คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 :: แรกพบประสบพักตร์
Chapter 1
หัวใจของมันหยุดเต้น...แต่ร่างกายสามารถขยับได้
ผิวหนังของมันเย็นเฉียบ...ขาวซีดเพราะไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงชีวิต
เขี้ยวและเล็บของมันแหลมคม...ไว้ฉีกกระชากร่างกายมนุษย์
ดำรงชีวิตด้วยเลือดสัตว์...โปรดปรานเลือดมนุษย์มากที่สุด
.
.
.
แวมไพร์...
xxxxxxxxxxxxxxx
จิงจี๋ทำได้เพียงมองกุหลาบในมือนิ่ง...
มันเป็นสถานการณ์ที่ขำไม่ออก
ร้องไห้ไม่ได้แม้ว่าดวงตากลมโตคู่นั้นจะเริ่มแดงก่ำ
“เสี่ยวจี๋อย่าเครียด !
แค่เราห้ามไม่ให้พ่อกลับไปก็น่าจะพอแล้วน่า !” เมโลดี้
พี่สาวคนโตเอ่ยเสียงดังฉะฉาน มือเรียวโยกหัวลูกสาวคนสุดท้องของบ้านด้วยความเอ็นดู “พวกพี่ไม่ยอมให้พ่อต้องตายหรอก”
“ใช่
ใครจะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกัน” ลูกคนรองอย่าง ‘เกรน’ รั้งศีรษะน้องสาวให้มาซบไหล่
พร้อมหันไปถามความเห็นของน้องชายตัวเองซึ่งได้รับเสียงสำทับตามมา “ใช่ไหมเมย์ ?”
“ใช่ พวกพี่ไม่ยอมให้พ่อเป็นอันตรายหรอก”
ถึงอย่างนั้น...
หัวใจของจิงจี๋ก็ยังปวดหนึบอยู่ดี เธอมองของขวัญราคาแพงในมืออย่างชั่งใจ
ของขวัญที่ต้องแลกด้วยชีวิตคน แลกด้วยชีวิตของพ่อเธอ...
กี่ครั้งแล้วที่มีคนต้องแลกชีวิตเพื่อตัวเธอ
ครั้งแรกคือแม่...เพราะดึงดันที่จะให้กำเนิดเธอ
แม่ถึงอ่อนแอมากและเสียหลังจากนั้นไม่กี่วัน
และครั้งนี้เพราะเธอต้องการดอกกุหลาบที่สวยที่สุด
ทำให้พ่อของเธอไปแตะต้องกับของรักของคนที่ไม่ควรแตะเข้า
วินาทีนั้น...เธอตัดสินใจได้
“ข้าจะไปแทนพ่อเอง
!” เด็กสาวประกาศก้องท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงคัดค้านของพี่สาวพี่ชายของเธอ
“ถ้าหนึ่งดอกแลกหนึ่งชีวิต ชีวิตนั้นก็สมควรเป็นของข้า...เพราะข้าต้องการดอกไม้บ้า
ๆ นี่ ทำให้พ่อต้องเสี่ยงอันตราย”
“พ่อไม่ยอมหรอก !”
เทียนฉาขัดลูกสาวคนเล็กด้วยเสียงอันดัง
“แต่ข้าไม่ยอมให้พ่อตายแทนข้าเหมือนกัน
!”
ก๊อก
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขัดทุกอย่างให้เงียบลงในพริบตา
เมย์เป็นคนเดินไปเปิดประตูก่อนที่จะพบกับร่างสูงโปร่งเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนยืนทอดยิ้มอยู่เบื้องหลังประตู
ในมือนั้นถือตะกร้าที่บรรจุของมีคมไว้เต็มไปหมด
“ข้าได้ข่าวว่าท่านลุงกลับมาจากในเมืองแล้วถึงเอามีดที่ฝากไปลับมาให้”
เสียงทุ้มนุ่มเล็ดลอดมาจากริมฝีปาก อันเซียร์ อัน กวาดตามองไล่ทีละคนก่อนที่จะหยุดอยู่ที่จิงจี๋
เขาสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ดูแปลกประหลาด “จิงจี๋เป็นอะไร ทำไมต้องร้องไห้ด้วย”
เสียงนุ่ม ๆ
นั้นทำเอาน้ำตาของเด็กสาวร่วงเผาะลงมา จิงจี๋รีบปาดมันออกอย่างรวดเร็ว อันเซียร์เลิกคิ้ว
มองเทียนฉาที่มีสีหน้าเคร่งเครียด เมโลดี้
เกรนและเมย์ที่ดูวิตกกังวลอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“เข้ามาก่อนเถอะ”
เมย์ขยับหลบทางให้พร้อมคำชวน
อันเซียร์วางตะกร้าอาวุธในมือลง
จัดแจงถอดเสื้อคลุมตัวหนาออกมาพาดอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งเพราะไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปในเมื่ออากาศภายในบ้านนั้นไม่ได้หนาวเย็นเช่นด้านนอก
ชายหนุ่มขยับก้าวเข้าไปหา ‘ว่าที่คู่หมั้น’
ที่ยืนเม้มปากน้ำตาคลอในทันที
“จิงจี๋มีอะไร
ไหนลองเล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”
ชายหนุ่มว่าพลางรั้งแขนจิงจี๋ให้นั่งลงอย่างนุ่มนวล
รอยยิ้มอ่อน ๆ ยังประดับอยู่บนใบหน้า
“จิงจี๋สัญญาไว้ว่าถ้ามีอะไรไม่สบายใจจะเล่าให้พี่ฟังไม่ใช่เหรอ”
xxxxxxxxxxxxxxx
“พี่เข้าใจแล้ว”
อันเซียร์จ้องมองว่าที่คู่หมั้นอย่างเอ็นดู
จิงจี๋เป็นเด็กสาวน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แม้ว่าบางความคิดและการกระทำจะเกินอายุไปบ้างแต่อันเซียร์ก็ชอบและเอ็นดู
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเป็นเพียงแค่ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ เนื่องจากเขาต้องการให้เธอพร้อมและแน่ใจมากกว่านี้
ให้พร้อมและแน่ใจ...ว่าทั้งเธอและเขาจะไม่หันไปมองใครอื่นอีก
“จิงจี๋ไม่ต้องไปหรอก
พี่จะไปแทนท่านลุงเอง”
“ไม่ !” ท่ามกลางความตกใจและตื่นตะลึง
จิงจี๋เป็นคนแรกที่หาเสียงของตนเจอก่อนใคร “ข้าไม่ยอมให้พี่ทำเรื่องบ้า ๆ
พรรค์นี้หรอก !”
“พี่ก็ไม่ยอมให้จิงจี๋กับท่านลุงหรือคนอื่น
ๆ ไปเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน” อันเซียร์ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าจิงจี๋เป็นอะไรไปท่านลุงก็จะเสียใจมาก
และถ้าท่านลุงเป็นอะไรไปจิงจี๋ก็จะเสียใจมากเหมือนกัน
พี่ไม่อยากเห็นจิงจี๋เสียใจเพราะฉะนั้นให้พี่ไปเถอะ”
“แต่ถ้าพี่เป็นอะไรไป...”
“จิงจี๋ลืมแล้วเหรอว่าพี่เป็นใคร”
อันเซียร์ขัดขึ้นมาทันควัน “แค่แวมไพร์...ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก”
จิงจี๋ถลึงตาใส่ เธอไม่ลืมหรอกว่าชายหนุ่มตรงหน้าเธอคือมัจจุราชมือหนึ่งที่ใคร
ๆ ก็ยกย่อง เป็นนายพรานที่อายุน้อยที่สุดแต่ประสบการณ์โชกโชนไม่แพ้ใคร
ไม่ว่าสัตว์จะดุร้ายมากแค่ไหนหากทำอันตรายแก่คนในละแวกนี้ก็ไม่มีทางรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของพรานหนุ่มคนนี้
แต่มันไม่เกี่ยวกันสักนิด
“ให้พี่ทำเถอะนะ พี่ไม่เป็นอะไรหรอก”
จิงจี๋ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“แต่ข้าเป็นห่วง ! ไม่เข้าใจเหรอคนบ้า !”
เธอสะบัดหน้าหนี เดินเลี่ยงไปอีกทาง
อันเซียร์มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ
ของว่าที่คู่หมั้นตัวน้อยอย่างเอ็นดูระคนขบขัน
กิริยาแสนงอนนั้นชวนให้ดูน่าแกล้งกว่าเดิมเสียได้
สุดท้ายเขาก็หันมาให้ความสนใจกับเทียนฉาเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยเจตนาเดียวกับบุตรสาว
“ท่านลุงให้ข้าทำแทนเถอะ”
เขายังคงยืนยันคำเดิม “อย่างน้อยถือเป็นการทดแทนบุญคุณที่ท่านเคยดูแลข้ามาตลอดก็ยังดี”
“แต่...”
“ท่านลุงขัดข้าไม่ได้ ท่านก็รู้...”
xxxxxxxxxxxxxxx
ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยสีแดง...
ยามเย็นแล้ว...ความมืดค่อย ๆ
กลืนกินแสงตะวันไปอย่างเชื่องช้าและอีกไม่นานก็คงถูกแทนที่ด้วยแสงนวลจากดวงจันทร์ ชายหนุ่มกระตุกบังเหียนม้าให้เริ่มออกเดินในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างน้อย
ๆ ที่เริ่มจะเล็กลงไปเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่มากขึ้น
เขารู้...เธอเป็นห่วง
แต่เขาเองก็เป็นห่วงเธอไม่แพ้กัน...
อันเซียร์ผ่อนลมหายใจช้า ๆ
เขาไม่เคยล่าแวมไพร์
ไม่เคยแม้แต่จะพบเจอมีเพียงตำนานที่พี่ชายของเขาเล่าให้ฟังตอนเด็ก ๆ เท่านั้น
ถ้าเอาตามความจริงคือเขาไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่าบนโลกใบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘แวมไพร์’ อยู่บนโลกด้วย
เจ้าสัตว์ประหลาดเขี้ยวคมที่ใช้เลือดมนุษย์ประทังชีวิต...
“คงไม่ต่างกันหรอก...”
อันเซียร์พึมพำกับตัวเอง
ปกติเขาล่าสัตว์...ส่วนครั้งนี้
เขาจะล่า สัตว์ในร่างมนุษย์
มันคงไม่ต่างกันหรอก...?
สายหมอกโรยตัวอย่างแช่มช้าในขณะที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เลือนหายไป
อันเซียร์เริ่มขยับเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นทุกที รอบข้างเริ่มไม่คุ้นตาอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในตลอดชีวิต
แว่วเสียงเห่าหอนของหมาป่าชวนให้ขนหัวลุก
ซ้ายก็ป่า
ขวาก็ป่า...เจ้าม้าคู่ใจของเทียนฉาที่เขาขอยืมมาเริ่มส่งเสียงประท้วง
ร่างสูงภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่เอื้อมมือไปลูบแผงคอให้มันเป็นการปลอบใจ
“ช่วยข้าหน่อยเถอะเพื่อน”
เขากระซิบเสียงเบา สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด “หนึ่งดอกแลกหนึ่งชีวิต”
มันร้องลั่นราวกับรู้
ก่อนที่มันจะเร่งฝีเท้าควบเข้าไปภายในพวงไม้รกอย่างไม่เกรงกลัวผิดกับก่อนหน้านี้
อันเซียร์กำบังเหียนมันแน่น แนบกายลงชิดกับมัน
กิ่งไม้แหลมคมมากมายบาดผิวจนแสบไปหมดแต่มันก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง
นานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบที่ป่าหนามแหลมค่อย
ๆ เบาบางลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเหลือเพียงต้นไม้ที่ปลิดขั้วใบทิ้งไปจนหมด
อันเซียร์มอบรอบข้างอย่างประหลาดใจ
เขาคุ้นเคยกับป่าแถบนี้มานานแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้เจอภาพแบบนี้มาก่อน
ป่าที่เขาเคยคิดว่ารู้ใจกลับไม่เหมือนป่าที่เขาเคยรู้จัก
สุดท้ายเขาก็หลุดออกมาอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งอีกครั้ง
ชายหนุ่มมองภาพเบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง
มันคือรั้วขนาดใหญ่สูงท่วมหัว
ประตูนั้นแง้มออกราวกับรอคอยเขามานานแล้ว สิ่งก่อสร้างที่อยู่เบื้องหลังของรั้วนั้นคือปราสาทใหญ่ตระการตามืดทะมึนที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามมากมายมหาศาล
ไม่มีแสงไฟแม้เพียงสักเสี้ยวที่บ่งบอกว่ามีคนอาศัยอยู่ภายใน
อันเซียร์ตวัดเสื้อคลุมขึ้นปิดหน้า
มือหนึ่งล้วงเข้าไปภายใต้เสื้อคลุมกระชับมีดเงินเย็นเยียบที่เขาบรรจงลับมาอย่างดี
อีกมือกุมบังเหียนม้าไว้ขณะที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูรั้วเก่าคร่ำคร่า
เสียงนาฬิกาโบราณตีบ่งบอกเวลาหนึ่งทุ่มนั้นกลับดึงให้อันเซียร์มีสติอย่างน่าประหลาด
เขาจดจ่อ รอคอยอย่างใจเย็นยามที่มองบานประตูสูงใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
ชายหนุ่มตวัดตัวลงจากหลังม้า
ก้าวเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง
มันมืดสนิท...ไม่มีแม้แต่แสงเทียนสักเล่มทำให้ยากต่อการมอง
มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเท่านั้น
“เจ้ามาตรงเวลา”
น้ำคำคล้ายแปลกใจดังกังวานส่งผลให้อันเซียร์กระชับมีดใต้ผ้าคลุมแน่นขึ้น
เขากวาดตามองรอบกายหวังจะพบเจ้าของเสียง แม้จะสะกิดใจกับโทนเสียงนุ่มที่ไม่น่าใช่เสียงคำรามวังเวงอย่างที่ได้รับการบอกเล่ามาก็ตาม
“ข้าชื่นชมที่เจ้ารักษาสัญญา”
เงาร่างสูงบนบันไดนั้นเร่งให้เลือดของอันเซียร์เดือดพล่าน
มือไม้เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องร่างที่ค่อย ๆ
ขยับเยื้องลงมาเพื่อประเมินสถานการณ์
ลงมาสิ...ขยับเข้ามาใกล้
ๆ
ให้ข้าได้ปักมีดเงินลงบนหัวใจที่หยุดเต้นของเจ้า...
“ไม่คิดจะพูดอะไรสักหน่อยหรือ”
อีกแค่ไม่กี่ก้าว... อันเซียร์ค่อย
ๆ ดึงมีดเงินออกมา
อีกฝ่ายหยุดอยู่เพียงแค่เอื้อม
ในยามที่แสงจันทร์ส่องตรงมาพอดิบพอดี...
ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างยามที่วงหน้าเรียวนั้นเผยออกประจักษ์แจ้งแก่สายตา
เครื่องหน้าลงตัวด้วยจมูกโด่งและริมฝีปากหยักซีดจาง ล้อมกรอบด้วยเส้นไหมยาวดำขลับ
แสงจันทร์นวลขับผิวขาวซีดภายใต้เครื่องแต่งกายดังชนชั้นสูงให้โดดเด่นออกมา
หากก็ไม่น่าดึงดูดใจเท่า...
ดวงตาสีมรกตใส --- ใสกว่าแก้วใด
ๆ ที่เขาเคยเห็นมา
แม้มันจะทอประกายเย็นชาแต่มันแฝงด้วยอารมณ์หลากหลายอยู่ในนั้น
อารมณ์ที่เขาอยากรู้ว่าหากแสดงออกมาแล้วมรกตนี้จะเปล่งประกายแบบใด
“เจ้า...”
อันเซียร์อดไม่ได้ที่จะเรียก
ไม่รู้ว่ามนต์เสน่ห์บทใดที่ทำให้ร่างเบื้องหน้างามกว่าใครที่เขาเคยพบเจอ
“เจ้าเป็นใคร
!” เสียงคำรามวังเวงดังก้องฉุดสติชายหนุ่มให้หวนกลับมา
เขามองร่างสูงเพรียวนั้นขยับออกห่างอย่างระแวดระวัง
ดวงตาคู่สวยวาวขึ้นทอประกายโกรธขึ้ง
ถึงอย่างนั้นอันเซียร์กลับยกยิ้ม
มีดเงินถูกเก็บไว้ภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างที่จิตใต้สำนึกกรีดร้องว่าเขาบ้าไปแล้ว...
“ข้ามาแทนคนเมื่อวาน”
คงใช่...เขาคงบ้าไปแล้วจริง ๆ
เสื้อคลุมหนาถูกปลดออก
เปิดเผยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับเทวดา
ดวงตาสีนิลสบแก้วเขียวใสภายใต้ความมืดที่ยังคงกั้นกลางระหว่างเขาทั้งคู่
“ข้าอันเซียร์
อัน...แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไร ?”
xxxxxxxxxxxxxxx
Talk
วรั้ยยยยย ปั่นไวความเร็วแสง #หัวเราะ
เรื่องดำเนินช้าหรืองงไปไหมคะ
ต้องขอโทษ ณ จุดนี้จริง ๆ #ฮา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
#โค้ง
ความคิดเห็น