ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic No Hero] Gentleman and The Beautiful Beast [อันเซียร์ x โจชัว]

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 7 :: ความน่ากลัว

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 59




    Chapter 7

     


    ความปวดหนึบบริเวณท้ายทอยคือสิ่งแรกที่รู้สึก

     

    ภาพที่เห็นดูจะพร่ามัวจนต้องสะบัดศีรษะแรง ๆ อยู่สองสามทีเพื่อไล่ความมึนออกไป อันเซียร์พยายามจะขยับตัวแต่ดูเหมือนแรงที่มีจะไม่ช่วยอะไรเมื่อแขนทั้งสองข้างถูกจับมัดไพล่หลัง ขาทั้งสองข้างก็ถูกมัดติดไว้กับเก้าอี้เช่นกัน สภาพภายในคือสถานที่เดียวกับก่อนที่เขาจะสลบไปดังนั้นเป็นบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    อันเซียร์ไม่รู้ว่าเขาสลบไปนานเท่าไหร่ แต่ตอนนี้รอบข้างของเขาไม่เหลือใครเลยสักคน ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าเหล่าชายวัยฉกรรจ์ที่มารวมตัวกันนั้นหายไปไหนแต่อันเซียร์คิดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

     

    ทั้งต่อตัวเขาและอาจจะรวมถึงเจ้าของปราสาทคนงามด้วย...

     

    อันเซียร์รู้สึกเหมือนสมองของเขาหมุนเร็วจี๋ คำถามมากมายสารพัดอยู่ในหัวเต็มไปหมด เขาต้องการคำตอบแต่เท่าที่เขารู้ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบเลยสักคำถาม อารมณ์หลากหลายอัดแน่นอยู่ในอกยากที่จะควบคุมได้ ทั้งโมโห กังวล เป็นห่วงและอีกมากมายซึ่งอันเซียร์สัมผัสได้ว่านี่ไม่ดีเอาเสียเลย

     

    ความคิดทุกอย่างหยุดชะงักลงเมื่อบานประตูไม้เปิดออก

     

    “จิงจี๋ ?” เขาเรียกเธอเสียงแหบ เธอขยับมายืนตรงหน้าเขา ดวงตาทอประกายกังวลอย่างเห็นได้ชัด น่าแปลกที่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของเธอ ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายพลันบีบแน่นจนชา

     

    “ข้าดีใจที่พี่ฟื้นแล้ว...”

     

    “ทำไมทำแบบนี้” เขาสวนเธอแทบจะทันที น้ำเสียงแหบลงจนคล้ายจะคำราม อันเซียร์เชื่อว่าหากตอนนี้เขากระโจนหาเธอได้เขาคงพุ่งไปหาเธอแล้ว

     

    เด็กสาวสะดุ้ง น้ำตาคลอแต่พยายามบังคับให้น้ำตาไม่ไหล

     

    “ข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้ !” เธอโวยวายดังลั่น “ข้าไม่อยากทำให้พี่เจ็บเลย...”

     

    “แล้วจับพี่มาทำไม”

     

    เสียงของเขาเย็นชาขึ้นเสียจนกระทั่งเขายังแปลกใจ อันเซียร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับคนที่เขาคิดว่าเป็นน้องสาวได้ลง แต่ดูท่าสถานการณ์ตอนนี้คงเปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยก็ดูได้จากสภาพของเขา

     

    “ชาวบ้านที่เหลือหายไปไหน ?”

     

    “ไปกันหมดแล้ว” จิงจี๋ตอบเสียงแผ่ว “ไปที่ปราสาทหลังนั้น...”

     

    “อะไรนะ...”

     

    อันเซียร์ยอมรับว่าตัวเขาชาไปหมดทั้งตัว หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเอาเสียดื้อ ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของมรกตคู่งามที่ยังคงรอเขาอยู่ ณ ที่แห่งนั้น --- ที่ที่เคยเป็นสถานที่ของพวกเขาเพียงสองคน ไม่จำเป็นต้องถามต่อชายหนุ่มก็พอเดาได้ว่าชาวบ้านไปที่ปราสาทหลังนั้นทำไม

     

    “พี่รู้ใช่ไหมว่าคนในหมู่บ้านรู้ว่าพี่ไปที่ปราสาทแวมไพร์นั้นมา” เขาเห็นเธอเม้มริมฝีปากแน่นจนขึ้นสีขาว “แล้วพี่รู้ตัวไหมว่าตั้งแต่ที่พี่กลับมาทุก ๆ คนมองพี่แปลกไป พี่รู้ตัวไหมว่าพี่หายไปสามเดือนโดยที่ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ใคร ๆ ก็คิดว่าพี่ตายไปแล้ว... แล้วอยู่ ๆ พี่ก็กลับมาจากปราสาทบ้า ๆ หลังนั้น ! ใครมันจะเชื่อว่าพี่ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ !

     

    อันเซียร์ได้คำตอบเรื่องแปลกประหลาดทั้งหลายตั้งแต่ที่เขากลับมาแทบจำทันที ตั้งแต่ท่าทางแปลก ๆ ของชาวบ้านที่มีต่อเขาหรือแม้กระทั่งช้อนเงินและข้าวของแปลก ๆ ในบ้านของเทียนฉาที่เขาสะกิดใจ

     

    “แม้กระทั่งเธอหรือ...จิงจี๋” เขาถาม ไม่เชิงตัดพ้อ...แต่เหมือนลองใจเสียมากกว่า “เธอไม่เชื่อหรือว่าพี่ยังเป็นมนุษย์อยู่”

     

    สองมือของเขาขยับหวังควานหามีดสั้นที่เขามักเหน็บติดตัวไว้เสมอ แต่เชือกที่มัดอยู่นั้นก็รัดแน่นเสียจนเจ็บ ในขณะเดียวกันเขายังคงมองเธอนิ่งราวกับจะยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

     

    จิงจี๋เงียบไปสักพักราวกับค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดอยู่ “ฉันไม่เชื่อ”

     

    “งั้นเธอมองตาพี่แล้วพูดอีกทีสิ” อันเซียร์กล่าวเสียงหนัก “มองตาพี่แล้วบอกว่าเธอไม่เชื่อว่าพี่เป็นมนุษย์อีกแล้ว”

     

    “บางทีฉันก็เกลียดพี่นะ...รู้ตัวไหม” มือขาวยกขึ้นปาดหยดน้ำใสที่คลอหน่วยอยู่ที่ดวงตา “ฉันเกลียดที่พี่รู้ทันฉันเสมอว่าฉันไม่มีวันโกหกพี่ได้”

     

    “ปล่อยพี่ไปได้ไหม”

     

    “พี่ว่าอะไรนะ”

     

    “ปล่อยพี่ไป จิงจี๋” เขายืนยันอีกครั้ง แต่เธอก็ปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็ว

     

    “มีคนสำคัญของพี่อยู่ที่นั่น พี่ต้องไปช่วยเขา” นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่ง ขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยเน้นช้าชัด “พี่เสียเขาไปไม่ได้”

     

    “พี่กำลังจะพูดอะไร...”

     

    “พี่สามารถเล่าให้เธอฟังได้ทุกเรื่อง แต่ตอนนี้เธอต้องปล่อยให้พี่ไป” เขาเห็นความหวั่นไหวปรากฏในแววตาคู่นั้น “จิงจี๋ ได้โปรด...”

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    เสียงอึกทึกโวยวายนั้นทำให้โจชัวแปลกใจ

     

    คนเพียงคนเดียวไม่น่าสามารถที่จะทำเสียงดังได้มากขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อคน ๆ นั้นคืออันเซียร์ อัน อีกทั้งระยะเวลาที่ดูเร็วเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะกลับมายิ่งตอกย้ำให้เขาแน่ใจว่าคนที่ทำเสียงพวกนี้ต้องไม่ใช่อันเซียร์แน่นอน

     

    หรือถ้าใช่...ก็คงมีอีกหลายคนที่คงติดตามมาด้วย...

     

    น่าแปลกที่พอคิดอย่างนั้นก้อนเนื้อไร้ชีวิตในอกกลับรู้สึกปวดแปลบขึ้นมากะทันหัน

     

    ร่างสูงเพรียวขยับชิดริมหน้าต่างบานใหญ่ มือซีดขาวขยับเปิดผ้าม่านผืนหนาหนักให้เปิดออกเล็กน้อยเพื่อกวาดตามองโดยรอบ จันทร์เสี้ยวลอยอยู่บนผืนฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆหมอกจนปรากฏเพียงแสงเลือนราง จากเบื้องหน้าของปราสาทไปลิบ ๆ เขาเห็นเงาคบไฟจำนวนมหาศาล ดูท่าว่าต้นกำเนิดเสียงอึกทึกนี่ก็คงมาจากขบวนมนุษย์ตรงนั้น และที่คำนวณด้วยสายตาคงไม่นานนักที่ขบวนนั้นจะยกพลมาถึงปราสาทหลังนี้

     

    เขาระบายความหนักหน่วงในอกทิ้ง ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด

     

    แต่ที่ชัดที่สุดคงไม่พ้นว่า ทำไม...

    ทำไมพวกนั้นถึงมาที่นี่ได้...

     

    สมองกรีดร้องคำตอบว่าเพราะอันเซียร์ แต่จิตใต้สำนึกของเขากลับต่อต้าน

     

    เปลือกตาซีดจางหลุบลงต่ำทิ้งแพขนตาหนาให้ลงกระทบแก้มซ่อนรอยหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในดวงตา เขี้ยวคมขบริมฝีปากแน่นจนได้กลิ่นคาวคลุ้งในปาก

     

    “ข้าไม่มีวันผิดสัญญา เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าไม่ชอบข้า”

     

    ในตอนนั้นริมฝีปากค่อย ๆ คลายออก ดวงตาสีมรกตนั้นฉายประกายแน่วแน่อย่างที่ตัดสินใจได้

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    ประตูบานใหญ่มหึมาถูกกระทุ้งเปิดด้วยท่อนซุงขนาดยักษ์

     

    เสียงนับจังหวะดังก้องไปทั่วบริเวณ สะท้อนกลับไปกลับมาฟังดูน่าขนลุก ความมืดที่เคยปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณถูกขับไล่ออกไปด้วยแสงสว่างจากคบเพลิงในมือของชายฉกรรจ์จำนวนมาก เสียงโห่ร้องดังสนั่นคลอไปกับเสียงเห่าหอนของสุนัขป่าในยามที่ประตูบานใหญ่นั้นเปิดออกกว้าง

     

    ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือความมืดที่ถูกแทนที่ด้วยคบไฟ ห้องโถงสูงใหญ่ดูเงียบงันราวกับไร้คนอาศัย

     

    เหล่าชาวบ้านค่อย ๆ ทยอยเข้ามาในปราสาทอย่างย่ามใจ บางคนโวยวายเสียงดังเมื่อเดินสำรวจแล้วพบกับกองเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกบรรจุอยู่ในหีบขนาดยักษ์ บ้างก็หัวเราะอย่างเป็นสุขเมื่อพบอาหารเลิศรสที่ส่งกลิ่นอบอวล หลายคนพยายามจะเก็บของเหล่านั้นแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงตวาดดังลั่น

     

    “อย่าแม้แต่คิดที่จะแตะของพวกนั้น !

     

    เป็นเทียนฉาที่เป็นคนยุติความโกลาหลพวกนั้นลง ใบหน้าของชายวัยกลางคนถมึงทึงและเคร่งเครียด เขาตวาดซ้ำเมื่อเหลือบเห็นบางคนที่ยังพยายามจะกอบโกยเศษเหรียญทองเข้ากระเป๋า

     

    “พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าของพวกนั้นสามารถเอาชีวิตพวกเจ้าได้ !

     

    หลายคนมองหน้ากันเลิกลั่ก แต่ก็ยังไม่วายเหลือบมองกองเงินกองทองเบื้องหน้าอย่างเสียดายแต่ก็ถูกเทียนฉาตวาดใส่อีกรอบ

     

    “อย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร” เสียงทรงอำนาจจากร่างสูงสง่าของซอนเน่ ซีแนน ตัดเยื่อใยของคนที่เหลือแทบจะทันที “เผาที่นี่ให้วอด ตามล่าหาผีดิบตัวนั้นให้เจอ...มันต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำลงไป”

     

    ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อเปลวไฟนั้นลุกลามไปทั่วผ้าม่านผืนใหญ่ ลามไปถึงคบไฟบนกำแพงหรือแม้กระทั่งกรอบรูปภาพที่บรรจุรูปภาพของหญิงสาว เสียงแก้วแตกเป็นระยะบาดหูแต่ไม่เท่าเสียงหัวเราะและเสียงคร่ำครวญอย่างแสนเสียดายเมื่อไฟลุกลามมาถึงหีบอัญมณี

     

    โจชัวมองภาพเบื้องหน้าด้วยโทสะ ในอกอัดแน่นด้วยแรงอารมณ์จนน่ากลัวว่าจะระเบิดออกมา สัญชาตญาณกรีดร้องให้ฆ่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าทิ้งเสียให้หมดให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำแต่สมองก็สั่งการว่าไม่ โดยเฉพาะเมื่อเขามองเห็นใบหน้าของชายร่างสูงสง่าเจ้าของเรือนผมสีทอง

     

    ใบหน้าที่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อยแต่กลับสร้างความคุ้นเคยอย่างประหลาด

    เหมือนกันกับอันเซียร์...

     

    เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเร่งให้อสูรกระโจนออกจากที่เดิมด้วยความรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียง

     

    “เจอตัวแล้ว !“ ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนบอก “มันไปทางนั้น !

     

    อสูรหนุ่มเร่งฝีเท้า --- เขามั่นใจในความเร็วของเขาว่าไม่อาจมีใครตามทัน แม้จะถูกดักอยู่หลายทางด้วยจำนวนคนที่มากกว่าแต่เขาตัดสินใจที่จะทำให้อีกฝ่ายสลบไปมากกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่นอกจากมนุษย์จะเป็นฝ่ายไล่ล่าอสูรแล้ว เปลวไฟเองก็ไล่ล่าเขาเช่นกัน

     

    ด้วยความชินและคุ้นเคยในพื้นที่ทำให้อสูรหนุ่มได้เปรียบแต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนและอาวุธทำให้ข้อได้เปรียบนั้นแทบเป็นศูนย์

     

    เขาเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนระอุอยู่เบื้องหน้าและเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ด้านหลัง แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขาไปคือความแสบร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วสีข้าง มันเกิดมาจากมีดสั้นที่เพิ่งหล่นกระทบพื้นเมื่อสักครู่

     

    ปลายนิ้วเรียวสัมผัสบริเวณสีข้างอย่างแผ่วเบา สิ่งที่ติดตามออกมาคือหยาดน้ำข้นหนืดสีแดงก่ำที่ปะปนอยู่กับผงเงิน

     

    ความแสบร้อนแผ่กระจายมายังหัวไหล่ซ้ายเมื่อลูกธนูจากที่ไหนสักที่พุ่งทะลุหัวไหล่ของเขาไป เมื่อเขาขยับจะหนีความเจ็บบริเวณเท้าก็ตามมา และความเจ็บปวดพวกนั้นเหมือนจะตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     

    “อย่าให้มันหนีไปได้ !

     

    บางคนตะโกนขึ้นเมื่อเขาขยับหนี ความเจ็บยังคงตามมาแต่โจชัวกัดฟันที่จะฝืน ด้วยแรงและความเร็วของอมนุษย์ มนุษย์จึงไม่สามารถที่จะต้านแรงได้แม้จะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม

     

    ใช้เวลาไม่นานอสูรหนุ่มก็สามารถสลัดคนกลุ่มนั้นได้ เขาตัดสินใจเปลี่ยนไปซ่อนตัวบริเวณปีกซ้ายของปราสาทที่ดูไม่ค่อยมีคนสนใจเสียแทน เปลือกตานวลทิ้งตัวลงอย่างเชื่องช้าด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างสูงเพรียวทรุดนั่งหลบพิงกำแพงอิฐเย็นเฉียบท่ามกลางความเจ็บปวดที่ดูจะแผดเผาเขามากขึ้นทุกที

     

    “ไม่คิดว่าสภาพจะดูไม่ได้ขนาดนี้นะ” เสียงเรียบเย็นทรงอำนาจดึงสติทั้งหมดของอสูรหนุ่มกลับคืนมา เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วเผยนัยน์ตาสีมรกตที่ทอประกายกร้าวแต่พลันอ่อนลงเมื่อสบดวงตาคู่คมของเจ้าของเรือนผมสีทอง “ดูไม่เหมือนอสูรร้ายที่ข้าเคยได้ยินมา”

     

    “เจ้าเป็นใคร” อสูรหนุ่มถามเสียงแผ่ว

     

    เขาเห็นรอยยิ้มที่ถูกจุดบริเวณมุมปาก ขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยปากช้าชัดราวกับจะตอกย้ำ

     

    “ข้าเป็นพี่ชายของคนที่เจ้าจับตัวมา ซอนเน่ ซีแนน

     

    โจชัวรู้ได้ในทันที...ว่าเขาไม่มีวันเอาชนะคนตรงหน้าได้

     

    ไม่ใช่ด้วยพละกำลังหรือความเร็วแต่เป็นเพราะ...อันเซียร์

     

    เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่มีวัน ทำร้ายคนตรงหน้าได้เพราะเขาคือคนสำคัญของอันเซียร์ หากการที่เขาเอาตัวรอดจากอีกฝ่ายแต่ต้องทำให้อันเซียร์ต้องรู้สึกเหมือนครั้งที่เขาสูญเสียซาดีนาแล้วล่ะก็...

     

    โจชัวคิดว่าความเจ็บเจียนตายคงไม่ได้น่ากลัวนัก

     

    “ข้ามาเพื่อทำให้เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำกับน้องชายข้า”

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    ลมหนาวตีหน้าจนชา...

     

    ข้อมือขึ้นรอยช้ำจนเกือบม่วงเพราะชายหนุ่มพยายามที่จะทำให้หลุดจากพันธนาการแม้ภายหลังจากถูกปล่อยแต่โดยดีก็ตาม หนามแหลมคมจากเถาวัลย์ป่าที่เกี่ยวผิวเนื้อจนเลือดซิบ ทุก ๆ อย่างดูไม่รู้อีกต่อไปเมื่อใจเขาคิดถึงแต่เจ้าปราสาทที่ยังไม่รู้ชะตากรรม

     

    อันเซียร์รู้สึกได้ว่าเขาไม่เคยร้อนใจในชีวิตได้มากขนาดนี้มาก่อน เขาควบม้าราวกับคนบ้า ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นตามลำดับบ่งบอกถึงเวลาที่ใกล้รุ่งสางเต็มทีเมื่อชายหนุ่มควบม้าเข้าสู่ภายในรั้วปราสาทสูงตระหง่าน

     

    อันเซียร์บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับความวุ่นวายที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เปลวไฟสีอมส้มที่ลุกลามอยู่แทบจะทั่วตัวปราสาทราวกับจะเผาผลาญทุกอย่างให้วอดวาย เหล่าชาวบ้านที่ดูเครียดขึงท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุ หลาย ๆ คนเมื่อหันมาเห็นเขาพยายามที่จะเข้ามาขัดขวางแต่ชายหนุ่มก็ดึงดันที่จะวิ่งเข้าไปในกองเพลิงนั้นสุดกำลัง

     

    ขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทองบ่งบอกถึงยามรุ่ง

     

    แสงสว่างวาบที่สะท้อนเข้าดวงตาดึงให้เขาหยุดการต่อต้านแล้วเงยหน้ามองตามแสงสะท้อนในแทบจะทันที ชายหนุ่มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาตะโกนออกไปตอนไหน

     

    “พี่ ! อย่าทำแบบนั้นนะ !

     

     

    xxxxxxxxxxxxxxx

     

     

    Talk

    แอ๊ะ กลับมาพร้อมปีใหม่

    พร้อมโค้งสุดท้ายแล้วนะเออ

    พอจะเป็นของขวัญวันปีใหม่ได้ไหมคะ #ฮา

    อีกไม่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว แต่อย่างไรก็ตามจะพยายามให้จบก่อนเปิดเทอมค่ะ

    เพราะว่าพอเปิดเทอมก็จะหายหัวด้วยงานที่สุมเข้ามาอีกรอบ

    ขอให้ทุกคนมีความสุขกับปีใหม่และการอ่านนะคะ

     

    สุขสันต์วันปีใหม่และขอบคุณทุกคนที่อ่านค่า ;]]

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×