ที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็น

     

    ในวินาทีนั้นโจชัวรับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีวันฆ่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และก็เป็นวินาทีนั้นเช่นกันที่ใจของเขามีความหวังเล็ก ๆ ถูกจุดขึ้นมา

     

    บางที... หนทางของคำสาปร้ายอาจจะกำลังสิ้นสุดลง

     

    “...โจชัว”

     

    นี่ก็เหมือนกัน...

     

    ดวงตาสีมรกตเบนกลับมามองร่างสูงสะโอดสะองภายใต้ผ้านวมผืนหนา แสงจันทร์นวลที่สาดส่องเข้ามาเผยใบหน้าที่งดงามราวเทพบุตร หยอกล้อกับกลุ่มผมสีเงินยวงจนทอประกายราวกับไหมชั้นดี ดวงตาคู่สวยนั้นหลับพริ้มเพราะกำลังตกอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุข

     

    โจชัวไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ชื่อของเขาได้ด้วยวิธีใด และไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไรแต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มละมุนนั้นเอ่ยเรียกชื่อเขา ความรู้สึกสั่นไหวในอกที่เกิดขึ้นนั้นก็ยากที่จะรับมือ

     

    “เจ้าหายไปไหน...”

     

    โจชัวขยับเข้าไปทรุดนั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองดวงหน้าของคนที่ยังอยู่ในความฝันในขณะที่เอื้อมมือไปปัดปอยผมที่ตกมาปรกหน้าอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะขยับผ้านวมผืนหนาให้ขยับขึ้นมาคลุมบนอกกว้าง

     

    “กลับมาเถอะ...”

     

    คำรำพันนั้นทำให้อสูรหนุ่มอดไม่ได้ที่จะระบายยิ้มเจือจางบนริมฝีปาก มรกตคู่งามอ่อนแสงลง

     

    “ราตรีสวัสดิ์” เสียงนุ่มเอ่ยแผ่วไม่ต่างจากคำกระซิบ “...อันเซียร์ อัน”

     

    เขาไปแล้ว...

     

    อันเซียร์สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าข้างกาย เปลือกตาที่เคยปิดสนิทถึงค่อย ๆ กระพริบเปิดอย่างแช่มช้าพร้อมกับลมหายใจหนักหน่วงในอกที่ถูกถอดถอน รอยยิ้มบางเบาถูกจุดประกายขึ้นภายใต้ความมืดที่โรยตัวอยู่เคียงข้าง

     

    เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรถึงต้องหลบหน้าหลบตาไปหลายวัน บางวันชายหนุ่มนั่งรออยู่ภายในห้องอาหารมืด ๆ จนเผลอหลับไปก็มี แต่ในยามเช้าเขามักพบ ร่องรอยการดูแลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหอมกรุ่น เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งฟืนในเตาผิงเก่า ๆ

     

    และนั่นทำให้ใจของชายหนุ่มอุ่นซ่านขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึง

     

    ไม่ใช่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ อันเซียร์ได้รับการเอาใจใส่บ่อยครั้งไปทั้งจากเพื่อนบ้านและจิงจี๋ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ชวนให้รู้สึกดีเท่าครั้งนี้

     

    เปลือกตาทิ้งตัวลง...

     

    ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เขาคงได้เจอหน้ากัน จริง ๆ เสียที

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    อันเซียร์รู้สึกได้ว่าเขามองนาฬิกาบ่อยเกินไป...

     

    อันเซียร์รู้ตัวและพยายามหลายครั้งที่จะให้ความสนใจกับอย่างอื่นมากกว่านาฬิกา แต่เวลาที่เขารู้สึกตัวทีไรกลับกลายเป็นเขาต้องจ้องมองมันอยู่ทุกครั้งไป และยิ่งใกล้เวลานัดมากขึ้นเท่าไหร่อันเซียร์ยิ่งรู้สึกประหม่าขึ้นทุกที

     

    สาบานได้ว่า --- ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่เขาอยู่ที่นี่ไม่มีวันไหนที่เขาจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยเวลาหนึ่งทุ่มตรงได้มากเท่าวันนี้มาก่อน

     

    และไม่มีวันไหนที่เขารู้สึกว่าทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมได้เท่าวันนี้ด้วย

     

    ชายหนุ่มนั่งกระสับกระส่ายยิ่งเวลานาฬิกาลูกตุ้มเรือนใหญ่ตีบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรงเขายิ่งร้อนรน

     

    ทุกอย่างเงียบสงบ --- มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่ยังทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่อง ผิดกับก้อนเนื้อในอกของเขาที่เต้นช้าลงจนเขายังใจหาย ในอกรู้สึกวูบโหวงอย่างน่าประหลาด ทำได้เพียงจ้องมองประตูบานใหญ่ยังคงปิดสนิทและไร้การปรากฏตัวของเจ้าของปราสาทอย่างที่เฝ้ารอคอย

     

    อันเซียร์ยังคงนั่งอยู่ใต้ความเงียบงัน

    ส่วนลึกในใจกรีดร้องว่า ผิดหวัง

     

    ทำไมถึงไม่มา...

    ทำไมต้องหนีหน้า...

    ทำไมถึง...

     

    ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนุ่ม ในหัวมีแต่คำถามที่ต้องการคำตอบมากมายจนนับไม่ไหว กระทั่งเขากลับมาถึงห้องนี้ได้อย่างไรและตอนไหนเขายังไม่แน่ใจ

     

    ชั่วขณะนั้น --- กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารลอยมาแตะจมูก

     

    อันเซียร์ผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะพบกับโต๊ะยาวที่ไม่เคยมีในห้องถูกตั้งไว้ที่ปลายเตียง บนโต๊ะนั้นประดับด้วยดอกไม้ในแจกันใบงามหนึ่งช่อกับอาหารจำนวนหนึ่ง และตอนนั้นที่พยาธิในร่างกายเขาประท้วงขึ้นมา ทันทีที่อาหารคำแรกเข้าปาก เขาพบว่ามันยังคงความอุ่นไว้บ่งบอกได้ว่าคนที่นำมาวางไว้เพิ่งจากไปได้ไม่นานนัก

     

    “ใจร้ายจริงนะเจ้า...” ชายหนุ่มพึมพำ

     

    ถึงอย่างนั้นบนใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

     

    พรานหนุ่มใช้เวลาไม่มากในการจัดการอาหารทั้งหมด เมื่อดูสิ่งที่หลงเหลืออยู่โดยรวมแล้วอันเซียร์ถึงรู้ว่าเขาหิวมากกว่าที่ตัวเองคิด เขาทิ้งตัวนอนขณะที่ในใจนึกถึงแผนการบางอย่าง

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    หิมะตก...

     

    อันเซียร์สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบที่ปะทะผิวแก้มในยามที่เขาเหม่อมองแสงสีส้มแดงค่อย ๆ ถูกกลืนกินด้วยความมืด อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดจนต้องกระชับเสื้อคลุมตัวหนาเข้าหากัน หูแว่วได้ยินเสียงสุนัขป่าเห่าหอนอยู่ไม่ไกลนัก

     

    ทันทีที่รอบกายถูกปกคลุมด้วยความมืดสนิท ชายหนุ่มก็เริ่มออกเดิน

     

    นอกจากกองหิมะขาวโพลน ผืนน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งและดอกไม้ยามฤดูหนาวแล้วอันเซียร์ไม่เห็นสิ่งใดอยู่รอบกายอีกเลยนอกจากเสียงเห่าหอนที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที คำสั่งห้ามออกไปไหนมาไหนตอนกลางคืนไม่มีอยู่ในความคิดแม้แต่น้อย

     

    อันเซียร์ยืนมองดอกไม้ในมือนานนับนาที เขาไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน กลีบของมันสวยและบอบบางทั้งยังเรียงซ้อนกันเป็นระเบียบ สีนวลตาชวนให้รู้สึกสบายใจเวลาที่มอง น่ากลัวว่าหากเขาใช้แรงแตะแล้วมันอาจจะเฉาตาย

     

    ชายหนุ่มบรรจงเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวหนาอย่างเบามือที่สุด หวังเพียงว่ามันจะอยู่ดีจนกว่าจะถึงมือเจ้าของตัวจริง

     

    ฝีเท้าที่ก้าวสม่ำเสมอชะงักลง...

     

    เบื้องหน้าของเขาคือสัตว์สี่เท้าหน้าขนที่ปกติมีนิสัยน่ารักเป็นพัก ๆ แต่ดูท่าฝูงที่ยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้าเขาคงจะไม่ค่อยน่ารักเสียเท่าไหร่ ด้วยขนาดตัวพอ ๆ กับลูกม้าขนาดย่อม ๆ ที่ใหญ่กว่าหมาป่าปกติไปไกลโข ดวงตาของพวกมันแดงก่ำราวกับเลือด จ้องมองมาที่เขาราวกับเป็นอาหารอันโอชะ

     

    พวกมันไม่ขู่... ไม่ส่งเสียง... เพียงแค่จ้องมองทุกความเคลื่อนไหว

     

    ก่อนที่มันจะกระโจนเข้ามาหมายจะขย้ำให้ตาย !

     

    ดาบสั้นที่พกติดตัวอยู่เสมอถูกนำขึ้นมากันคมเขี้ยวที่กะฝังให้จมบนร่างได้อย่างฉิวเฉียด พรานหนุ่มยกขาซัดเข้าที่กลางตัวจนมันร้องเอ๋ง กระโดดล่าถอยไปเพียงสองสามก้าวท่ามกลางความตกใจ ดูท่างานนี้จะหนักกว่าที่เขาคำนวณไว้เสียแล้ว

     

    ถึงอย่างนั้นอันเซียร์ยังคงใจเย็นค่อย ๆ ประเมินหาทางหนีทีไล่ เขาไม่เคยล่าหมาป่าที่ใหญ่และดุร้ายขนาดนี้มาก่อน และตอนนี้เขาก็ไม่คิด ล่าคิดเพียงแค่ขอให้ รอด

     

    เวลากลางคืนไม่ใช่เวลาที่ดีนักสำหรับการออกข้างนอก

     

    ประโยคคุ้นหูแล่นเข้ามาในความคิด จังหวะเดียวกับที่เขาถูกเจ้าสัตว์หน้าขนกระโจนทุ่มเข้าใส่จนเสียหลักล้มลง ดาบสั้นในมือยังถูกกระชับแน่นแต่ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะลงมือเนื่องจากกลัวว่ากลิ่นคาวเลือดของพวกมันจะชักพาให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมหากมีสิ่งมีชีวิตที่อันตรายกว่านี้อยู่บริเวณนี้

     

    เสียงคำรามเหนือหัวเร่งให้สมองหมุนเร็วจี๋แต่สัญชาตญาณในกายกลับกระตุกให้มือเจ้ากรรมเงื้อขึ้นสุดแรงก่อนจะแทงลงที่หลังคอมันอย่างแรงในจังหวะที่มันก้มลงกระชากเนื้อที่หัวไหล่เขา

     

    มันล้มลง ชายหนุ่มถีบมันออกอย่างแรง

     

    จัดว่าโชคดีที่มันสิ้นลมลงในดาบเดียวทำให้แผลที่มันกัดเข้ามายังไม่ร้ายแรงมากเท่าไหร่ หากไม่แล้วอาจจะกลายเป็นเขาที่สิ้นลมแทน ถึงอย่างนั้นอันเซียร์ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนผืนน้ำแข็ง หัวไหล่ซ้ายปวดหนักจนร้องไม่ออก ทำได้เพียงมองเจ้าสัตว์หน้าขนตัวใหญ่กระโจนเข้ามา

     

    เปรี๊ยะ

     

    เขาเห็นรอยร้าวบนพื้นน้ำแข็งสลับกับมันที่กระโจนเข้ามาหาหวังจะตะครุบเขาทั้งตัวก่อนที่ร่างทั้งร่างจะร่วงลงไป

     

    ในยามที่ร่างกายถูกโอบล้อมด้วยความเย็นเฉียบจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

    ในยามที่ร่างกายเจ็บปวดดังโดนเข็มนับร้อยนับพันเล่มกระหน่ำแทง

     

    ในยามนั้นคอเสื้อถูกขยุ้ม --- แรงมหาศาลกระชากเขาขึ้นมาจากผืนน้ำ

     

    “อันเซียร์ !

     

    ลมหายใจต่อลมหายใจ

     

    ไม่รู้ว่าเพราะเสียเลือดมากเกินไปหรือเปล่าแต่ภาพเบื้องหน้าของเขามืดสนิท มีเพียงเสียงที่เขาคิดถึงกับสัมผัสเย็นเฉียบบนร่างกาย

     

    แล้วสติทั้งหมดก็หายไป...

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    รักมันมากนักหรือ

     

    หญิงสาวนั่งทรุดอยู่กับพื้นสะอื้นคล้ายจะขาดใจ แขนเล็ก ๆ ชุ่มไปด้วยเลือดโอบประคองร่างหนึ่งไว้แนบอก เสียงหายใจที่เธอได้ยินนั้นแผ่วเบาจนน่าใจหาย เธอไม่สนใจหญิงสาวสูงสง่าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอแม้แต่น้อย

     

    ไม่เอานะพี่โจชัว...พี่อย่าทำแบบนี้กับข้า

     

    เจ้าหล่อนกระซิบบอกคนในอ้อมแขนเสียงแหบ โจชัว เอนด์เลส ขยับรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำ มือเรียวขาวที่แทบไร้เรี่ยวแรงยกขึ้นเช็ดหยดน้ำใสที่ปลายหางตาของหญิงสาว

     

    อย่าร้องสิเสียงนุ่มทอดเสียงอ่อน เธอไม่เหมาะกับน้ำตาเลย...ซาดีนา

     

    อย่าร้องบ้าอะไรล่ะเจ้าหล่อนโวยวาย พี่เจ็บหนักขนาดนี้ จะให้ข้ายิ้มเหรอ !’

     

    พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก

     

    ถึงอย่างนั้นลมหายใจกลับแผ่วลงจนน่าใจหาย

     

    เจ้าต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่...เอลวิเซร่าซาดีนาเอ่ยถามหญิงสาวสูงศักดิ์เบื้องหน้าเสียงดังจนเกือบจะเป็นตวาด อะไรที่เจ้าต้องการพวกข้าก็ให้ไปหมดแล้ว เจ้ายังจะต้องการอะไรอีก !’

     

    รอยยิ้มของพวกเจ้ามันน่าหงุดหงิดรอยยิ้มหยันถูกจุดที่มุมปาก ในขณะที่มันทำให้ข้าเจ็บเจียนตายมันกลับไปเสวยสุขอยู่กับเจ้า ข้ากลับมาเพื่อทำให้มันรู้สึกแบบที่ข้ารู้สึก

     

    ซาดีนากระชับร่างในอ้อมกอดแน่นขึ้น

     

    แต่เห็นแก่ที่เจ้ารักมันมาก ข้าจะช่วยมันก็ได้

     

    ซาดีนาเงยหน้ามองหญิงสาวสูงศักดิ์เบื้องหน้าอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

     

    แต่มีข้อแม้...

     

    อย่าไปฟังนาง...เสียงนุ่มนั้นแผ่วหวิวแต่ซาดีนายังคงได้ยิน ผิดที่ว่าเธอไม่สนใจ ซาดีนา...ได้โปรด

     

    ข้อแม้อะไร

     

    หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต

     

     

    เฮือก !

     

    ความอบอุ่นที่รายล้อมเป็นสิ่งแรกที่เขาสัมผัสก่อนที่ความเจ็บหน่วง ๆ บริเวณไหล่ซ้ายจะตามมาเป็นลำดับ น่าแปลกที่มันไม่ได้เจ็บเหมือนดังตอนแรกที่เขาสัมผัสแล้ว เพดานห้องที่คุ้นตาตลอดสองสัปดาห์คือสิ่งแรกที่เขามองเห็น ชายหนุ่มรวมสติอยู่สักพักก่อนที่จะรับรู้ว่าเขากลับมาอยู่ภายในปราสาทอีกครั้ง

     

    แต่...ได้ยังไง ?

     

    “เจ้าฟื้นแล้ว...” เสียงนุ่มที่เขาคิดถึงดังขึ้นจากมุมห้องก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมา อันเซียร์ผวาจะลุกขึ้นแต่ความเจ็บที่แล่นปราดตลอดร่างกายฉุดรั้งให้เขาต้องกลับไปนอนที่เดิม ท่ามกลางสายตาที่ดูอ่อนลงเล็กน้อยของเจ้าของปราสาท “อย่าเพิ่งลุก”

     

    เสียงนุ่ม ๆ ที่ห้วนขึ้นดึงให้ชายหนุ่มปิดปากฉับ ยิ่งเมื่อสบกับดวงเนตรคู่งามที่ทอประกายวาวโรจน์แล้วอันเซียร์ยิ่งรู้ตัว

     

    “ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่ากลางคืนมันอันตราย !” เสียงนั้นดุขึ้นจนอันเซียร์ทำได้เพียงส่งรอยยิ้มไปขัดตาทัพ และเหมือนจะได้ผลเมื่อเจ้าของปราสาทคนงามค่อย ๆ ลดความดุดันลง ปากได้รูปนั้นสั่นระริกเหมือนมีเรื่องที่อยากจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดด้วยคำใดดี สุดท้ายทำได้เพียงสบถเสียงแผ่ว “ดื้อ !

     

    ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ขึ้น มือข้างที่ไม่เจ็บยกขึ้นคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนเย็นเฉียบ

     

    “ข้าดีใจนะ...ที่เจ้าเป็นห่วง”

     

    ข้อแขนเรียวสะบัดออกพร้อมกับตาดุ ๆ ที่ถลึงใส่อย่างเหลืออด

     

    “นอน”

     

    สั้น ๆ ชัด ๆ คำเดียวจบ อันเซียร์ยอมปิดตาลงแม้ในใจจะไม่อยากเอาเสียเลย แต่ดูจากสถานการณ์แล้วหากเขายังคงนอนยิ้มอยู่อีกฝ่ายคงเข้ามาฉีกเขาซ้ำแน่ ๆ

     

    อันเซียร์ได้แต่ระบายรอยยิ้มอยู่ในใจ

     

    ถึงจะผิดแผนไปไม่น้อย

    แต่การได้เจอกันแลกกับการเจ็บตัวนิด ๆ หน่อย

     

    อันเซียร์คิดว่าเขาคุ้ม...

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    Talk

    แฮ่ หลังจากหายไปหลายเดือน ขอโทษค้าบบ

    พอดีว่ายุ่งมากจริง ๆ ไม่มีเวลาพิมพ์เลยหายไปนาน

    ช่วงนี้ปิดเทอม แม้จะไม่กี่วันแต่จะพยายามมาอัพนะคะ ;]]

     

    ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่า

    HL

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×