คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 7 :: ความน่ากลัว
Chapter 7
ความปวดหนึบบริเวณท้ายทอยคือสิ่งแรกที่รู้สึก
ภาพที่เห็นดูจะพร่ามัวจนต้องสะบัดศีรษะแรง
ๆ อยู่สองสามทีเพื่อไล่ความมึนออกไป
อันเซียร์พยายามจะขยับตัวแต่ดูเหมือนแรงที่มีจะไม่ช่วยอะไรเมื่อแขนทั้งสองข้างถูกจับมัดไพล่หลัง
ขาทั้งสองข้างก็ถูกมัดติดไว้กับเก้าอี้เช่นกัน
สภาพภายในคือสถานที่เดียวกับก่อนที่เขาจะสลบไปดังนั้นเป็นบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย
อันเซียร์ไม่รู้ว่าเขาสลบไปนานเท่าไหร่
แต่ตอนนี้รอบข้างของเขาไม่เหลือใครเลยสักคน
ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าเหล่าชายวัยฉกรรจ์ที่มารวมตัวกันนั้นหายไปไหนแต่อันเซียร์คิดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
ๆ
ทั้งต่อตัวเขาและอาจจะรวมถึงเจ้าของปราสาทคนงามด้วย...
อันเซียร์รู้สึกเหมือนสมองของเขาหมุนเร็วจี๋
คำถามมากมายสารพัดอยู่ในหัวเต็มไปหมด
เขาต้องการคำตอบแต่เท่าที่เขารู้ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบเลยสักคำถาม
อารมณ์หลากหลายอัดแน่นอยู่ในอกยากที่จะควบคุมได้ ทั้งโมโห กังวล
เป็นห่วงและอีกมากมายซึ่งอันเซียร์สัมผัสได้ว่านี่ไม่ดีเอาเสียเลย
ความคิดทุกอย่างหยุดชะงักลงเมื่อบานประตูไม้เปิดออก
“จิงจี๋ ?” เขาเรียกเธอเสียงแหบ
เธอขยับมายืนตรงหน้าเขา ดวงตาทอประกายกังวลอย่างเห็นได้ชัด
น่าแปลกที่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของเธอ ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายพลันบีบแน่นจนชา
“ข้าดีใจที่พี่ฟื้นแล้ว...”
“ทำไมทำแบบนี้” เขาสวนเธอแทบจะทันที
น้ำเสียงแหบลงจนคล้ายจะคำราม
อันเซียร์เชื่อว่าหากตอนนี้เขากระโจนหาเธอได้เขาคงพุ่งไปหาเธอแล้ว
เด็กสาวสะดุ้ง
น้ำตาคลอแต่พยายามบังคับให้น้ำตาไม่ไหล
“ข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้ !” เธอโวยวายดังลั่น
“ข้าไม่อยากทำให้พี่เจ็บเลย...”
“แล้วจับพี่มาทำไม”
เสียงของเขาเย็นชาขึ้นเสียจนกระทั่งเขายังแปลกใจ
อันเซียร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับคนที่เขาคิดว่าเป็นน้องสาวได้ลง
แต่ดูท่าสถานการณ์ตอนนี้คงเปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยก็ดูได้จากสภาพของเขา
“ชาวบ้านที่เหลือหายไปไหน ?”
“ไปกันหมดแล้ว” จิงจี๋ตอบเสียงแผ่ว “ไปที่ปราสาทหลังนั้น...”
“อะไรนะ...”
อันเซียร์ยอมรับว่าตัวเขาชาไปหมดทั้งตัว
หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเอาเสียดื้อ ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของมรกตคู่งามที่ยังคงรอเขาอยู่
ณ ที่แห่งนั้น --- ที่ที่เคยเป็นสถานที่ของพวกเขาเพียงสองคน
ไม่จำเป็นต้องถามต่อชายหนุ่มก็พอเดาได้ว่าชาวบ้านไปที่ปราสาทหลังนั้นทำไม
“พี่รู้ใช่ไหมว่าคนในหมู่บ้านรู้ว่าพี่ไปที่ปราสาทแวมไพร์นั้นมา”
เขาเห็นเธอเม้มริมฝีปากแน่นจนขึ้นสีขาว
“แล้วพี่รู้ตัวไหมว่าตั้งแต่ที่พี่กลับมาทุก ๆ คนมองพี่แปลกไป
พี่รู้ตัวไหมว่าพี่หายไปสามเดือนโดยที่ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ใคร ๆ
ก็คิดว่าพี่ตายไปแล้ว... แล้วอยู่ ๆ พี่ก็กลับมาจากปราสาทบ้า ๆ หลังนั้น !
ใครมันจะเชื่อว่าพี่ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ !”
อันเซียร์ได้คำตอบเรื่องแปลกประหลาดทั้งหลายตั้งแต่ที่เขากลับมาแทบจำทันที
ตั้งแต่ท่าทางแปลก ๆ ของชาวบ้านที่มีต่อเขาหรือแม้กระทั่งช้อนเงินและข้าวของแปลก ๆ
ในบ้านของเทียนฉาที่เขาสะกิดใจ
“แม้กระทั่งเธอหรือ...จิงจี๋” เขาถาม
ไม่เชิงตัดพ้อ...แต่เหมือนลองใจเสียมากกว่า
“เธอไม่เชื่อหรือว่าพี่ยังเป็นมนุษย์อยู่”
สองมือของเขาขยับหวังควานหามีดสั้นที่เขามักเหน็บติดตัวไว้เสมอ
แต่เชือกที่มัดอยู่นั้นก็รัดแน่นเสียจนเจ็บ ในขณะเดียวกันเขายังคงมองเธอนิ่งราวกับจะยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง
จิงจี๋เงียบไปสักพักราวกับค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดอยู่
“ฉันไม่เชื่อ”
“งั้นเธอมองตาพี่แล้วพูดอีกทีสิ”
อันเซียร์กล่าวเสียงหนัก “มองตาพี่แล้วบอกว่าเธอไม่เชื่อว่าพี่เป็นมนุษย์อีกแล้ว”
“บางทีฉันก็เกลียดพี่นะ...รู้ตัวไหม”
มือขาวยกขึ้นปาดหยดน้ำใสที่คลอหน่วยอยู่ที่ดวงตา “ฉันเกลียดที่พี่รู้ทันฉันเสมอว่าฉันไม่มีวันโกหกพี่ได้”
“ปล่อยพี่ไปได้ไหม”
“พี่ว่าอะไรนะ”
“ปล่อยพี่ไป จิงจี๋”
เขายืนยันอีกครั้ง แต่เธอก็ปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็ว
“มีคนสำคัญของพี่อยู่ที่นั่น
พี่ต้องไปช่วยเขา” นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่ง ขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยเน้นช้าชัด “พี่เสียเขาไปไม่ได้”
“พี่กำลังจะพูดอะไร...”
“พี่สามารถเล่าให้เธอฟังได้ทุกเรื่อง
แต่ตอนนี้เธอต้องปล่อยให้พี่ไป” เขาเห็นความหวั่นไหวปรากฏในแววตาคู่นั้น “จิงจี๋
ได้โปรด...”
xxxxxxxxxxxxxxx
เสียงอึกทึกโวยวายนั้นทำให้โจชัวแปลกใจ
คนเพียงคนเดียวไม่น่าสามารถที่จะทำเสียงดังได้มากขนาดนี้
โดยเฉพาะเมื่อคน ๆ นั้นคืออันเซียร์ อัน
อีกทั้งระยะเวลาที่ดูเร็วเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะกลับมายิ่งตอกย้ำให้เขาแน่ใจว่าคนที่ทำเสียงพวกนี้ต้องไม่ใช่อันเซียร์แน่นอน
หรือถ้าใช่...ก็คงมีอีกหลายคนที่คงติดตามมาด้วย...
น่าแปลกที่พอคิดอย่างนั้นก้อนเนื้อไร้ชีวิตในอกกลับรู้สึกปวดแปลบขึ้นมากะทันหัน
ร่างสูงเพรียวขยับชิดริมหน้าต่างบานใหญ่
มือซีดขาวขยับเปิดผ้าม่านผืนหนาหนักให้เปิดออกเล็กน้อยเพื่อกวาดตามองโดยรอบ
จันทร์เสี้ยวลอยอยู่บนผืนฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆหมอกจนปรากฏเพียงแสงเลือนราง จากเบื้องหน้าของปราสาทไปลิบ
ๆ เขาเห็นเงาคบไฟจำนวนมหาศาล
ดูท่าว่าต้นกำเนิดเสียงอึกทึกนี่ก็คงมาจากขบวนมนุษย์ตรงนั้น และที่คำนวณด้วยสายตาคงไม่นานนักที่ขบวนนั้นจะยกพลมาถึงปราสาทหลังนี้
เขาระบายความหนักหน่วงในอกทิ้ง
ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด
แต่ที่ชัดที่สุดคงไม่พ้นว่า ทำไม...
ทำไมพวกนั้นถึงมาที่นี่ได้...
สมองกรีดร้องคำตอบว่าเพราะอันเซียร์
แต่จิตใต้สำนึกของเขากลับต่อต้าน
เปลือกตาซีดจางหลุบลงต่ำทิ้งแพขนตาหนาให้ลงกระทบแก้มซ่อนรอยหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในดวงตา
เขี้ยวคมขบริมฝีปากแน่นจนได้กลิ่นคาวคลุ้งในปาก
“ข้าไม่มีวันผิดสัญญา
เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าไม่ชอบข้า”
ในตอนนั้นริมฝีปากค่อย ๆ คลายออก
ดวงตาสีมรกตนั้นฉายประกายแน่วแน่อย่างที่ตัดสินใจได้
xxxxxxxxxxxxxxx
ประตูบานใหญ่มหึมาถูกกระทุ้งเปิดด้วยท่อนซุงขนาดยักษ์
เสียงนับจังหวะดังก้องไปทั่วบริเวณ
สะท้อนกลับไปกลับมาฟังดูน่าขนลุก
ความมืดที่เคยปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณถูกขับไล่ออกไปด้วยแสงสว่างจากคบเพลิงในมือของชายฉกรรจ์จำนวนมาก
เสียงโห่ร้องดังสนั่นคลอไปกับเสียงเห่าหอนของสุนัขป่าในยามที่ประตูบานใหญ่นั้นเปิดออกกว้าง
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือความมืดที่ถูกแทนที่ด้วยคบไฟ
ห้องโถงสูงใหญ่ดูเงียบงันราวกับไร้คนอาศัย
เหล่าชาวบ้านค่อย ๆ
ทยอยเข้ามาในปราสาทอย่างย่ามใจ บางคนโวยวายเสียงดังเมื่อเดินสำรวจแล้วพบกับกองเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกบรรจุอยู่ในหีบขนาดยักษ์
บ้างก็หัวเราะอย่างเป็นสุขเมื่อพบอาหารเลิศรสที่ส่งกลิ่นอบอวล
หลายคนพยายามจะเก็บของเหล่านั้นแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงตวาดดังลั่น
“อย่าแม้แต่คิดที่จะแตะของพวกนั้น
!”
เป็นเทียนฉาที่เป็นคนยุติความโกลาหลพวกนั้นลง
ใบหน้าของชายวัยกลางคนถมึงทึงและเคร่งเครียด
เขาตวาดซ้ำเมื่อเหลือบเห็นบางคนที่ยังพยายามจะกอบโกยเศษเหรียญทองเข้ากระเป๋า
“พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าของพวกนั้นสามารถเอาชีวิตพวกเจ้าได้
!”
หลายคนมองหน้ากันเลิกลั่ก
แต่ก็ยังไม่วายเหลือบมองกองเงินกองทองเบื้องหน้าอย่างเสียดายแต่ก็ถูกเทียนฉาตวาดใส่อีกรอบ
“อย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร”
เสียงทรงอำนาจจากร่างสูงสง่าของซอนเน่ ซีแนน ตัดเยื่อใยของคนที่เหลือแทบจะทันที “เผาที่นี่ให้วอด
ตามล่าหาผีดิบตัวนั้นให้เจอ...มันต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำลงไป”
ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อเปลวไฟนั้นลุกลามไปทั่วผ้าม่านผืนใหญ่
ลามไปถึงคบไฟบนกำแพงหรือแม้กระทั่งกรอบรูปภาพที่บรรจุรูปภาพของหญิงสาว
เสียงแก้วแตกเป็นระยะบาดหูแต่ไม่เท่าเสียงหัวเราะและเสียงคร่ำครวญอย่างแสนเสียดายเมื่อไฟลุกลามมาถึงหีบอัญมณี
โจชัวมองภาพเบื้องหน้าด้วยโทสะ
ในอกอัดแน่นด้วยแรงอารมณ์จนน่ากลัวว่าจะระเบิดออกมา
สัญชาตญาณกรีดร้องให้ฆ่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าทิ้งเสียให้หมดให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำแต่สมองก็สั่งการว่าไม่
โดยเฉพาะเมื่อเขามองเห็นใบหน้าของชายร่างสูงสง่าเจ้าของเรือนผมสีทอง
ใบหน้าที่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อยแต่กลับสร้างความคุ้นเคยอย่างประหลาด
เหมือนกันกับอันเซียร์...
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเร่งให้อสูรกระโจนออกจากที่เดิมด้วยความรวดเร็ว
แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียง
“เจอตัวแล้ว !“ ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนบอก “มันไปทางนั้น
!”
อสูรหนุ่มเร่งฝีเท้า ---
เขามั่นใจในความเร็วของเขาว่าไม่อาจมีใครตามทัน แม้จะถูกดักอยู่หลายทางด้วยจำนวนคนที่มากกว่าแต่เขาตัดสินใจที่จะทำให้อีกฝ่ายสลบไปมากกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง
แต่นอกจากมนุษย์จะเป็นฝ่ายไล่ล่าอสูรแล้ว เปลวไฟเองก็ไล่ล่าเขาเช่นกัน
ด้วยความชินและคุ้นเคยในพื้นที่ทำให้อสูรหนุ่มได้เปรียบแต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนและอาวุธทำให้ข้อได้เปรียบนั้นแทบเป็นศูนย์
เขาเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนระอุอยู่เบื้องหน้าและเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ด้านหลัง
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขาไปคือความแสบร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วสีข้าง
มันเกิดมาจากมีดสั้นที่เพิ่งหล่นกระทบพื้นเมื่อสักครู่
ปลายนิ้วเรียวสัมผัสบริเวณสีข้างอย่างแผ่วเบา
สิ่งที่ติดตามออกมาคือหยาดน้ำข้นหนืดสีแดงก่ำที่ปะปนอยู่กับผงเงิน
ความแสบร้อนแผ่กระจายมายังหัวไหล่ซ้ายเมื่อลูกธนูจากที่ไหนสักที่พุ่งทะลุหัวไหล่ของเขาไป
เมื่อเขาขยับจะหนีความเจ็บบริเวณเท้าก็ตามมา และความเจ็บปวดพวกนั้นเหมือนจะตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อย่าให้มันหนีไปได้ !”
บางคนตะโกนขึ้นเมื่อเขาขยับหนี
ความเจ็บยังคงตามมาแต่โจชัวกัดฟันที่จะฝืน ด้วยแรงและความเร็วของอมนุษย์
มนุษย์จึงไม่สามารถที่จะต้านแรงได้แม้จะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม
ใช้เวลาไม่นานอสูรหนุ่มก็สามารถสลัดคนกลุ่มนั้นได้
เขาตัดสินใจเปลี่ยนไปซ่อนตัวบริเวณปีกซ้ายของปราสาทที่ดูไม่ค่อยมีคนสนใจเสียแทน
เปลือกตานวลทิ้งตัวลงอย่างเชื่องช้าด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างสูงเพรียวทรุดนั่งหลบพิงกำแพงอิฐเย็นเฉียบท่ามกลางความเจ็บปวดที่ดูจะแผดเผาเขามากขึ้นทุกที
“ไม่คิดว่าสภาพจะดูไม่ได้ขนาดนี้นะ”
เสียงเรียบเย็นทรงอำนาจดึงสติทั้งหมดของอสูรหนุ่มกลับคืนมา เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วเผยนัยน์ตาสีมรกตที่ทอประกายกร้าวแต่พลันอ่อนลงเมื่อสบดวงตาคู่คมของเจ้าของเรือนผมสีทอง
“ดูไม่เหมือนอสูรร้ายที่ข้าเคยได้ยินมา”
“เจ้าเป็นใคร” อสูรหนุ่มถามเสียงแผ่ว
เขาเห็นรอยยิ้มที่ถูกจุดบริเวณมุมปาก
ขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยปากช้าชัดราวกับจะตอกย้ำ
“ข้าเป็นพี่ชายของคนที่เจ้าจับตัวมา
ซอนเน่ ซีแนน”
โจชัวรู้ได้ในทันที...ว่าเขาไม่มีวันเอาชนะคนตรงหน้าได้
ไม่ใช่ด้วยพละกำลังหรือความเร็วแต่เป็นเพราะ...อันเซียร์
เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่มีวัน ‘ทำร้าย’ คนตรงหน้าได้เพราะเขาคือคนสำคัญของอันเซียร์
หากการที่เขาเอาตัวรอดจากอีกฝ่ายแต่ต้องทำให้อันเซียร์ต้องรู้สึกเหมือนครั้งที่เขาสูญเสียซาดีนาแล้วล่ะก็...
โจชัวคิดว่าความเจ็บเจียนตายคงไม่ได้น่ากลัวนัก
“ข้ามาเพื่อทำให้เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำกับน้องชายข้า”
xxxxxxxxxxxxxxx
ลมหนาวตีหน้าจนชา...
ข้อมือขึ้นรอยช้ำจนเกือบม่วงเพราะชายหนุ่มพยายามที่จะทำให้หลุดจากพันธนาการแม้ภายหลังจากถูกปล่อยแต่โดยดีก็ตาม
หนามแหลมคมจากเถาวัลย์ป่าที่เกี่ยวผิวเนื้อจนเลือดซิบ ทุก ๆ
อย่างดูไม่รู้อีกต่อไปเมื่อใจเขาคิดถึงแต่เจ้าปราสาทที่ยังไม่รู้ชะตากรรม
อันเซียร์รู้สึกได้ว่าเขาไม่เคยร้อนใจในชีวิตได้มากขนาดนี้มาก่อน
เขาควบม้าราวกับคนบ้า
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นตามลำดับบ่งบอกถึงเวลาที่ใกล้รุ่งสางเต็มทีเมื่อชายหนุ่มควบม้าเข้าสู่ภายในรั้วปราสาทสูงตระหง่าน
อันเซียร์บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับความวุ่นวายที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เปลวไฟสีอมส้มที่ลุกลามอยู่แทบจะทั่วตัวปราสาทราวกับจะเผาผลาญทุกอย่างให้วอดวาย เหล่าชาวบ้านที่ดูเครียดขึงท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุ
หลาย ๆ คนเมื่อหันมาเห็นเขาพยายามที่จะเข้ามาขัดขวางแต่ชายหนุ่มก็ดึงดันที่จะวิ่งเข้าไปในกองเพลิงนั้นสุดกำลัง
ขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทองบ่งบอกถึงยามรุ่ง
แสงสว่างวาบที่สะท้อนเข้าดวงตาดึงให้เขาหยุดการต่อต้านแล้วเงยหน้ามองตามแสงสะท้อนในแทบจะทันที
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาตะโกนออกไปตอนไหน
“พี่
! อย่าทำแบบนั้นนะ !”
xxxxxxxxxxxxxxx
Talk
แอ๊ะ กลับมาพร้อมปีใหม่
พร้อมโค้งสุดท้ายแล้วนะเออ
พอจะเป็นของขวัญวันปีใหม่ได้ไหมคะ #ฮา
อีกไม่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว แต่อย่างไรก็ตามจะพยายามให้จบก่อนเปิดเทอมค่ะ
เพราะว่าพอเปิดเทอมก็จะหายหัวด้วยงานที่สุมเข้ามาอีกรอบ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับปีใหม่และการอ่านนะคะ
สุขสันต์วันปีใหม่และขอบคุณทุกคนที่อ่านค่า
;]]
ความคิดเห็น